Albert Bourla ซีอีโอของไฟเซอร์ (Pfizer) ให้สัมภาษณ์ในรายการ This Week ของ ABC ว่า ผู้คนจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ภายใน 1 ปีนับจากนี้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังอยู่ เเละไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องฉีดวัคซีนอีก เพราะยังมีตัวแปรอื่นๆ อีกมาก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเป็นประจำทุกปี เพื่อรองรับไวรัสกลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น โดยต้องรอดูสถานการณ์และข้อมูลให้ชัดเจนมากขึ้น
ด้าน Stephane Bancel ซีอีโอของโมเดอร์นา (Moderna) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Neue Zuercher Zeitung ว่า การระบาดของโควิด-19 อาจจะสามารถสิ้นสุดลงได้ภายใน 1 ปีนับจากนี้ หากยังคงมีการผลิตเเละฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
โดยหากดูถึงอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรม ในด้านกำลังการผลิตวัคซีนเมื่อช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่ามี ‘วัคซีนเพียงพอ’ ในกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้ ‘ทุกคนบนโลก’ สามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีน เเละยังสามารถฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็น ‘บูสเตอร์ช็อต’ ได้หากมีความจำเป็น
ขณะเดียวกัน เขามองว่า กลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ก็จะได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ จากมีตัวแปรสำคัญอย่างสายพันธ์ุเดลตาที่ติดต่อได้ง่าย ผู้ได้รับวัคซีนเเล้วอาจมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ เเต่กับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จะมีความเสี่ยงติดเชื้อและอาจป่วยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลมากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพิ่งจะอนุมัติให้สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของ Pfizer-BioNTech เป็นเข็มบูสเตอร์ช็อตได้ สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีอายุ 18-64 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่ทำงานในที่เสี่ยงภัย ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมาแล้วเกิน 6 เดือน
ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นข้อได้เปรียบของประเทศร่ำรวยเเละยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก
ซีอีโอไฟเซอร์ ตอบคำถามถึงประเด็นนี้ว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สุดในตอนนี้คือ ‘ความจำเป็น’ ของเข็มกระตุ้น ซึ่งถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องใช้
ก่อนหน้านี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ยอดขายวัคซีนของบริษัทในปีนี้มากกว่า 2.6 หมื่นล้านเหรียญ เเละกำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มการผลิต โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 3 พันล้านโดสภายในปีนี้ และ 4 พันล้านโดสในปีหน้า
จากข้อมูลของ IQVIA Holdings ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก และวัคซีนเข็มต่อไปเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.57 เเสนล้านเหรียญในปี 2025
ที่มา : CNBC , Fox Business
]]>การศึกษาจากผู้ลงทะเบียนมากกว่า 44,000 คนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนแข็งแกร่งที่สุดที่ 96.2% โดยประสิทธิภาพดังกล่าวจะอยู่ระหว่างช่วง 1 สัปดาห์ถึงสองเดือนหลังจากได้รับเข็มที่สอง และจากผลการศึกษาดังกล่าวพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงโดยเฉลี่ย 6% ทุกสองเดือน โดยหลังจากฉีดเข็มที่สองไปแล้ว 4-6 เดือน ประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 84%
“เราได้เห็นข้อมูลจากอิสราเอลด้วยว่าภูมิคุ้มกันเสื่อมลง ตอนนี้หลังจากช่วงหกเดือนประสิทธิภาพอยู่ระหว่าง 80-90%” Albert Bourla CEO Pfizer กล่าว
