หัวหิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 10 Oct 2024 14:04:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ศุภาลัย” เปิดคอนโดฯ รวด 4 โครงการ วางหมาก “ราคาถูกกว่า” ปั๊มยอดขายปลายปี’67 https://positioningmag.com/1493980 Thu, 10 Oct 2024 14:04:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493980 หลังจากที่อั้นมาทั้งปียังไม่มีคอนโดฯ เปิดใหม่ ปลายปี’67 “ศุภาลัย” ใส่เต็ม เปิดรวดเดียว 4 คอนโดฯ ทำเลบางหว้าเจริญนครภูเก็ตเขาเต่า ทุกคอนโดฯ วางกลยุทธ์ทำ “ราคาถูกกว่า” ขอโกยยอดช่วงปลายปี 2567 ชี้สัญญาณตลาดคอนโดฯ ดีขึ้น ปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดใหม่เป็นเท่าตัว

“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แถลงเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการที่จะเริ่มจองในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ของบริษัท มูลค่ารวมกว่า 5,800 ล้านบาท ได้แก่

  1. Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ จำนวน 771 ยูนิต ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
  2. Supalai Tyme เจริญนคร จำนวน 461 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.59 ล้านบาท
  3. Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต จำนวน 221 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.69 ล้านบาท
  4. Supalai Kram เขาเต่า จำนวน 84 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.59 ล้านบาท

โดยเลือกเปิดตัวในช่วงปลายปีเพราะเริ่มเห็นสัญญาณตลาดคอนโดฯ ว่าเริ่มดีขึ้น วัดจากยอดเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีไม่ถึง 50% ของที่เคยมีการเปิดช่วงครึ่งปีแรก 2566 แต่ยอดขายกลับตกลงไม่มาก โดยยอดขายช่วงครึ่งปีแรก 2567 คิดเป็น 60% ของครึ่งปีแรกปี 2566

ศุภาลัย
จำนวนยูนิตคอนโดฯ เปิดตัวใหม่เปรียบเทียบกับจำนวนยูนิตที่ขายได้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ถือเป็นช่วงที่ยอดขายคอนโดฯ ขึ้นไปสูงกว่าจำนวนคอนโดฯ เปิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการซื้อคอนโดฯ แต่ซัพพลายมีน้อยลง เป็นจังหวะที่ดีที่ศุภาลัยจะเติมซัพพลายลงไปในตลาดได้

มองถึงอนาคตปี 2568 ไตรเตชะชี้ว่าซัพพลายคอนโดฯ เปิดใหม่ก็น่าจะยังไม่สูงมากเช่นกัน เพราะวัดจากการได้รับอนุมัติ EIA ของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันลดเหลือ 5 โครงการต่อเดือน เทียบกับก่อนโควิด-19 เคยได้รับอนุมัติประมาณ 15 โครงการต่อเดือน ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ก็น่าจะยังมีไม่มาก

ปี 2568 ศุภาลัยจึงตั้งเป้าว่าจะเปิดคอนโดฯ ใหม่คิดเป็นมูลค่า 2 เท่าของปีนี้ โดยจะมีทั้งคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และเปิดในต่างจังหวัดเพิ่มอีก

 

ไม่วัดใจลูกค้า ขอเปิด​ “ราคาถูกกว่า” โกยยอดชัวร์ๆ

ไตรเตชะกล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการเปิดขายคอนโดฯ ปี 2567 ว่า แม้ตลาดจะดีขึ้นแต่เทรนด์ลูกค้ายังอ่อนไหวเรื่องราคาในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่อยู่ในตลาดด้วย ทำให้ศุภาลัยเลือกจะใช้การทำ “ราคาถูกกว่า” คู่แข่งในทำเลเพื่อมัดใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วสำหรับโครงการที่ยังต้องรอการก่อสร้าง

ยกตัวอย่างโครงการที่มั่นใจว่าราคาจะเป็นปัจจัยดึงดูดคือ Supalai Tyme เจริญนคร เปิดราคาเฉลี่ยทั้งตึก 85,000 บาทต่อตร.ม. ในทำเลเจริญนครช่วงกลาง (ด้านใต้ของสะพานตากสิน-ก่อนถึงสะพานพระราม 3) ซึ่งคอนโดฯ อื่นๆ ในย่านนี้ที่อยู่ติดถนนเจริญนครจะทำราคาพุ่งไปที่ 121,000-136,000 บาทต่อตร.ม. แล้วทั้งหมด ทำให้คอนโดฯ ใหม่ของศุภาลัยจะถูกกว่าทำเลถึง 30%

ทำเลเจริญนครและช่วงราคาที่แตกต่างกันทั้งบริเวณที่ตั้ง ติดถนนใหญ่หรือเข้าซอย และอยู่ฝั่งติดแม่น้ำหรือไม่ติด

หรืออีกโครงการอย่าง Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ ระยะทางประมาณ 500 เมตรจากสถานีบางหว้า ราคาเฉลี่ยโครงการนี้อยู่ที่ 75,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ก็จะถูกกว่าคู่แข่งในทำเลซึ่งทำราคาอยู่ราว 90,000 บาทต่อตร.ม. ด้วยช่องว่างราคาที่ต่ำกว่าเกิน 10% ก็เชื่อว่าจะดึงดูดลูกค้าได้มาก

“บอกตามตรงแบบไม่เขินเลยคือเราไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาดในไตรมาส 4 ปีนี้ ถ้าเปิดตึกมาจะต้องได้ยอดขายเท่านั้น ทำให้ต้องทำราคาถูกสุดเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจทันที” ไตรเตชะกล่าว

ทีมงานบมจ.ศุภาลัย: (จากซ้าย) “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์, “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร และ “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ

ในแง่บริหารจัดการต้นทุน เอ็มดีศุภาลัยยืนยันว่าโครงการจะยังได้กำไรเพราะต้นทุนที่บริหารได้ดีในปีนี้คือ “ค่าวัสดุและก่อสร้าง” เนื่องจากราคาวัสดุต่ำลงมาแล้วเทียบกับช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับผู้รับเหมาและซัพพลายเออร์มีการแข่งขันประมูลราคากันสูงในปีนี้ จึงทำให้ศุภาลัยได้ราคาต่ำลง

 

ไฮไลต์จุดเด่น 4 โครงการ

ด้านรายละเอียดโครงการแต่ละแห่งว่ามีจุดเด่นน่าสนใจอย่างไร “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แจกแจงดังนี้

“Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต” เป็นอาคารเล่นระดับบนเชิงเขาเขารัง แม้ตัวอาคารจะสูง 8 และ 9 ชั้น แต่ด้วยความสูงของเขาจะทำให้ได้วิวเหมือนคอนโดฯ 20 ชั้น และเป็นคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้อย่างเป็นทางการตึกแรกใน จ.ภูเก็ต และของศุภาลัยด้วย

“Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต”

“Supalai Kram เขาเต่า” จำนวนยูนิตน้อยเพียง 84 ยูนิต ยูนิตส่วนใหญ่เป็นแบบ “2 ห้องนอน” ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการที่พักตากอากาศสำหรับครอบครัว ทำเลรับวิวอ่างเก็บน้ำเขาเต่า และระยะเดิน 400 เมตรจากชายหาดเขาเต่าซึ่งลงเล่นได้จริง

