สตาร์ทอัพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 01 Oct 2025 04:51:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Beam สตาร์ทไทย ส่ง Bolt+ พลิกโฉมระบบชำระเงินในไทยให้ง่ายที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1540403 Wed, 01 Oct 2025 03:50:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540403 ณ ตอนนี้ เทรนด์ของผู้บริโภคทั่วโลกได้ก้าวสู่ Cashless Society การหันมาใช้จ่ายผ่านธุรกรรมแบบไร้เงินสดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีการเงิน ซึ่งสำหรับในประเทศไทยคาดการณ์ว่า จะสามารถก้าวสู่สังคมไร้เงินสดได้ถึง 90% หรือหมายถึง 90% ของธุรกรรมการชำระเงินทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ภายในปี 2030 

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เนื่องจากประเทศไทยเองมีอัตราผู้ใช้งาน Mobile Banking สูงที่สุดในโลกถึง 97% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (ข้อมูลจาก Visa) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนต่อไป รวมไปถึงกระบวนการชำระเงินที่สะดวกขึ้นและโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ 

 

‘วิน วารีเกษม’ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Beam กล่าวว่า หากประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่ 90% ของธุรกรรมทั้งหมดเป็นดิจิทัล จะช่วยลดจำนวนเครื่องเก็บเงินสดและแคชเชียร์ลงได้กว่าครึ่งทั่วประเทศ ลดตู้ ATM ลงถึง 80% เหลือน้อยกว่า 20 เครื่องต่อประชากร 100,000 คน ลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสดลง    ที่สำคัญยังสามารถประหยัด ต้นทุนเศรษฐกิจได้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 48,341 ล้านบาท) พร้อมลดสัดส่วนเงินสดในระบบ

 

นั่นทำให้ Beam สตาร์ทอัพฟินเทคสัญชาติไทยที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 2019 ด้วยเป้าหมายต้องการสร้าง ‘วิธีชำระเงินที่ง่ายที่สุดในโลก’ รวมถึงตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายและครอบคลุมทุกอุตสากรรม อาทิ ร้านค้า ธุรกิจสุขภาพและความงาม ร้านอาหาร แฟชั่น ฯลฯ ได้เปิดตัว Bolt+ โซลูชันรับชำระเงินรูปแบบใหม่สำหรับหน้าร้าน

 

สำหรับจุดเด่นของโซลูชั่นดังกล่าว คือ จะรองรับการชำระเงินครบทุกรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต/เดบิตในประเทศและต่างประเทศ QR พร้อมเพย์ และ E-Wallet อย่าง Alipay และ WeChat Pay อีกทั้งรองรับการชำระเงิน Google pay และ Apple Pay ไว้ล่วงหน้าแล้ว หากสองบริการนี้ได้รับการอนุญาตให้เปิดใช้ในไทย  

 

รวมถึงการผ่อนชำระจากธนาคารชั้นนำ และเชื่อมต่อกับระบบ POS และจุดชำระเงินอัตโนมัติ

 

นอกจากนี้ Bolt+ ถูกออกแบบให้พกพาและใช้งานได้แบบ One-Tap Payment ที่ช่วยปิดการขายได้รวดเร็วในไม่กี่วินาที มีความปลอดภัยมั่นใจในทุกธุรกรรม บริหารจัดการธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มครบวงจรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

 

ทั้งนี้ Beam คาดว่าโซลูชั่นดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการกว่า 5,000 รายในปีแรก

 

“การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยปกติร้านค้าจะมีต้นทุนจากการรองรับเงินสด ในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับยอดขาย ไม่นับการสูญหายหรือการนับผิด ขณะเดียวกันยังเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้และเสริมศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทยในระดับภูมิภาค”

 

ปัจจุบัน Beam มีลูกค้าอยู่ราว 3,000 แบรนด์ รองรับการทำธุรกิจมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนจาก Sequoia Capital บริษัทลงทุนระดับโลกได้

]]>
1540403
‘แมวกินปลา’ สตาร์ทอัพที่อยากให้คนกิน ‘อาหารทะเลดี ๆ ’ แบบ ‘ไม่ทำร้ายธรรมชาติ’ https://positioningmag.com/1530639 Sun, 20 Jul 2025 09:30:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530639 จากการเริ่มต้นตั้งคำถาม ‘ที่ผ่านมาเรากินอะไรอยู่วะ’ หลังได้กินอาหารทะเลขณะลงพื้นที่ จ.พังงา ทำให้ ‘เติ้ล-ตติวุฒิ ปิ่นแก้ว’ และ ‘มิน-ปัณฑิตา จันทร์อร่าม’ เกิดไอเดียก่อตั้งสตาร์ทอัพ ‘แมวกินปลา’ ขึ้นมา เพื่อเป็นแพลตฟอร์มขายอาหารทะเลจากชาวประมงพื้นบ้านส่งตรงถึงผู้บริโภคแบบดีต่อคน ดีต่อสุขภาพ และดีต่อธรรมชาติ  

 

ความตั้งใจของทั้งคู่ ต้องการให้แมวกินปลาเข้าไปเป็นจิ๊กซอว์ในการหาวัตถุดิบ จัดการการขายและกระจายสินค้าจากชุมชนไปให้ถึงมือผู้บริโภค ด้วยการเลือกทำงานร่วมกับคนในชุมชนจริง ๆ อย่างกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน และชาวมอแกน ในจังหวัดพังงาและอีกหลายพื้นที่

 

ที่สำคัญแมวกินปลาจะรับซื้อวัตถุดิบเฉพาะกับคนที่จับแบบเรือเล็ก ใช้อวนหรือเครื่องมือไม่ผิดกฎหมายเท่านั้น เพื่อจะได้สัตว์น้ำขนาดโตเต็มวัย ไม่ใช่วัยอ่อน หรือโตไม่เต็มที่ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและสมดุลของท้องทะเล โดยทำงานภายใต้หลักคิดที่ว่า

 

1.สินค้าต้องไปถึงมือผู้บริโภคเร็วที่สุด เพื่อคงคุณภาพไว้ให้ดีที่สุด 2.การส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภค ต้องมีขั้นตอนและใช้ต้นทุนน้อยที่สุด เพื่อให้มีรายได้เหลือกลับมาสู่พาร์ทเนอร์หรือผู้คนในชุมชนได้มากที่สุดนั่นเอง

 

การทำแบบนี้ได้ แมวกินปลาจะมี station ติดกับท่าเรือของชาวประมงพื้นบ้าน ทำให้จากเรือมาถึง station ใช้เวลาแค่ 2 นาที จากนั้นจะมีทีมจัดการกับวัตถุดิบทันที ทั้ง ถอดเกล็ด ควักไส้ ตัดแต่ง ทำความสะอาด และสุญญกาศเข้าห้อง freezer เพื่อคงความสดไว้

 

ส่วนการจัดส่งสินค้าจะอยู่ในการควบคุมอุณหภูมิที่ -20 องศาตลอดเวลา ในกรณีพื้นที่ในกรุงเทพฯ จะใช้เวลา 1 วัน หากเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดหรือพื้นที่ห่างไกล จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน

 

นอกจากการเสิร์ฟความสดจากทะเลถึงมือผู้บริโภคแล้ว ทั้งสองผู้ก่อตั้งยังอยากให้แมวกินปลาสร้างอิมแพคให้กับสังคม ด้วยการกำหนดมิชชั่นธุรกิจให้ตอบโจทย์ใน 3 แกน ได้แก่ People-ผู้คน, Health-สุขภาพ และ Sea-ท้องทะเล

 

People : ผู้คน หมายถึง ชาวประมง, คนในชุมชนและผู้บริโภค โดยต้องการให้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามวิถีของตนเอง

Health : สุขภาพ ด้วยการแก้ Pain point ให้กับผู้บริโภคให้ได้สินค้าดี มีความสด ปลอดภัยไม่ได้ถูกแช่อะไรมา และจับในพื้นที่ที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติ ไม่ใช่จากแหล่งอุตสาหกรรมหรือจับจากบ่อปลาเพาะเลี้ยง

Sea : ท้องทะเล นอกจากจะเลือกรับซื้ออาหารทะเลจากการจับแบบเรือเล็ก ใช้อวนหรือเครื่องมือไม่ผิดกฎหมายแล้ว แมวกินปลายังรรณรงค์ให้คนบริโภคปลาที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ เนื่องจากหากมีการปลาชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป จะทำให้ห่วงโซ่ของอาหารตามธรรมชาติหายไป

 

สำหรับภาพในระยะยาวของแมวกินปลา จะสตาร์ทอัพที่เป็น community สำหรับสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้คนทั้งพาร์ทเนอร์ คนในองค์กร คนในชุมชน ผู้บริโภคและท้องทะเล เพื่อทุกคนมีความสุขง่าย ๆ จากการได้กินของดี แบบดีต่อตัวเอง ดีต่อสุขภาพแบบไม่ทำร้ายธรรมชาติ  

