บ้านพักผู้สูงอายุ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Aug 2022 07:27:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดแล้ว! “วิมุต เวลเนส” สาขาแรก จิ๊กซอว์ธุรกิจ “พฤกษา” ใช้สุขภาพดันอสังหาฯ https://positioningmag.com/1396024 Fri, 12 Aug 2022 05:16:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396024 ตามแผนดำเนินงานของ “พฤกษา” ที่แตกไลน์ใช้ธุรกิจสุขภาพเข้ามาสร้างรายได้ใหม่ ผลักดันความได้เปรียบในตลาดอสังหาฯ ล่าสุดโรงพยาบาลขนาดเล็กในชุมชน “วิมุต เวลเนส” สาขาแรกเปิดให้บริการแล้ว สาขาที่สองตามมาช่วงปลายปีที่ “คู้บอน” แย้มการลงทุนก้าวต่อไปย่านบางบัวทองและพัฒนาการ ขณะที่ธุรกิจที่อยู่อาศัยเผชิญปัจจัยลบ “ดอกเบี้ยขาขึ้น”

โรงพยาบาลวิมุตเปิดบริการ “วิมุต เวลเนส” โรงพยาบาลขนาดเล็ก 50 เตียงเป็นแห่งแรกแล้วในย่านชุมชนพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน ตามแผนงานกระจายบริการทางการแพทย์ไปให้ใกล้บ้าน เพื่อหวังจะเป็น ‘แม่เหล็ก’ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกหมู่บ้านพฤกษามากขึ้น

ภายในวิมุต เวลเนสสาขาแรกจะมีแพทย์ตรวจโรคทั่วไป เป็นหวัด ไม่สบาย เจ็บป่วยเล็กน้อย หรือฉีดวัคซีนป้องกันโรค สามารถพบแพทย์ที่นี่ได้ และที่เน้นเป็นพิเศษคือแผนกกายภาพบำบัด ธาราบำบัด เหมาะกับคนทำงานที่มักป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม รวมถึงแผนกเนิร์สเซอรีสำหรับผู้สูงอายุ บริการรรับดูแลผู้สูงวัยทั้งแบบไปกลับ (day care) และแบบค้างคืน

วิมุต เวลเนส
แผนกกายภาพบำบัด

แนวคิดของรพ.วิมุตในการกระจายศูนย์บริการการแพทย์ขนาดเล็กมาตามชุมชน เพราะมองว่าการเป็นโรคทั่วไปนั้น คนไข้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเข้าเมืองเพื่อมาพบแพทย์ และการมีศูนย์รับดูแลผู้สูงอายุยังเหมาะกับสังคมไทยที่เริ่มเป็นสังคมผู้สูงอายุ หลายครอบครัวอาศัยอยู่รวมกันหลายวัย (multi-generation) และลูกหลานจำเป็นต้องหาผู้ดูแลคุณพ่อคุณแม่หรือปู่ย่าตายาย

ทำเลที่จะเปิดวิมุต เวลเนส แน่นอนว่าต้องเน้นพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่มีหมู่บ้านของพฤกษาตั้งอยู่ โดยหวังว่าจะเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้าเลือกซื้อ ขณะเดียวกันก็สร้างรายได้จากธุรกิจสุขภาพด้วยฐานลูกค้าชุมชนที่แวดล้อม

วิมุต เวลเนส
ห้องพักผู้สูงวัยแบบ Shared Room ราคาเริ่มต้น 2,500 บาทต่อวัน รวมอาหาร 3 มื้อ และกิจกรรม

 

ลงทุนปีละ 3-4 สาขา แย้มแผนที่ “บางบัวทอง” และ “พัฒนาการ”

“นพ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุตโฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนวิมุต เวลเนสวางแผนจะลงทุนปีละ 3-4 สาขา ใช้งบลงทุน 90-150 ล้านบาทต่อแห่ง แล้วแต่จำนวนเตียงและค่าเช่าที่ดิน

โดยแห่งที่สองนั้นมีการลงทุนไปแล้วที่ Senera Vimut Health Center อยู่ติดกับคอมมูนิตี้ มอลล์ “JAS Green Village” ถ.คู้บอน ซึ่งแห่งนี้เป็นการร่วมทุน 50:50 กับ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท โดยทางเจเอเอสเป็นเจ้าของพื้นที่และอาคาร สาขาสองคาดว่าจะเปิดบริการได้ช่วงปลายไตรมาส 4/2565

ห้องสันทนาการภายในวิมุต เวลเนส บางนา-วงแหวน มีกิจกรรมต่างๆ เช่น คาราโอเกะ สวดมนต์