อย่างไรก็ตาม การฉีดเข็มที่ 3 จะเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับที่จะเพียงพอที่จะป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารกล่าวเสริมโดยอ้างถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เกิดจาการกลายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่แนะนำให้ใช้ยากระตุ้นโควิดในขณะนี้ โดย ดร.เคท โอไบรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววิทยาของ WHO กล่าวว่า องค์กรยังคงทำการวิจัยว่าจำเป็นต้องฉีดบูสเตอร์เพื่อเพิ่มการป้องกันหรือไม่
“เราชัดเจนมากในเรื่องนี้ เรายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะให้คำแนะนำ ณ จุดนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกำลังมีการพูดถึงอย่างมาก และมีงานวิจัยจำนวนมากที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำได้”
แม้ WHO จะยังไม่แนะนำ แต่ก็มีข้อมูลสนับสนุนจาก CDC ที่เริ่มให้คำแนะนำให้ชาวอเมริกันที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อโควิดสูงเริ่มสวมหน้ากากอนามัยในบ้านอีกครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสายพันธุ์เดลตา
จำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกาเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากตัวแปรเดลตา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กล่าวว่าการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโควิดส่วนใหญ่อยู่ในคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
]]>ฮ่องกงเป็นหนึ่งในไม่กี่ดินแดนของโลกที่สามารถจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้เกินความต้องการของประชากรที่มีอยู่ราว 7.5 ล้านคน ทว่ากระแสความไม่พอใจรัฐบาลที่ปิดกั้นผู้เห็นต่าง บวกกับข้อมูลบิดเบือนที่ถูกเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ และยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่แทบจะเป็นศูนย์ ทำให้คนจำนวนมากไม่เห็นความจำเป็นและยังลังเลที่จะเข้ารับวัคซีน
หนึ่งที่คณะทำงานด้านวัคซีนของรัฐบาลฮ่องกงได้ออกมาเตือนพลเมืองว่า พวกเขา “เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน” ก่อนที่วัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคล็อตแรกจะหมดอายุ
“วัคซีนทุกชนิดมีวันหมดอายุ” โทมัส ชาง (Thomas Tsang) อดีตผู้ตรวจการศูนย์ป้องกันสุขภาพแห่งฮ่องกง (Centre for Healtth Protection) ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ RTHK
“วัคซีนถ้าหมดอายุแล้วจะนำมาใช้อีกไม่ได้ และตามแผนงานที่เราวางไว้ในปัจจุบัน ศูนย์ฉีดวัคซีนของไบโอเอ็นเทคในชุมชนจะยุติภารกิจในเดือน ก.ย. นี้”
ชาง ย้ำว่า การที่ฮ่องกงนำวัคซีนมาเก็บไว้เฉยๆ หลายล้านโดสโดยไม่ใช้งาน ในขณะที่ทั่วโลกยังหาวัคซีนได้ไม่เพียงพอนั้น “เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” พร้อมเตือนด้วยว่าวัคซีนล็อตใหม่ก็อาจจะไม่มาตามนัด
“วัคซีนที่เรามีอยู่อาจเป็นทั้งหมดที่เราจะหาได้สำหรับปีนี้ โดยไม่มีมาเพิ่มอีก” เขากล่าว
รัฐบาลฮ่องกงสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และซิโนแวค อย่างละ 7.5 ล้านโดส โดยวัคซีนซิโนแวคนั้นได้รับการอนุมัติใช้งานฉุกเฉิน แม้จะยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ตาม
ฮ่องกงยังเคยสั่งจองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไว้อีก 7.5 ล้านโดส ก่อนจะยกเลิกสัญญาไปเมื่อต้นปีนี้ เนื่องจากต้องการสงวนวงเงินไว้สำหรับจัดซื้อวัคซีนรุ่นปรับปรุงใหม่ในปีหน้า
ฮ่องกงได้รับมอบวัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคไปแล้วทั้งสิ้น 3.36 ล้านโดส แต่เพิ่งจะถูกใช้ไปเพียง 1.23 ล้านโดส เวลานี้มีประชากรฮ่องกงเพียง 19% ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 1 โดส ส่วนที่ฉีดครบ 2 โดสก็มีแค่ 14% เท่านั้น
ความลังเลในการฉีดวัคซีนยังลามไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ของฮ่องกงเอง โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา องค์การโรงพยาบาลฮ่องกงเปิดเผยว่ามีแพทย์ และพยาบาลยอมฉีดวัคซีนแค่ราวๆ 1 ใน 3 เท่านั้น
