นโยบายพักชำระหนี้สำหรับ “สินเชื่อธุรกิจ SME” และ “สินเชื่อรายย่อย” ที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการของภาครัฐ (ทั้งในและนอกพื้นที่ควบคุมฯ) ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน
แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สำหรับสินเชื่อธุรกิจติดต่อที่เจ้าหน้าที่ดูแลสินเชื่อของท่าน สินเชื่อรายย่อยลงทะเบียนจาก QR Code ในภาพด้านบน สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1327
ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ยังเปิดกิจการได้แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐทำให้รายได้ลดลง ธนาคารจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายๆ ไป
นโยบายพักชำระหนี้ “สินเชื่อธุรกิจ” และ “สินเชื่อรายย่อย” ของลูกหนี้ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการและลูกจ้าง ในสถานประกอบการที่ได้รับคำสั่งให้ปิดกิจการตามคำสั่งภาครัฐ ให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน
แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 ที่หน่วยงานที่ดูแลสินเชื่อของท่าน หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขา สอบถามเพิ่มเติมโทร. 02-111-1111
นโยบายพักชำระหนี้ “สินเชื่อธุรกิจ” และ “สินเชื่อรายย่อย” ของลูกหนี้ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการและลูกจ้าง ในสถานประกอบการที่ได้รับคำสั่งให้ปิดกิจการตามคำสั่งภาครัฐ เช่น สปาและนวด สถานเสริมความงาม บริการเพื่อสุขภาพ ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน
ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. 64 เวลา 8.00 น. – 15 ส.ค. 64 เวลา 16.00 น. ที่ www.gsb.or.th สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1115
นโยบายพักชำระหนี้ “สินเชื่อธุรกิจ” และ “สินเชื่อรายย่อย” ของลูกหนี้ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการและลูกจ้าง ในสถานประกอบการที่ได้รับคำสั่งให้ปิดกิจการตามคำสั่งภาครัฐ เช่น สปาและนวด สถานเสริมความงาม ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน
ทั้งนี้ สินเชื่อดังกล่าวหมายรวมถึงบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย และสินเชื่อธุรกิจ SME
ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สินเชื่อธุรกิจติดต่อที่ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ที่ดูแลท่าน หรือโทร. 02-777-7777 สำหรับสินเชื่อรายย่อยติดต่อผ่านแอป SCB EASY
นโยบายพักชำระหนี้สำหรับ “รายย่อย” กลุ่มผู้กู้สินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลแคช สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ 3 เดือน ผู้ที่สนใจแอดไลน์ @CIMBTHAI และแจ้งความประสงค์ได้
ด้านกลุ่ม สินเชื่อ SME ให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ 2 เดือน โดยติดต่อผ่านพนักงานธนาคารที่ดูแลสินเชื่อของท่าน
ทั้งกลุ่มรายย่อยและธุรกิจ ต้องแสดงข้อมูลว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ เช่น เปิดร้านหรือทำงานในร้านค้าบนห้างสรรพสินค้า โดยแสดงหลักฐานเป็นประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือประกาศของห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
สามารถลงทะเบียนหรือแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-626-7777 ทุกวัน เวลา 07.00-19.00 น.