ส่วนสาขาต่อๆ ไปนั้นกำลังศึกษาทำเล แต่นพ.กฤตวิทย์แย้มว่า บริษัทกำลังเจรจาจับมือกันต่อกับทางเจเอเอสซึ่งมีแผนลงทุนคอมมูนิตี้ มอลล์ JAS Green Village แห่งใหม่ในย่านบางบัวทอง อาจได้เห็นวิมุต เวลเนสอีกในย่านดังกล่าว

ขณะที่การลงทุนเองทั้งหมดนั้นกำลังเล็งพื้นที่ย่านพัฒนาการซึ่งพฤกษามีที่ดินเหลือ ในบริเวณนั้นพฤกษามีการพัฒนาหมู่บ้านไปแล้วหลายแบรนด์ ทำให้มีฐานลูกค้าจำนวนมากเหมือนกับที่บางนา-วงแหวน

นอกจากนี้ วิมุตจะมีการลงทุนเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน จะเพิ่มจำนวนเตียงอีก 100 เตียงในปีนี้ จากเดิมมีอยู่ 100 เตียง เนื่องจากเห็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีอัตราครองเตียง 78% แล้ว

 

ไตรมาส 2/65 “พฤกษา” หดตัว รอระดมเปิดโครงการใหม่

ด้านผลการดำเนินงานของ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง ในช่วงไตรมาส 2/2565 ทำยอดขาย 6,342 ล้านบาท ลดลง -12% YoY ยอดโอนรวมอยู่ที่ 5,101 ล้านบาท ลดลง -19% YoY พฤกษาทำกำไรสุทธิ 527 ล้านบาท ลดลง -16% YoY

สำหรับผลประกอบการรอบครึ่งปีแรก 2565 พฤกษามีรายได้รวม 11,370 ล้านบาท ลดลง -14.4% และกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 1,002 ล้านบาท ลดลง -5.0%

หากแยกเป็นรายผลิตภัณฑ์พบว่าสัดส่วนใหญ่ในการทำยอดขายของพฤกษายังมาจาก “ทาวน์เฮาส์” รองมาคือ “บ้านเดี่ยว” และปิดท้ายที่ “คอนโดฯ” แต่กลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์กับคอนโดฯ นั้นทำรายได้ลดลง -21.7% และ -30.2% ตามลำดับ มีเพียงบ้านเดี่ยวที่ยังเติบโตได้โดยโตขึ้น 1.9%

“อุเทน โลหชิตพิทักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า แผนงานด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยนั้น ครึ่งปีแรก 2565 พฤกษามีการเปิดตัวไปเพียง 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,600 ล้านบาท แต่ในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวถึง 23 โครงการ มูลค่ารวม 12,700 ล้านบาท ในจำนวนนี้มี 3 โครงการที่จะเป็นอาคารชุดภายใต้แบรนด์พลัมและเดอะ ไพรเวซี่ เปิดตัวในทำเลรามอินทรา เตาปูน และพระราม 2

 

ดอกเบี้ยขาขึ้น หาโปรโมชันช่วยลูกค้า

ด้านปัจจัยลบที่เพิ่มเข้ามาล่าสุดคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว 0.25% อุเทนมองว่าเริ่มมีผลกับความกังวลของลูกค้าแล้ว แต่ในแง่กำลังซื้อในการผ่อนสินเชื่อบ้าน ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ยังช่วยดูดซับ ตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านรายย่อยให้ แต่เป็นไปได้ว่าปี 2566 อาจจะเริ่มปรับขึ้นจริง ซึ่งการปรับดอกเบี้ยขึ้นทุกๆ 0.25% จะทำให้กำลังผ่อนของลูกค้าลดลง 3-4%

อุเทนกล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทกำลังหารือวางกลยุทธ์เพื่อรับมือต่อไป แต่เบื้องต้นเริ่มมีการทดลองโปรโมชันเพื่อช่วยลูกค้าแล้วในแคมเปญ ‘Pruksa Pass ผ่อนตรงกับเรา’ คือให้ลูกค้าที่กู้สินเชื่อบ้านไม่ผ่าน สามารถเช่าอยู่กับพฤกษาไปก่อน 1-3 ปี โดยค่าเช่าทั้งหมดจะคิดเป็นเงินดาวน์ เมื่อถึงเวลากู้สินเชื่อกับธนาคารอีกครั้ง ยอดเงินกู้ที่เหลือจะต่ำลง โอกาสกู้ผ่านมากขึ้น แคมเปญนี้มีทดลองในคอนโดฯ 4 แห่งเท่านั้น คือ พลัมคอนโด ราม 60 อินเตอร์เชนจ์, พลัมคอนโด สุขุมวิท 97.1, เดอะ ไพรเวซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ และเดอะทรี หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ รวมทั้งหมดมากกว่า 100 ยูนิตที่เปิดโปรโมชันมีผู้สนใจเช่าซื้อ