Supalai Kram เขาเต่า

“Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์” คอนโดฯ คอนเซ็ปต์ออกแบบใหม่มาในธีม “สีน้ำเงิน” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มกว่าปกติ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ตัวห้องชุดให้เพดานสูง 2.7 เมตร

“Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์”

“Supalai Tyme เจริญนคร” ทำเลตรงข้ามเอเชียทีค ดันชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ 2 ชั้นบนสุดที่ชั้น 27-28 เห็นวิวแม่น้ำ 180 องศา

“Supalai Tyme เจริญนคร”
]]>
1493980
กลุ่มบริษัท “พราว” ผนึก “พลังงานบริสุทธิ์” ผุดจุดชาร์จรถ EV นำร่องการท่องเที่ยว “ไร้มลพิษ” ที่หัวหิน https://positioningmag.com/1372383 Tue, 08 Feb 2022 04:00:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372383
ต้องบอกว่าเทรนด์ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการของสินค้าอุปโภค บริโภค หรือแค่การงดใช้ขยะพลาสติกเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังรวมไปถึงเรื่องพลังงานต่างๆ การใช้พลังงานทดแทน เพื่อช่วยลดการปล่อยมลภาวะ เป็นหนึ่งในวิธีในการช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย

หนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด กลุ่มบริษัท พราว ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ เจ้าของโครงการดังในเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน ได้จับมือร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมกันผลักดันการท่องเที่ยวหัวหิน ให้เป็นการท่องเที่ยวแบบไร้มลพิษ

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ปัจจุบันมีธุรกิจในเครือ 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ธุรกิจไบโอดีเซล, ธุรกิจโรงไฟฟ้า, ธุรกิจพัฒนา เเละผลิตแบตเตอรี่, ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ที่สำคัญเป็นบริษัทคนไทย 100%

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเทรนด์การเติบโตของเซ็กเมนต์รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถยนต์เชิงพาณิชย์ หรือแม้แต่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ข้อจำกัดของยานยนต์ไฟฟ้าก็คือ หลายคนยังกังวลเรื่องจุดชาร์จแบตเตอรี่นั่นเอง

ทางพลังงานบริสุทธิ์เองก็เห็นโอกาสในกลุ่มธุรกิจนี้ และได้เดินหน้าเปิด “สถานีอัดประจุไฟฟ้า” หรือ EA ANYWHERE เพื่อเป็นจุดชาร์จแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่มีให้เลือกใช้ทั้งระบบ AC ซึ่งสามารถอัดประจุไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 44 กิโลวัตต์ในยานยนต์ทั้งประเภท PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) และประเภท BEV (Battery Electric Vehicle) โดยใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับ On-board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น) และระบบ DC ซึ่งสามารถอัดประจุไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์รองรับการชาร์จด้วยความเร็วสูงสุด (4C-Rate) ใช้เวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีเหมาะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ที่เป็น BEV เท่านั้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้า

ที่ผ่านมาพลังงานบริสุทธิ์ได้ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถานที่สาธารณะต่างๆ ที่สามารถรองรับการจอดยานยนต์ไฟฟ้าได้เป็นระยะเวลาอย่างต่ำประมาณ 1-3 ชั่วโมง เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล อาคารจอดรถพื้นที่สำนักงานย่านธุรกิจเป็นต้น และติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าระบบ Fast Charge ที่ใช้เวลาชาร์จสั้นๆ เพียง 15 นาที เช่น จุดพักรถในเส้นทางหลัก ตลอดจนภายในสถานีบริการน้ำมัน

และด้วยความที่ทั้งกลุ่มบริษัทพราว และพลังงานบริสุทธิ์ มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน การร่วมมือกันครั้งนี้จึงสร้างมิติใหม่แห่งวงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี โดยที่ทางพลังงานบริสุทธิ์ได้ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในหัวหินที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไร้มลพิษ หวังต่อยอดไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต จุดชาร์จนี้จะตั้งอยู่ภายในบริเวณที่จอดรถของโรงแรม แขกผู้เข้าพักสามารถจอดรถทิ้งไว้เพื่อชาร์จพลังงานไฟฟ้าในระหว่างที่พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ มีค่าบริการเริ่มต้นที่ 50-150 บาท ที่สำคัญที่นี่มีจุดชาร์จที่เยอะมากกว่า 10 จุดเลยทีเดียว

วสุ กลมเกลี้ยง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA กล่าวว่า

“ความร่วมมือครั้งนี้ทั้ง 2 บริษัทมีจุดมุ่งหมายคล้ายๆ กัน กลุ่มบริษัทพราวเองก็ต้องการผลักดันพลังงานสะอาดที่หัวหินส่วนพลังงานบริสุทธิ์ก็มีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม มีธุรกิจในเรื่องนี้อยู่แล้ว อีกทั้งเรามองว่าเมืองท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาด เป็นการท่องเที่ยวแบบไร้มลพิษ ปีหน้าอาจจะมีรถโดยสารไฟฟ้าที่หัวหินด้วยก็ได้”

จริงๆ แล้วความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ที่พลังงานบริสุทธิ์ได้ติดตั้งจุดชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน ถือว่าเป็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด แต่ความร่วมมือนี้ก็ได้ต่อยอดไปยังโครงการอื่นๆ อย่างเช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รวมไปถึงรถรับส่งต่างๆ ก็เป็นรถชัทเทิลบัสพลังงานไฟฟ้าที่รับส่งระหว่างโครงการของกลุ่มบริษัทพราว หรืออย่างในช่วงวันเคาท์ดาวน์ปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมานี้ ก็มีบริการรถโดยสารพลังงงานไฟฟ้ารับส่งนักท่องเที่ยวเพื่อไปดูพลุที่หน้าหาดบริเวณโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลหัวหิน รีสอร์ทซึ่งอยู่ในขั้นที่กำลังคุยกันว่าจะเป็นรถให้บริการแบบถาวร

“หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งแรกที่เริ่มทำโครงการอย่างจริงจัง เป็นโลเคชั่นที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เป็นจุดที่คนจะทดลองการใช้รถไฟฟ้าได้ อีกทั้งกลุ่มบริษัทพราวก็มีหลายโครงการในหัวหิน ทั้งโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหินรีสอร์ท, สวนน้ำวานา นาวาวอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน, โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์วานา นาวา หัวหินทรู อารีน่าหัวหิน สปอร์ตคลับและศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหินหลังจากที่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ก็มีต่อยอดด้วยการนำโซลาร์เซลล์ไปติดที่หลังคาโครงการบลูพอร์ต ในอนาคตอาจจะมีขยายความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทพราวที่โลเคชั่นอื่นๆ ได้อีก ตอนนี้กำลังคุยที่ภูเก็ตอยู่เช่นกัน สอดคล้องกับนโยบายรัฐ เมืองท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

สำหรับเป้าหมายของการร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อต้องการผลักดันการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน สามารถทำเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหัวหินจะมีมลพิษน้อยลง หรือถ้าต่อไปมีเปิดเส้นทางอื่นๆ ก็ยิ่งช่วยลดมลพิษได้มากขึ้น