นโยบายพักชำระหนี้สำหรับลูกจ้างและนายจ้างในกิจการที่ต้องปิดตามมาตรการของภาครัฐ ธนาคารยูโอบีพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน
แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สำหรับสินเชื่อธุรกิจติดต่อเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ที่ดูแลสินเชื่อของท่าน สำหรับสินเชื่อรายย่อยดูรายละเอียดเพิ่มที่ www.uob.co.th หรือ โทร. 02-285-1555
ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ยังเปิดกิจการได้แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐทำให้รายได้ลดลง ธนาคารจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายๆ ไป
พักชำระหนี้ให้กับลูกค้าทั้งนายจ้างและลูกจ้างที่สถานประกอบการถูกปิดกิจการตามคำสั่งภาครัฐ ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และกลุ่มที่มีสถานะ NPL ให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้ 3 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2564
ลงทะเบียนขอพักชำระหนี้ได้ระหว่างวันที่ 19 ก.ค. – 29 ส.ค. 64 (ปิดระบบ 20.00 น.) ลงทะเบียนได้ 3 ช่องทางคือ แอปพลิเคชัน GHB ALL, เว็บไซต์ www.ghbank.co.th และไลน์ GHB Buddy
มาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือลูกค้าเกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 2 เดือน
สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สำหรับลูกค้าเกษตรกรและบุคคล แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ธ.ค. 64
ติดต่อได้ 4 ช่องทาง ได้แก่ ไลน์ BAAC Family, โทร. 02-555-0555 , เว็บไซต์ www.baac.or.th และ ติดต่อที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
ไอแบงก์มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการตามมาตรการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สามารถพักชำระหนี้และกำไรได้ 2 เดือน
ติดต่อแจ้งความประสงค์ได้ที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรืออีเมล [email protected] ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. – 15 ส.ค. 64 สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1302
ธนาคารกสิกรไทย แบ่งเบาภาระให้ลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ ด้วยมาตรการพักชำระหนี้ โดยเป็นการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ระยะเวลา 2 เดือน เริ่มการพักชำระตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือน ก.ค. 2564 เป็นต้นไป
โดยลูกค้าที่สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ คือ
– ลูกค้าทั้งที่เป็นนายจ้าง และลูกจ้างในสถานประกอบการที่ต้องปิดกิจการในพื้นที่ควบคุมฯ รวมถึงลูกหนี้ที่ต้องปิดกิจการที่อยู่นอกพื้นที่ควบคุมฯ เช่น ร้านนวด-สปา ร้านเสริมความงาม ร้านขายของในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
– ลูกหนี้ไม่เป็น NPL ณ วันที่ลงทะเบียนมาตรการช่วยเหลือ
โดยสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2564
-ลูกค้า SME ติดต่อผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ K-BIZ Contact Center 02-8888822
-ลูกค้ารายย่อย ติดต่อ K-Contact Center 02-8888888
LINE KBank Live https://kbank.co/LINEfriend
อ่านข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม
]]>จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ยังคงกดดันความสามารถในการ “ทำกำไร” ของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/2563 โดยรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม มีแนวโน้มลดลงตามการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ภาคส่วน นอกจากนี้ รายได้ดอกเบี้ยของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ยังได้รับผลกระทบมากขึ้น จากทิศทางขาลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ ถึงผลประกอบการระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ในไตรมาส 3 /2563 โดยคาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ จะยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง แม้ระดับกำไรสุทธิอาจจะขยับขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563
โดยคาดว่า กำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย ในไตรมาส 3/2563 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3.08 หมื่นล้านบาท หรือ -66.5% YoY เมื่อเทียบกับที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 9.16 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นในบริษัทประกันซึ่งธนาคารถือหุ้นอยู่
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิที่ระดับดังกล่าวขยับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการกันสำรองฯ ในไตรมาส 3/2563 ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งอาจชะลอลงบางส่วน หลังจากที่มี
นโยบายการตั้งสำรองฯ เชิงรุกในระดับที่สูงมากในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา
ขณะที่ “รายได้จากธุรกิจหลัก” ยังคงไม่ฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่โดนกระทบหนักจากวิกฤต COVID-19
สำหรับแนวโน้มในไตรมาสที่ 4/2563 คาดว่า การประคองทิศทางรายได้และกำไรสุทธิ จะเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น เนื่องจากต้องรับมือกับการจัดการปัญหาหนี้เสีย การดูแลปรับโครงสร้างลูกหนี้ ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ และอื่นๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อมกัน