ในแง่การสร้างความหลากหลายธุรกิจ พฤกษาก็ยังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบ CVC ที่จะร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ 3,500 ล้านบาทในรอบ 3 ปี ขณะนี้ลงทุนไปแล้ว 400-500 ล้านบาท และเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจับมือกับ บริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัทด้านโซลาร์รูฟ “ปัน นิวเอนเนอจี” เบื้องต้นจะบริการติดตั้งให้กับลูกบ้านพฤกษาทั้งรายใหม่และรายเก่า

]]>
1396024
“เชียงใหม่” จุดหมายยอดฮิตซื้อบ้านหลัง “เกษียณ” แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญคือ “ราคาสูง” เกินเอื้อม https://positioningmag.com/1381681 Mon, 18 Apr 2022 09:25:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381681 DDproperty จัดสำรวจผู้บริโภคชาวไทย พบว่าคนไทยสนใจซื้อบ้านเพื่อ “เกษียณ” มากขึ้น และจุดหมายที่ฮิตที่สุดคือ “เชียงใหม่” เพราะได้ใกล้ชิดธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนยังไม่ตัดสินใจซื้อบ้านพักวัยเกษียณคือ “ราคาสูง” เกินไป

DDproperty แพลตฟอร์มซื้อขายที่พักอาศัย จัดทำสำรวจ Thailand Consumer Sentiment Study ประจำรอบครึ่งปีแรกปี 2565 โดยสำรวจผ่านทางออนไลน์ มีผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม 936 คน ช่วงอายุ 22-69 ปี

การสำรวจครั้งนี้พบประเด็นที่น่าสนใจคือ คนไทย 3 ใน 4 คนมีการวางแผนที่จะซื้อบ้านหลังที่สองโดยไม่ได้ขายบ้านหลังแรก และเหตุผลอันดับ 1 ที่จะซื้อบ้านหลังที่สอง คือ “ซื้อเพื่อการเกษียณ” (31% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ส่วนเหตุผลรองๆ ลงมา คือ ซื้อให้ญาติ/พี่น้อง (28%) ซื้อเพื่อปล่อยเช่า (26%) ซื้อเพื่อการลงทุน (25%) และซื้อให้ลูก (25%)

จากกลุ่มที่วางแผนซื้อบ้านหลังเกษียณ ตอบว่า จุดหมายอันดับ 1 ที่สนใจคือ “เชียงใหม่” (24%) รองมาคือ “เชียงราย” (10%) และ “ชลบุรี” (8%) เหตุผลสำคัญที่ทำให้สถานที่เหล่านี้เป็นจุดหมายในใจคือ จะได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวมากขึ้น รวมถึงยังได้อยู่ใกล้สถานพยาบาลที่สะดวก และมีระบบขนส่งมวลชนเพื่อเดินทางไปที่ต่างๆ ได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มที่ยังไม่คิดว่าจะซื้อบ้านหลังเกษียณ เนื่องจากยังมีอุปสรรคสำคัญ ข้อแรกคือ ราคาสูงเกินไป (45%) ตามด้วย ยังอยากอยู่ใกล้ครอบครัว (44%) และ ชอบที่อยู่ปัจจุบัน (41%)

แต่ถ้าหากวัดเฉพาะคำตอบจากคนวัย 60 ปีขึ้นไปซึ่งอยู่ในวัยเกษียณแล้ว เหตุผลหลักจะไม่ใช่เรื่องราคา แต่ผู้สูงอายุ 52% ต้องการอยู่บ้านเดิมของตนมากกว่าย้ายไปยังบ้านพักวัยเกษียณ และ 51% ต้องการอยู่กับครอบครัว

ทั้งนี้ DDproperty มีการสรุปรูปแบบบ้านพักวัยเกษียณที่มีในปัจจุบันออกเป็น 2 แบบ คือ

1.บ้านพักคนชรา – โครงการที่พักอาศัยที่มีพยาบาลวิชาชีพดูแลตลอด 24 ชั่วโมง มีหลายระดับตั้งแต่แบบห้องพักรวม ห้องพักเดี่ยว หรือแยกบ้านเป็นหลังๆ ในโครงการ คิดค่าบริการเป็นรายเดือน พร้อมอาหาร 3 มื้อ อุปกรณ์ดูแล กิจกรรมพิเศษ ฯลฯ เหมาะสมกับคนชราที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษซึ่งอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ราคาจะเริ่มตั้งแต่หลักพันบาทต่อเดือน แต่บ้านพักคนชราในไทยที่ราคาไม่สูงค่อนข้างจะมีจำกัด