นอกจากนี้พลังงานบริสุทธิ์ยังมีให้บริการ “เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า” แล้วด้วย ช่วยลดมลภาวะทางน้ำได้อีก ในอนาคตอาจจะเปิดตัวเป็นเรือท่องเที่ยวได้ และต่อยอดความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทพราวได้อีกด้วย

ความร่วมมือกันครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืนขึ้น เพราะการใช้พลังงานทดแทนอย่างพลังงานไฟฟ้า นอกจากจะลดมลภาวะทางอากาศแล้ว ไม่มีเสียงรบกวน ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น การได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ผนึกกำลังกัน จะช่วยสร้างการท่องเที่ยวแบบไร้มลพิษได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

]]>
1372383
เปิดภาพแรก “SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน)” งานศิลป์จาก “อิฐดินเผา” คอนโดฯ ส่วนตัวริมชายหาดหัวหิน https://positioningmag.com/1318248 Tue, 23 Nov 2021 10:00:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318248

พื้นที่ติดชายหาดหัวหิน-เขาตะเกียบสำหรับขึ้นโครงการใหม่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ขณะที่ปีนี้หัวหินพิสูจน์ตัวเองว่ายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทย ทำให้คอนโดมิเนียมตากอากาศ “SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน)” คอนโดบีชฟร้อนท์สุดหรูจาก “ชาญอิสสระ” เป็นที่น่าจับตามอง ด้วยทำเลติดหาด แต่ยังคงใกล้แหล่งท่องเที่ยวหลักของหัวหิน พร้อมด้วยการออกแบบสไตล์ “ทรอปิคอล” ที่ชวนให้รู้สึกอยากหลีกเร้นจากความวุ่นวายไปพักผ่อนฟังเสียงคลื่นริมทะเล

บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ เตรียมเปิดโครงการใหม่ในทำเลหัวหินอีกครั้ง โดยร่วมทุนกับ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการ “SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน)ขึ้นบริเวณต้นหัวหิน-หาดเขาตะเกียบ

โครงการนี้ไม่ใช่โครงการแรกของชาญอิสสระในหัวหิน ก่อนหน้านี้บริษัทคือผู้พัฒนา ทิวทะเลเวิลด์ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่บริเวณชะอำ-หัวหิน รวมถึงผ่านการพัฒนารีสอร์ตชายทะเลหลายโครงการ เช่น ศรีพันวา ภูเก็ต ช่วยการันตีฝีมือว่าบริษัทมีความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในบ้านพักตากอากาศ และมีมุมมองการออกแบบที่เหมาะกับตลาดไฮเอนด์

ครั้งนี้โครงการ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน) จะขยับมาเปิดในอีกมุมหนึ่งของหัวหิน คือ ชายหาดหัวหิน-เขาตะเกียบ โดยยังอยู่ในช่วงต้นของหาดบริเวณซอยหัวหิน 97 – ซอยอ่าวหัวดอน 5 ซึ่งเป็นทำเลที่ดีหากต้องการ “มุมสงบ” ในหัวหิน เพราะทำเลอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองหัวหิน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวของความเป็นเขาตะเกียบ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว-ช้อปปิ้งใกล้เคียง เช่น ตลาดซิเคด้ามาร์เก็ต ระยะทาง 2.9 กม. หรือ ศูนย์การค้าบลูพอร์ต ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 5.4 กม.

นอกจากนี้ ฝั่งต้นหาดเขาตะเกียบยังเป็นจุดที่ใกล้กับแหล่งกิจกรรมวันหยุด เช่น เส้นทางปั่นจักรยาน (Bike Lane) สู่ปราณบุรีระยะทาง 8 กม. ที่เริ่มต้นที่หน้าซอยหัวหิน 97 นี้เอง ลานหัวหินสเก็ตพาร์คที่ห่างไปเพียง 3.2 กม. หรือสนามกอลฟ์สวนสน อยู่ในระยะ 4.4 กม. ทำให้เป็นทำเลที่อยู่ใจกลางแหล่งกิจกรรมร่วมกับครอบครัว


คอนโดมิเนียมสุดหรู “งานศิลป์” สร้างความสงบ

คอนโดบีชฟร้อนท์ โครงการ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน) ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 5 ไร่ ออกแบบเป็นอาคารสูง 4 ชั้น จำนวน 5 อาคาร มีจำนวนยูนิตรวมเพียง 110 ยูนิต ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง

แนวคิดการออกแบบโครงการยังเลือกคอนเซ็ปต์ “ทรอปิคอล” มาเป็นธีมหลัก ทำให้ได้ความรู้สึกของการพักผ่อนในรีสอร์ทใกล้ชิดธรรมชาติ โครงการมีความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และใช้เทคนิคออกแบบอาคารให้มีช่องเปิดรับลมโดยรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยต้องการเมื่อมาพักผ่อนชายทะเล และช่วยส่งเสริมบรรยากาศโดยรวมของโครงการที่ต้องการให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหลีกหนีความวุ่นวาย ขณะเดียวกันยังมีชายคาที่ยื่นเลยส่วนระเบียงห้องออกไป เพราะเข้าใจถึงสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่ต้องกันแดดและฝนได้เป็นอย่างดี

คอนเซ็ปต์ทรอปิคอลยังเห็นได้ชัดจากการใช้ อิฐดินเผา” (Terracotta Brick) เป็นวัสดุหลักในการออกแบบ facade นอกอาคาร โดยใช้รูปแบบการวางอิฐสร้างลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเล่นรูปทรงให้เป็นทรงโค้งเว้าอ่อนหวานตัดกับความดิบของอิฐ สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น และถือเป็นไฮไลต์ทางสถาปัตยกรรมซึ่งหาไม่ได้ในโครงการอื่น

ขณะที่โทนสีและวัสดุอื่นๆ จะไปในทิศทางเดียวกันคือใช้สี “เอิร์ธโทน” เป็นหลัก เช่น สีน้ำตาล เบจ ส้มอิฐ และใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น หวาย ไม้ เป็นส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง


โครงการที่เข้าใจวันพักผ่อนของครอบครัว

สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการของ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน) ยังเก็บทุกรายละเอียดสำหรับการมาพักผ่อนริมทะเลหัวหิน โดยแปลนของโครงการจะมีสระว่ายน้ำทอดยาวตรงกลางระหว่างอาคาร ไปจนถึงด้านหน้าหาด รวมทั้งหมด 5 สระให้เลือกใช้งาน พร้อม Hidden Jacuzzi เพียงพอสำหรับทุกยูนิตได้มีมุมส่วนตัว

อีกหนึ่งไฮไลต์คือสวนด้านหน้าหาด เป็นจุดที่โครงการเตรียมกิจกรรมพักผ่อนไว้ให้ เช่น BBQ Corner, Chess Lawn, ลานเปตอง และปีนเขา นอกจากนี้ยังมีบีชคลับที่เตรียมอุปกรณ์กีฬาทางน้ำไว้ครบครัน เช่น เรือคายัค เซิร์ฟบอร์ด แพดเดิลบอร์ด ทำให้ลูกบ้านทำกิจกรรมสนุกๆ ได้ที่หน้าหาดคอนโดฯ ได้เลย ส่วนกิจกรรมยามค่ำคืน โครงการเตรียมห้องเกมรูมและห้องฉายภาพยนตร์ไว้สำหรับปาร์ตี้สังสรรค์ด้วย