ปัจจุบันฮ่องกงมีวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคที่ยังไม่ใช้อยู่อีกหลายล้านโดส ซึ่งจำเป็นจะต้องเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำมาก และมีอายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักการเมืองฮ่องกงบางคนออกมาเสนอให้รัฐบาลมอบวัคซีนที่ไม่ใช้ให้แก่ประเทศอื่นไปเสีย หากว่าชาวฮ่องกงเองยังไม่ตื่นตัวมากกว่านี้
ความเชื่อมั่นที่คนฮ่องกงมีต่อรัฐบาลตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่หน่วยงานท้องถิ่นร่วมมือกับปักกิ่งกวาดล้างนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และปราบปรามการชุมนุมประท้วงใหญ่เมื่อปี 2019
เมื่อต้นปีนี้ รัฐบาลฮ่องกงได้แจกคูปองเงินสด 5,000 ดอลลาร์ฮ่องกงแก่พลเมืองทุกคนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนักวิจารณ์บางคนก็เสนอว่ารัฐน่าจะใช้กลยุทธ์นี้ดึงคนให้มาฉีดวัคซีนด้วย
อย่างไรก็ตาม แคร์รี ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ออกมาปฏิเสธไอเดียดังกล่าวแล้ว
“การแจกเงินสดหรือสิ่งของที่เป็นรูปธรรมเพื่อกระตุ้นให้คนฉีดวัคซีนไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลควรทำ และอาจจะก่อให้เกิดผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำ”
]]>รายงานข่าวจาก Reuters ระบุข้อมูลที่ออกโดย สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคเกาหลีใต้ (KDCA) พบว่า วัคซีน Pfizer มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค COVID-19 อยู่ที่ 89.7% หลังการฉีดเข็มแรก 2 สัปดาห์ ขณะที่วัคซีน AstraZeneca สามารถป้องกันได้ 86.0% หลังฉีดเข็มแรก 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประชากรที่ KDCA ศึกษา เป็นการเจาะเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไปจำนวน 3.5 ล้านคน โดยกว่า 5.2 แสนคนในจำนวนนี้ได้รับวัคซีนเข็มแรกมานานกว่า 2 เดือนแล้ว
ด้านผลข้างเคียงร้ายแรงจากการฉีดวัคซีน ทางกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ระบุว่ามีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ แต่อยู่ใน “อัตราที่ต่ำมาก” และส่วนใหญ่สามารถรักษาได้
ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีประชากรได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มคิดเป็นสัดส่วน 6.7% ของประชากรทั้งหมด หากวัดประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มจะมีเพียง 0.5% เท่านั้น โดยประเทศนี้ตั้งเป้าจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชากร 70% ภายในเดือนกันยายน และต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายในเดือนพฤศจิกายน
ผลการศึกษาของ KDCA ค่อนข้างแตกต่างจากข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนสองชนิดนี้ที่เคยมีการศึกษามา เพราะก่อนหน้านี้ AstraZeneca ถูกระบุว่ามีประสิทธิภาพป้องกันโรค 76% หลังจากฉีดครบ 2 โดส ซึ่งต่ำกว่าที่ KDCA พบว่าฉีดเพียงเข็มเดียวก็ป้องกันได้ถึง 86% แล้ว
ขณะที่ Pfizer ยังถือเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกัน เพราะข้อมูลเดิมพบว่าการฉีดครบ 2 โดสจะป้องกันได้ 95% เพิ่มขึ้นมากกว่าการฉีดโดสเดียวที่ป้องกันได้ 89.7% ตามการศึกษาของ KDCA
ความแตกต่างนี้ เป็นไปได้ว่าเกิดจากสายพันธุ์ของ COVID-19 ที่เกิดกลายพันธุ์ไปหลายพันธุ์แล้ว เช่น สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์บราซิล สายพันธุ์แอฟริกาใต้ โดยที่ KDCA ไม่ได้ระบุแยกย่อยถึงประสิทธิภาพการป้องกันต่อสายพันธุ์ต่างๆ
ข้อมูลนี้มีความสำคัญ เพราะขณะนี้สหราชอาณาจักรวางแผนการฉีดวัคซีนโดยเน้นการฉีด “เข็มแรก” ให้กับประชากรให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศก่อน ดังนั้น ข้อมูลประสิทธิภาพจากการฉีดเข็มแรกที่เกิดขึ้นจะเป็นข้อมูลสนับสนุนสำคัญต่อวิธีวางแผนของอังกฤษ และอาจเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่นที่เพิ่งเริ่มการฉีดวัคซีนได้
]]>นับเป็นวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา ชนิดที่ 3 ที่ผ่านการรับรองให้ใช้ได้ในอเมริกา เป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต่อจาก Pfizer-Biontech เเละ Moderna
สำนักงานอาหารและยาหรือเอฟดีเอ (FDA) ระบุว่า วัคซีนของ J&J ที่ฉีดเพียงเข็มเดียว มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันผู้ป่วย COVID-19 ไม่ให้มีอาการหนัก และสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้