2.บ้าน/คอนโดผู้สูงอายุ – โครงการที่พักอาศัยที่ออกแบบมาเพื่อให้วัยเกษียณใช้ชีวิตได้สะดวกและปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีกิจกรรมที่จัดขึ้นบ่อยๆ เพื่อให้วัยเกษียณมีสังคมและไม่เหงา โครงการประเภทนี้มักจะขายขาด หรือทำสัญญาเช่ายาว 30 ปี โดยราคาไม่รวมค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และบำรุงรักษาที่อยู่อาศัย ดังนั้น โครงการจึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่ยังดูแลตนเองได้ และมีการบริหารการเงินเพียงพอที่จะดูแลค่าใช้จ่ายทุกด้านได้

น่าสนใจว่า หลังจากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงอายุ และปี 2564 ที่ผ่านมายังเป็นปีแรกที่มีจำนวนประชากรเกิดใหม่น้อยกว่าการตาย ซึ่งน่าจะเป็นแนวโน้มสำคัญที่ทำให้คนในสังคมจะมีประชากรที่ไม่มีบุตรหลานมากขึ้น จึงคิดถึงการวางแผนการอยู่อาศัยในช่วงเกษียณสูงขึ้น และอาจจะส่งผลให้โครงการสำหรับผู้สูงอายุเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคตด้วย

]]>
1381681
“นายณ์ เอสเตท” พลิกโฉมตึกเก่าเป็น “บ้านพักผู้สูงอายุ” โมเดลใหม่ใช้ประโยชน์จากชุมชนเดิม https://positioningmag.com/1360880 Mon, 08 Nov 2021 09:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360880 ธุรกิจ “บ้านพักผู้สูงอายุ” กำลังทวีความน่าสนใจ หลังจากประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและวิถีชีวิตเปลี่ยน ล่าสุด “นายณ์ เอสเตท” จับมือ “ลิฟเวล” พัฒนาโครงการ “นายาเรสซิเดนซ์” ใช้วิธีรีโนเวตห้องชุดในอาคารเก่าให้เหมาะกับผู้สูงอายุ ผนวกบริการพยาบาลดูแลเหตุฉุกเฉิน ออกแบบกิจกรรมแก้เหงา ข้อดีของการรีโนเวตแทนการสร้างใหม่ คือการได้อยู่ท่ามกลางชุมชนเดิม มีคนหลากหลายวัย และฝั่งดีเวลอปเปอร์ประหยัดต้นทุนมากกว่า

เมื่อพูดถึง “บ้านพักผู้สูงอายุ” ยุคก่อนหน้านี้อาจเป็นคำที่ให้ความรู้สึกในทางลบมากกว่าทางบวก แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตคนเริ่มเปลี่ยนไป คนวัยเกษียณที่เข้าไปพักไม่ใช่คนชราที่ถูกทอดทิ้ง แต่เป็นการ ‘เลือก’ สถานที่อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตเอง เนื่องจากลูกหลานอาจแยกครอบครัวออกไป ไม่มีเวลาดูแล หรือหลายๆ คนเลือกเป็นโสด ไม่มีบุตรหลาน การมาอยู่ในบ้านพักผู้สูงอายุที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอยู่คนเดียว

บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เป็นหนึ่งในดีเวลอปเปอร์ที่หันมาจับธุรกิจนี้จากแพสชั่นส่วนตัวของ “อรฤดี ณ ระนอง” ซีอีโอวัย 62 ปีของบริษัท เธอเริ่มศึกษาลงลึกในการพัฒนาบ้านพักผู้สูงอายุตั้งแต่ 4 ปีก่อน ก่อนหน้านี้บริษัทเคยประกาศพัฒนาโครงการบ้านผู้สูงอายุที่ จ.ภูเก็ต แต่เนื่องจากเกิดโรคระบาด COVID-19 จึงชะลอโครงการไว้ก่อน และหันมาจับโครงการขนาดเล็กกว่าที่ “นายาเรสซิเดนซ์” จ.นนทบุรี แทนก่อน

นายาเรสซิเดนซ์ ในพื้นที่เดียวกับริเวอร์ไรน์ วิลเลจ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้สะพานพระราม 5 พื้นที่รวม 14 ไร่

โมเดลธุรกิจของที่นี่ใช้วิธีหยิบโครงการเก่าของนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ คือ “ริเวอร์ไรน์ วิลเลจ” ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่แล้ว มารีโนเวตบางส่วนให้เป็น “นายาเรสซิเดนซ์” จำนวน 70 ยูนิต

เหตุที่สามารถทำได้ เพราะริเวอร์ไรน์เป็นโครงการเก่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ทำให้มียูนิตบางส่วนไม่สามารถขายได้ และบริษัทดัดแปลงพัฒนาเป็นโรงแรมแทน วันนี้จึงสามารถนำบางส่วนของโรงแรมมารีโนเวตใหม่ให้เป็นบ้านพักผู้สูงอายุ โดยจะอยู่บนชั้น 4-10 (รวม 7 ชั้น) ของอาคาร มีการทุบห้องบนชั้นที่จะรีโนเวตทั้งหมด เพื่อออกแบบใหม่เป็นห้อง Universal Design เหมาะกับผู้สูงอายุ