หมัดเด็ดอีกอย่างหนึ่งของโครงการนี้คือ ทางโครงการมี Concierge Service อาทิ บริการแม่บ้านทำความสะอาด ช่างซ่อมบำรุง รีเซปชั่น, รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นจุดสำคัญของบ้านพักตากอากาศ เพราะโครงการลักษณะนี้ ลูกบ้านอาจไม่ได้เข้าพักทุกวันหรือทุกสัปดาห์ ถ้าหากไม่มีทีมงานคอยบริการทำความสะอาดและตรวจสอบความเรียบร้อย อาจจะทำให้ห้องทรุดโทรม จึงนับได้ว่าโครงการ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน) เข้าใจทุกความต้องการ ตามแบบฉบับมืออาชีพที่ผ่านการพัฒนาบ้านพักตากอากาศมาแล้วหลายแห่ง

ปิดท้ายที่รูปแบบห้องชุด มีหลายขนาดและเลย์เอาต์ตามตำแหน่งในอาคาร แบ่งเป็นห้องชุด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 37-42 ตร.ม. ห้องชุด 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 74-92 ตร.ม. และห้องชุด 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 155-160 ตร.ม.

1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 37- 42 ตร.ม.

2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 74-92 ตร.ม.

3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 155-160 ตร.ม.

ทำให้ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้ทุกขนาดครอบครัวและความต้องการ  โครงการคอนโดบีชฟร้อนท์สุดหรูที่ออกแบบเป็นเอกลักษณ์และเป็นสถาปัตยกรรมที่ “สวยนาน” ผนวกกับทำเลติดหาดหัวหิน-เขาตะเกียบแบบ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน) ไม่ได้มีเข้ามาในตลาดบ่อยนัก ทำให้นอกจากผู้ซื้อจะได้อยู่อาศัยในโครงการคุณภาพดี ยังจะเป็นสินทรัพย์ที่ทวีมูลค่าส่งต่อให้กับลูกหลานได้ในอนาคต

สำหรับใครที่สนใจโครงการ ศศรา หัวหิน Grand Opening คอนโดหรู ริมชายหาด ใจกลางหัวหิน  Celebration Promotion Up To THB 500,000 ราคา 5.5 – 55 ล้านบาท*

รายละเอียดเพิ่มเติม

 

ข้อมูลโครงการ SASARA Hua Hin (ศศรา หัวหิน)

  • ผู้พัฒนา : Issara United Co.,Ltd
  • ทำเล : ซอยอ่าวหัวดอน 5 หาดเขาตะเกียบม หัวหินม ประจวบคีรีขันธ์
  • เนื้อที่ : 5 ไร่ 1 งาน 43.6 ตร.ว.
  • รูปแบบโครงการ: อาคาร 4 ชั้น จำนวน 5 อาคาร
  • จำนวนห้องชุด : 110 ยูนิต
  • รูปแบบห้องชุด :
    – 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 37-42 ตร.ม.
    – 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 74-92 ตร.ม.
    – 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 155-160 ตร.ม.
  • ที่จอดรถ : 44 คัน
  • สิ่งอำนวยความสะดวก : สระว่ายน้ำ 5 สไตล์, Beach Club (Game Room, Indoor Cinema, BBQ Corner), Pool Club (ห้องสมุดและ Board Games, Sport Pavilion (Surf, Kayak, Paddle Board), Family Zone (Kid Pool, BBQ Corner), Chess Lawn, ลานเปตองและปีนเขา
  • ระยะทางจากสถานที่สำคัญ :
    – เส้นทางจักรยานปราณบุรี 1.4 กม.
    – โรงพยาบาลหัวหิน (3) 2.5 กม.
    – ตลาดซิเคด้ามาร์เก็ต 2.9 กม.
    – หัวหินสเก็ตพาร์ค 3.2 กม.
    – อุทยานราชภักดิ์ 4 กม.
    – สนามกอล์ฟสวนสน 4.4 กม.
    – บลูพอร์ต 5.4 กม.
    – โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน 5.5 กม.
    – สถานีรถไฟหัวหิน 7.5 กม.
]]>
1318248
“ร่วมอิสสระ” ลุยต่อทำเลตากอากาศ เปิดคอนโดฯ “ศศรา หัวหิน” เจาะกลุ่มไฮเอนด์ยังมีกำลังซื้อ https://positioningmag.com/1361163 Tue, 09 Nov 2021 12:27:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361163 “ร่วมอิสสระ” บริษัทร่วมทุนระหว่าง “เครือสหพัฒน์” กับ “ชาญอิสสระ” ลุยพัฒนาโครงการทำเลตากอากาศ เปิดคอนโดฯ “ศศรา หัวหิน” ติดหาดเขาตะเกียบ ราคาเฉลี่ยตร.ม.ละ 200,000 บาท เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ข้อมูลจาก “ไนท์แฟรงค์” ประเมินปีนี้ตลาดหัวหินยังซบเซา แต่คอนโดฯ หรูติดหน้าหาดมีโอกาสการขายที่ดีกว่า

บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือสหพัฒน์กับชาญอิสสระ เริ่มขยายพื้นที่พัฒนาโครงการออกนอกเขต “ทิวทะเลเวิลด์” ชะอำ ที่ขึ้นคอนโดฯ ไปแล้วมากกว่า 1,000 ยูนิต และมีโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหินกับพื้นที่พาณิชย์ “หัวหิน วัน” รองรับ

ครั้งนี้บริษัทร่วมอิสสระเลือกแปลงที่ดินข้ามมาทางฝั่งเขาตะเกียบ ห่างจากตลาดซิคาดา 2 กม. เพื่อพัฒนาโครงการหรู “ศศรา หัวหิน” เป็นคอนโดมิเนียมตากอากาศบนที่ดิน 5 ไร่ จำนวนห้องชุด 110 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

โครงการศศรา หัวหิน

โครงการศศรา หัวหิน แบ่งการพัฒนาเป็น 5 อาคาร สูง 4 ชั้น ออกแบบโดย บริษัท แฮบบิตา จำกัด เน้นการออกแบบสไตล์ธรรมชาติ ตกแต่งด้วยอิฐและไม้ พร้อมสระว่ายน้ำ 5 สระ เกมรูม บีชคลับ พูลคลับ ฯลฯ เหมาะกับการมาพักผ่อนและทำกิจกรรมกับครอบครัว

ห้องชุดมีตั้งแต่ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 37 ตร.ม. จนถึง 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 160 ตร.ม. ราคาเริ่ม 5.5 ล้านบาท สูงสุด 55 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 200,000 บาทต่อตร.ม. เริ่มเปิดแกรนด์ โอเพนนิ่งแล้ว โดยมีช่วงโปรโมชันพรีเซลจนถึง 31 มกราคม 2565 ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท เริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 2/65 ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี (ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาต EIA)

