สตาร์ทอัพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 15 Jan 2024 00:52:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% ในปี 2023 แม้ AI จะเป็นกลุ่มดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม https://positioningmag.com/1458718 Sun, 14 Jan 2024 16:47:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458718 ปี 2023 นั้นอาจเป็นปีที่ไม่ค่อยดีมากนักสำหรับสตาร์ทอัพ เนื่องจากนักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% สาเหตุสำคัญคือต้นทุนทางการเงินจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI จะเป็นกลุ่มที่ดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงรายงานข้อมูลจาก PitchBook ว่า เม็ดเงินของนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดเข้าไปยังสตาร์ทอัพในปี 2023 นั้นลดลงมากถึงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังได้รับความสนใจก็ตาม

เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพที่นักลงทุนสหรัฐฯ ได้ใส่เงินลงไปในปี 2023 อยู่ที่ 170,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 242,00 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในปี 2021 นั้นอยู่ที่ 348,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ข้อมูลจาก PitchBook ยังชี้ว่าในปี 2023 นั้นบริษัทร่วมลงทุน (VC) ได้มีการระดมทุนมากถึง 67,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2022 ถึง 60% ซึ่งเม็ดเงินระดมทุนดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนนั้นลดลงอย่างรวดเร็วคือต้นทุนการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นสูงเกิน 5%

ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสตาร์ทอัพลดลงเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายสตาร์ทอัพต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือแม้แต่มาตรการอย่างการปลดพนักงาน

อย่างไรก็ดีในปี 2023 นั้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ AI ซึ่งเป็นผลจากความโด่งดังของเจ้าของ ChatGPT อย่าง OpenAI เป็นผลทำให้เม็ดเงินนั้นยังเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยรายงานของ PitchBook ชี้ว่า 1 ใน 3 ของสตาร์ทอัพเหล่านี้นักลงทุนในสหรัฐอเมริกาได้หว่านเม็ดเงินลงทุนลงไปด้วย

โดยดีลที่ใหญ่ที่สุดในปี 2023 ของสตาร์ทอัพเกิดขึ้นกับบริษัทด้าน AI อย่าง OpenAI และ Anthropic ซึ่งเม็ดเงินที่ลงทุนใน 2 บริษัทดังกล่าวนี้คิดเป็น 10% ของการลงทุนรวมในสตาร์ทอัพของนักลงทุน

]]>
1458718
รู้จัก Glassiq สตาร์ทอัพร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ ปักหมุดสาขาแรกที่ Emsphere https://positioningmag.com/1457550 Tue, 02 Jan 2024 08:37:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457550 ทำความรู้จัก Glassiq (กลาสสิค) ร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์น้องใหม่ในเครือวิชั่นเวนเจอร์ จุดเริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพ เริ่มจากขายออนไลน์ จนล่าสุดได้เปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่ศูนย์การค้า Emsphere

เริ่มจากสตาร์ทอัพ ขายแว่นออนไลน์

ต้องบอกว่าแว่นตาในยุคนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมแฟชั่นอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยเรื่องปัญหาด้านสายตาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ทำให้ตลาดร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ได้รับความนิยมมากขึ้น หรือจะเรียกกันว่าร้านแว่นตามินิมัลก็ไม่ผิดนัก หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ 2 แบรนด์ใหญ่ Owndays และ Seven days เพราะมีหลายสาขาในประเทศไทย

ตอนนี้มีอีกหนึ่งแบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาท้าชิงในตลาด ก็คือ Glassiq แต่จะบอกว่าเป็นน้องใหม่ก็ไม่เชิง เพราะแบรนด์นี้ได้ก่อตั้งมา 7 แล้ว แต่เพิ่งทำการรีแบรนด์ และเปิดร้านสาขาแรกที่ศูนย์การค้า Emsphere

Glassiq

Glassiq ได้ก่อตั้งเมื่อปี 2559 เริ่มจากกลุ่มเพื่อน 4 คนที่มีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพเหมือนกัน ใช้งบลงทุนก้อนแรก 200,000 บาท/เดือน แรกเริ่มได้วางจุดยืนเป็นสตาร์ทอัพร้านแว่นตา เริ่มจากการขายบนช่องทางออนไลน์ ใช้จุดแข็งโดยการหาซื้อแว่นโดยตรงจากโรงงาน ทำให้ได้ราคาถูก

พิริยะ ตันตราธิวุฒิ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แว่นตา Glassiq และ CMO บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด เริ่มเล่าว่า

“ส่วนตัวเป็นคนที่ใส่แว่นตั้งแต่เด็กๆ แล้วจะมีปัญหาเวลาเลือกซื้อแว่นที่หน้าร้าน จะเจอประสบการณ์ไม่ค่อยดี เช่น พนักงานจะเลือกกรอบมาให้ดู 4 แบบ โดยที่ไม่ได้มีการประเมินใบหน้าของลูกค้าแบบชัดเจน แต่ก่อนเราก็จะเกรงใจพนักงานก็เลือกๆ ไปก่อน สรุปว่าก็ไม่ได้แว่นที่ถูกใจ 100% แถมราคาแพงอีกด้วย ซึ่งร้านแว่นในสมัยก่อนจะไม่มีแบบให้เลือกมากนัก จะเป็นสไตล์ยุโรป ที่ไม่เข้ากับรูปหน้าคนไทยด้วย”

Glassiq

พิริยะ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นมาทำงานด้านที่ปรึกษา และการตลาดที่ True ในยุคหลายปีก่อนที่เทรนด์ของสตาร์ทอัพกำลังมาแรง จึงได้เข้าร่วมโครงการ True Incube พิริยะได้จบทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นคนชอบวาดรูป จึงทำแอปฯ สติ๊กเกอร์ วาดสติ๊กเกอร์แต่งรูป โลเคชั่นเบสสติ๊กเกอร์ ในตอนเข้าร่วมโครงการก็ได้เจอกลุ่มคนที่ทำสตาร์ทอัพคล้ายๆ กัน เลยมารวมตัวกันทำ Glassiq

ในช่วงแรกมีการขายในช่องทางออนไลน์อย่างเดียว แต่ก็มี Pain Point ที่ต้องลองแว่นกันหน้า เลยมีแคมเปญส่งแว่นให้คนไปลองที่บ้าน 3 แบบ แล้วส่งคืนที่เซเว่นฯ จากนั้นค่อยสั่งซื้อ หลังจากนั้นก็ได้พาร์ตเนอร์กับร้านหอแว่น มีวางจำหน่ายในหอแว่น

รีแบรนด์สู่ Glassiq เพื่อเข้าถึงง่าย

ปัจจุบัน Glassiq ได้วางจุดยืนเป็นร้านแว่นตาไลฟ์สไตล์ที่มีความแฟชั่น มีทั้งเลนส์สายตา และเลนส์สี เลนส์กันแดด ใช้จุดเด่นในการเป็นแบรนด์ไทย เข้าใจพฤติกรรมคนไทย และคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เนื่องจากพบว่าเซ็กเมนต์นี้มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

Glassiq

โดยเมื่อปี 2565 Glassiq ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท วิชั่นเวนเจอร์ส จำกัด เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสายตา หอแว่นกรุ๊ปก็อยู่ในเครือเดียวกัน ปัจจุบันมีร้านแว่นตาขายปลีก และบริการวัดสายตาในเครือคือ หอแว่น, หอแว่น Prestige, Monde Eyewear และ Glassiq เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมีความต้องการที่แตกต่างกัน

วิชั่นเวนเจอร์สเองก็ต้องการร้านแว่นตาในกลุ่มไลฟ์สไตล์ เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Glassiq เองก็มีเงินทุนในการขยับขยายแบรนด์ให้เติบโตยิ่งขึ้น

Glassiq

ทำให้ Glassiq ถือโอกาสในการรีแบรนด์ใหม่ ทั้งชื่อแบรนด์ที่แต่เดิมใช้ชื่อว่า Glazziq เปลี่ยนชื่อเป็น Glassiq ให้อ่านง่าย จดจำง่ายขึ้น พิริยะบอกว่า ในสมัยสตาร์ทอัพยุคนั้นจะนิยมตั้งชื่อสะกดแปลกๆ กัน แต่ลูกค้าจะมีความรู้สึกว่าเข้าถึงยาก จำยาก จึงตัดสินใจรีแบรนด์ใหม่เลย พร้อมกับเปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์เมื่อเดือนธันวาคม 2566 มีโอกาสได้คุยกับทางศูนย์ แล้วอยากได้ร้านคอนเซ็ปต์ใหม่พอดี เลยได้เปิดที่นี่