การนำบ้านพักผู้สูงอายุมาอยู่ในพื้นที่เดียวกับโครงการปกติอาจจะฟังดูแปลก แต่ที่จริงแล้ว นายณ์ เอสเตท และลิฟเวล (Livwell) พันธมิตรซึ่งจะเป็นผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในโครงการ ชี้ให้เห็นว่า ข้อดีก็คือผู้สูงอายุจะได้อยู่ร่วมกับชุมชนเดิมกว่า 300 ครัวเรือนซึ่งมีคนหลากหลายวัย ทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อ หดหู่ ไม่ต้องตื่นมาแล้วเจอแต่ลุงๆ ป้าๆ วัยเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตและความสุขในการใช้ชีวิต

 

ห้องใหญ่ ป้องกันอุบัติเหตุ มีทีมรับเหตุฉุกเฉิน

นายาเรสซิเดนซ์ วางคอนเซ็ปต์เป็นบ้านให้เช่าพร้อมบริการ สำหรับผู้สูงอายุแบบ Independent Living คือสามารถดูแลตนเองได้ในระดับหนึ่ง มีห้องพักทั้งหมด 2 แบบ คือ 1 ห้องนอน (พื้นที่ใช้สอย 62-76 ตร.ม.) และ 2 ห้องนอน (พื้นที่ใช้สอย 105-120 ตร.ม.)

ตัวอย่างห้องแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่กว้างขวาง เหมาะกับวีลแชร์
ห้องน้ำพื้นเรียบ มีราวจับและที่นั่ง

การออกแบบแบบ Universal Design ประตูกว้างเพื่อให้วีลแชร์เข้าออกสะดวก พื้นลดแรงกระแทกเมื่อหกล้ม ห้องน้ำพื้นที่กว้าง มีราวจับ ที่นั่งอาบน้ำ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นลบเหลี่ยมมุมป้องกันอุบัติเหตุ ติดไฟใต้ฐานเตียงในห้องนอนที่ใช้ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ลดอุบัติเหตุในความมืด

นอกจากนี้ ยังใช้ระบบของ SCG DoCare มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีช่วยให้ความปลอดภัย เช่น อุปกรณ์วัดความดัน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์ตรวจจับการนอนหลับ เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะเวลาและความถี่การเข้าห้องน้ำซึ่งอาจหมายถึงสุขภาพที่แย่ลง เซ็นเซอร์ตรวจจับการหกล้มในห้องน้ำ ปุ่มกดเรียกพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

อุปกรณ์ของ SCG DoCare มีเครื่องวัดความดัน ปุ่มกดเรียกพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ฯลฯ

ระบบของ SCG จะส่งข้อมูลไปให้ที่ทีมพยาบาลของลิฟเวลซึ่งคอยดูแล 24 ชั่วโมง (แบ่งเป็นกะกลางวัน 2 คน และกะกลางคืน 1 คน) หากเกิดเหตุฉุกเฉิน พยาบาลจะไปถึงภายใน 4 นาทีเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น และร่วมกับรพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น ในการจัดรับส่งรถพยาบาล

 

มีกิจกรรมแก้ ‘ความเหงา’ ต้นเหตุสมองเสื่อม!

ด้าน “พญ.นาฏ ฟองสมุทร” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเกี่ยวกับผู้สูงอายุประสบการณ์ 23 ปี จาก ลิฟเวล กล่าวว่า นอกจากโครงสร้างพื้นฐานเชิงกายภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเวลอปเปอร์ทุกแห่งสร้างขึ้นได้ สิ่งจำเป็นอีกประเด็นที่ละเอียดอ่อนกว่า คือ “การบริการ” หลังจากย้ายเข้ามาอยู่แล้ว

นอกจากการอยู่ในชุมชนเก่าที่ทำให้บรรยากาศไม่เหงาแล้ว นายาเรสซิเดนซ์ มีกิจกรรมอีกมากเพื่อช่วยให้ “วัยอิสระ” หลังเกษียณ มีชีวิตแบบ ‘active aging’ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่อยากทำ และยังคงสุขภาพดี ได้ออกกำลังกายตามวัย

กิจกรรมออกกำลังกาย ส่งเสริมสุขภาพ และช่วยแก้เหงา

ลิฟเวลจะมีนักกายภาพบำบัดที่ดีไซน์การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยอิสระ เช่น ออกกำลังกายในน้ำ พิลาทีส จัดคลาสให้เข้าร่วมทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และมีกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เช่น งานฝีมือ ท่องเที่ยว ซึ่งทำให้คนสูงวัยยังมีเพื่อน ไม่ต้องเหงา