โดยผลวิจัยทางคลินิกในเฟสสาม จากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง 44,000 คน ปรากฏว่า วัคซีนดังกล่าวสามารถลดการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 100% ภายในระยะเวลา 28 วันหลังรับการฉีดวัคซีน แต่หากคำนวณภายในกรอบเวลา 14 วัน จะมีประสิทธิผลป้องกันได้ 85%
ขณะที่ประสิทธิผลใน ‘ภาพรวม’ อยู่ที่ 66% เเบ่งเป็น 64% สำหรับป้องกันอาการป่วยปานกลางจาก COVID-19 และสูงขึ้นเป็น 85% ในการป้องกันอาการป่วยหนัก
Today, FDA issued an emergency use authorization (EUA) for the third vaccine for the prevention of #COVID19 caused by SARS-CoV-2. The EUA allows the vaccine to be distributed in the U.S for use in individuals 18 years and older. https://t.co/QooSCJWSX0 pic.twitter.com/MWcCdt5n9U
— U.S. FDA (@US_FDA) February 27, 2021
อย่างไรก็ตาม วัคซีนของ J&J ยังต้องมีการวิจัยเพื่อวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าอาจจะใช้ป้องกันกรณีการติดโควิด-19 ที่ไม่ได้แสดงอาการป่วยได้หรือไม่
J&J ตั้งเป้าจะส่งมอบวัคซีนให้ได้ 20 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และให้ได้ 100 ล้านโดสภายในเดือนมิถุนายน
ล่าสุดประเมินว่า ตอนนี้มีชาวอเมริกันกว่า 65 ล้านคน รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสไปเเล้วจากวัคซีน Pfizer-Biontech เเละ Moderna ที่ได้รับการอนุมัติมาตั้งเเต่เดือนธันวาคม ปีที่เเล้ว โดยมีประสิทธิภาพเฉลี่ยราว 95% เเต่ต้องฉีดรวม 2 เข็ม
รัฐบาลสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรปและแคนาดา ได้สั่งวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของ J&J เเล้ว ขณะที่โครงการวัคซีน COVAX ภายใต้การนำขององค์การอนามัยโลก ได้สั่งจองเป็นจำนวนกว่า 500 ล้านโดส เพื่อนำไปมอบเเจกจ่ายให้กับประเทศยากจน
]]>
วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์สำหรับผู้คนเกือบ 420,000 คนได้ขนส่งมายังญี่ปุ่นแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ได้ทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรก หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม บรรดาผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวจะเข้ารับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อมา
รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้ราว 80% ของประชากรทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่สำหรับโรค COVID-19
ผลการสำรวจของสำนักข่าวเกียวโดเมื่อวันที่ 6-7 ก.พ. พบว่า ประชาชนที่สุ่มสำรวจ 63.1% ยินดีที่จะรับการฉีดวัคซีน แต่อีก 27.4% ระบุว่าจะไม่รับวัคซีน โดยกลุ่มผู้หญิงวัย 40-50 ปีเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธการรับวัคซีนมากที่สุด
ญี่ปุ่นสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ และโมเดิร์นนาของสหรัฐฯ ที่มีประสิทธิภาพ 95% และวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ 70% คาดว่าประชาชนทั่วไปจะได้รับวัคซีนในเดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป
ผลการสำรวจอีกชิ้นหนึ่งโดยบริษัทวิจัย Ipsos พบว่า ญี่ปุ่นรั้งท้ายในอันดับที่ 4 ในเรื่องความเต็มใจของประชาชนที่จะรับวัคซีน โดยประเทศที่ประชาชนลังเลที่จะฉีดวัคซีนมากที่สุด คือ รัสเซีย ฝรั่งเศส แอฟริกาใต้ และญี่ปุ่น
ผลสำรวจพบว่า ชาวญี่ปุ่นเพียง 19% บอกว่า เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับวัคซีน และ 26% บอกว่าจะรับวัคซีนในทันทีที่พร้อม ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ยังบอกว่าขอรอดูสถานการณ์ก่อน โดยเหตุผลสำคัญคือกังวลผลข้างเคียงจากวัคซีน
ผลการสำรวจพบว่า การรับหรือปฏิเสธวัคซีนแตกต่างกันตามเพศและอายุ ผู้ชายอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่เต็มใจรับวัคซีนสูงที่สุดถึง 72% ขณะที่กลุ่มผู้หญิงวัย 40-50 ปีเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธการรับวัคซีนมากที่สุดถึง 40.9%