ขอเป็นร้านแว่นไลฟ์สไตล์มัดใจวัยรุ่น

ปี 2566 ตลาดแว่นตามีมูลค่าราวๆ 6,000-7,000 ล้านบาท รวมทั้งกรอบ และเลนส์ หรือคิดเป็นปริมาณ 8-9 ล้านตัว ปัจจุบันตลาดแว่นตามีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแว่นบ่อยมากขึ้น โดยจะมีกลุ่มทั่วไปที่อาจจะเปลี่ยนแว่นทุกๆ 3-5 ปี มองว่าแว่นยังใช้งานได้อยู่ แต่จะมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองแว่นตาเป็นไอเทมแฟชั่น จะเปลี่ยนแว่นทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี ประกอบกับค่าสายตามีการเปลี่ยนขึ้นทุกปี จึงมีการเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับค่าสายตาด้วย

Glassiq ต้องการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ตั้งแต่นักศึกษา ไปจนถึงกลุ่มคนที่เริ่มทำงาน กรอบแว่นตาจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,990 – 2,990 – 3,990 บาท เป็นราคากรอบแว่น + เลนส์แล้ว ใช้เวลาในการประกอบ 20 นาที ก็รับแว่นกลับบ้านได้เลย

Glassiq

พิริยะ เสริมว่า ช่วงปีที่ผ่านมาเหมือนเป็นการรื้อระบบใหม่ทั้งหมด หลังจากที่เปิดสาขาแรกในช่วงแรกตั้งเป้ายอดขายวันละ 5-6 ตัว หลังจากนั้นจะตั้งเป้ายอดขายวันละ 15-20 ตัว แว่นตาแต่ละชิ้นราคาเฉลี่ย 4,000 บาท ถ้าได้ตามเป้าทั้งปีก็จะมีรายได้ราวๆ 22-30 ล้านบาท

สำหรับแผนในการขยายสาขาต่อไปในอนาคตนั้น พิริยะมองว่าต้องดูผลตอบรับจากสาขาแรกก่อน ว่าต้องปรับอะไรบ้าง โลเคชั่นตรงไหนถึงเหมาะสม แต่ตอนนี้มีแผนเปิดใหม่ 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลนครสวรรค์ และอาคารซิลลิค เฮ้าส์ (Zuellig House Building) ถนนสีลม ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการขยายสาขา 6-7 แห่งในปีหน้าเลยก็ได้

ถ้าถามถึงเป้าหมายในอนาคตของ Glassiq พิริยะบอกว่า ในระยะสั้น ขอเป็นแบรนด์ไทยที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มขยายตลาดสู่ต่างประเทศ มองกลุ่มประเทศในเอเชียก่อน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม แต่ต้องพัฒนาระบบให้พร้อม และประสบการณ์ของร้านได้ให้ก่อน จึงจะทำการขยายอย่างเต็มที่

]]>
1457550
มองปีหน้า ‘เทคคอมปานี’ อาเซียนมีโอกาส ‘ระดมทุน’ ได้มากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขต้องเห็นหรือมีแผนทำ ‘กำไร’ ชัดเจน https://positioningmag.com/1456527 Wed, 20 Dec 2023 10:37:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456527 นับตั้งแต่ปี 2560 การลงทุนของเหล่า Venture Capital หรือ VC ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าในปีหน้า เหล่า VC จะมีการลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของ Google, Temasek และ Bain & Company พบว่า เนื่องจากกระแสระดับโลก เช่น อัตราเงินเฟ้อและต้นทุนเงินทุนที่สูง ได้ส่งผลให้การใช้เงินทุนภาคเอกชนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี และจากข้อมูลของ KPMG ระบุว่า การร่วมทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกลดลงเหลือ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่สามของปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2560 ขณะที่ในไตรมาสสองของปี 2566 การลงทุนของกลุ่ม VC ในภูมิภาคอยู่ที่ 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ปริมาณการลงทุนและข้อตกลงทั่วโลกก็แตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปีเช่นกัน โดยการลงทุนของ VC ทั่วโลกในไตรมาสที่สามอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี 2559 ในขณะที่ปริมาณข้อตกลงอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2562

อย่างไรก็ตาม Jussi Salovaara ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Antler มองว่า การระดมทุนของ VC จะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขณะที่ Peng T. Ong ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Monk’s Hill Ventures มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ปีหน้าจะได้เห็นการลงทุนมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“เราเชื่อว่าการลงทุนกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฟื้นตัว” Jussi Salovaara กล่าว

ดังนั้น หากปีหน้ามีการลงทุนจาก VC เพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีโอกาสเติบโตขั้นต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อดึงดูดเงินทุนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีจำเป็นต้องแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าพวกเขามีเส้นทางสู่การทำกำไรที่ชัดเจนและเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมานักลงทุนมีความรอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับตัวเลือกการลงทุน

สำหรับเงินทุนพร้อมใช้ของกลุ่ม VC เพิ่มขึ้นจาก 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 เป็น 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปี 2565

Source

]]>
1456527
บริษัทสตาร์ทอัพ: การบริหารแบบยั่งยืน สู่ภาพลักษณ์ ‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’ https://positioningmag.com/1453481 Tue, 28 Nov 2023 03:49:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453481

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

ในฐานะของคนที่ทำบริษัทสตาร์ทอัพแล้ว การที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ไม่ว่าในแง่ของการเป็นลูกค้า หรือในแง่ของพนักงานบริษัท ตอนนี้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ลงไป มีการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการให้คนรุ่นใหม่ทำงานด้วย หรือให้ผู้บริโภคที่จะเป็นกำลังซื้อสำคัญในรุ่นต่อไป จำเป็นต้องปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ในการเป็นบริษัทที่มี Sustainability goal หรือภาษาไทยเรียกว่า ‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’

‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’ แบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก ได้แก่

  1. การดำเนินงานที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นการให้ความสำคัญด้านผลกระทบจากกิจกรรมบริษัทที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากร การใช้พลังงาน และการบริหารจัดการของเสีย ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Carbon Footprint ว่าบริษัทมีการบริหารจัดการอย่างไร
  2. การจัดการด้านสังคม (Social) ผลกระทบด้านสังคมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท อาทิ พนักงาน ลูกค้า ชุมชน ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาถึงกฎหมายแรงงานให้มีความเป็นธรรมในการจ้างงาน การจ้างงานที่มีความหลากหลาย และไม่เลือกปฏิบัติ การให้ความสำคัญต่อหลักการมนุษยชน และการทำประโยชน์เพื่อชุมชน
  3. การจัดการด้านธรรมาภิบาล (Governance) รวมถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการบริษัท การจัดการโครงสร้างบริษัทที่เอื้ออำนวยต่อการตรวจสอบ และความโปร่งใสของผู้นำบริษัท โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัท การให้ผลตอบแทนกับผู้บริหาร และการปฏิบัติตามศีลธรรม และจรรยาบรรณที่ดีของบริษัท

การเพิ่มขึ้นของความสำคัญด้านการบริหารบริษัทแบบยั่งยืน

ถ้าลองมาดูถึงสถิติเกี่ยวกับการบริหารบริษัทแบบยั่งยืน ในช่วงปีที่ผ่านมาจากการที่เจ้าของสตาร์ทอัพ หรือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ ในสมัยก่อนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับผลประกอบการในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด ช่วงนี้ก็ได้หันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการบริหารบริษัทอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นความคาดหวังในระยะยาว กลุ่มสตาร์ทอัพออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่กลุ่มผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ กล่าวว่า เขาจะต้องทำการบริหารความคาดหวังระยะสั้น และระยะยาวนี้ไปด้วยกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ (PWC Leading in the new reality26th Annual Global CEO Survey – Asia Pacific January 2023: https://www.pwc.com/gx/en/about/pwc-asia-pacific/ceo-survey.html?icid=26th-ceo-survey-web-adwords-paid-ceosurvey&gclid=Cj0KCQiAr8eqBhD3ARIsAIe-buMsdBTrUxN6IVP7Gq-4_BPr5ebnE2rVczdDIxqD3jtrIbqaboweLGkaAuicEALw_wcB)

ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม และประเด็นด้านความยั่งยืน ไม่ใช่เป็นเทรนด์เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เผชิญอยู่ไม่ว่าการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก การเพิ่มขึ้นของภาวะมลภาวะ และการเพิ่มระยะห่างของการกระจายรายได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ เรื่องจะสร้างความยั่งยืนในโลก

กรณีศึกษา

บริษัทเทสลาเป็นตัวอย่างของเทคสตาร์ทอัพ ที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกนี้ที่ชัดเจนที่สุดบริษัทหนึ่งในโลก โดยที่ อีลอน มัสก์ มีความคิดว่าเขาจะเปลี่ยนโลกด้วยการกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมัน แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทน ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะทำได้สำเร็จ เขาแค่คิดว่าสิ่งที่เขาทำในเทสลา จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ต่างๆ ในโลกตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และหันมาผลิตรถยนต์ EV ได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบ

ทุกวันนี้เทสลา เป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และทำให้ทุกคนตระหนักรู้ และเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ต่างๆ ทั่วโลก หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น มากกว่าที่จะนั่งอยู่บนกองเงินกองทองของการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งทำลายโลกต่อไป สิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่ทำให้ Carbon Emission หรือการปล่อยคาร์บอน ลดลงโดยองค์รวมอย่างมีนัยสำคัญ