“เราพบว่าถ้าวัยอิสระไม่มีสัมพันธ์กับคนรอบตัว จะทำให้สมองเสื่อมเร็ว อย่างที่หมอมักจะบอกมาตลอดว่าจริงๆ แล้ว ‘ความเหงาคือโรคอย่างหนึ่งของผู้สูงวัย’” พญ.นาฏกล่าว เป็นที่มาที่การสร้างชุมชนและกิจกรรมให้ผู้สูงวัยคือเรื่องสำคัญมาก

 

ค่าเช่าเริ่มต้น 40,000 บาทต่อเดือน

อรฤดีระบุว่า เป้าหมายของโครงการนี้เป็นผู้สูงวัยมีรายได้ระดับ B+ จนถึง A- เกรดวัสดุและการบริการจะยกระดับขึ้นกว่าโครงการของรัฐ โดยสามารถพูดคุยแพ็กเกจเช่าได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่เช่ารายเดือนจนถึงเช่ายาว 30 ปี ผู้ที่สนใจสามารถเจรจาแพ็กเกจเองได้ตามวัยของตนเอง และสามารถมาลองเช่ารายเดือนได้ก่อนที่จะตัดสินใจเช่ายาวกับโครงการ

จ็อกกิ้งแทร็กในโครงการ พื้นนุ่มลดแรงกระแทก

ขณะนี้มี แพ็กเกจราคารายเดือนคือ 1 ห้องนอน 40,000 บาทต่อเดือน (พักได้ 1 ท่าน หากพัก 2 ท่าน เพิ่ม 3,000 บาทต่อเดือน) ส่วนแบบ 2 ห้องนอน ราคา 50,000-60,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าพัก ราคานี้จะได้รับบริการต่างๆ ดังนี้

  • ห้องพักพร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้และดูแลสุขภาพครบ ลากกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย
  • พยาบาลดูแล 24 ชั่วโมง
  • บริการทำความสะอาด 1 ครั้งต่อสัปดาห์
  • คลาสออกกำลังกาย
  • ค่าส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนและจ็อกกิ้งแทรก

ถ้าผู้เช่าทำสัญญาเป็นรายปีหรือมากกว่านั้นจะมีส่วนลดเพิ่มเติม รวมถึงถ้าหากเกิดเหตุผู้สูงวัยเสียชีวิตก่อนครบสัญญา โครงการจะคืนส่วนต่างให้แก่ผู้รับมรดกตามพินัยกรรม เช่น ทำสัญญา 15 ปี แต่ยังเหลือเวลาเช่า 10 ปีหลังเสียชีวิต ผู้รับมรดกจะได้คืนส่วนต่างทั้งหมด

ด้านการใช้สินเชื่อแบบ ‘Reverse Mortgage’ (การจำนองบ้านหรือสินทรัพย์ของตนเพื่อรับกระแสเงินสดรายเดือนจากธนาคาร เหมาะกับผู้สูงวัยที่ต้องการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นรายได้ไว้ใช้ในช่วงบั้นปลาย) อรฤดีกล่าวว่า ขณะนี้กำลังเจรจากับธนาคารเพื่อให้ปล่อยสินเชื่อกับโครงการนี้ มีธนาคารที่สนใจคือ ธ.ออมสิน

 

โอกาสธุรกิจโมเดลใหม่ในอนาคต

ปัจจุบันโครงการนายาเรสซิเดนซ์มีผู้เช่าแวะเวียนเข้ามาทดลองแล้ว 2-3 ยูนิต จาก 10 ยูนิตที่รีโนเวตแล้ว และคาดว่าจะรีโนเวตครบทั้งหมดภายในต้นปี 2565

(ซ้าย) “พญ.นาฏ ฟองสมุทร” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเกี่ยวกับผู้สูงอายุประสบการณ์ 23 ปี จากลิฟเวล และ (ขวา) “อรฤดี ณ ระนอง” ซีอีโอ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสให้นายณ์ เอสเตทนำไปพัฒนาโครงการแบบเดียวกันนี้ในโครงการอื่นๆ ไม่เฉพาะในเครือของนารายณ์ แต่อาจจะรับรีโนเวตอาคารอพาร์ตเมนต์ โรงแรม ที่เจ้าของต้องการเปลี่ยนธุรกิจ และใช้บริการจากลิฟเวลเข้าไปดูแล