ศศรา หัวหิน
ภาพตัวอย่างห้องบีชคลับและเกมรูม ศศรา หัวหิน

 

ใช้คาเฟ่ดึงดูด ขายไปแล้ว 40%

โครงการนี้เริ่มซอฟต์ โอเพนนิ่งไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2564 แต่เนื่องจากเกิดการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 ทำให้การเปิดตัวเต็มรูปแบบต้องเลื่อนมาจนถึงขณะนี้ อย่างไรก็ตาม “สงกรานต์ อิสสระ” รองประธานกรรมการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ระบุว่า ศศรา หัวหิน มียอดจองแล้ว 40%

ศศรา หัวหิน
ห้องตัวอย่างศศรา หัวหิน

“COVID-19 มีผลบ้างต่อการขาย แต่เราก็ยังเห็นว่ามีคนเดินทางมาเยี่ยมชมเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา และทำให้เกิดการจอง” บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวเสริม

ทั้งนี้ โครงการมีการก่อสร้างคาเฟ่และโรงเรียนสอนเซิร์ฟอย่าง Pineapple Surf Club ริมหาด ควบคู่ไปกับเซลส์แกลลอรี ทำให้ลูกค้าหลายคนที่แวะมาใช้บริการคาเฟ่ได้เห็นบรรยากาศหน้าหาดของโครงการ เป็นกลยุทธ์การขายอย่างหนึ่ง

“พอ COVID-19 เริ่มซา ที่แรกที่คนกรุงเทพฯ หรือคนไทยจะอยากมาก่อนก็คือหัวหิน เพราะไม่ต้องบินไป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยชอบอยู่แล้ว บางคนบอกเลยว่า หัวหินคือ ‘ผู้ชนะ’ ของช่วง COVID-19” สงกรานต์กล่าว

Pineapple Surf Club

 

คอนโดฯ หรูติดหาดยังขายได้

ด้าน “ดิฐวัฒน์ อิสสระ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวถึงสภาวะตลาดหัวหิน ย้อนไปช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้เป็นช่วงที่คอนโดฯ หัวหินบูม มีดีเวลอปเปอร์ขึ้นโครงการจำนวนมาก แต่ยอดขายภาพรวมอาจไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ทำเลไม่ติดหน้าหาด ทำให้ขายยาก เทียบกับคอนโดฯ ติดหาดจะมีดีมานด์สูงกว่า

ผู้บริหารบริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด: (จากซ้าย) “ดิฐวัฒน์ อิสสระ” กรรมการผู้จัดการ, “บุญเกียรติ โชควัฒนา” ประธานกรรมการ และ “สงกรานต์ อิสสระ” รองประธานกรรมการ

สอดคล้องกับข้อมูลจาก “ไนท์แฟรงค์” สรุปสถานการณ์ตลาดหัวหินช่วงครึ่งปีแรก 2564 ณ เดือนมิถุนายนมีซัพพลายคอนโดฯ ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า จำนวนกว่า 27,900 หน่วย ซึ่งขายไปแล้ว 85% ทำให้มีหน่วยเหลือขายอีกกว่า 4,300 หน่วย และเฉพาะครึ่งปีแรก 2564 มีการขายใหม่ได้เพียง 280 หน่วย

ในช่วงครึ่งปีแรกมีโครงการเปิดใหม่เพียง 1 แห่งคือ เดอะ ไรน์ หัวหิน จำนวน 350 หน่วย แต่ยังมีโครงการที่ผ่าน EIA แล้วและรอเปิดตัวอีก 2 แห่ง คือ เดอะ แฮมป์ตัน หัวหิน บาย แสนสิริ จำนวน 256 หน่วย และ วานา นาวา เรสซิเดนซ์ หลังสวนน้ำวานา นาวา จำนวน 382 หน่วย

ไนท์แฟรงค์ประเมินว่าปีนี้ตลาดหัวหินน่าจะยังทรงตัวซบเซาเหมือนกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ซื้อหลักที่ยังสนใจตลาดหัวหินคือกลุ่มระดับบนที่ถือเงินเย็น ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ ดังนั้น สินค้าที่ยังขายได้มักจะเป็นคอนโดฯ ไฮเอนด์ติดหาด มีความน่าเชื่อถือว่าจะสามารถบริหารโครงการหลังขายได้ดี เช่น การันตีด้วยการใช้แบรนด์เชนโรงแรม หรือเป็นคอนโดฯ พร้อมอยู่ที่ลดราคาแรง

ทั้งนี้ คอนโดฯ ติดหาดมักจะมีการแบ่งราคาตามวิวของห้องชุด โซนไม่เห็นวิวทะเลราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 160,000 บาทต่อตร.ม. โซนเห็นวิวทะเลได้ 45 องศาจะตั้งราคา 200,000-250,000 บาทต่อตร.ม. และโซนที่เห็นวิวทะเล 180 องศา อยู่ใกล้ชายหาดที่สุด จะตั้งราคา 300,000-360,000 บาทต่อตร.ม.

]]>
1361163
3 สิ่งที่ “ธุรกิจโรงแรม” ต้องเปลี่ยนหลังโรคระบาด จากมุมมอง The Standard บูทิกโฮเทลหรู https://positioningmag.com/1351154 Thu, 09 Sep 2021 12:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351154 ธุรกิจโรงแรมไทยน่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้วจากการคลายล็อกดาวน์รอบล่าสุด มาฟังมุมมองจาก The Standard เชนโรงแรมฝั่งตะวันตกว่า ธุรกิจโรงแรมต้องปรับตัวอย่างไรหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว พร้อมอัปเดตแผนการบุกเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งทั่วโลก โดย 2 แห่งแรกจะเปิดบริการในไทยที่ “หัวหิน” และ “ตึกมหานคร” กรุงเทพฯ

The Standard เป็นเชนโรงแรมบูทิกที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ แห่งแรกตั้งอยู่ในฮอลลีวูด (เพิ่งปิดไปเมื่อต้นปีนี้) และกลายเป็นภาพลักษณ์ความชิค แฟชั่น อาร์ต และงานปาร์ตี้ของดาราคนดังของฮอลลีวูด DNA ของแบรนด์ถูกส่งต่อให้กับทุกๆ แห่งที่มีการเปิดทำเลใหม่ ปัจจุบันมี 6 แห่งในลอสแอนเจลิส ไมอามี่ นิวยอร์ก ลอนดอน และมัลดีฟส์

หลังจาก บมจ.แสนสิริ เข้าไปซื้อหุ้น 35% เมื่อปี 2560 โรงแรม The Standard กำลังจะมาเปิดตัวในไทยที่หัวหิน วันที่ 1 ธันวาคมนี้ และปี 2565 จะเปิดบนตึกมหานคร กรุงเทพฯ

The Standard, High Line นิวยอร์ก

มาฟังมุมมองจาก “อมาร์ ลัลวานี่” ซีอีโอ Standard International ถึงทิศทางของธุรกิจโรงแรมหลัง COVID-19 ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสถานการณ์เริ่มฟื้น

 

กลุ่มนักธุรกิจเดินทาง ‘น้อยลง’