นอกเหนือไปจากนั้น บริษัทเทสลา ก็ยังได้เงินจากการขายคาร์บอนเครดิตเป็นจำนวนที่สูงมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เขาสร้างรายได้จากโมเดลธุรกิจการผลิตรถยนต์เท่านั้น ในปัจจุบันรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ก็เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เทสลาไม่ได้หยุดเฉพาะการผลิตรถยนต์ เทสลาได้มีความพยายามที่จะผลิตแบตเตอรี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถใช้ได้นาน โดยไม่ต้องมีการชาร์จที่ยาวนาน ทำให้แบตเตอรี่มีความสามารถนำไปจ่ายไฟกลับจากรถยนต์ให้กับครัวเรือนได้อีก

ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่ต้องใช้ถ่านหิน หรือน้ำมันในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือบ้านเรือน โลกวันนั้น ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จากความตั้งใจของบริษัทสตาร์ทอัพ ที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทในมุมของการสร้างความยั่งยืนเป็นแกน

https://carboncredits.com/tesla-regulatory-carbon-credit-sales-jumps-116/

บริษัทสตาร์ทอัพ บียอนมีท ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีจุดประสงค์ที่จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปล่อย Carbon Footprint ออกมาให้กับโลกเป็นจำนวนที่สูงเมื่อเทียบกับบริโภค Plant based หรือการบริโภคมังสวิรัติ ซึ่งการบริโภคมังสวิรัติแบบ Plant based นั้นทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นยังไง ให้ดูจากรูปด้านล่าง จะเห็นได้ว่าปริมาณเนื้อสัตว์ที่บริโภคได้หนึ่งกิโลกรัม ก่อให้เกิด Carbon Footprint จำนวนมาก เมื่อเทียบกับการบริโภค Plant based นี่อาจจะเป็นเพราะในเนื้อสัตว์ที่บริโภคได้หนึ่งกิโลกรัม มีสิ่งที่ไม่สามารถบริโภคได้เป็นจำนวนมาก นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของการลด Carbon Footprint จากการบริโภคเนื้อสัตว์

เรายังสามารถทำอย่างอื่น ในการลด Carbon Footprint ได้เช่นการลดการสูญเสียอาหาร โดยการนำเศษอาหารไปแปรรูปไปเป็นปุ๋ย หรือถ้าอาหารเหลือเป็นอาหารที่ยังดีอยู่ เราควรแจกจ่ายหรือบริจาค มิใช่ทิ้งอาหารไป หรือการบริหารประสิทธิภาพในการรับประทานอาหาร เพื่อให้อาหารเหลือและสูญเสียน้อยที่สุด อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งมีหลายบริษัทสตาร์ทอัพ มีความพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างยั่งยืน

https://foodprint.org/blog/fake-meat-followup/

บริษัทพาทาโกเนีย เป็นบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้า สำหรับกีฬากลางแจ้ง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในการนำความยั่งยืน มาใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นรายต้นๆ บริษัทมีแนวความคิดล้ำหน้าเช่น โปรแกรม Worn Ware และก็มีจุดมุ่งหมายและให้สัตยาบันด้านการผลิตเสื้อผ้า อย่างมีจริยธรรม อย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น

สัตยาบันด้านความยั่งยืนของพาทาโกเนีย เช่น การลดการปล่อย GHG (Greenhous Gas) ทั้งหมด 80% จาก Baseline ในปี 2017 ให้ได้ภายในปี 2030 เป็นต้น https://www.patagonia.com/climate-goals/

มาดูบริษัทในไทยที่เป็นผู้นำด้านนี้กันบ้าง บริษัทเวคินเป็นบริษัทที่ผลิตแอปที่ชื่อว่า CERO Carbon Wallet ซึ่งแอปพลิเคชันตัวนี้ เป็นแอปที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถทำกิจกรรมการลดคาร์บอนจากกิจกรรมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านแอปได้ เช่น การนำแก้วพลาสติกกลับไปรีไซเคิล การลดการสูญเสียของอาหาร การปลูกต้นไม้ โดยทุกกิจกรรม จะได้รับคาร์บอนเครดิต นับว่าเป็นครั้งแรกของวงการที่สามารถทำให้กิจกรรมที่ผู้บริโภคทำสามารถเปลี่ยนไปเป็นคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง เป็นการช่วยผลักดันให้ผู้บริโภคมีความตระหนักถึงการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยเรื่องใกล้ๆ ตัว

โอกาสและความท้าทาย

ในส่วนของสตาร์ทอัพแน่นอนว่า การทำในเรื่องของโครงการความยั่งยืนทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยเฉพาะความกดดันที่จะต้องทำยอดขายสูงสุดในค่าใช้จ่ายที่ประหยัดสุดเพื่อให้อยู่รอด และเมื่อต้องแข่งกับคู่แข่งที่ไม่ได้มีกิจกรรมด้านความยั่งยืน ต้นทุนของการทำธุรกิจของสตาร์ทอัพที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนอาจจะสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของโอกาสนั้น จริงๆ แล้ว ผู้บริโภคมีการให้ความสำคัญ และมีความต้องการซื้อสินค้าบริการ จากบริษัทที่มีความใส่ใจด้านความยั่งยืนมากกว่าบริษัททั่วๆ ไป ซึ่งหุ้นยั่งยืนนั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ซึ่งนี่หมายความว่า ในแผนระยะยาวนั้น การทำโครงการด้านความยั่งยืนอาจให้ผลตอบแทนด้านการเงินที่ดีกว่าด้วย

ซึ่งหมายความว่า ในโลกปัจจุบันนั้น การมีความเข้าใจและริเริ่มจุดมุ่งหมายของบริษัท ให้เกิดความยั่งยืนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เลือกทำได้อีกต่อไป แต่น่าจะเป็น Company Agenda หรือหนึ่งในจุดมุ่งหมายหลักของบริษัทเพื่อก่อให้เกิดผลกำไรในระยะยาวเลยทีเดียว

]]>
1453481
Beacon VC มอง ESG มีความสำคัญกับทุกภาคส่วนมากขึ้น สตาร์ทอัพไทยจะปรับตัวได้อย่างไร https://positioningmag.com/1447453 Tue, 10 Oct 2023 03:50:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447453

ปัจจุบัน ESG มีความสำคัญอย่างมากในโลกธุรกิจ เราเห็นข่าวด้านธุรกิจเริ่มพูดถึงประเด็นของ ESG เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเองก็อาจสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร ปัจจัยดังกล่าวทำให้ธุรกิจหรือแม้แต่สตาร์ทอัพเองก็อาจสงสัยว่าทำไมบริษัทของตนจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

Positioning และ Beacon VC จะพาไปหาคำตอบว่าเรื่องของ ESG กับสตาร์ทอัพนั้นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร และประเด็นใดที่สตาร์ทอัพไทยควรจะรู้


ESG คืออะไร

ESG นั้นย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว ถ้าหากธุรกิจยุคใหม่จะเติบโตก็ต้อง Do Good Do well ไปด้วยกัน เป็นโจทย์ที่ธุรกิจต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปอย่างยั่งยืนพร้อมกับยังคงความสามารถในการสร้างกำไรให้กับองค์กรตัวเองไปได้พร้อมกัน

การคำนึงถึง ESG ในการทำธุรกิจ เป็นการชวนให้ทุกคนกลับมาทบทวนการดำเนินงานตลอดทั้ง Supply Chain ของตนเองว่ามีผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในส่วนใดบ้าง เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนกับบริษัทที่ส่งผลกระทบต่อเรื่อง ESG กล่าวคือแม้บริษัทจะมีกำไรสูง แต่หากมีกิจกรรมที่ส่งผลกระทบกับกติกาที่โลกกำลังให้ความสำคัญอย่าง ESG ก็จะถูกมองในแง่ลบและอาจไม่มีใครอยากลงทุนด้วย


เมื่อนักลงทุนสนใจ ESG มากขึ้น สตาร์ทอัพเองก็ต้องปรับตัว

สตาร์ทอัพที่กำลังมองหาการลงทุนจากเหล่านักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการนำ ESG มาปรับใช้กับนโยบายและการดำเนินงานของตน แม้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นการเพิ่มภาระให้กับธุรกิจของตัวเอง แต่หากมองในระยะยาว จะเห็นว่าการเริ่มปรับตัวให้เข้ากับหลักเกณฑ์ด้าน ESG ตั้งแต่ตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่สตาร์ทอัพควรทำเป็นอย่างมาก เนื่องจากกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ จะถูกบังคับใช้และมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในอนาคต

จากข้อมูลของ EY ในปี 2565 ที่ผ่านมานั้น ได้แสดงว่า มีนักลงทุนถึง 26% เลือกที่จะไม่ลงทุนกับธุรกิจที่ไม่สามารถให้ความชัดเจนในนโยบายด้าน ESG นอกจากนั้นยังพบว่า 56% ของ Hedge Funds และ Private Equity และ 20% ของ Venture Capital ได้นำเกณฑ์ ESG มาเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญในการพิจารณาลงทุน

เรื่องของสิ่งแวดล้อม หนึ่งในประเด็นของ ESG ที่กำลังถูกจับตามองอย่างมาก – ภาพจาก Unsplash


โอกาสที่จะได้ ถ้าสตาร์ทอัพหันมาสนใจเรื่อง ESG  

จากงานวิจัยของ McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก พบว่าบริษัทที่นำแนวคิดด้าน ESG มาประกอบในการดำเนินธุรกิจนั้น จะเพิ่มความสามารถให้บริษัทนั้นเปิดตลาดใหม่ๆ ในทวีปยุโรปที่กำลังมองหา Sustainability Index จากบริษัทที่จะเข้าไปทำตลาดมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจหากเลือกที่จะใส่ใจเรื่อง ESG ก่อนคนอื่น นอกจากนั้นการให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG จะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตและแข่งขันได้ในระยะยาว มากกว่าการแสวงหากำไรระยะสั้นที่ไม่ยั่งยืน และแน่นอนที่สุดคือจะได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น รวมถึงยังช่วยป้องกันการโดนลงโทษจากกฎหมายตามมาตรฐานของประเทศต่างๆ ที่จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ดังนั้นในฐานะคนทำธุรกิจไม่เว้นแม้แต่สตาร์ทอัพเองก็ควรจะต้องให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ไม่เพียงเท่านี้ คนรุ่นใหม่ยังให้ความสนใจกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นรวมถึงมองหาโอกาสในการ ทำงานกับองค์กรที่แสดงให้เห็นได้ว่าไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว ดังนั้นบริษัทที่ทำเรื่อง ESG ได้ดี ก็จะมีโอกาสที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรได้มากขึ้น พนักงานในองค์กรเองก็จะภูมิใจที่องค์กรจัดการกับประเด็นเหล่านี้ได้ดี

คุณธนพงษ์ ณ ระนอง Managing Director จาก Beacon VC เจ้าของโครงการ KATALYST By KBank ได้กล่าวในงานสัมมนา ESG A Lasting Game Changer ว่าเรื่องของ ESG เป็นสิ่งที่กำลังมาและมีความสำคัญจริง ๆที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงเรื่องของเทรนด์ใหม่ๆ บางครั้งคนอาจจะกลัวว่าเป็นแค่ Buzz Words คือเรื่องที่มีการพูดถึงมากๆ แต่มาไม่นานแล้วก็หายไป คนกลัวว่าESG จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ แต่จากที่ได้ไปงานสัมนาด้าน ESG ต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศถ้าเราเข้าไปดูในฝั่งนักลงทุน จะเห็นว่านักลงทุนที่มาในงาน ESG จะเป็นนักลงทุนจากสถาบันที่มีการก่อตั้งมานานแล้วและมีความที่จริงจังในการลงทุนมาก เชื่อได้ว่าเรื่อง ESGจะเป็นการลงทุนที่เป็น Long Term Investment มากๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือเรื่อง ESG ยังเป็นเรื่องใหม่มากๆ โดยเฉพาะในประเทศไทย

ดังนั้น กฎ ระเบียบต่างๆ และด้านตลาดยังมีความไม่ชัดเจนอยู่มากๆ ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดดีพอ เราจะเข้าไปจับโอกาสนั้นได้ยาก

คุณธนพงษ์ ณ ระนอง – กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC)


สตาร์ทอัพจะปรับตัวกับ ESG ได้อย่างไร  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาคธุรกิจจะมีทางเลือกในการดำเนินการเพื่อรับมือต่อประเด็นความยั่งยืนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน อาทิ ความพร้อมของกิจการทั้งความรู้ความเข้าใจ สภาพคล่องและเงินลงทุน เป็นต้น และปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ฐานลูกค้า มาตรการของคู่ค้าและทางการ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งแต่ละธุรกิจคงต้องชั่งน้ำหนักถึงผลบวกและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งผลที่จะตามมาจากการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการต่อผลการดำเนินการในช่วงเวลาต่างๆ ว่าคุ้มค่าหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมองว่า ธุรกิจหรือสตาร์ทอัพอาจเริ่มต้นจากการลดส่วนสูญเสียในกระบวนการผลิต แยกขยะและนำวัสดุอุปกรณ์เหลือทิ้งมาใช้ซ้ำ หรือ รีไซเคิล วางแผนก่อนการใช้สิ่งต่างๆ เลือกใช้วัสดุ หรือวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการประหยัดไฟฟ้าและน้ำ การใช้ไฟฟ้าช่วง Off-Peak ที่มีค่าไฟต่อหน่วยต่ำ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน การออกแบบเส้นทางการใช้รถยนต์ การเปลี่ยนรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การลดการขนส่งเที่ยวเปล่า การใช้โซลูชั่นหรือเทคโนโลยีเพื่อลดความสิ้นเปลือง เป็นต้น แนวทางเหล่านี้ธุรกิจอย่างสตาร์ทอัพหรือแม้แต่ธุรกิจทั่วไปก็น่าจะทยอยปรับเปลี่ยนเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง และยังมีเคล็ดลับจากงาน ESG A Lasting Game Changer ได้แนะนำให้สตาร์ทอัพเริ่มจากศึกษาเรื่อง ESG และดูว่าคนที่อยู่ใน Ecosystem นี้ทำอะไรอยู่บ้าง เราสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งดีๆ เพื่อเป็นแนวทางและนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองก่อน

ถ้ามองภาพรวมใหญ่ของบริษัท เรื่อง ESG มีการทำในบริษัทอยู่แล้ว แต่บางเรื่องอาจจะยังไม่นึกมาก่อนว่านี่ก็คือการทำ ESG เช่น การดูแลพนักงานดีหรือไม่ การดูแลสวัสดิการต่างๆ เป็นอย่างไร นี่คือสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ที่อาจจะยังไม่เคยมอง ให้เลือกทำในสิ่งที่อยากทำ และโดดเด่นจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นด้านไหนของ ESG โดยอยากเน้นย้ำว่าถึงแม้ในปัจจุบันตลาดโดยรวมอาจจะให้ความสำคัญหลักไปที่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือตัว E แต่ในเรื่องของ S หรือการปฏิบัติต่อพนักงานและสังคมรอบข้าง และเรื่องของ G หรือความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อธรรมภิบาลที่ดี ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนมองหาและมีสำคัญไม่แพ้กัน

งานสัมมนา ESG A Lasting Game Changer โดย Beacon VC


Beacon VC มีส่วนช่วยเหลือธุรกิจสตาร์ทอัพในด้าน ESG ได้อย่างไร

ปัจจุบัน Beacon VC ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพปรับตัวและมองหาโอกาสจากเทรนด์ด้าน ESG โดยส่งมอบการสนับสนุนในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การให้ความรู้เรื่อง ESG ผ่านการจัดงานสัมมนาและหลักสูตรอบรมเข้มข้นประจำปี KATALYST Startup Launchpad 2023 การร่วมมือกับพันธมิตรจัดตั้ง Climate Tech Club เป็นต้น และการจัดอบรมร่วมกับ Wavemaker Impact เพื่อให้ความรู้กับกลุ่มสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับ Climate Tech เป็นต้น

รวมถึงการสนับสนุนเงินลงทุนผ่านกองทุน Beacon Impact Fund ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น ราว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการลงทุน 3 ปี โดยมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่แสวงหาผลกำไร ที่มีแนวคิดดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างผลกระทบเชิงบวกในมิติต่างๆ ของ ESG สามารถวัดผลได้ พร้อมศักยภาพที่จะขยายผลไปในวงกว้าง โดยกองทุน Beacon Impact Fund มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่อยู่ในช่วงที่บริษัทสามารถสร้างรายได้แล้ว มีฐานลูกค้าที่ชัดเจน และสามารถเติบโตได้ดี

พอร์ตการลงทุนของ Beacon VC – ภาพจาก Beacon VC

ซึ่งพอร์ตการลงทุนของ Beacon Impact Fund นั้นมีบริษัทที่ลงทุนอยู่ เช่น Algbra ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเงินเพื่อให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศอังกฤษสามารถเข้าถึงบริการทา งการเงินที่สอดคล้องกับหลักทางศาสนาได้ Wavemaker Impact ธุรกิจเงินร่วมลงทุนที่มีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก หรือแม้แต่ กองทุน Siam Capital ซึ่งเป็นกองทุนที่มุ่งเน้นที่จะช่วยเป็นส่วนนึงในการทำให้การบริโภคอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ หลากหลายแขนง อาทิ วัสดุที่ไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม ระบบการซื้อขายที่ลดการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น

คุณธนพงษ์ยังได้กล่าวว่า Beacon VC หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงผลักดันและให้การสนับสนุนผู้คิดค้นนวัตกรรมรุ่นใหม่ที่มีปณิธานในการแก้ปัญหาสำคัญ ๆ ที่พวกเราทุกคนและโลกใบนี้กำลังเผชิญ ตามเจตนารมณ์ของธนาคารกสิกรไทยที่มีความมุ่งมั่นจะยกระดับการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางให้สังคมไทยและโลกใบนี้มุ่งสู่ความยั่งยืนที่แท้จริงไปด้วยกัน