]]>
1530639
กรณีศึกษา ‘Builder.ai’ สตาร์ทอัพ AI ทิพย์! ที่ใช้คนปลอมเป็น AI ทำงาน จนขึ้นเป็นยูนิคอร์น https://positioningmag.com/1525221 Mon, 09 Jun 2025 12:23:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525221 ในยุคนี้ ใคร ๆ ก็ใช้ AI มาเป็นผู้ช่วย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และสตาร์ทอัพที่ทำเกี่ยวกับ AI ก็มีมูลค่ามากมายหลายร้อยหลายพันล้าน แต่ก็มีสตาร์อัพบางรายที่ไม่ได้มีเทคโนโลยี AI จริง ๆ แต่ใช้ คน ปลอมเป็น AI ทำงานแทน จนสามารถระดมทุนถึงขั้นเป็น ยูนิคอร์น ได้ โดย Positioning จะมาเล่าถึงเคสนี้ให้ฟัง

สร้างแอปฯ ง่ายเหมือนสั่งพิซซ่า

คงจะดีถ้าเราที่ไม่มีทักษะเรื่องการโค้ดดิ้งจะสามารถสร้างแอปพลิเคชันเองง่าย ๆ เหมือนกับสั่งพิซซ่า และนี่คือแนวคิดตั้งต้นของสตาร์ทอัพที่ชื่อ Builder.ai ที่ก่อตั้งโดย ซาชิน เดฟ ดักกัล (Sachin Dev Duggal) นักธุรกิจเชื้อสายอินเดียในปี 2016 ที่สหราชอาณาจักร

ด้วยแนวคิด no-code/low-code ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการพัฒนา บริษัทได้พัฒนา AI ที่ชื่อ นาตาชา (Natasha) คอยให้ความช่วยเหลือผู้ใช้งานที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ให้สามารถสร้างสรรค์แอปพลิเคชันของตนเองได้ เพียงแค่ลูกค้าเลือกเทมเพลตหรืออธิบายความต้องการให้ Natasha ระบบก็จะแจ้งราคา และระยะเวลาในการพัฒนา

แน่นอนว่าแนวคิดดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการที่ต้องการมีแอปพลิเคชันเป็นของตนเองโดยไม่ต้องลงทุนสูงและใช้เวลานาน จึงไม่น่าแปลกใจที่ Builder.ai จะได้รับการลงทุนจากสถาบันและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกได้มากกว่า 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

  • Series A (พฤศจิกายน 2018): ระดมทุนได้ 29.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย Lakestar และ Jungle Ventures โดยมี Deepcore ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SoftBank ร่วมลงทุนด้วย
  • Series B (พฤษภาคม 2021): ระดมทุนได้ 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Series C (มีนาคม 2022): ระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย Insight Partners
  • Series D (พฤษภาคม 2023): ระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย Qatar Investment Authority (QIA) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของกาตาร์
  • Corporate Round (พฤษภาคม 2023): Microsoft ได้เข้าร่วมลงทุนและประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยนำแพลตฟอร์มของ Builder.ai ไปไว้บนระบบคลาวด์ Azure

และด้วยเงินลงทุนดังกล่าวก็ทำให้ Builder.ai ขึ้นเป็น ยูนิคอร์น ด้วยมูลค่าบริษัทเกิน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นาตาชา ตัวจริงคือ วิศกรชาวอินเดีย

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเริ่ม เอ๊ะ ถึงความไม่สมเหตุสมผลของราคาและเวลาที่เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ราคาที่เสนอและการใช้เวลาในการพัฒนายังคงใกล้เคียงกับการจ้างมนุษย์ทำงาน หากเป็น AI ที่มีประสิทธิภาพจริง ราคาและเวลาควรจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ คุณภาพที่ได้ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะพบจุดบกพร่องมากมาย

ขณะเดียวกัน หลังจากบริษัทประสบปัญหาทางการเงินและมีการเลิกจ้างพนักงาน นำไปสู่การ แฉ โดย อดีตพนักงาน ว่าเบื้องหลัง Natasha แท้จริงแล้วคือ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก โดยเฉพาะในอินเดีย ที่ทำงานเขียนโค้ดและพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับลูกค้าโดยตรง ไม่ใช่ AI อย่างที่บริษัทโฆษณา

ปลอมแปลงตัวเลขรายได้ และติดหนี้เพียบ

จากปัญหาที่รุมเร้า Sachin Dev Duggal ได้ลงจากตำแหน่ง ส่งไม้ต่อให้ มันพรีต ราเทีย (Manpreet Ratia) จาก Jungle Ventures ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุน เข้ามาบริหารแทน และเมื่อทีมบริหารชุดใหม่เข้ามา ก็ได้มีการว่าจ้างสำนักงานกฎหมายให้ดำเนินการสอบสวนภายในเกี่ยวกับความผิดปกติทางการเงิน ซึ่งก็พบว่า ยอดขายภายในบริษัทอาจเป็นของปลอม แถมยังพบว่ามีการพยายามตกแต่งตัวเลขรายได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2023 ที่เคยรายงานไว้ว่ามีรายได้ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จริง ๆ แล้วมี 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือในปี 2024 ที่คาดว่าบริษัทจะมีรายได้สูงถึง 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จริง ๆ แล้วบริษัทมีรายได้เพียง 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น

ไม่ใช่แค่การปลอมแปลงตัวเลขรายได้ แต่บริษัทยังมีปัญหาหนี้สินมหาศาล โดยบริษัทติดหนี้ Amazon Web Services (AWS) 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Microsoft 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ภาพจาก https://dev.to/

บทสรุปคือ ล้มละลาย

ในท้ายที่สุด บริษัทก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เพราะถูกบริษัท Viola Credit ที่บริษัทกู้เงินไป 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ายึดเงินจากบัญชีของบริษัทจำนวน 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัทขาดสภาพคล่อง นำไปสู่การ ปลดพนักงาน ส่วนใหญ่จากทั้งหมด 770 คน พร้อมกับปิดเว็บไซต์เหลือเพียงอีเมลสำหรับติดต่อ จนในที่สุด บริษัทก็ประกาศ ล้มละลาย ในเดือนพฤษภาคม 2025

บทสรุปของกรณีของ Builder.ai เป็นการเตือนใจที่สำคัญสำหรับนักลงทุนและบริษัทเทคโนโลยีเกี่ยวกับความจำเป็นในการตรวจสอบบริษัทอย่างละเอียด รวมถึงเรื่องของความโปร่งใสในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกแยะระหว่าง AI ของจริง กับ AI Washing ที่เป็นเพียงการตลาด

sifted.eu / techstartups / bloomberg / straitstimes

]]>
1525221
“เอพี” หันจับตลาด “บ้านมือสอง” เปิดบริษัทลูก “HOMERUN” รับซื้อ-รีโนเวต-ขายครบวงจร https://positioningmag.com/1492246 Mon, 30 Sep 2024 08:44:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492246
  • “เอพี ไทยแลนด์” หนุนสตาร์ทอัพในเครือ “HOMERUN” ทำธุรกิจใหม่ รับซื้อ-รีโนเวต-ขาย “บ้านมือสอง” แบบครบวงจร
  • ชี้โอกาสในตลาดมูลค่าสูงปีละ 7 แสนล้านบาท แต่ยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่
  • สู้ด้วยจุดแข็งใช้ “AI” ประเมินราคาทรัพย์-ออกแบบใหม่ สั่งวัสดุก่อสร้างร่วมบริษัทแม่เพื่อประหยัดต้นทุน และผู้ซื้อได้ดอกเบี้ยเหมือนบ้านมือหนึ่ง
  • “วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า เอพีมีการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ผ่านการสนับสนุนสตาร์ทอัพของพนักงานภายในองค์กร (internal start-up) ในชื่อบริษัทลูก “HOMERUN” ที่เข้าไปจับธุรกิจรับซื้อ รีโนเวต และขาย “บ้านมือสอง” แบบครบวงจร

    โดยธุรกิจนี้เป็นสตาร์ทอัพแห่งแรกในเครือเอพีที่เกิดขึ้นจริงหลังบริษัทสนับสนุนให้พนักงานสร้างสรรค์คิดค้นธุรกิจใหม่มานานกว่า 5 ปี และหลังจากลองทำธุรกิจจริงมาแล้วกว่า 1 ปี พบว่า HOMERUN มีโอกาสสูงที่จะเติบโต (scale up) และยืนด้วยตนเองได้ในอนาคต

     

    มูลค่าตลาด 7 แสนล้านที่ยังไม่มีรายใหญ่

    “ศุภนิดา ตั้งตงฉิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมรัน พร็อพเทค จำกัด กล่าวต่อว่า ไอเดียที่มาของการสร้างธุรกิจ HOMERUN ขึ้น มาจากการเล็งเห็นว่า ตลาดบ้านมือสองในไทยมีมูลค่าสูงถึงปีละ 7 แสนล้านบาท แต่ยังไม่มีบริษัทรายใหญ่เข้ามาจับตลาดนี้ จะมีเฉพาะรายย่อยถึงรายกลาง และตลาดยังไม่มีมาตรฐานกลาง ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายยังประสบกับ ‘pain point’ หลายอย่างที่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้