3 อย่างที่ลัลวานี่มองว่าจะเปลี่ยนไปและอาจจะเป็นการเปลี่ยนอย่างถาวรสำหรับ “ธุรกิจโรงแรม” จากประสบการณ์ฝั่งตะวันตกซึ่งโรงแรมกลับมาเปิดบริการได้เต็มที่แล้ว คือ

เรื่องแรก นักธุรกิจที่เดินทางระยะสั้นจะลดลง เพราะความเคยชินจากเทคโนโลยีประชุมออนไลน์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินทาง และบริษัทยังต้องรัดเข็มขัดทำให้จะตัดงบส่วนนี้ออก อย่างไรก็ตาม ทริปเดินทางธุรกิจที่เป็นงานใหญ่ เดินทางไกล อยู่หลายวัน จะยังคึกคักเหมือนเดิม

“อมาร์ ลัลวานี่” ซีอีโอ Standard International

“การได้เห็นหน้ากันจริงๆ จับมือทักทายกันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเจอกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไปคืนเดียวกลับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ การเปิด Zoom คุยกันจะสะดวกกว่า แต่ถ้าเป็นงานสัมมนายาวหลายวัน มีกิจกรรมมากกว่าแค่ไปประชุม งานแบบนี้จะยังต้องการที่พักอยู่” ลัลวานี่กล่าว

โดยเขายกตัวอย่างรายได้ของโรงแรมปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนักเดินทางธุรกิจเพียง 8% เทียบกับก่อนเกิดโรคระบาดจะมีสัดส่วน 25%

 

ดีไซน์โรงแรมต้อง ‘ยืดหยุ่น’

เรื่องที่สอง คือการออกแบบโรงแรมต้องยืดหยุ่นได้มากกว่าเดิม พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนฟังก์ชันตามสถานการณ์ เช่น เปลี่ยนไนต์คลับไปเป็นร้านอาหาร เผื่อในกรณีการระบาดกลับมา และมีฟังก์ชันที่จะได้รับผลกระทบ

เรื่องที่สาม ยังเกี่ยวพันกับงานดีไซน์ โรงแรมใหม่ๆ ของ The Standard จะมีพื้นที่กลางแจ้งหรือ open-air มากขึ้น เพราะคำนึงถึงเรื่องสุขอนามัย

ลัลวานี่ยังอัปเดตสถานการณ์ตลาดฝั่งตะวันตกด้วยว่า ในสหรัฐฯ เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โรงแรมของเครือในนิวยอร์กกลับมา ‘มีชีวิตชีวา’ แม้ยังต้องระวังตัว ส่วนที่ไมอามี่เรียกว่าเกือบจะกลับมาปกติเท่ากับก่อน COVID-19

 

อย่างไรก็ตาม โรงแรมที่ตั้งอยู่ในลอนดอนและมัลดีฟส์อาจจะยังฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่า เพราะปกติมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการเป็นส่วนมาก เทียบกับในสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากกำลังซื้อของคนในประเทศเอง ทำให้ประเทศท่องเที่ยวต้องรอการเปิดพรมแดนเสรีจึงจะฟื้นตัวชัดเจน

 

เตรียมเปิดโรงแรม 9 แห่ง ปักหมุดในไทย 2 แห่ง

ด้านแผนขยายธุรกิจของ The Standard จะยังมีต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวโรงแรม 9 แห่งจนถึงปี 2568 ได้แก่ หัวหิน, กรุงเทพฯ, อิบิซ่า, สิงคโปร์, เมลเบิร์น, ลิสบอน, บรัสเซลล์, ดับลิน และลาสเวกัส

เห็นได้ว่าจะมีโรงแรมที่เปิดตัวในไทยด้วย นั่นคือ The Standard, Huahin และ The Standard, Bangkok Mahanakhon ถือเป็นการบุกเอเชียครั้งแรกของแบรนด์

The Standard, Huahin

สำหรับ The Standard, Huahin โลเคชันอยู่ติดหาดหัวหินบริเวณซอยหัวหิน 65 ใกล้ๆ กับมาร์เก็ตวิลเลจ มีห้องพักและวิลล่าทั้งหมด 199 ห้อง คอนเซ็ปต์จะใช้โรงแรม The Standard, Miami เป็นแม่แบบ ให้ความรู้สึกเป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ ‘ฮิพ’ แต่ไม่ ‘เยอะ’ เกินไป

แน่นอนว่าริมหาดต้องมีบาร์ติดหาดคือ Lido และ The Juice Café รวมถึงมีร้านอาหาร Praca เสิร์ฟอาหารไทยในบ้านสไตล์โคโลเนียล เปิดบริการวันที่ 1 ธันวาคมนี้

ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The Standard, Bangkok Mahanakhon อยู่บนตึกมหานครที่เป็นไอคอนใหม่ของกรุงเทพฯ ทำเลใจกลางเมืองระหว่างสีลมกับสาทร ห้องพักจะมีทั้งหมด 155 ห้อง ใช้เครื่องนอนจาก Davines, เครื่องเสียง Bang & Olufsen และมีเครื่องชงกาแฟ Nespresso รองรับไลฟ์สไตล์

ลัลวานี่กล่าวว่า ต้องการจะให้ที่นี่เป็น ‘แฟล็กชิป’ ของเอเชีย ด้วยความที่กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับใหล มีสีสันตลอดเวลา The Standard จึงต้องการเป็นฮับการพบปะของคน เห็นได้จากการออกแบบร้านอาหารที่เน้นการแฮงเอาต์กับเพื่อน

The Tea Room

ไม่ว่าจะเป็น The Parlor นัดจิบกาแฟเม้าท์ยามสายได้จนถึงจัดทอล์กโชว์ยามเย็น The Tea Room ตกแต่งโทนขาวดำดึงดูดคนรักการถ่ายภาพ The Standard Grill เน้นการเป็นสเต็กเฮาส์แห่งใหม่สไตล์อเมริกัน Mott 32 ร้านอาหารสไตล์จีนกวางตุ้งแบบโมเดิร์น รวมถึงจะเป็นผู้ออกแบบและบริการ “รูฟท็อปบาร์” บนชั้น 76 ของตึกมหานคร ชมวิวกรุงเทพฯ ยามเย็นจนถึงยามค่ำคืน เตรียมเปิดบริการปี 2565

ลัลวานี่กล่าวว่า คอนเซ็ปต์ของโรงแรม The Standard ทั่วโลกจะเน้นดึงดูดชุมชนในที่ที่โรงแรมตั้งอยู่ ทำให้รายได้ 50% จะมาจากกลุ่ม F&B และ 90% ของรายได้ F&B นี้คือคนในพื้นที่ที่เข้ามากินดื่มกัน น่าจับตามองว่าโรงแรมจะดึงดูดคนไทยและ expat อย่างไรในตลาดที่แข่งขันสูงมากของกรุงเทพฯ

]]>
1351154
“หัวหิน” นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแบบไม่กักตัว ดีเดย์ 1 ต.ค. นี้ https://positioningmag.com/1332356 Sat, 15 May 2021 16:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332356 “หัวหิน” นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน และมีใบรับรองการฉีดวัคซีน สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัวได้ตั้งแต่ที่ 1 ตุลาคม 2564 หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ และในภาพรวมของประเทศ