]]>
1447453
สตาร์ทอัพสหรัฐฯ ไอเดียดี เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด ลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ https://positioningmag.com/1446831 Thu, 05 Oct 2023 07:35:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446831 Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยผลิตมาจากส่วนประกอบหลายชนิต มีรสชาติแทบจะเหมือนกาแฟทุกประการ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกต้นกาแฟ รวมถึงลดปัญหาโลกร้อน

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Atomo Coffee สตาร์ทอัพจากเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะเปิดตัวกาแฟไร้เมล็ด โดยจุดประสงค์หลักคือลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการปลูกต้นกาแฟ หลังความต้องการกาแฟเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนผสมของกาแฟไร้เมล็ดที่บริษัทผลิตออกมานั้นประกอบไปด้วยน้ำมันสะกัดจากดอกทานตะวัน อินทผลัม กาเฟอีน ฟีนูกรีกหรือลูกซัดที่สกัดเอาไขมันออกไป เป็นต้น ซึ่งรสชาตินั้นผู้ผลิตได้กล่าวว่าแทบเหมือนกาแฟเกือบทุกประการ เนื่องจากผลิตโดยใช้โครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกัน

Andy Kleitsch ซึ่งเป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้งของ Atomo Coffee ได้กล่าวว่า “กาแฟทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าในแต่ละวัน โดยในแต่ละวันมีการตัดไม้ทำลายป่า 10 เท่าของขนาดของ Central Park ใน New York ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าตกใจ

การตัดไม้ทำลายป่าถือเป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 2 ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามหลังจากการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และจากการศึกษาพบว่าภายในปี 2050 พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งที่ใช้ปลูกกาแฟในปัจจุบันอาจไม่สามารถผลิตเม็ดกาแฟออกมาได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไม่เพียงเท่านี้ ปริมาณฝนที่ตกหนักจากสภาวะโลกร้อนก็ส่งผลทำให้การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟนั้นทำได้ลดลง ส่งผลทำให้เมล็ดกาแฟมีราคาแพงมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทกล่าวว่ากาแฟไร้เมล็ดของบริษัทช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 93% และใช้น้ำน้อยกว่ากาแฟทั่วไปถึง 94%

โดยผลิตภัณฑ์กาแฟไร้เมล็ดของบริษัทจะเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าร้านกาแฟเป็นหลักก่อน และบริษัทกำลังเจรจากับบริษัทผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลกบางรายในการผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดหลังจากนี้

Atomo Coffee ได้รับเงินลงทุนมากถึง 51.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และนักลงทุนบางส่วนเคยเป็นนักลงทุนผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทอย่าง Beyond Meat ด้วย โดยนักลงทุนเหล่านี้หวังว่ากาแฟไร้เมล็ดจากผู้ผลิตรายนี้จะได้รับความนิยมในท้ายที่สุด

]]>
1446831
คุยกับ ‘ผอ. NIA’ ถึงวงการ ‘สตาร์ทอัพไทย’ ในยุคที่มีแต่ ‘FinTech’ ทั้งที่เป็นประเทศเกษตรกรรม https://positioningmag.com/1441348 Thu, 17 Aug 2023 04:41:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441348 หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ NIA หรือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หน่วยงานที่คอยให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพ, SMEs หรือ Social Enterprise ที่มีนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ ซึ่ง NIA เพิ่งได้ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ NIA คนล่าสุด ที่จะมาฉายภาพของวงการสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร จุดไหนที่ยังต้องเสริมความแข็งแรง และทิศทางของ NIA จากนี้จะเป็นอย่างไร

สตาร์ทอัพไทยดูเงียบ ๆ

สตาร์ทอัพไทยเกิดใหม่เพิ่มขึ้นมาทุกปี โดยเฉพาะในช่วงโควิดก็มีเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น เพราะคนทยก็คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจากการการจัดอันดับ Global Startup Ecosystem Index 2023 โดย StartupBlink กรุงเทพฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดขยับขึ้น 25 อันดับ เป็นที่ 74 ของโลก แซงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (อันดับ 87) มาเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยปัจจุบันสตาร์ทอัพไทยมีประมาณ 2,000 กว่าราย โดยในปีหน้าคาดว่าจะแตะประมาณ 3,000 ราย

อย่างไรก็ตาม จำนวนของสตาร์ทอัพนั้นไม่สำคัญเท่ากับการอยู่รอดและเติบโต ซึ่งปัจจุบันไทยเองก็มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอยู่บ้าง ทั้งสายของ FinTech สายโลจิสติกส์ ซึ่ง NIA ก็อยากจะมีจำนวนของสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นในไทยให้มากขึ้น แต่การจะสร้างยูนิคอร์นได้หนีไม่พ้นการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ หรือ VC CVC ขนาดใหญ่ ที่จะลงเม็ดเงินเพื่อให้เขากลายเป็นยูนิคอร์นแล้วก็หาตลาด ช่วยในการ penetrate ตลาด

“สตาร์ทอัพมันไม่ใช่ Number of Game ไม่ใช่ว่าจำนวนมากมันจะดี ปัญหามันคือ สตาร์ทอัพที่มีอยู่มีการเติบโตอย่างไร นั่นคือสิ่งที่อยากจะมุ่งเน้นด้วย”

FinTech เยอะ ทั้งที่เป็นประเทศเกษตรกรรม

เซกเมนต์ที่สตาร์ทอัพไทยมีเยอะที่สุดก็คือ FinTech ยิ่งโควิดมายิ่งเติบโตจนบางทีก็แข่งกันเอง ดังนั้น NIA เลยอยากจะเน้นใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ เกษตร อาหาร การแพทย์ ท่องเที่ยว พลังงานและสิ่งแวดล้อม อีกส่วนหนึ่งก็คือ เรื่องเกี่ยวกับ Soft Power อย่าง AgriTech (สตาร์ทอัพด้านการเกษตร) ซึ่งในไทยมีแค่ 53 ราย น้อยมาก แล้วอยู่ใน Seed Stage เยอะด้วย

ที่น่าแปลกใจคือ คนที่จบด้านการเกษตรมามีไม่น้อย โดยเฉพาะในแวดวงวิชาการเยอะมาก แต่ปัญหาคือ เขาอาจต้องเพิ่ม Entrepreneurship Mindset เข้าไปเพื่อสร้างให้เขาเป็นผู้ประกอบการ เพราะส่วนใหญ่เขาเรียนจบมาหางานทำเลย ไม่ได้คิดจะทำธุรกิจ อีก pain point ก็คือ เกษตรกรยังไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคโนโลยี ทำให้เกษตรกรยังไม่เข้าใจในเซอร์วิสของสตาร์ทอัพ นี่ก็เป็นโจทย์ของ NIA ในการแมตช์สตาร์ทอัพกับเกษตรกร

FinTech นี่น่าจะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของสตาร์ทอัพไทย ส่วนหนึ่งมองว่ามันน่าจะทำง่ายกว่า สเกลได้ไวที่สุด แต่เกษตรกว่าจะสเกลได้ต้องพยายามใช้คนในพื้นที่ช่วยนะ มีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง ดังนั้น ไม่แปลกใจหรอกทำไมเราเห็น FinTech เยอะสุด”

อยากให้สตาร์ทอัพไทยเป็นตัวเลือกแรกของรัฐ-เอกชน

การสนับสนุนสตาร์ทอัพขององค์กรใหญ่มี 3 มิติ ได้แก่ สร้างบริษัทลูกขึ้นมาเป็นสตาร์ทอัพ, เอาเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพื่อ take หุ้น หรือ ช่วยในเรื่องของการเป็นสร้าง brotherhood ทำตลาด สร้างตลาด และเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าด้านไหนก็เป็นประโยชน์ ช่วยให้ระบบนิเวศนวัตกรรมของสตาร์ทอัพดีขึ้นแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เราอยากให้ทั้งองค์กรใหญ่และภาครัฐ ให้ความสำคัญกับการเลือกสตาร์ทอัพไปใช้งานก่อนจะใช้องค์กรใหญ่ โดยเฉพาะภาครัฐที่ใช้งานสตาร์ทอัพไทยน้อยมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า ถ้าเขียน TOR ตามปกติหน่วยงานรัฐ โดยทั่วไปสตาร์ทอัพเข้าไม่ได้ เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ ดังนั้น อยากให้มีกระบวนการพิเศษในการที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพให้สามารถมาใช้บริการอื่น ๆ Government for Startup พวกนี้

“ไม่ค่อยเห็นภาครัฐใช้งานสตาร์ทอัพ ตัวอย่างชัด ๆ มีแค่ QueQ ไปใช้กับโรงพยาบาล ใช้กับการจองวัคซีน เข้าชมอุทยาน แต่เราอยากมีแบบนี้มากขึ้น”