    HOMERUN บ้านมือสอง
    โปรเจ็กต์บ้านเดี่ยว “Vine House” ปุณณวิถี 49 ขายได้แล้วในราคา 15 ล้านบาท

    ในแง่ความต้องการของตลาด ศุภนิดามองว่า โอกาสที่ผู้ซื้อจะสนใจบ้านมือสองจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากที่ดินในกรุงเทพฯ นั้นยิ่งใกล้ใจกลางเมืองก็ยิ่งมีจำกัด ผู้พัฒนาจัดสรรสร้างโครงการบ้านมือหนึ่งเปิดใหม่ได้ยาก หรือหากมีก็จะอยู่ในช่วงราคาสูงมากจนเอื้อมถึงยาก

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ซื้อเองก็เริ่มหันมามองบ้านมือสอง ซึ่งมักจะตั้งอยู่ในทำเลดีกว่าโครงการเปิดใหม่ ราคาไม่แรงเท่า หรือหากเทียบราคาเท่ากันก็มักจะได้พื้นที่กว้างกว่า

     

    แก้ปัญหา “ผู้รับเหมา” และ “กู้ไม่ผ่าน”

    อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ซื้อและผู้ขายบ้านมือสองที่เป็นรายย่อยด้วยกัน มักจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกันคือเรื่อง “ผู้รับเหมา” ในการรีโนเวต ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายที่จะเป็นคนดำเนินการรีโนเวต ก็อาจจะต้องเผชิญความยุ่งยากจากผู้รับเหมา เช่น การทิ้งงาน

    HOMERUN บ้านมือสอง
    โปรเจ็กต์ “Dresden” เพนต์เฮาส์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ บนอาคารอโศก ทาวเวอร์ส ปิดการขายที่ราคา 80,000 บาทต่อตร.ม.

    ในแง่การกู้สินเชื่อบ้านก็เช่นกัน ผู้ขายก็จะมีปัญหาคือ อาจจะต้อง ‘ลุ้น’ ว่าผู้ซื้อจะกู้สินเชื่อบ้านผ่านหรือไม่ หากกู้ไม่ผ่านบ้านก็ต้องวนขายใหม่ ส่วนผู้ซื้อก็มักจะได้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่แพงกว่าบ้านมือหนึ่ง ตามเกณฑ์ของธนาคารที่ตั้งไว้ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคเพิ่มเติมในการกู้

    ศุภนิดากล่าวว่า จากสภาวะในตลาดทั้งหมดทำให้ HOMERUN จะมาแก้ปัญหาให้ทั้งสองฝ่าย ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มรับซื้อ รีโนเวต และขาย

    โดยผู้ขายบ้านไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ซื้อกู้ไม่ผ่าน เพราะเป็นทุนจากบริษัทมารับซื้อเอง ส่วนผู้ซื้อก็จะได้อัตราดอกเบี้ยเทียบเท่ากับบ้านมือหนึ่งจากธนาคารพันธมิตรของเอพี พร้อมการรีโนเวตบ้านเสร็จพร้อมย้ายเข้าอยู่และรับประกันโครงสร้าง 6 – 12 เดือน ไม่ต้องปวดหัวกับผู้รับเหมาอีกต่อไป

     

    รับซื้อที่อยู่อาศัยทุกแบบ แต่เน้นทำเลใจกลางเมือง

    ศุภนิดากล่าวต่อว่า ปัจจุบัน HOMERUN รับซื้อทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม แต่การรีโนเวตจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

    • Flagship รีโนเวตใหญ่ยกบ้าน ปรับปรุงโครงสร้าง ระบบประปา-ไฟฟ้า ใหม่ทั้งหมด ใช้เวลา 4-6 เดือน
    • Renovated ปรับปรุงระดับกลาง ปรับฟังก์ชันและตกแต่งให้เหมาะกับการอยู่อาศัยยุคนี้ ใช้เวลา 2 เดือน
    • Select ที่อยู่อาศัยยังไม่เก่ามาก เพียงปรับการตกแต่งให้ทันสมัย ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

    ส่วนทำเลที่สนใจก็จะเน้นบริเวณใจกลางเมืองหรือชานเมืองที่มีซัพพลายมือหนึ่งเหลือไม่มากก่อน เช่น “คอนโดมิเนียม” ย่านสุขุมวิท ย่านสีลม-สาทร ย่านลาดพร้าว หรือ “บ้านเดี่ยว” ย่านราชพฤกษ์ ย่านบางนา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้หันมาซื้อบ้านมือสองแทน โดยอาจจะเป็นแพ็กเกจราคาเท่ามือหนึ่งแต่ได้พื้นที่กว้างกว่า หรือทำแพ็กเกจราคาให้ถูกกว่ามือหนึ่ง 10-50% แล้วแต่โปรเจ็กต์

    หลังจาก HOMERUN ซุ่มดำเนินการมาปีกว่า วิทการระบุว่าทางเอพีได้สนับสนุนเงินลงทุนไปแล้ว 500 ล้านบาท มีการรับซื้อทรัพย์มาแล้ว 50 หลัง และขายได้แล้ว 20 หลัง รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท

    ส่วนเป้าหมายปี 2568 คาดว่าจะทำยอดขายเพิ่มขึ้นให้ได้ 100% จากปีนี้ และเป้าระยะยาวคือ HOMERUN ควรจะ ‘ยืนได้ด้วยตนเอง’ ภายใน 5 ปี เพื่อลดการพึ่งพิงเงินกู้จากบริษัทแม่

    โปรเจ็กต์ “The Winston Home” ซ.สุขุมวิท 77 กำลังจะเปิดขายวันที่ 17 ตุลาคม 2567

     

    ใช้ AI ทำงาน-สั่งวัสดุก่อสร้างกับบริษัทแม่

    ศุภนิดากล่าวต่อว่า สำหรับจุดแข็งที่จะทำให้ HOMERUN ‘ชนะ’ ในตลาดนี้และผู้เล่นอื่นทำตามได้ยาก คือ การนำเทคโนโลยี ‘AI’ เข้ามาใช้งานเพื่อสร้างความเร็วและประหยัดบุคลากร

    ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกทรัพย์ ปัจจุบันมีผู้ขายเสนอขายเข้ามาเดือนละกว่า 1,000 ยูนิต บริษัทจะใช้ AI ในการคำนวณช่วงราคาเสนอซื้อกลับไปได้อย่างรวดเร็ว

    หลังจากนั้นหากมีการตกลงซื้อขายเป็นที่เรียบร้อย ในขั้นตอนการออกแบบรีโนเวตบ้านบริษัทจะใช้ AI สร้างแบบเบื้องต้นออกมา ทำให้ดีไซเนอร์ทำงานเร็วขึ้น

    สุดท้ายคือการประหยัดต้นทุนค่าปรับปรุงบ้าน ด้วยการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ทำให้เกิด ‘Economy of Scale’ ได้มากกว่าผู้เล่นเจ้าอื่น

    จากประสบการณ์การทำงานมากว่าปี ศุภนิดาพบว่าโฮมรัน พร็อพเทคสามารถสร้างกำไรขั้นต้น (GP) ได้ 15-20% จึงเชื่อว่าอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

    ]]>
    1492246
    “Gother” สตาร์ทอัพไทยสู้ศึกแอปฯ OTA ประเดิมดึงเม็ดเงินลงทุน 200 ล้านจาก “กสิกรไทย – กรุงไทย” https://positioningmag.com/1491760 Wed, 25 Sep 2024 13:23:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491760 “Gother” สตาร์ทอัพแพลตฟอร์ม OTA สัญชาติไทย ลงสนามสู้ศึกทุนต่างชาติ “กสิกรไทยกรุงไทย” เห็นแววตอบรับร่วมลงทุนรวม 200 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ผูกหน้าการจองตรงผ่านแอปฯ “K PLUS” และ “Krungthai NEXT – เป๋าตังค์ ถุงเงิน” โดยไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่มในเครื่อง เปิดประตูการเข้าถึงลูกค้าได้ถึง 50 ล้านราย

    “อนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซชั่น จำกัด ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม Gother” (โกเธอร์) อย่างเป็นทางการ พร้อมบุกตลาด OTA (Online Travel Agency) ในประเทศไทยเต็มตัว โดยแพลตฟอร์มนี้ปัจจุบันมีฟีเจอร์ให้จองทั้งสายการบิน, ที่พัก, กิจกรรม และเดือนตุลาคมนี้จะเปิดฟีเจอร์การจองรถเช่าอีกด้วย