กรด โรจนเสถียร กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสปาไทย เผยว่า

“เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ได้มีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบผ่อนคลายในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี กรุงเทพฯ และบุรีรัมย์ ให้เป็นพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน และมีใบรับรองการฉีดวัคซีน สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัวได้ตั้งแต่ที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศ”

สำหรับ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตนเองได้เสนอโครงการ Hua Hin Recharge ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาครัฐ การท่องเที่ยว โรงพยาบาล สาธารณสุข และภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองหัวหิน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกันสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่

รวมไปถึงการขอความเห็นชอบจาก ศบค. ให้พื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นพื้นที่ที่ได้รับการพิจารณาการจัดสรรวัคซีนอย่างเร่งด่วน สามารถให้การฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป และครบถ้วนตามเป้าหมาย (70% ของประชากรในพื้นที่) ภายใน 30 ก.ย. 64

Photo : Shutterstock

เพื่อกำหนดพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหินเป็นพื้นที่นำร่อง ที่สามารถเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ให้สามารถเดินทางมาพักในพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 64 เป็นต้นไป อันจะนำมาซึ่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการจ้างงานทั้งในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ

โดย ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหลักการพิจารณาของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า จ.ประจวบฯ เป็นแหล่งพักผ่อนที่สำคัญของทั้งชาวไทยและต่างชาติ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และเชื่อมโยงกับ จ.เพชรบุรี และกรุงเทพฯ และปัจจัยหลักที่จะทำให้การดำเนินการตามแผนสำเร็จได้ คือ ประชาชนและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในทุกพื้นที่จะต้องได้รับวัคซีนไม่ต่ำกว่า 70% ที่ประชุมจึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเพื่อเตรียมพร้อมการกระจายวัคซีนให้เป็นไปตามแผน

พร้อมกันนี้ ในที่ประชุมได้เห็นชอบในการสนับสนุน และผลักดันให้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยให้ถือว่าเป็นบุคลากรด่านหน้าที่ต้องได้รับวัคซีนโดยเร็วในทุกจังหวัดเพื่อรองรับนโยบายเปิดประเทศ รวมทั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งประชาชน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งหลังจากนี้จะนำข้อเสนอที่ผ่านการเห็นชอบแล้วเสนอต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อพิจารณาต่อไป

Photo : Shutterstock

ขณะที่ วาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ กล่าวว่า

“หัวหินมีความพร้อมในการให้บริการวัคซีนแก่ประชาชน โดยมีกำลังหลักได้แก่ โรงพยาบาลหัวหิน โรงพยาบาลซานเปาโล และโรงพยาบาลกรุงเทพฯ-หัวหิน รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขอีกกว่า 400 คน ซึ่งมีความพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนให้บรรลุเป้าหมายแล้วเสร็จ นั่นคือ จำนวน 70% ของประชากรในพื้นที่ และ 100% ของผู้ให้บริการในธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้”

คาดการณ์ว่าหากเมืองหัวหินสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้โดยไม่ต้องกักตัวได้ ภายใน 1 ตุลาคมนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 100,000 คน สร้างรายได้แก่พื้นที่กว่า 1,200 ล้านบาท นับเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้า และธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงการจ้างงานพนักงานและแรงงานในภาคธุรกิจบริการเกือบ 100,000 คน

Source

]]>
1332356
สรุปตลาดคอนโดฯ “หัวหิน” ปี 2563 ยอดขายตกฮวบเกิน 50% ราคาปรับลดเล็กน้อย https://positioningmag.com/1317615 Tue, 02 Feb 2021 12:19:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317615 ไนท์แฟรงค์สรุปตลาดคอนโดมิเนียม “หัวหิน” ปี 2563 ยอดขายต่อปีตกฮวบเกิน 50% จากปกติ ราคาปรับลดเล็กน้อย 1.1-2.3% ขึ้นอยู่กับทำเล เชื่อปี 2564 ยังคงอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลายและลดราคาลงอีกเพื่อปิดการขาย จนกว่าจะเปิดประเทศและมีกำลังซื้อต่างชาติช่วยเสริม

ณัฏฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงาน “ไนท์แฟรงค์” ภูเก็ต ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศทำเล “หัวหิน” สรุปปี 2563 ยอดขายตกแรงไม่ต่างจากในกรุงเทพฯ

โดยทำเลนับรวมตั้งแต่ ชะอำ หัวหิน และเขาเต่า มีซัพพลายสะสม 27,569 ยูนิต ปี 2563 มีโครงการเปิดใหม่เพียง 2 โครงการ จำนวนรวม 348 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ย 75% ของซัพพลายสะสมทั้งหมด

เฉพาะปี 2563 มียอดขายใหม่ทั้งหมด 689 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ายอดขายปกติในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาคอนโดฯ ทำเลหัวหินมักจะขายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ยูนิต สะท้อนให้เห็นว่ายอดขายตกลงไปเกิน 50% จากเหตุโรคระบาด COVID-19

สถานการณ์การขายคอนโดฯ ในหัวหินค่อนข้างทรงตัวมาตั้งแต่ปี 2559-62 ซึ่งทำยอดขายปีละประมาณ 1,400 ยูนิตดังกล่าว เทียบกับก่อนหน้านี้หัวหินเคยบูมที่สุดเมื่อปี 2555 ที่ขายได้กว่า 3,100 ยูนิตภายในปีเดียว ก่อนจะลดลงตามลำดับ

ยอดขายคอนโดฯ ทำเลหัวหินย้อนหลังปี 2554-2563 โดยไนท์แฟรงค์

ด้านราคาคอนโดฯ หัวหินเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะดีมานด์ขาดแคลน แบ่งเป็นคอนโดฯ ที่มองเห็นวิวทะเล ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 130,000 บาท/ตร.ม. ลดลง 1.1% จากปี 2562 ส่วนคอนโดฯ ที่ไม่เห็นวิวทะเล (จำนวนห้องชุดมากกว่า 50% ของโครงการไม่เห็นทะเล) ได้รับผลกระทบมากกว่า ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 72,000 บาท/ตร.ม. ลดลง 2.3% จากปีก่อนหน้า

สำหรับดีมานด์ของปีที่แล้ว 90% ของผู้ที่ซื้อคอนโดฯ หัวหินปีก่อนเป็นคนไทย ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศวันเสาร์-อาทิตย์

ส่วนอีก 10% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, เดนมาร์ก) เสริมด้วยชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิส เยอรมันและจีนเล็กน้อย จุดประสงค์การซื้อคือมักจะมีสามี/ภรรยาเป็นชาวไทย จึงต้องการซื้อไว้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเองหลังเกษียณหรือใช้พักผ่อนวันหยุดยาวปีละ 3-6 เดือน

ภาพจำลองบรรยากาศอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน

ดีมานด์ที่หดลงของปีก่อน จะเห็นได้ว่าเพราะกำลังซื้อทั้งคนไทยและคนต่างชาติลดลงด้วยปัญหาเศรษฐกิจ จะเหลือเฉพาะ “กลุ่มระดับบนที่ยังมีเงินสดในมือ” จึงจะลงทุน ทำให้กลุ่มที่ขายได้จะแยกเป็น 2 กลุ่ม คือคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ที่บริหารโดยเชนโรงแรม 5 ดาว กับกลุ่มคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่ลดราคาแรง จูงใจนักลงทุนที่มีเงินเย็นได้สำเร็จ