ญี่ปุ่นเคยมีประวัติผลข้างเคียงจากวัคซีนหลายกรณี ที่ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพมาจนถึงทุกวันนี้
วัคซีนโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ถูกเพิกถอนการใช้งานในปี 2536 จากความกังวลว่าอาจทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ในปี 2554 วัคซีน 2 ตัวสำหรับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม ถูกระงับการใช้หลังจากทำให้เด็ก 4 คนเสียชีวิต
ในปี 2556 กระทรวงสาธารณสุขระงับการส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หลังพบว่ามีผลข้างเคียง เช่น อาการปวดเรื้อรัง ทั้งๆ ที่วัคซีนชนิดนี้ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่าปลอดภัย และยังตั้งเป้าให้เด็กหญิงทั่วโลก 90% ได้รับวัคซีนนี้ก่อนอายุ 15 ปีในช่วงทศวรรษ 2020-2030
ประสบการณ์ผลกระทบจากวัคซีนในอดีต และทัศนะของชาวญี่ปุ่นที่ระแวดระวังต่อการใช้ยาต่างๆ อยู่แล้ว ทำให้การการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้จะมีวัคซีนมากมาย แต่หากจำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนมีไม่มากเพียงพอ ประสิทธิภาพในการป้องกันการระบาดก็จะไม่เกิดขึ้นได้
]]>การดำเนินการฉีดวัคซีนเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2564 โดยมีการจัดลำดับความสำคัญให้กับบุคลากรที่มีความจำเป็น ซึ่งรวมถึงลูกเรือบนเครื่องบิน นักบิน และหน่วยงานอื่นๆ ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติงานแนวหน้า
สายการบินเอมิเรตส์ พร้อมด้วย Dubai National Airline Travel Agency (dnata) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรการขนส่งและบริการทางอากาศแห่งแรกๆ ในโลกที่เสนอทางเลือกให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ในช่วงของการแพร่ระบาด
โดยสายการบินเอมิเรตส์ และ dnata ได้ดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ ลูกค้า พนักงาน รวมถึงคนในชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในระดับสูงสุด การเปิดตัวโครงการฉีดวัคซีนถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่ช่วยรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานสายการบิน ที่คอยให้บริการลูกค้าต้องเดินทางและอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าที่จำเป็นไปทั่วโลก
เอมิเรตส์ กรุ๊ป ได้ดำเนินการให้พนักงานเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวกสบาย ในหลากหลายจุดของบริษัททั่วสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยการใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech และ Sinopharm ซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยการนัดหมายฉีดวัคซีนจะดำเนินการ 12 ชั่วโมงต่อวัน และ 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าบุคลากรของสายการบินได้เข้าถึงวัคซีนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกับประชาชนและผู้อยู่อาศัยทุกคน พนักงานของเอมิเรตส์ กรุ๊ป ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังสามารถเลือกรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์การแพทย์และคลินิกที่รัฐบาลกำหนดได้ เนื่องจากผู้บริหาร และหน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีความตั้งใจที่จะให้ประชากรทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนฟรี
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Our World In Data ซึ่งเป็นเว็บไซต์วิจัยที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดระบุว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับสองของโลกในด้านอัตราการฉีดวัคซีน โดยมีปริมาณมากกว่า 19.04 โดสสำหรับประชากรทุก 100 คน และมีประชากร
รวมถึงผู้อยู่อาศัยที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเกือบ 1,900,000 ครั้ง นับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการในเดือนธันวาคม 2563 โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงดำเนินการฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย เพื่อครอบคลุมให้กับประชากรมากกว่า 50% ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
]]>