    ทีมงาน Gother ที่จริงแล้วไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการ เพราะผู้ก่อตั้งเป็นทีมเดียวกับเจ้าของแพลตฟอร์ม “TraveliGo” (ทราเวลไอโก) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตาม อนุพงษ์กล่าวว่า ในระยะหลังพบว่ามีแอปฯ OTA อื่นๆ ที่มาใช้ชื่อคล้ายกันและสีคล้ายกัน ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ในช่วงโควิด-19 ซึ่งการท่องเที่ยวหยุดชะงัก จึงกลับมาทบทวนและตัดสินใจก่อตั้งแพลตฟอร์มใหม่เป็น Gother ใช้ชื่อที่แตกต่าง และใช้โลโก้สีแดงให้ไม่เหมือนใคร

    Gother OTA
    “อนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซชั่น จำกัด

    หลังจากรีแบรนด์ก่อตั้งแพลตฟอร์มใหม่เมื่อปี 2565 บริษัทได้รับเงินลงทุนครั้งแรกในปี 2566 จากบีคอน วีซี เครือธนาคารกสิกรไทย มูลค่าการลงทุน 100 ล้านบาท ตามด้วยปี 2567 รับเงินลงทุนจาก กรุงไทย เวนเจอร์ส มูลค่าการลงทุน 100 ล้านบาท พร้อมแย้มด้วยว่าในปี 2568 อาจจะได้รับเงินลงทุนเพิ่มเติมจากนักลงทุนที่สนใจอีกรายหนึ่ง

     

    เปิดประตูสู่ลูกค้า 50 ล้านคน

    อนุพงษ์กล่าวด้วยว่า การได้รับเงินลงทุนจากธนาคารทั้งสองรายถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท ไม่ใช่แค่เรื่องเงินลงทุน แต่เข้ามาช่วยให้แพลตฟอร์มดูน่าเชื่อถือสูงขึ้นมาก

    “เวลาที่เราเพิ่งเริ่มต้นตั้ง OTA คนจะกลัวมากว่าเราน่าเชื่อถือหรือเปล่า จองไปแล้วจะมีที่พักจริงๆ ไหม การที่มีธนาคารรายใหญ่มาร่วมทุนจึงช่วยให้เราดูน่าเชื่อถือมากขึ้น” อนุพงษ์กล่าว

    ปัจจุบัน Gother มีฐานลูกค้าแล้ว 2 แสนราย และหวังว่าจะเพิ่มฐานลูกค้าได้อีก 1.5 แสนรายภายในสิ้นปี 2567

    Gother OTA

    หนทางหนึ่งที่แพลตฟอร์มจะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างที่ตั้งเป้า คือ การผูกหน้าการจองของ Gother เข้ากับแอปพลิเคชันของธนาคาร ได้แก่ “K PLUS” ของธนาคารกสิกรไทย และ “Krungthai NEXT – เป๋าตังค์ ถุงเงิน” สามแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงไทย ซึ่งอนุพงษ์ประเมินว่า ฐานลูกค้าของทั้งคู่รวมกันน่าจะทะลุ 50 ล้านคน

    ลูกค้าที่สนใจจองผ่าน Gother จึงไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปฯ แค่เข้าไปในแอปฯ ของธนาคารก็สามารถลงทะเบียน จองทุกอย่าง และชำระเงินจบในแอปฯ ธนาคารได้เลย ความสะดวกสบายนี้จึงน่าจะชวนให้คนไทยเข้ามาลองใช้ Gother ได้ง่ายขึ้น

     

    ชูเรื่อง “กิจกรรม” ตรงใจคนไทย

    มีช่องทางเข้าถึงคนไทยได้ง่ายขึ้นแล้ว อีกจุดขายที่ Gother เชื่อว่าจะเจาะคนไทยได้ คือการชูโรงการจอง “กิจกรรม” ที่ออกแบบคัดเลือกมาให้โดนใจคนไทย ซึ่งในแอปฯ จะเรียกว่า “KLUB” เพราะแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม เช่น คอกาแฟ, มูเตลู, ครอบครัว, ดำน้ำ

    ตัวอย่าง KLUB การจองกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม

    ยกตัวอย่าง กลุ่มคอกาแฟก็จะมีกิจกรรม เช่น ทัวร์ไร่กาแฟและโรงคั่ว กลุ่มมูเตลูก็จะมีกิจกรรม เช่น ไหว้พระกับอาจารย์ดัง หรือกลุ่มครอบครัวก็มีกิจกรรม เช่น พาลูกเที่ยวผจญภัย

    กิจกรรมเหล่านี้อนุพงษ์มองว่าจะเป็นจุดขายทั้งในกลุ่มผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้คนไทยในระบบนิเวศการท่องเที่ยวมาสร้างกิจกรรมดีๆ ในท้องถิ่นของตัวเองกันมากขึ้น

     

    ค่าคอมฯ ต่ำกว่าเพื่อน 2-3%

    ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยว ทางแอปฯ Gother ก็มีหมัดเด็ดที่จะชักจูงใจให้มาขายบนแพลตฟอร์มคือ “ค่าคอมมิชชันต่ำกว่า 2-3%” เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ และไม่มีระบบจ่ายค่าสปอนเซอร์เพื่อดันตนเองขึ้นไปอยู่ลำดับแรกๆ ในหน้าค้นหา แต่จะเปลี่ยนเป็นการแข่งกัน “ให้โปรโมชันลูกค้า” มากกว่า

    “ตัวอย่างเช่นถ้าโรงแรมคุณจัดโปรฯ จองห้องพักแถมนวดสปาให้ลูกค้า เราก็จะดันขึ้นไปลำดับแรกๆ ให้ เราไม่ได้อยากให้ส่วนนี้มาจ่ายตรงให้เรา อยากให้คืนกำไรให้กับลูกค้าดีกว่า” อนุพงษ์กล่าว

     

    สนับสนุนแอปฯ คนไทย เงินไม่ไหลออกนอก

    ด้านผู้ร่วมลงทุนในแอปฯ นี้อย่าง “ธนพงษ์ ณ ระนอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ตัดสินใจลงทุนกับ Gother เพราะที่จริงแล้วทางธนาคารเล็งเห็นมานานว่ากลุ่ม TravelTech เป็นกลุ่มสตาร์ทอัพที่น่าสนใจ ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวเมืองไทยมีเม็ดเงินหมุนเวียนถึงปีละ 5 แสนล้านบาท

    “OTA เจ้าใหญ่ทั้งสองเจ้าตอนนี้ได้กำไรมหาศาลแล้วนะ พ้นระยะการเป็นธุรกิจ burn cash (เผาเงินทุน) กันไปหมดแล้ว ทำให้ตลาดนี้น่าสนใจมาก ถ้าเข้ามาชิงเค้กได้ก็จะได้กำไรทันที” ธนพงษ์กล่าว “และเรามองว่าถ้าผลักดันให้คนไทยจอง OTA ไทยได้ก็จะลดการรั่วไหลของเงินออกไปต่างประเทศด้วย”

    (แถวหน้าจากซ้าย) “สุริพงษ์ ตันติยานนท์” , “อนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร” และ “ธนพงษ์ ณ ระนอง”

    ส่วน “สุริพงษ์ ตันติยานนท์” ประธานกรรมการ บริษัท กรุงไทย เวนเจอร์ส จำกัด ก็มองในทิศทางใกล้เคียงกันว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ในไทย เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายส่วน

    การลงทุนกับ Gother ของกรุงไทย เวนเจอร์สเกิดขึ้นเพราะเล็งเห็นว่า Gother จะเข้ามาช่วยยกระดับธุรกิจไทยและชีวิตคนไทยได้ รวมถึงมีศักยภาพพอที่ในอนาคตจะขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

    เป้าหมายของ Gother ในปีนี้ อนุพงษ์ระบุว่าจะมีการลงทุนงบการตลาดถึง 80 ล้านบาท ระดม KOLs เพื่อสร้างคอนเทนต์ให้คนไทยรู้จักแอปฯ และตั้งเป้ายอดขายผ่านแอปฯ รวม 400 ล้านบาท ขณะที่ปี 2568 ตั้งเป้ายอดขายว่าจะไปให้ถึง 1,000 ล้านบาทให้ได้

    ]]>
    1491760
    เทคสตาร์ทอัพ “Amity” ฝีมือทายาทตระกูล “เจียรวนนท์” ระดมเงินลงทุนเพิ่มได้อีก 60 ล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1483081 Wed, 17 Jul 2024 11:11:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483081 สำนักข่าว Reuters รายงาน เทคสตาร์ทอัพ “Amity Corp” ระดมเงินลงทุนรอบล่าสุดได้อีก 60 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผู้ก่อตั้งบริษัทนี้คือ “กรวัฒน์ เจียรวนนท์” ทายาทตระกูลเจ้าสัวเมืองไทย หลานปู่ของ “ธนินท์ เจียรวนนท์”

    “กรวัฒน์ เจียรวนนท์” ซีอีโอ “Amity” ในวัย 29 ปี กล่าวว่า บริษัทนี้เป็นบริษัทสตาร์ทอัพผู้พัฒนา “Generative AI” แชตบอตภายในองค์กรสำหรับให้พนักงานใช้เพื่อช่วยทำงานในด้านต่างๆ เช่น สร้างรายงาน วิเคราะห์ข้อมูล ให้คำแนะนำ เพียงแค่นำแชตบอตตัวนี้ไปเชื่อมต่อกับระบบดาต้าเบสขององค์กรของลูกค้า