อยากเห็นการสนับสนุนอะไรจากรัฐบาลใหม่

อยากเห็นการสนับสนุนที่เป็นในทิศทางเดียวกัน เพราะตอนนี้มันมีหลายหน่วยงานซึ่งอาจจะต้องมาร้อยเรียงกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการทั่วไปว่า แต่ละคนมีบทบาทเสริมหนุนกันยังไงบ้าง ต้องไม่ซ้ำซ้อนกันแต่เสริมกันได้ แล้วก็ต้องการให้ตัวนโยบายของรัฐบาลใหม่ ให้ความสำคัญกับธุรกิจนวัตกรรมมากขึ้น แล้วก็ส่งเสริมให้มีตลาดของภาครัฐมากขึ้นอย่างที่บอก

อีกส่วนคือ ข้อกฎหมายหลาย ๆ ตัวที่เป็นปัญหา สำหรับผู้ประกอบการนวัตกรรมที่อยากให้ปลดล็อกมากขึ้น ปัจจุบัน NIA เสนอไปแล้วคือ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ ร่าง พ.ร.บ. สตาร์ทอัพ ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของกฤษฎีกา

อีกข้อคือ กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของหุ้น โดยเฉพาะตัว ESOP (Employee Stock Ownership Plan) เพราะเขาอยากให้มีหุ้นที่เขาสามารถที่จะไปปล่อยออกไปได้ง่ายขึ้น แล้วก็โฟลว์กลับมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งอันนี้ในตัวของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะมีข้อจำกัด แล้วอีกส่วนหนึ่งที่อยากจะทำให้สตาร์ทอัพ คือเรื่องของ ภาษี Tax Income ที่ควรจะต้องมี เรทพิเศษ เพื่อที่จะกระตุ้นให้สตาร์ทอัพสามารถที่จะเติบโตได้

จะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ จาก NIA

NIA จากนี้จะมีการปรับกระบวนการของการให้ทุนให้มีความรวดเร็วมากขึ้น สามารถกระจายตัวของการให้ทุนได้มากขึ้น ไปสู่กลุ่มต่าง ๆ ได้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ อาจจะมีการปล่อยลักษณะเป็น คูปองนวัตกรรม ไม่ต้องผ่านกระบวนการทั้งหมดเหมือนการให้ทุนตามปกติ นอกจากนี้ NIA ก็มีแผนจะร่วมกับสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย แล้วก็ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อจะได้กระจายทุนได้ดีขึ้น ตรงจุด

“หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่าเข้าถึงแหล่งเงินทุนมันยาก ไม่รู้จะเข้ายังไง ไม่รู้จะเขียนยังไง ต้องทำยังไงบ้าง เราก็จะทำให้มันทำได้ง่ายขึ้น และเวลาเราจะให้ทุนไป มันต้องผ่านคณะกรรมการดำเนินการเยอะ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เราก็จะทำให้มันเร็วขึ้น และจากนี้เราจะพยายามเน้นที่ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก จากที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าการให้ทุนเราจะกระจาย ซึ่งอาจจะวัดผลกระทบที่จับต้องได้ไม่ชัดเจน เลยอยากจะทำมันจับต้องได้”

เป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของ NIA

ในส่วนของเป้าหมายระยะสั้นของ NIA จากนี้จะเป็นการปรับทิศทางการทำนวัตกรรมให้ ตอบโจทย์รายอุตสาหกรรม มากขึ้น การทำเครือข่ายผู้ประกอบการ ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก มาทำลักษณะของการทำร่วมกันใน value chain ให้มากขึ้น รวมถึงสานต่องาน Startup Thailand และ Incubation Program ให้ลงไปทั่วมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่

ในระยะยาว ที่อยากจะมีอีเวนต์ใหญ่ของประเทศที่เหมือน Web Summit ที่คนทั่วโลกต้องมา อาจจะเป็น Thailand Innovation Fairพราะเรามองว่าการจัดอีเวนต์เป็นแตกแยก ๆ ไปเยอะ อิมแพคมันไม่เกิด ซึ่งอีเวนต์ใหญ่เราอยากทำให้เกิดขึ้นภายในปีหน้า

“ท้ายที่สุดแล้ว NIA อยากให้สตาร์ทอัพไทยเป็น DeepTech Startup มากขึ้น เพราะจะอยู่ได้ยาว ก๊อปปี้กันยาก และเรื่องของนวัตกรรมต้องเป็น agenda หลักของประเทศ ตั้งแต่เรื่องของสร้างเทคโนโลยี การสร้างระบบที่มันเสริมเอานวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ ซึ่งต้องทำร่วมกันทั้งประเทศ เพื่อช่วยให้ไทยไปสู่เป้าหมายการขึ้นเป็นอันดับที่ 30 ของ Global Innovation Index ภายในปี 2030 จากปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 43 จาก 132 ประเทศทั่วโลก

]]>
1441348
“Beacon Impact Fund” ประเดิมเงินลงทุน 1,200 ล้าน กองทุนเพื่อ “สตาร์ทอัพ” ที่ทำธุรกิจด้าน ESG https://positioningmag.com/1423092 Thu, 16 Mar 2023 04:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423092

“เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมและสังคม อยู่ที่เราเลือกว่าจะแก้ไขอย่างไร” ด้วยมายด์เซ็ทนี้ทำให้ “บีคอน วีซี” ในเครือ KBank เปิดตัวกองทุนใหม่ “Beacon Impact Fund” มูลค่าเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท เพื่อลงทุนกับ “สตาร์ทอัพ” ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ESG โดยตรง หวังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลก

“ในฐานะ Global Citizen เราจะทำอะไรให้กับโลกนี้ เมื่อเราเป็นเจนเนอเรชันที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และเราจะเป็นเจนเนอเรชันสุดท้ายที่ยับยั้งได้ทัน” ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด กล่าวเปิดถึงที่มาของการก่อตั้ง Beacon Impact Fund ขึ้น

ESG นั้นเป็นมิติทางสังคมที่หลายองค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งต่างมีนโยบายด้าน ESG เช่น Unilever, Walmart, Salesforce, HSBC, Citibank รวมถึง ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ก็เช่นกัน ล่าสุดธนาคารมีนโยบายที่จะใช้งบลงทุนสนับสนุนด้าน ESG ทั้งภายในองค์กรตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคาร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1-2 แสนล้านบาท จากนี้ไปจนถึงปี 2573

สำหรับ ESG นั้นเป็นตัวย่อของมิติทางสังคมแบ่งเป็น 3 ประเด็นคือ Environment, Social และ Governance ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องซึ่งกันและกัน เมื่อโลกของเรามีสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ทรัพยากรบนโลกลดลง ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคม เพราะประชากรบนโลกบางส่วนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรที่มีจำกัด ขณะที่บางส่วนไม่ได้รับและต้องอาศัยอยู่บนความแร้นแค้นยากจน จนในที่สุดถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม

ขณะที่ผลตอบรับจากผู้บริโภคปลายทางต่อบริษัทที่มีนโยบายด้านนี้ก็มีแนวโน้มไปในทางที่ดี เนื่องจากมีการวิจัยพบว่า 79% ของผู้บริโภคพร้อมที่จะอุดหนุนสินค้าและบริการของบริษัทที่มีนโยบาย ESG และมีถึง 49% ที่ตอบว่าตนเคยหันมาเลือกใช้สินค้าและบริการของบริษัทที่มีนโยบาย ESG แล้วเพื่อเป็นการสนับสนุนอีกด้วย


Beacon Impact Fund อัดงบ 1,200 ล้านบาท

จากนโยบายของ KBank ที่จะสนับสนุนด้าน ESG ส่วนหนึ่งของนโยบายนี้จะลงทุนผ่านกองทุนบีคอน วีซี ทำให้บริษัทจัดตั้ง “Beacon Impact Fund” ขึ้น ด้วยเม็ดเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท หรือประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ กรอบระยะเวลา 3 ปี (2566-68)

จุดประสงค์ของกองทุนนี้ต้องการลงทุนในระดับ “Impact Investing” คือลงทุนกับสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ESG โดยตรง และต้องเป็นสตาร์ทอัพในช่วง Post-revenue หมายถึงอยู่ในช่วงที่สร้างรายได้ได้แล้ว พิสูจน์โมเดลธุรกิจว่ามีแนวโน้มทำกำไร เนื่องจากการทำธุรกิจย่อมต้องมีกำไรเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาวด้วย

โดยการชี้วัดว่าธุรกิจใดจะถือว่ามีจุดประสงค์ด้าน ESG ทางบีคอน วีซี จะยึดหลักการของสหประชาชาติ UN SDGs (United Nation’s Sustainable Development Goals) ซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย เช่น ขจัดความยากจน, รับรองการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, รับรองพลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เป็นต้น