อรฤดีมองว่า การเลือกใช้โครงการแบบ ‘brownfield’ มารีโนเวตจะประหยัดต้นทุนมากกว่า ใช้เงินลงทุนประมาณ 20,000 บาทต่อตร.ม. และยังเหมาะกับตลาดกว่า เพราะโครงการลักษณะนี้ยังใหม่ในไทย ลูกค้ายังไม่เสี่ยงจองห้องหากยัง ‘ไม่เห็นของ’ ซึ่งจะทำให้การขอสินเชื่อพัฒนาโครงการใหม่แบบ ‘greenfield’ จากธนาคารทำได้ยากมาก

ด้านลิฟเวลนั้น พญ.นาฏบอกเช่นกันว่า นายาเรสซิเดนซ์จะเป็นโครงการต้นแบบ ลิฟเวลเป็นพันธมิตรระยะยาวกับนายณ์ เอสเตท แต่ไม่ได้ปิดกั้นการพูดคุยและรับดูแลบริการให้กับโครงการบ้านผู้สูงอายุของดีเวลอปเปอร์เจ้าอื่น และเชื่อว่าอนาคตจะมีความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ ในธุรกิจนี้

]]>
1360880
ซื้อสิทธิ “บ้านผู้สูงวัย” พ่วง “ประกัน”! “ดิ แอสเพน ทรี” ดึงเมืองไทยประกันชีวิตเป็นพันธมิตร https://positioningmag.com/1322456 Mon, 08 Mar 2021 11:47:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322456 “ดิ แอสเพน ทรี” บ้านพักผู้สูงวัยในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์โดย MQDC ประกาศจับมือ “เมืองไทยประกันชีวิต” จัดแพ็กเกจสิทธิอยู่อาศัยในโครงการพ่วงประกันสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” ทุนประกัน 20-40 ล้านบาท ตอบรับสังคมสูงอายุ เป้าหมายหลักกลุ่ม “ผู้สูงวัยไร้บุตร” ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาทสำหรับแพ็กเกจอยู่อาศัยได้ตลอดชีพพร้อมบริการ-กิจกรรมครบ

“วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ร่วมกับ “สาระ ล่ำซำ” กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต แถลงความร่วมมือในโครงการ “ดิ แอสเพน ทรี” ที่พักผู้สูงวัยภายในโครงการมิกซ์ยูส “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ริมถนนบางนา-ตราด ซึ่งจะมีกรมธรรม์ประกันสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” ของเมืองไทยประกันชีวิตเป็นพันธมิตรส่วนหนึ่งในแพ็กเกจการเข้าพัก

รายละเอียดเบื้องต้นของโครงการ ดิ แอสเพน ทรี MQDC ให้รายละเอียดว่าจะเป็นโครงการเนื้อที่ 23 ไร่ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมและสกายวิลล่า พร้อมเวลเนส เซ็นเตอร์ และศูนย์สุขภาพและสมอง พื้นที่ส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 6,000 ตร.ม. เฟสแรกเปิดขาย 290 ยูนิต ไซซ์ห้อง 83-200 ตร.ม. ราคาตั้งแต่ 35-70 ล้านบาทต่อห้อง พักอาศัยได้ห้องละ 2-3 คน

“สาระ ล่ำซำ” กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และ “วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC

แม้จะเป็นการขาย แต่ไม่ใช่สิทธิขายขาด เพราะ ดิ แอสเพน ทรี มีคอนเซ็ปต์เป็น “บ้านพักผู้สูงอายุ” ซึ่งกำหนดให้ผู้เข้าพักต้องมีอายุขั้นต่ำ 50 ปี ดังนั้น และจะขายเป็นสิทธิการเช่าตลอดชีวิต (*กฎหมายกำหนดสัญญาเช่าสูงสุด 30 ปี แต่โดยคอนเซ็ปต์โครงการจะให้สิทธิตลอดชีพ) หลังจากผู้สูงวัยจากไปเนื่องจากเสียชีวิตหรือต้องการย้ายออก สิทธิในที่พักอาศัยจะคืนแก่โครงการ แต่ถ้ายังอาศัยไม่ครบสัญญา 30 ปี โครงการจะเฉลี่ยเป็นเงินคืนให้ลูกหลานหรือผู้รับสิทธิตามระยะเวลาที่เหลือ

 

เติมเต็มแพ็กเกจคุ้มครองสุขภาพให้ผู้สูงวัย

แล้วเมืองไทยประกันชีวิตมีส่วนในแพ็กเกจอย่างไร? เนื่องจากการขายสิทธิของ ดิ แอสเพน ทรี ไม่ใช่การขายเฉพาะที่พักอาศัย แต่เป็นราคาที่รวมบริการและกิจกรรมของผู้สูงวัยในโครงการไว้แล้ว ทำให้ประกันสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” มาเติมจิ๊กซอว์ในส่วนการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในโครงการได้แบบรวมครบจบในแพ็กเกจเดียว จ่ายก้อนเดียวใช้ได้ตลอดชีพ ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายหรือจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มเติมอีก