    ซีอีโอ Amity ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับการระดมทุนรอบล่าสุดในรอบ Series C มีผู้นำการลงทุนจากบริษัท Insight Capital และเงินลงทุนรอบนี้จะถูกนำไปใช้ในการซื้อกิจการผลิตภัณฑ์หรือบริษัทที่พัฒนาระบบ SaaS (Software as a Service) ที่มีศักยภาพในแบบเดียวกันกับบริษัท และใช้ในการเติบโตผ่านการซื้อกิจการในตลาดต่างประเทศ

    ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2012 จนถึงปัจจุบัน Amity ระดมทุนสะสมไปแล้ว 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ กรวัฒน์ระบุว่า ครอบครัวเจียรวนนท์มีการลงทุนในบริษัท Amity ไม่เกิน 10% และเสริมด้วยว่า ทั้งคุณปู่และคุณพ่อของเขาสนับสนุนให้เขาหาเงินลงทุนจากภายนอกมากกว่า

    “เพราะถ้าครอบครัวเป็นผู้นำการลงทุนหรือระดมทุน บริษัทก็จะไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบเท่ากับการหานักลงทุนสถาบันจากภายนอก” กรวัฒน์กล่าว

    กรวัฒน์ถือเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” (CP Group) และเป็นตระกูลที่มีความมั่งคั่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ครั้งล่าสุดในปี 2024 โดยกรวัฒน์เป็นบุตรชายของ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานกรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเป็นหลานปู่ของ “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโสและผู้บุกเบิกอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์

    ด้านที่มารายได้ของ Amity กรวัฒน์ระบุว่ามีสัดส่วนจากประเทศไทยประมาณ 35-40% โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทนั้น นอกจากจะมีลูกค้าจากในเครือเจริญโภคภัณฑ์​ เช่น ซีพี ออลล์, ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทยังมีลูกค้าองค์กรรายใหญ่ เช่น ปตท. , นกแอร์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์อีกหลายราย

    เฉพาะในตลาดประเทศไทย Amity มีการแยกธุรกิจที่จัดตั้งในไทยในชื่อ “อะมิตี้ โซลูชั่นส์” (Amity Solutions: ASOL) และมีการตั้ง “AI Labs” ในประเทศไทยด้วย เป็นแล็บที่มุ่งสร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี GenAI  โดยอะมิตี้ โซลูชั่นส์ มีเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2025

    ที่มา: Reuters, ข่าวประชาสัมพันธ์ ASOL

    ]]>
    1483081
    เปิดใจ 3 แบรนด์ดังจาก “LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา” หลักสูตรปั้นแบรนด์ตัวจริงเสียงจริง ใส่เกียร์เร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/1481419 Fri, 12 Jul 2024 10:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481419

    ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการเปิดกว้างทางธุรกิจอย่างมาก ไม่ได้มีเพียงแค่ธุรกิจระดับยักษ์ใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น แต่มีธุรกิจระดับ SME หรือหลักสูตรปั้นแบรนด์แจ้งเกิดเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย แต่มีแพชชั่นในการทำธุรกิจอย่างเต็มเปี่ยม

    หลายครั้งก็พบว่าธุรกิจในระดับ SME อาจจะเจอข้อจำกัดบางประการ แม้จะมีแพชชั่น แต่อาจจะขาด “คอนเน็คชั่น” ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างการเติบโตได้ ผู้ประกอบการค้าปลีกอย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” จึงเห็นความสำคัญของการของการปั้นธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

    จึงเป็นที่มาของคอร์ส “LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา” ย่อมาจาก Leading Entrepreneur Advanced Development หลักสูตรรีเทลที่พัฒนาให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เติบโต และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน พร้อมกับสเกลอัพไปแบบก้าวกระโดด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” ผ่านการเรียนรู้จากผู้รู้จริงในวงการรีเทล ทดลองตลาดกับพื้นที่ที่มีศักยภาพ และนำสิ่งที่ได้พัฒนามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจจริงอย่างเป็นรูปธรรม

    เซ็นทรัลพัฒนาได้เปิดหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันได้เดินทางมาถึงรุ่น LEAD 5 แล้ว ที่ผ่านมาได้ปั้นผู้ประกอบการในเครือข่ายไปแล้วรวมกว่า 180 ราย ในแต่ละรุ่นจะมีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงเข้าร่วมราวๆ 35-40 ราย

    โดยมีเซ็นทรัลพัฒนาเป็น Business Incubator ช่วยให้แบรนด์แข็งแรงขึ้น บน Retail Ecosystem ของ Central Group ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจและเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ สร้างโอกาสให้เติบโตได้หลายรูปแบบ ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับการอยู่เคียงข้างและช่วยสร้างความสำเร็จให้กับพันธมิตรคู่ค้าของเซ็นทรัลพัฒนาที่มีอยู่กว่า 15,000 รายทั่วประเทศ

    ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เริ่มเล่าว่า

    “กว่า 40 ปี ที่เซ็นทรัลพัฒนา เติบโตมาพร้อมกับผู้ประกอบการร้านค้า ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งมีหลายแบรนด์เริ่มต้นธุรกิจมากับ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล”

    กระทั่งเติบโตจนเป็นแบรนด์ระดับประเทศและระดับโลก และด้วย Strong ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา และการเป็น Place Maker หรือนักพัฒนาพื้นที่ซี่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงต่างประเทศ จึงช่วยสร้างและนำพา Tenant ของเราให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

    หลักสูตร LEAD จึงเป็นหนึ่งใน Business Strategy ที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ที่มีแพชชั่น และแนวคิดในการปั้นแบรนด์ สร้างธุรกิจของตัวเอง ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมอยู่ใน Retail Ecosystem ที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา และเติบโตไปด้วยกัน”

    ตั้งแต่รุ่นที่ 1 มาจนถึงรุ่นที่ 5 สามารถการันตรีความสำเร็จได้จาก ได้สร้างเครือข่ายของแบรนด์กว่า 180 แบรนด์ สร้างมูลค่าการเติบโตธุรกิจมากถึง 2,500 ล้านบาท มีการสร้างแบรนด์ พัฒนา ในการขยายสาขา และหน้าร้านเพิ่มขึ้นคิดเป็น 165% เทียบกับปีแรกที่ดำเนินโครงการ

    เซ็นทรัลพัฒนาเองมีแนวคิดในการสร้างพาร์ทเนอร์ในการเติบโตไปด้วยกัน การที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถสเกลอัพธุรกิจได้ ก็เป็นผลดีต่อธุรกิจกิจศูนย์การค้าเช่นกัน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการดึงทราฟฟิกผู้ใช้บริการเข้าศูนย์

    ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวย้ำอีกว่า “ไม่เฉพาะแบรนด์ใหญ่ๆ ที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนใน Retail Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ขอย้ำว่า ทุกคนโตได้” Nobody is too small to grow โดยไม่จำเป็นต้องกระโดดเป็นช้อปใหญ่โต อาจค่อยๆ ทดลองตลาด ขยับไปทีละฟอร์แมท เริ่มจากเปิดป๊อปอัพ สโตร์ แล้วค่อยขยายเป็น Permanent Shop

    ทางด้าน ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ ที่ปรึกษาโครงการ LEAD และ CEO & Founder บริษัท แอมบิชั่น คอร์ป จำกัด กล่าวเสริมว่า

    “สิ่งที่ผู้ประกอบการได้ประโยชน์จากการที่ผ่านการเข้าร่วมคอร์ส LEAD คือการได้ร่วมกันพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ หรือการทำ Brand Co-creation ที่ได้ทดลองนำแบรนด์ของตนมาร่วมต่อยอดกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้น

    หรือการทดลองสร้าง New business format เพื่อสร้างช่องทางการขายหรือการขยายรูปแบบธุรกิจ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ต่อยอดจากสิ่งที่มีสู่สิ่งใหม่ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จ มากกว่านี้ยังมีโอกาสเข้าสู่อีโคซิสเท็มที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ได้ต่อยอดธุรกิจได้อย่างยั่งยืน”

    สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 5 ที่เพิ่งจะจบไปนั้น มีผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 แบรนด์ มีหลาย
    แบรนด์ที่ตัดสินใจขยายธุรกิจไปกับเซ็นทรัลพัฒนา และมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จากมีเพียง 3 สาขาก่อนเข้ามาเรียน เมื่อจบหลักสูตร มีขยายไปถึง 17 สาขา หรือจากเดิมทำแต่ออนไลน์ เมื่อได้ทดลองทำตลาดและเห็นโอกาส ก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาเปิดเป็นหน้าร้าน