จากเป้าหมายเหล่านี้ บีคอน วีซี ยกตัวอย่างธุรกิจที่ถือว่าเข้ากรอบการลงทุนใน Beacon Impact Fund เช่น ธุรกิจพลังงานสะอาด, ธุรกิจเกี่ยวกับ Circular Economy, ธุรกิจเกี่ยวกับการจัดการลดคาร์บอน, ธุรกิจเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข, ธุรกิจเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจทางการเงิน และธุรกิจเพื่อปกป้องสิทธิผู้บริโภค เป็นต้น

ทั้งนี้ กองทุนนี้พร้อมที่จะร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพทั่วโลก แต่จะเน้นเลือกการลงทุนในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่

ธนพงษ์คาดว่า เฉลี่ยแล้วบริษัทสามารถลงทุนร่วมกับสตาร์ทอัพได้ปีละประมาณ 5 บริษัท ร่วมลงทุนบริษัทละประมาณ 2-3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้มีบริษัทสตาร์ทอัพที่สนใจลงทุนบ้างแล้ว โดยจะเป็นสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจสอดคล้องกับจุดประสงค์กองทุน เช่น พัฒนาเทคโนโลยีแปลงรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, เทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรม เป็นต้น

ปัจจุบันบีคอน วีซีมีงบลงทุนรวมทุกกองทุนนับตั้งแต่เปิดบริษัทสะสม 265 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท มีการลงทุนแล้ว 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท

“การลงทุนกับบริษัทที่เน้นด้าน ESG จะเป็นสัญญาณไปสู่ธุรกิจที่ยังมีเป้าหมายมุ่งเน้นแต่ด้านกำไรด้วยว่า หากหันมาให้ความสำคัญกับ ESG ด้วยก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม รวมถึงส่งสัญญาณไปถึงผู้บริโภคเพื่อมาช่วยกันอุดหนุนสินค้าและบริการจากบริษัทที่ส่งเสริมด้าน ESG อีกทางหนึ่ง เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนช่วยเหลือกันได้จริง” ธนพงษ์กล่าวปิดท้าย

]]>
1423092
ไม่กระทบแค่ในประเทศ! วิกฤต “Silicon Valley Bank” ลามไกลถึง “สตาร์ทอัพจีน” https://positioningmag.com/1423087 Tue, 14 Mar 2023 06:49:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423087 ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาคงจะเห็นข่าวการปิดตัวของ Silicon Valley Bank หรือ SVB ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นการลงทุนและปล่อยกู้ให้แก่สตาร์ทอัพ และการล่มสลายของธนาคาร SVB นี้เองได้ส่งผลกระทบต่อสตาร์ทอัพทั่วโลก รวมถึง ประเทศจีน ด้วย

หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ปิดธนาคาร Silicon Valley Bank หรือ SVB ธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นการลงทุนและปล่อยกู้ให้แก่สตาร์ทอัพ ก็ได้ส่งผลกระทบไกลถึงสตาร์ทอัพของจีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

โดยผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีรายหนึ่งของจีนที่ไม่เปิดเผย ระบุว่า สาเหตุที่ SVB เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่สตาร์ทอัพจีนนิยมใช้บริการก็เพราะ SVB อนุญาตให้ธุรกิจสตาร์ทอัพ เปิดบัญชีออนไลน์ผ่านการใช้หมายเลขมือถือของประเทศจีนได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้าใช้ธนาคารกระแสหลัก เช่น Standard Chartered, HSBC, Citi มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและใช้เวลานานในการเปิดบัญชีธนาคารกับพวกเขา อาจใช้เวลานานถึง 3-6 เดือน

นอกจากนี้ แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฟินเทคและบริษัทเทคโนโลยีอีก 2 แห่ง ได้เปิดเผยว่า ผู้ร่วมทุนชอบทำงานกับ SVB เพราะธนาคารอนุญาตให้นักลงทุนเห็นและรองรับการใช้เงินทุนของสตาร์ทอัพ

“หากไม่มี SVB จะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพราะไม่มีธนาคารอื่นใดที่มีคุณสมบัติทั้งสองนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่รวดเร็วสำหรับสตาร์ทอัพและการเห็นการใช้เงินทุนสำหรับผู้ร่วมทุน”

ดังนั้น การที่มีบัญชีธนาคารกับ SVB ทำให้ บริษัทสตาร์ทอัพในจีนสามารถแตะเงินทุนจากนักลงทุนในสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ จะเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการเข้าทำ IPO ของบริษัทจีน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในทันทีว่ามีบริษัทสตาร์ทอัพในจีนจำนวนเท่าใดที่มีบัญชี SVB แต่แหล่งข่าวได้ระบุว่า บริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งในจีนที่มีการระดมทุนแบบ VC ของสหรัฐฯ จะมีบัญชีธนาคารที่ SVB

Source

]]>
1423087
รู้จัก W.F. Group ผู้ปิดดีล EGGDROP เข้าประเทศไทย ขยายสาขานอกเกาหลีเป็นแห่งแรก! https://positioningmag.com/1416023 Mon, 23 Jan 2023 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416023

EGGDROP (เอ็กดร็อป) ร้านแซนวิชไข่อันดับหนึ่งในประเทศเกาหลี ได้เปิดสาขาแห่งแรกในไทยเป็นที่เรียบร้อยที่เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ แถมยังเป็นสาขานอกเกาหลีเป็นแห่งแรกอีกด้วย โดย W.F. Group เป็นผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างประเทศไทยให้เป็น Food destination อันดับ 1 ในอาเซียน


ทำความรู้จัก W.F. Group จากแพชชั่นของคนรักอาหาร

หลายคนอาจสงสัยว่า W.F. Group คือใคร ทำไมสามารถปิดดีลกับ EGGDROP ได้ เพราะส่วนใหญ่เราอาจจะคุ้นชินกับที่บริษัทเชนร้านอาหารรายใหญ่เป็นคนนำเข้ามา เพราะมีเงินทุนสูงกว่าบริษัทรายย่อย

W.F. Group เปรียบเหมือนบริษัทสตาร์ทอัพน้องใหม่ในวงการอาหารก็ว่าได้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 นำทัพโดย 2 คู่หูนักกิน “แหวน – ณัฐภา กุลชล” และ “เฟม – สุรพัศ ตั้งสวัสดิ์ดำรง” ทั้งคู่มีแพชชั่นในด้านอาหารอย่างเต็มเปี่ยม แม้ทั้งคู่จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการร้านอาหาร แต่ก็สามารถฝ่าวิกฤตช่วง COVID-19 มาได้

W.F. Group ได้แจ้งเกิดในตลาดด้วยการนำเข้าแบรนด์เครื่องดื่มระดับพรีเมียมจากไต้หวันอย่าง Machi Machi (มาชิ มาชิ) เปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ และล่าสุดกับการนำเข้าแบรนด์แซนวิซไข่ในตำนานอย่าง EGGDROP (เอ็กดร็อป) มาเปิดสาขาแรกที่ไทย เพียงแค่ 2 แบรนด์แรกก็สามารถการันตีถึงความความแข็งแกร่งของบริษัทได้แล้ว

Machi Machi Thailand ได้เปิดตัวครั้งแรกที่สยามสแควร์ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2563 ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากผู้รักชา เนื่องด้วยความน่ารัก และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ อย่างชานมพานาคอตต้าแบบขวด หรือชีสโฟม และทาโร่บอล ทำให้ Machi Machi ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว

คุณแหวน เริ่มเล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Machi Machi มาจากเมื่อตอนสมัยเรียนปริญญาโทที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วตอนนั้นเห็นแบรนด์ Machi Machi มาเปิดสาขาที่นี่ แล้วลูกค้าต่อคิวกันเยอะมาก เลยเกิดความสนใจว่าแบรนด์นี้ต้องอร่อยมากขนาดไหน คนถึงต่อคิว และสินค้าหมดตลอด พอเรียนจบก็ได้บินไปเที่ยวที่ไต้หวัน และได้ไปชิมชาต้นตำรับที่นั่นด้วย รู้สึกชอบรสชาติ กลิ่นชา ลูกเล่นของแบรนด์มีความแตกต่างจากที่อื่น จึงได้ติดต่อกับเจ้าของแบรนด์เพื่อซื้อแฟรนไชส์ ตอนนั้นแบรนด์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีการขยายสาขา 10 กว่าประเทศ ตอนนั้นคุณแหวนเองก็เพิ่งเรียนจบ ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ แต่อยากลองเป็นประสบการณ์ พอส่งแผนธุรกิจกว่า 60 หน้าไป พูดคุยกันอยู่ประมาณ 2 เดือนก็ได้เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งเป็น W.F. Group

คุณแหวนเองเป็นสายกินอยู่แล้ว เป็นมิชลินฮันเตอร์ตัวยง ตามเก็บดาวร้านอาหารมิชลิน เป็นคนเดินทางหลายประเทศจึงอยากให้คนไทยได้ทานชารสชาติที่ดี วัตถุดิบออแกนิก บวกกับแนวคิดที่มองว่าตลาดประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากมาย อยากปั้นให้ประเทศไทยเป็น Food Destination ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาทานอาหารอร่อยที่ไทย