“ความร่วมมือกับเมืองไทยประกันชีวิตซึ่งให้กรมธรรม์ทุนคุ้มครองมูลค่าสูง จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในโครงการเรามากขึ้น” วิสิษฐ์กล่าว

ภาพตัวอย่าง ดิ แอสเพน ทรี บางนา-ตราด

ประกัน “อีลิท เฮลท์” ที่มารวมในแพ็กเกจของ ดิ แอสเพน ทรี จะแบ่งเป็น 2 ขั้น ขั้นแรก คือ ความคุ้มครองการเจ็บป่วยโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 20 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่หลังเซ็นสัญญาจองโครงการ และ ขั้นสอง คือ ความคุ้มครองลักษณะเดียวกันจะเพิ่มความคุ้มครองเป็น 40 ล้านบาทต่อปีเมื่อโอนกรรมสิทธิ์เสร็จสิ้น โดยความคุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี ทั้งนี้ โครงการดิ แอสเพน ทรียังอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในปี 2566

สาระกล่าวว่า อีลิท เฮลท์ เป็นโปรแกรมที่มีในตลาดมา 2-3 ปีแล้วและได้รับความนิยมสูงในหมู่ลูกค้าระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ แต่ความร่วมมือครั้งนี้มีความพิเศษที่จะเป็นการจับกลุ่มเป้าหมายวัย 50 ปีขึ้นไป จากปกติที่ประกันสุขภาพมักจะเจาะกลุ่มคนวัย 35-45 ปี ทำให้บริษัทมีฐานตลาดเพิ่มขึ้น โดยเซ็กเมนต์สอดคล้องกัน เนื่องจากผู้ซื้อสิทธิในดิ แอสเพน ทรี จะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนเช่นเดียวกัน

ค่าเบี้ยประกันปกติของอีลิท เฮลท์ จะเริ่มที่ 50,000 บาทต่อปีสำหรับคนวัย 50 ปี ทุนประกัน 20 ล้านบาท และเริ่มที่ 80,000 บาทต่อปีเมื่อทุนประกันเพิ่มเป็น 40 ล้านบาท ดังนั้น จึงนับได้ว่าเป็นแพ็กเกจมูลค่าหลักล้านบาทที่รวมไว้แล้วในการซื้อสิทธิเข้าพัก

 

เป้าหมายหลัก “ผู้สูงวัยไร้บุตร”

ดิ แอสเพน ทรี จะเปิดขายอย่างเป็นทางการเดือนพฤษภาคม 2564 ระหว่างนี้มีการเสนอแพ็กเกจให้ลูกค้ากลุ่มที่ได้รับเชิญแล้วบ้าง แต่ยังไม่เปิดจอง อย่างไรก็ตาม พบว่าลูกค้ามีความสนใจ ไม่เฉพาะคนไทยแต่ยังรวมถึงลูกค้าต่างชาติที่เป็น expat ในไทยอยู่แล้ว เช่น ชาวจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และโซนยุโรปเหนือ

ภาพตัวอย่าง ดิ แอสเพน ทรี บางนา-ตราด

ด้าน “เฮ จูน พาร์ค” ประธานผู้อำนวยการ โครงการ ดิ แอสเพน ทรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มเป้าหมายขณะนี้คือ “ผู้สูงวัยไร้บุตร” ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงวัยที่ครองตนเป็นโสด หรือที่มีคู่สมรสแต่ไม่มีบุตร เป็นกลุ่มสำคัญที่สนใจโครงการ

พาร์คมองว่า ความท้าทายของโครงการบ้านพักผู้สูงอายุคือการเปลี่ยนมุมมองเดิมๆ ว่าที่พักแบบนี้เป็นโครงการที่น่าเบื่อ ไม่มีกิจกรรมให้ทำ โดยดิ แอสเพน ทรีแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ และมีชุมชนทั้งคนวัยเดียวกัน รวมไปถึงคนต่างวัยซึ่งอาศัยในโครงการอื่นๆ ภายในเดอะ ฟอเรสเทียส์

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โครงการบ้านพักผู้สูงอายุเป็นโครงการที่เริ่มมีผู้เล่นในตลาดสูงขึ้น แต่ละโครงการจับกลุ่มราคาแตกต่างกัน และมีทั้งโครงการแบบขายขาด หรือโครงการขายสิทธิการเช่า ต้องจับตาดูต่อไปว่าหลังสร้างเสร็จและมีผู้พักอาศัยจริง ใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้ (อ่านเพิ่มเติม : จับตา “เศรษฐกิจสูงวัย” อำนาจเปลี่ยนขั้วจากมิลเลนเนียมสู่ผู้สูงอายุ ภายในปี 2050)

]]>
1322456