    แบรนด์ที่เข้าร่วมคอร์ส LEAD 5 ในปีที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้ ANOTHER CUP, ANYWEAR STUDIO, BABY GIFT, BANGKOK GOLDS, BARKETEK, BEEF EXPRESS, BILIX, BLUETTI, BOTTOMLESS, CHAGEE, COVE, COZZY SAY I DO, FRENCH KITSCH CAFE, F.Y.I. MARKET, GRUMPY, HAEWON, HASS, HOLEN, KIM&CO. MULTI BRAND, LUHMSEN NOODLE, MEMOCLOTHING, MOLTO PREMIUM GELATO, OPTICSQUARE, PETCHPANTRA, POTATO CORNER, RUBBER IDEA, RYUJIN SUSHI, SELF., SKINLAB, TOOM SUSHI, ZEQUENZ, ข้าวนกกระยางคู่ และห้างทองเยาวราชดีเยี่ยม


    เปิดใจ 3 ธุรกิจตัวท็อป LEAD รุ่น 5

    KIM & CO. ORIGINAL ทำแฟชั่นให้มาเจอกับฟังก์ชั่น

    KIM & CO. Multi-brand store คือ Unisex Multi-brand store สไตล์เกาหลี รวบรวมเเบรนด์ Local Fashion & Lifestyle มากกว่า 200 เเบรนด์ และมี House brand คือ KIM & CO. ORIGINAL ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน คือ Affordable yet function เช่น รองเท้าผ้าใบใส่นวัตกรรม Water-proof ทำให้รองเท้าเลอะยาก ง่ายต่อการทำความสะอาด และมี Technology Vulcanization ที่สามารถบิดงอได้ ทำให้ ยืดหยุ่น ใส่สบาย

    ต้องตา อาชาเทวัญ เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า หลังจากที่เข้าร่วมหลักสูตร LEAD ได้เน้นการสร้าง Product Development โดยการพัฒนา KIM & CO. Original โดยการใช้ Fashion Meet Innovation ให้สินค้ามีความน่าสนใจ พัฒนาให้แฟชั่นกับฟังก์ชั่นไปด้วยกันได้

    สามารถอุดจุดอ่อนของตัวเอง จากเดิมที่เน้นทำแค่ KIM&Co. Multi Brand Store แต่การมาโฟกัสที่ KIM & CO. ORIGINAL ช่วยให้เกิดการเติบโตได้เร็วขึ้น ทั้งเรื่องการขยายสาขา หรือการสร้างยอดขาย

    รวมถึงมีการต่อยอดธุรกิจได้โดยการสร้างสินค้าใหม่ และขยายแบรนด์ใหม่ เพื่อเติมพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ และขยายฐานลูกค้าให้หลากหลาย ได้แตกไลน์แบรนด์ TIA แบรนด์กระเป๋าระดับพรีเมี่ยม ช่วยสร้างยอดขายให้มากขึ้น

    จุดเริ่มต้นของแบรนด์ TIA คือต้องการทำสินค้าที่ไม่มีไซส์ จากเดิมที่ขายรองเท้าที่มีไซส์ ตั้งเเต่ 35-45 ทำให้ต้องมีการจัดการสต็อกมหาศาล จึงอยากลองทำอะไรที่ไม่มีไซส์บ้าง ซึ่งกระเป๋าเป็นสินค้าที่ไม่มีไซส์ทำให้การจัดการสต๊อกง่ายขึ้น

    ต้องตา บอกว่า “Vision ของเราคือ ต้องการ Revolutionize life wear with accessible price
    โดยการที่เรามองเห็น Pain point เเละสิ่งที่ลูกค้าชอบจากดาต้าที่เรามี เอามาพัฒนา เเละปรับปรุง ผสมผสานทุกอย่างจนออกมาเป็น KIM&CO. ORIGINAL เป็นแนวคิด “Where innovation meets style” ซึ่งจริงๆ แล้วนวัตกรรม เเละแฟชั่นเป็นสิ่งที่ขัดเเย้งกัน แต่เป้าหมายของเราคือ ผสมผสานให้เข้ากัน เพราะเราต้องการที่จะแตกต่าง และเราต้องการให้ลูกค้าได้มากกว่าสิ่งที่เค้าคาดหวังและทำให้เรากล้าที่จะลงทุน กล้าที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและมีกลยุทธ์ ทำให้เรากล้าและมั่นใจ จากการมี 3 สาขาเป็น 17 สาขาภายในระยะเวลา 6 เดือน มียอดขาย YTD โตขึ้น 300% ”


    SELF. SMOOTHIE น้ำผลไม้ปั่นที่มีสตอรี่

    ณภัสสร ฉลาดมานะกุล เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า Self. เริ่มต้นจากการทำสมูทตี้ที่ไม่ใช่แค่น้ำผลไม้ปั่นทั่วไป ชื่อเมนูจะไม่ได้ลิงค์กับผลไม้โดยตรง แต่เน้นที่สรรพคุณ และคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับและยังสอดคล้องกับลายหน้าแก้วที่เป็นเอกลักษณ์เรื่องราวเฉพาะแต่ละสูตร

    คำว่า Self. ไม่ได้หมายถึงแค่ “mySELF” แต่ยังรวมถึง “Otherself” “Themself” หรือ “Customer Self” ทุกเมนู และสูตรได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ตั้งต้นจาก Pain-point ของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แต่ยังคงรสชาติดี ได้สารอาหารครบถ้วน

    “Self สร้างนิสัยการรักสุขภาพที่ไม่ต้องแลกด้วยความพยายามโดยการที่ Self. จะเป็น 1 ใน Journey เป็นไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแบบง่ายๆ ทำให้ลูกค้ารักตัวเองและ ใส่ใจตัวเองได้แบบง่ายๆ โดยให้ลูกค้าเริ่มคุ้นชินกับการมีนิสัยการดื่มสมูทตี้ของ Self. ได้กินผักผลไม้ทั้งชิ้นพร้อมกากใย แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการดื่ม โดยไม่เติมแต่งใดๆ ซึ่งลูกค้าของ Self. จะซื้อกลับไปปั่นเอง เห็นความแท้และธรรมชาติเอง ซึ่งภายใน 6 เดือนนี้มียอดของลูกค้าที่ซื้อ Ready to blend  แบบ Make yourSELF at home เพิ่มขึ้นถึง 150%”

    Self. ได้สร้างแบรนด์ด้วยความใส่ใจในคุณภาพ และจุดยืนที่ชัดเจน ผ่านทั้งตัวสินค้า แพคเกจจิ้ง ลายหน้าแก้วที่ตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวเฉพาะแต่ละแก้ว สีแบรนด์ที่ใช้ หน้าตาของร้าน การบริการต่างๆ รวมถึงการมอบประโยชน์และคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้าและสังคม ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

    แบรนด์ไม่ได้เป็นแค่น้ำผลไม้ปั่นธรรมดา แต่มีนักโภชนาการคอยดูแลสัดส่วนของสารอาหารโดยเฉพาะแต่ละสูตร เพื่อให้ไม่เกิด Over Consume Sugar หรือได้รับน้ำตาลมากเกินไป

    ปัจจุบันแบรนด์ไม่ได้มีแค่สมูทตี้ แต่ยังพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น Self Snack และ สินค้า Self Merchadises สำหรับแฟนๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มเติมที่อยากหาขนมที่มีโปรตีนสูง ไฟเบอร์สูง

    ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล ไม่มีเนยนมไข่ ยังคงคอนเซ็ปต์ของความธรรมชาติ รวมถึงมีแผนการขยายไลน์สินค้าเพิ่มเติมภายใต้ Self Basic Drink ที่จะมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากขึ้นโดยการ Grab & Go จากปกติที่สามารถซื้อถือกินเลยได้แค่คนละแก้ว แต่จะสามารถซื้อกลับบ้านได้หลายขวด โดยยังคงคอนเซป Pure & Natural เน้นผลไม้เบสิคไม่ผสม เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้า


    BOTTOMLESS COFFEE ROASTER โรงคั่วกาแฟครบวงจร

    นพพล อมรพิชญ์ปรัชญา เจ้าของแบรนด์ ได้เริ่มเล่าว่า “Bottomless เริ่มต้นจาก Home Coffee lover วางจุดยืนเป็น Specialty coffee สำหรับคอกาแฟ ผ่านมา 10 กว่าปี ในการเอาชนะความความท้าทายในการเติบโต ของ Specialty Coffee คือการที่จะต้องควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ต้องทำกาแฟคุณภาพอร่อย เข้าถึงง่าย และมีความพิเศษหลากหลาย”

    จุดเด่นของ Bottomless ที่แตกต่างจากร้านกาแฟอื่นๆ ทั่วไปคือ การสร้าง Coffee Ecosystem ทั้งระบบ ตั้งแต่การเป็นโรงคั่วกาแฟ ขยายสู่ตลาด B2B OEM และ HORECA, Consultant & Training และการเพิ่มไลน์สินค้าสู่ตลาด B2C เช่น Coffee Capsule, Drip Bag, Coffee Specialty และ Non-Coffee