เปิดเส้นทาง กว่าจะมาเป็น EGGDROP Thailand     

สำหรับแบรนด์ที่ 2 ในพอร์ตของ W.F. Group ก็คือ EGGDROP แบรนด์แซนวิชไข่อันดับ 1 ในประเทศเกาหลี ใครที่เป็นสายเกาหลี สายซีรีส์ หรือใครที่เคยไปประเทศเกาหลีน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์นี้กันอยู่บ้าง เพราะเป็นเมนูที่ปรากฎในซีรีส์ค่อนข้างบ่อย

ส่วนจุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้เกิดจากการที่คุณแหวนได้ไปทานที่เกาหลีอีกเช่นเคย แล้วชอบในรสชาติ มองว่าต้องเข้าปากคนไทยแน่ๆ มีความคิดขึ้นมาทันทีเลยว่า “ต้องเอาร้านนี้มาเปิดในไทยให้ได้” หลังจากนั้นได้ส่งอีเมลคุยกับเจ้าของแบรนด์ พร้อมส่งแผนธุรกิจกว่า 80 หน้า ทำการเจรจากว่า 11 เดือนจึงได้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์มาครอง

ทางด้านคุณเฟมได้เล่าว่า สำหรับแบรนด์ EGGDROP ได้มองเห็นโอกาส และ Pain point ใทยเนื่องจากมองเห็นพฤติกรรมคนไทยที่ไปร้านกาแฟชอบทานกาแฟพร้อมเบเกอรี่ ราคารวมกันไม่ต่ำกว่า 300 บาท ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำคนไทย 300 บาท ซึ่งมีความย้อนแย้งอยู่พอสมควร มองว่าสามารถเข้าถึงคนไทยได้แค่เฉพาะกลุ่มที่จะสามารถทานของอร่อยได้ จึงอยากมีอะไรที่เข้าถึงคนไทยได้ทุกกลุ่มในราคาย่อมเยา ซึ่ง EGGDROP มีรสชาติที่เข้าปากคนไทย เมนูเป็นขนมปัง คนไทยคุ้มชินกับการทานขนมปังอยู่แล้ว ถ้าเป็นชุดคอมโบ้อาหารและเครื่องดื่มรวมกันไม่ถึง 300 บาท

อีกทั้งยังมีช่องทางในตลาดให้เข้าไปเล่นได้ คนไทยบางคนอาจจะอยากได้มื้ออาหารที่เป็น Quick Meal อาหารด่วนๆ แต่ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ด EGGDROP สามารถตอบโจทย์ตรงนั้นได้ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ EGGDROP เข้ามาตอบโจทย์คนที่อยากทานมื้อด่วนๆ แต่ได้ในเรื่องคุณภาพ ซึ่ง EGGDROP เป็น High Quality Fastfood อาหารฟาสฟู้ดที่ได้คุณภาพ แต่ Fastfood ที่ว่านี้หมายถึงการปรุงอาหารที่รวดเร็ว ไม่ได้หมายถึงการเป็น Junk Food และด้วยความที่ EGGDROP เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว จากอิทธิพลของเกาหลีในไทย ทำให้ทำการตลาดง่ายขึ้น

ถ้าถามว่าอะไรเป็นจุดที่ทำให้ทาง EGGDROP ตัดสินใจเลือก W.F. Group เป็นพาร์ทเนอร์ในไทย เพราะที่ผ่านมาได้มีเชนร้านอาหารเคยติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์เช่นกัน แต่ได้เลือกบริษัทน้องใหม่อย่าง W.F. Group

คุณเฟมมองว่า “ทางเกาหลีเลือกเราเพราะแพชชั่นในด้านอาหารจริงๆ แม้จะมีธุรกิจใหญ่ๆ เข้าไปเจรจาด้วย แต่เขาเลือกเรา เพราะเรามีความเป็นเจ้าของ ทำงานเหมือนสตาร์ทอัพ ลงไปดูแลร้านด้วยตัวเอง อีกทั้งไทยเป็นโลเคชั่นสำคัญ เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอาเซียน เป็นโอกาสทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นได้”

โดย EGGDROP ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2560 และขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภายในระยะเวลา 1 ปี สามารถเปิดได้ถึง 50 สาขา และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นร้าน QSR (Quick Service Restaurant) อันดับ 1 ของเกาหลีในเวลาไม่นาน ปัจจุบันมีสาขามากถึง 275 สาขาทั่วประเทศเกาหลี

จุดเด่นที่ทำให้ EGGDROP เป็นที่รักของชาวเกาหลี และทุกคนที่ได้ชิม เพราะคุณภาพของอาหาร และวัตถุดิบ ที่คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด ตั้งแต่ ไข่ ขนมปัง แฮม รวมไปถึงผักต่างๆ รวมไปถึงหน้าตาของเจ้าแซนวิชไข่ที่สุดแสนจะน่ารัก มาพร้อมกับลายตารางอันเป็นเอกลักษณ์ ชวนให้ลิ้มลองชิม และชวนถ่ายรูปเช็คอินบนโซเชียลมีเดียกันเลยทีเดียว


เตรียมขยาย 70 สาขาภายใน 5 ปี

สำหรับร้าน EGGDROP ในประเทศไทย มีราคาเริ่มต้นที่ 89 บาท มีราคาถูกกว่าที่เกาหลีถึง 20% เป็นความตั้งใจของบริษัทที่อยากทำราคาให้เข้าถึงคนไทยได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นจากแบรนด์อื่นที่มีการนำเข้ามาเปิดในไทย จะมีราคาแพงกว่าประเทศต้นแบบ จึงหาวิธีทำให้ราคาถูกกว่า แต่คงคุณภาพให้เหมือนต้นแบบ

สำหรับแผนในการขยายสาขาในระยะสั้นมีการขยาย 10-15 สาขาภายใน 2 ปี ส่วนในระยะยาวจะขยายมากถึง 70 สาขาภายใน 5 ปี เลือกโลเคชั่นตามปั๊มน้ำมัน ศูนย์การค้า หรือพื้นที่ที่มีทราฟฟิกเยอะ มีแผนอยากเปิดร้านแบบ 24 ชั่วโมง และโมเดลสแตนอโลน รวมไปถึงโมเดลที่เน้น Grab and Go ด้วย

ในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาเมนูให้เข้ากับโลคอล หรือเพิ่มเมนูความเป็นไทยๆ ให้มากขึ้น เมนูที่มีรสชาติจัดจ้าน รสชาติเผ็ดๆ หรือมีเมนูข้าวเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของคนไทยที่ชอบทานรสชาติจัดจ้าน


เริ่มจากศูนย์ เจอรับน้องด้วย COVID-19

อีกหนึ่งความท้าทายของ W.F. Group ก็คือ การเริ่มธุรกิจตอนช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 พอดี หลังจากที่เซ็นสัญญา ก็เกิดการแพร่ระบาดจนมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้แผนการเปิดร้านต้องเลื่อนจากตอนแรกมีแผนจะเปิดช่วงเดือนเมษายนปี 2563 เป็นเดือนตุลาคม 2563 แทน

กลายเป็นว่าการเริ่มธุรกิจของคุณแหวน และคุณเฟมได้เจอรับน้องอย่างหนัก จากที่ต้องเริ่มจากศูนย์ กลายเป็นติดลบ เพราะต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง แต่ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลานแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมแพ้ สามารถขยายสาขา Machi Machi ได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสาขาอยู่ในห้างต่างๆ ในกรุงเทพแล้วถึง 6 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์, เซ็นทรัล ชิดลม, สามย่านมิตรทาวน์, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, สีลมคอมเพล็กซ์ และเซ็นทรัล อีสต์วิลล์

“ที่ผ่านมาถือว่ายากมาก จากที่เป็นหน้าใหม่ในวงการ ได้เริ่มจากศูนย์ พอเจอ COVID-19 เข้าไปกลายเป็นติดลบไปเลย ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง ตอนล็อกดาวน์ก็ทำให้สินค้าเข้าไม่ได้ ท่าเรือปิด เคยคิดอยากเลิกทำเหมือนกัน แต่มีทีมงานอยู่ มีกำลังใจ ก็เลยต้องสู้ ถือว่าลงหลังเสือมาแล้ว แต่จากวิกฤตรงนั้นก็เป็นบทเรียนให้เราได้ มองว่าทุกปัญหามีทางแก้ แต่ต้องใจเย็น มองหลายมุมมอง” 

นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว W.F. Group มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาด “สัตว์เลี้ยง” เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการเติบโตขึ้นทุกปี อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็น “ทาสหมา” เลี้ยงน้องหมา 10 กว่าตัว มีแผนที่จะทำเป็นคอมเพล็กซ์สำหรับสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้ ส่วนธุรกิจอาหารมองว่าในปีนี้จะขยายไปยังตลาดเบเกอรี่ อาจจะนำเข้าแบรนด์เบเกอรี่จากต่างประเทศอีก 1 แบรนด์อีกด้วย

 

]]>
1416023