KBANK มองว่า “สินเชื่อ” ของธนาคารพาณิชย์ไทย อาจเติบโตในอัตราที่ชะลอลงมาที่ 4.5-4.8% YoY ในไตรมาส 3/2563 จาก 5.1% YoY ในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากยังต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าที่มาขอสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง ประกอบกับมีการทยอยชำระคืนสินเชื่อของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่บางราย
ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนว่าหลังจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงินทยอยครบกำหนดลง มีลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อยบางส่วนเริ่มกลับมาชำระคืนหนี้ในช่วงไตรมาส 3/2563 นี้ด้วยเช่นกัน
โดย NIM ไตรมาส 3/2563 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2.65-2.70% จาก 2.73% ในไตรมาส 2/2563 เป็นผลต่อเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับสินเชื่อปล่อยใหม่ส่วนใหญ่ รวมถึงสินเชื่อรีไฟแนนซ์ในระยะนี้ เป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง นอกจากนี้ เพดานใหม่สำหรับดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ก็เริ่มมีผลบังคับแล้ว ตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 ที่ผ่านมา
ด้าน “คุณภาพสินเชื่อ” ในพอร์ตถดถอยลง ตามสัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจ คาดว่า สัดส่วน NPLs ของระบบธนาคารไทยในไตรมาส 3/2563 จะขยับขึ้นไปที่กรอบประมาณ 3.25-3.35% จากระดับ 3.21% ในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของมาตรการพักชำระหนี้ของภาคธุรกิจ ประกอบกับคาดว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งด้วยวิธีการตัดขายหนี้ด้อยคุณภาพ และเร่งปรับโครงสร้างหนี้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การตั้งสำรองฯ จะยังอยู่ในระดับสูงในไตรมาส 3/2563 แม้จะมีการตั้งสำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในไตรมาส 2/2563 ดังนั้นสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจชะลอลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบประมาณ 1.80-1.95% ในไตรมาส 3/2563 เทียบกับ 2.15% ในไตรมาส 2/2563
“ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ คงเตรียมความพร้อมในส่วนนี้ไว้เพื่อรองรับปัญหาคุณภาพหนี้ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทยอยสิ้นสุดลงหลังในเดือนตุลาคมนี้”
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เมื่อจบไตรมาส 3/2563 สินเชื่อที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์จะมีสัดส่วนประมาณ 28.5% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงเล็กน้อยจากสัดส่วนประมาณ 31.0% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากลูกหนี้บางส่วนกลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติหลังมาตรการช่วยเหลือรอบแรกทยอยสิ้นสุดลง
“การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้บุคคลและลูกหนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs หลังจากมาตรการพักหนี้สิ้นสุดลง ยังคงเป็นโจทย์ยากและมีความท้าทายสำหรับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังมีสถานะทางการเงินที่เปราะบาง ขณะที่สัญญาณอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่ลากยาวต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อีกในอนาคต”
ดังนั้น แม้มาตรการพักชำระหนี้ธุรกิจเป็นการทั่วไปจะทยอยสิ้นสุดลง แต่ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะยังคงให้ความช่วยเหลือกับลูกหนี้ทั้งลูกหนี้ธุรกิจและลูกหนี้รายย่อยในรูปแบบอื่นต่อไป ควบคู่ไปกับการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ตามแนวทางของธนาคาร หรือผ่านโครงการ DR BIZ มาตรการรวมหนี้ ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ซึ่งยังสามารถเข้าโครงการได้จนถึงสิ้นปี 2563
โดยหลักเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาความสอดคล้องกันระหว่างกระแสรายได้-ภาระหนี้ ซึ่งแยกตามลักษณะของลูกหนี้แต่ละกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและมีจังหวะและโอกาสในการฟื้นธุรกิจแตกต่างกัน
การประคองความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ยังคงมีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าหลายๆ ไตรมาสที่ผ่านมา เพราะแม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะทยอยกลับมาหลังการคลายล็อกดาวน์ แต่ก็เป็นการฟื้นตัวที่เปราะบางมากเพราะแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ยังไม่สามารถฟื้นกลไกการทำงานกลับมาได้อย่างเต็มที่
“ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะยังเป็นช่วงที่ธนาคารมีค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ เพราะมีทั้งค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ที่น่าจะยังอยู่ในระดับสูง ค่าแคมเปญการตลาด ค่าอุปกรณ์และสถานที่ และรายจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งท้ายที่สุด คาดว่าจะมีผลกดดันให้กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยติดลบ YoY ต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 โดยระดับกำไรสุทธิมีแนวโน้มลดต่ำลงกว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 ซึ่งคาดไว้ที่ประมาณ 3.08 หมื่นล้านบาท”
]]>