    Bottomless ได้มีการนำเข้าและผลิต วัตถุดิบที่ใช้ในร้านกาแฟเองมาตั้งแต่ต้น เช่น ผงช็อคโกแลต ผงชาไทย มัจฉะ มีครัวกลางผลิตขนม และอาหารที่ใช้ขายในร้านกาแฟ รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Keesvanderwesten แบรนด์เครื่องชงกาแฟ ไฮเอนด์จากเนเธอร์แลนด์ และอุปกรณ์กาแฟชั้นนำ ซึ่งทำให้สามารถ Supply เครื่องเข้าร้านได้โดยไม่ขาดตอน

    นพพลเสริมอีกว่า สิ่งที่ได้จากหลักสูตร LEAD คือ การรู้สึกว่าเราตัวเล็กลง เพราะเราเข้าใจในเรื่องต่างๆ ลึกขึ้น ทำให้ยังรู้สึกอยากพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นอีก เพราะการทำธุรกิจเก่งแค่กาแฟคงยังไม่พอ เรื่องการเงินก็สำคัญ รวมถึงได้เน็ตเวิร์กจากเพื่อนๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

    นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ยอดเยี่ยมประจำหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 5 ได้แก่ HOLEN และ COVE

    HOLEN
    เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมซื้อเป็นของฝาก ด้วยคาแรคเตอร์ลิงยักษ์จากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ ที่ออกแบบโดยวิพาสน์พร ศรีพุ่ม และกลุ่มเพื่อน สินค้าขายดีคือยาดมโฮเล่น หอมละมุนจากสมุนไพรไทย เมื่อได้ทดลองตลาดในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภายใต้หลักสูตร LEAD ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสินค้าในรูปแบบ customize และ collaboration กับแบรนด์อื่น สินค้าถูกใจทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ มียอดขายเติบโตขึ้นมากกว่าสามเท่า และมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ทั้งออนไลน์และออนไซต์

    COVE
    เกิดจากความมุ่งมั่นของเอกพล วงศ์ภัทรกุล ในการพัฒนากระเป๋าและกระเป๋าเดินทางที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า ทันสมัย ในราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ หลังเข้าหลักสูตร LEAD ทำให้มีการวางแผนในการออกสินค้าใหม่อย่างเป็นระบบ มีความแม่นยำในการเลือกสินค้าใหม่มากขึ้น ทำให้สามารถเติบโตได้เกือบ 100% ภายใน 1 ปี

    สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 6 ที่เริ่มเรียนในเดือนมิถุนายนนี้ มาในธีม Growth & Sustainability ยังคง Concept เดิม คือเรื่องของการ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” โดยเน้นเรื่อง Growth & Sustainability เพราะเราเชื่อว่าความยั่งยืนของธุรกิจ ส่วนหนึ่งเกิดจากความสำเร็จของแบรนด์ ที่ได้เติบโตไปพร้อมกับเซ็นทรัลพัฒนา

    ]]>
    1481419
    สตาร์ทอัพสายโรงแรม “OYO” ยกเลิกเปิด IPO หันพึ่งนักลงทุนแม้จะถูกลดมูลค่าบริษัทฮวบ 70% https://positioningmag.com/1474914 Thu, 23 May 2024 13:50:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474914 สตาร์ทอัพสายโรงแรมจากอินเดีย “OYO” ถอนตัวจากการเปิด IPO ในตลาดหุ้นอินเดียเป็นครั้งที่สอง และหันไปพึ่งพิงนักลงทุนอย่างที่เคย แม้จะถูกลดมูลค่าบริษัทลงมากกว่า 70% เทียบกับจุดพีคที่เคยไปถึงเมื่อปี 2021

    OYO Hotels and Homes เป็นบริษัทในเครือ Oravel Stays จากอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีแบ็กอัพรายใหญ่คือ SoftBank จากญี่ปุ่น ที่ผ่านมาบริษัท OYO พยายามจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียมาแล้ว 2 ครั้ง แต่กลับถอนตัวและยกเลิกไปทั้งหมด

    ล่าสุดมีรายงานว่า OYO กำลังเข้าสู่การระดมทุนรอบใหม่ แต่ถูกตีมูลค่าบริษัทลดลงเหลือเพียง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงถึง 74% จากเมื่อปี 2021 ซึ่งบริษัทเคยมีมูลค่าสูงถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นรอบที่มี Microsoft มาร่วมลงทุนด้วย

    The Economics Times รายงานว่า Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง OYO กำลังพูดคุยกับนักระดมทุนที่เป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงอยู่หลายราย โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า หนึ่งในนั้นที่แสดงความสนใจคือ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย

    รายละเอียดการลงทุนยังพูดคุยกันอยู่ แต่ทาง OYO คาดการณ์ว่าการระดมทุนรอบนี้จะได้เงินลงทุนรวม 70-80 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการระดมทุนรอบนี้จะเป็นการ ‘รีไฟแนนซ์’ หนี้สินของบริษัท

    ย้อนกลับไปในเส้นทาง IPO ของบริษัท OYO บริษัทเคยยื่นไฟลิ่งขอจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2021 ก่อนที่ SoftBank ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะตัดสินใจลดการตีมูลค่าบริษัทนี้ลงจากเดิม 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ต่อมา OYO ต้องทำเอกสาร IPO ใหม่ ลดขนาดบริษัทลงประมาณ 40-60% และยื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2023

    หลังจากนั้นกลับมีข่าวออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ว่าบริษัทได้ถอนตัวจากการเปิด IPO เป็นครั้งที่สอง ก่อนที่ทางตลาดหุ้นอินเดียจะยืนยันเองในเดือนนี้ว่า OYO ได้ถอนตัวไปแล้วจริงๆ

    ปัจจุบัน SoftBank มีหุ้นอยู่ใน OYO เป็นสัดส่วน 46% ตามด้วยผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Ritesh Agarwal ถือหุ้น 33% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนรายอื่นๆ เช่น Lightspeed, Peak XV Partners

    OYO มีการดำเนินธุรกิจในไทยด้วยเช่นกัน โดยเข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ใช้โมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ คือให้ใช้แบรนด์สวมในโรงแรมเดิม รวมถึงใช้ระบบบริหารและจองห้องพักของ OYO เป้าหมายของบริษัทคือบรรดาโรงแรมบัดเจ็ทขนาดเล็กที่เข้าถึงลูกค้ายากเมื่อไม่มีแบรนด์ นอกจากนี้ ปีนี้บริษัทยังแตกแบรนด์ใหม่ชื่อ ‘Palette’ มาเจาะตลาดโรงแรมระดับกลางในไทยด้วย

    Source

    ]]>
    1474914
    นักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% ในปี 2023 แม้ AI จะเป็นกลุ่มดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม https://positioningmag.com/1458718 Sun, 14 Jan 2024 16:47:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458718 ปี 2023 นั้นอาจเป็นปีที่ไม่ค่อยดีมากนักสำหรับสตาร์ทอัพ เนื่องจากนักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% สาเหตุสำคัญคือต้นทุนทางการเงินจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI จะเป็นกลุ่มที่ดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม

    สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงรายงานข้อมูลจาก PitchBook ว่า เม็ดเงินของนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดเข้าไปยังสตาร์ทอัพในปี 2023 นั้นลดลงมากถึงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังได้รับความสนใจก็ตาม

    เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพที่นักลงทุนสหรัฐฯ ได้ใส่เงินลงไปในปี 2023 อยู่ที่ 170,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 242,00 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในปี 2021 นั้นอยู่ที่ 348,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ข้อมูลจาก PitchBook ยังชี้ว่าในปี 2023 นั้นบริษัทร่วมลงทุน (VC) ได้มีการระดมทุนมากถึง 67,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2022 ถึง 60% ซึ่งเม็ดเงินระดมทุนดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนนั้นลดลงอย่างรวดเร็วคือต้นทุนการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นสูงเกิน 5%

    ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสตาร์ทอัพลดลงเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายสตาร์ทอัพต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือแม้แต่มาตรการอย่างการปลดพนักงาน

    อย่างไรก็ดีในปี 2023 นั้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ AI ซึ่งเป็นผลจากความโด่งดังของเจ้าของ ChatGPT อย่าง OpenAI เป็นผลทำให้เม็ดเงินนั้นยังเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยรายงานของ PitchBook ชี้ว่า 1 ใน 3 ของสตาร์ทอัพเหล่านี้นักลงทุนในสหรัฐอเมริกาได้หว่านเม็ดเงินลงทุนลงไปด้วย

    โดยดีลที่ใหญ่ที่สุดในปี 2023 ของสตาร์ทอัพเกิดขึ้นกับบริษัทด้าน AI อย่าง OpenAI และ Anthropic ซึ่งเม็ดเงินที่ลงทุนใน 2 บริษัทดังกล่าวนี้คิดเป็น 10% ของการลงทุนรวมในสตาร์ทอัพของนักลงทุน

    ]]>
    1458718
    รู้จัก Glassiq สตาร์ทอัพร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ ปักหมุดสาขาแรกที่ Emsphere https://positioningmag.com/1457550 Tue, 02 Jan 2024 08:37:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457550 ทำความรู้จัก Glassiq (กลาสสิค) ร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์น้องใหม่ในเครือวิชั่นเวนเจอร์ จุดเริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพ เริ่มจากขายออนไลน์ จนล่าสุดได้เปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่ศูนย์การค้า Emsphere

    เริ่มจากสตาร์ทอัพ ขายแว่นออนไลน์

    ต้องบอกว่าแว่นตาในยุคนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมแฟชั่นอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยเรื่องปัญหาด้านสายตาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ทำให้ตลาดร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ได้รับความนิยมมากขึ้น หรือจะเรียกกันว่าร้านแว่นตามินิมัลก็ไม่ผิดนัก หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ 2 แบรนด์ใหญ่ Owndays และ Seven days เพราะมีหลายสาขาในประเทศไทย

    ตอนนี้มีอีกหนึ่งแบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาท้าชิงในตลาด ก็คือ Glassiq แต่จะบอกว่าเป็นน้องใหม่ก็ไม่เชิง เพราะแบรนด์นี้ได้ก่อตั้งมา 7 แล้ว แต่เพิ่งทำการรีแบรนด์ และเปิดร้านสาขาแรกที่ศูนย์การค้า Emsphere

    Glassiq

    Glassiq ได้ก่อตั้งเมื่อปี 2559 เริ่มจากกลุ่มเพื่อน 4 คนที่มีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพเหมือนกัน ใช้งบลงทุนก้อนแรก 200,000 บาท/เดือน แรกเริ่มได้วางจุดยืนเป็นสตาร์ทอัพร้านแว่นตา เริ่มจากการขายบนช่องทางออนไลน์ ใช้จุดแข็งโดยการหาซื้อแว่นโดยตรงจากโรงงาน ทำให้ได้ราคาถูก

    พิริยะ ตันตราธิวุฒิ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แว่นตา Glassiq และ CMO บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด เริ่มเล่าว่า

    “ส่วนตัวเป็นคนที่ใส่แว่นตั้งแต่เด็กๆ แล้วจะมีปัญหาเวลาเลือกซื้อแว่นที่หน้าร้าน จะเจอประสบการณ์ไม่ค่อยดี เช่น พนักงานจะเลือกกรอบมาให้ดู 4 แบบ โดยที่ไม่ได้มีการประเมินใบหน้าของลูกค้าแบบชัดเจน แต่ก่อนเราก็จะเกรงใจพนักงานก็เลือกๆ ไปก่อน สรุปว่าก็ไม่ได้แว่นที่ถูกใจ 100% แถมราคาแพงอีกด้วย ซึ่งร้านแว่นในสมัยก่อนจะไม่มีแบบให้เลือกมากนัก จะเป็นสไตล์ยุโรป ที่ไม่เข้ากับรูปหน้าคนไทยด้วย”

    Glassiq

    พิริยะ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นมาทำงานด้านที่ปรึกษา และการตลาดที่ True ในยุคหลายปีก่อนที่เทรนด์ของสตาร์ทอัพกำลังมาแรง จึงได้เข้าร่วมโครงการ True Incube พิริยะได้จบทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นคนชอบวาดรูป จึงทำแอปฯ สติ๊กเกอร์ วาดสติ๊กเกอร์แต่งรูป โลเคชั่นเบสสติ๊กเกอร์ ในตอนเข้าร่วมโครงการก็ได้เจอกลุ่มคนที่ทำสตาร์ทอัพคล้ายๆ กัน เลยมารวมตัวกันทำ Glassiq

    ในช่วงแรกมีการขายในช่องทางออนไลน์อย่างเดียว แต่ก็มี Pain Point ที่ต้องลองแว่นกันหน้า เลยมีแคมเปญส่งแว่นให้คนไปลองที่บ้าน 3 แบบ แล้วส่งคืนที่เซเว่นฯ จากนั้นค่อยสั่งซื้อ หลังจากนั้นก็ได้พาร์ตเนอร์กับร้านหอแว่น มีวางจำหน่ายในหอแว่น

    รีแบรนด์สู่ Glassiq เพื่อเข้าถึงง่าย

    ปัจจุบัน Glassiq ได้วางจุดยืนเป็นร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ที่มีความแฟชั่น มีทั้งเลนส์สายตา และเลนส์สี เลนส์กันแดด ใช้จุดเด่นในการเป็นแบรนด์ไทย เข้าใจพฤติกรรมคนไทย และคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เนื่องจากพบว่าเซ็กเมนต์นี้มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

    Glassiq

    โดยเมื่อปี 2565 Glassiq ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท วิชั่นเวนเจอร์ส จำกัด เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสายตา หอแว่นกรุ๊ปก็อยู่ในเครือเดียวกัน ปัจจุบันมีร้านแว่นตาขายปลีก และบริการวัดสายตาในเครือคือ หอแว่น, หอแว่น Prestige, Monde Eyewear และ Glassiq เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมีความต้องการที่แตกต่างกัน

    วิชั่นเวนเจอร์สเองก็ต้องการร้านแว่นตาในกลุ่มไลฟ์สไตล์ เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Glassiq เองก็มีเงินทุนในการขยับขยายแบรนด์ให้เติบโตยิ่งขึ้น

    Glassiq

    ทำให้ Glassiq ถือโอกาสในการรีแบรนด์ใหม่ ทั้งชื่อแบรนด์ที่แต่เดิมใช้ชื่อว่า Glazziq เปลี่ยนชื่อเป็น Glassiq ให้อ่านง่าย จดจำง่ายขึ้น พิริยะบอกว่า ในสมัยสตาร์ทอัพยุคนั้นจะนิยมตั้งชื่อสะกดแปลกๆ กัน แต่ลูกค้าจะมีความรู้สึกว่าเข้าถึงยาก จำยาก จึงตัดสินใจรีแบรนด์ใหม่เลย พร้อมกับเปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์เมื่อเดือนธันวาคม 2566 มีโอกาสได้คุยกับทางศูนย์ แล้วอยากได้ร้านคอนเซ็ปต์ใหม่พอดี เลยได้เปิดที่นี่

    ขอเป็นร้านแว่นไลฟ์สไตล์มัดใจวัยรุ่น

    ปี 2566 ตลาดแว่นตามีมูลค่าราวๆ 6,000-7,000 ล้านบาท รวมทั้งกรอบ และเลนส์ หรือคิดเป็นปริมาณ 8-9 ล้านตัว ปัจจุบันตลาดแว่นตามีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแว่นบ่อยมากขึ้น โดยจะมีกลุ่มทั่วไปที่อาจจะเปลี่ยนแว่นทุกๆ 3-5 ปี มองว่าแว่นยังใช้งานได้อยู่ แต่จะมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองแว่นตาเป็นไอเทมแฟชั่น จะเปลี่ยนแว่นทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี ประกอบกับค่าสายตามีการเปลี่ยนขึ้นทุกปี จึงมีการเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับค่าสายตาด้วย

    Glassiq ต้องการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ตั้งแต่นักศึกษา ไปจนถึงกลุ่มคนที่เริ่มทำงาน กรอบแว่นตาจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,990 – 2,990 – 3,990 บาท เป็นราคากรอบแว่น + เลนส์แล้ว ใช้เวลาในการประกอบ 20 นาที ก็รับแว่นกลับบ้านได้เลย

    Glassiq

    พิริยะ เสริมว่า ช่วงปีที่ผ่านมาเหมือนเป็นการรื้อระบบใหม่ทั้งหมด หลังจากที่เปิดสาขาแรกในช่วงแรกตั้งเป้ายอดขายวันละ 5-6 ตัว หลังจากนั้นจะตั้งเป้ายอดขายวันละ 15-20 ตัว แว่นตาแต่ละชิ้นราคาเฉลี่ย 4,000 บาท ถ้าได้ตามเป้าทั้งปีก็จะมีรายได้ราวๆ 22-30 ล้านบาท

    สำหรับแผนในการขยายสาขาต่อไปในอนาคตนั้น พิริยะมองว่าต้องดูผลตอบรับจากสาขาแรกก่อน ว่าต้องปรับอะไรบ้าง โลเคชั่นตรงไหนถึงเหมาะสม แต่ตอนนี้มีแผนเปิดใหม่ 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลนครสวรรค์ และอาคารซิลลิค เฮ้าส์ (Zuellig House Building) ถนนสีลม ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการขยายสาขา 6-7 แห่งในปีหน้าเลยก็ได้

    ถ้าถามถึงเป้าหมายในอนาคตของ Glassiq พิริยะบอกว่า ในระยะสั้น ขอเป็นแบรนด์ไทยที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มขยายตลาดสู่ต่างประเทศ มองกลุ่มประเทศในเอเชียก่อน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม แต่ต้องพัฒนาระบบให้พร้อม และประสบการณ์ของร้านได้ให้ก่อน จึงจะทำการขยายอย่างเต็มที่

    ]]>
    1457550