ไนท์แฟรงค์วิเคราะห์สถานการณ์คอนโดฯ หัวหินปี 2564 น่าจะยังเป็นอีกปีที่โอเวอร์ซัพพลาย เพราะยังเหลือยูนิตขายอีกจำนวนมาก แม้ว่าผู้พัฒนาจะเลื่อน/ชะลอโครงการใหม่ไปแล้วก็ตาม ส่วนราคาก็น่าจะลดลงอีกเพราะโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่เหลือขายจะลดราคาแรงเพื่อให้ปิดการขายเร็ว

ปัจจัยบวกที่จะทำให้หัวหินดีขึ้นคือโรคระบาด COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้ และอีกส่วนหนึ่งคือปัจจัยด้านโครงสร้างคมนาคม เมื่อทางด่วนพระราม 2 ที่จะเริ่มจากบางขุนเทียนลงแยกวังมะนาวสร้างเสร็จ (เฟส 1 บางขุนเทียน-เอกชัย จะเสร็จปี 2565) จะช่วยผลักดันตลาดคอนโดฯ หัวหินให้กลับมา ทั้งคนไทยเองและชาวต่างชาติที่จะสนใจหัวหินมากขึ้นเพราะเดินทางสะดวกจากกรุงเทพฯ

]]>
1317615
Big Move! “วานา นาวา หัวหิน” ควง “เป๊ปซี่” คู่หูคนใหม่ ระเบิดศึกอีเวนต์ เนรมิต “หัวหิน” ให้คึกคัก https://positioningmag.com/1306792 Thu, 26 Nov 2020 13:30:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306792

เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของสวนน้ำ “วานา นาวา หัวหิน” กับ “เป๊ปซี่” เป็นพาร์ทเนอร์ด้านกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ประเดิมงานอีเวนต์ พร้อมสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์ที่หลากหลาย เพื่อเนรมิตเมืองหัวหินให้กลับมาคึกคัก

ผนึกกำลัง “เป๊ปซี่” สร้างความท้าทายบทใหม่

ถ้าเอ่ยชื่อ “หัวหิน” แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของคนไทยที่นึกถึงเมื่อยามที่ต้องการพักผ่อน เพราะด้วยการเดินทางสะดวก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้หัวหินกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของใครหลายๆ ใครหลายๆ คน

ปัจจุบันหัวหินขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีโครงการใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย ไม่ได้มีเพียงแค่ทะเลอย่างเดียวเท่านั้น มีสวนน้ำขนาดใหญ่ “วานา นาวาวอเตอร์ จังเกิ้ลหัวหิน” และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้มี “ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์” รวมไปถึง “ทรู อารีน่า” ทำให้หัวหินมีกิจกรรมที่ครบวงจรได้เลยทีเดียว

“กลุ่มบริษัทพราว”หรือ “พราว กรุ๊ป” เป็นผู้พัฒนาโครงการใหญ่ๆ ของเมืองหัวหิน ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท,โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ต วานา นาวา หัวหิน,สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์จังเกิ้ลหัวหิน, ศูนย์กีฬาครบวงจรทรู อารีน่า หัวหิน และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์

แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การท่องเที่ยวไม่ได้มีเพียงแค่การพักผ่อนอย่างเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องมี “คอนเทนต์” อื่นๆ มาเสริม เพื่อสร้างประสบการณ์มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กลุ่มบริษัทพราวได้เดินเกมรุกครั้งใหญ่ ประกาศดึง “เป๊ปซี่” เป็นพาร์ทเนอร์กับสวนน้ำ “วานา นาวา หัวหิน” เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งในเชิงการตลาด และกลยุทธ์

พราวพุธ ลิปตพัลลภ  กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว กล่าวว่า

“กลุ่มบริษัทพราวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป๊ปซี่มาร่วมเป็น Strategic Partnerจริงๆ แต่เดิมมีพาร์ทเนอร์หลายๆด้านทั้งทรูไทยประกันชีวิต และฮอนด้าแต่เชื่อว่าครั้งนี้ผนึกกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นความร่วมมือที่นอกเหนือจากในเรื่องของสินค้าแต่มีการทำการตลาด ทำอีเวนต์ต่างๆ ร่วมกันเพราะการทำการตลาดในยุคนี้ต้องเปลี่ยนไปผู้บริโภคต้องการหาประสบการณ์ในการพักผ่อนจริงๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของทั้งสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน และเป๊ปซี่เองก็เป็นกลุ่มที่ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการหาประสบการณ์ไม่ซ้ำจากเดิม”

ทางด้านของ “ลัดดาวรรณ เลิศวศิน” ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เสริมว่า

“ในส่วนของเป๊ปซี่ที่ได้ร่วมมือกับสวนน้ำวานานาวา วอเตอร์ จังเกิ้ลหัวหิน เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของหัวหิน เป็นสวนน้ำที่สำคัญของประเทศ ซึ่งหัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเป็น Top of Mind ที่ติด Top 5ของคนไทยที่จะเดินทางไปเที่ยว และจุดประสงค์ของเป๊ปซี่เองต้องการสร้างความสดชื่นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายของเราก็มาพักผ่อนที่นี่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน ครอบครัว เลยอยากสร้างความสดชื่นด้วยเป๊ปซี่ให้กับลูกค้า”

โดยทั้งคู่ได้บอกว่า ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นพาร์ทเนอร์ในระยะยาว ซึ่งกลุ่มบริษัทพราวมีหลายโปรเจ็คต์ โครงการอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม แต่เริ่มต้นที่สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินก่อน อาจจะมีโปรเจ็คต์อื่นๆ ตามมาอีกได้

บุกหนักอีเวนต์ สร้างสีสันให้หัวหินเป็นมากกว่าทะเล

การร่วมมือของทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ ประเดิมด้วยงานอีเวนต์ Glamping Festival ที่จัดไปเมื่อวันที่ 23-24 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ ทรู อารีน่า ไม่ไกลจากสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินเท่าไหร่นัก ซึ่งงานนี้ไม่เชิงว่าเป็นงานคอนเสิร์ต แต่เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ อีเวนต์ที่รวบรวมความบันเทิงไว้ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น คอนเสิร์ต, ภาพยนตร์, Sneaker Market จาก atmos และทอล์กโชว์

พราวพุธได้บอกว่า “งานนี้เป็นอีเวนต์แรกที่จัดร่วมกับเป๊ปซี่ เป็นอีเวนต์ที่มีมาตรการ Social Distancing อย่างดี จัดเอาท์ดอร์ ตีตารางให้ผู้เข้าชมอย่างชัดเจน คอนเทนต์ภายในงานเป็นส่วนผสมของเอ็นเตอร์เทนเมนต์หลายๆ อย่าง ตอนนี้ต้องมองความต้องการผู้บริโภคที่แปลกใหม่ไม่ได้มองด้านเดียวอีกต่อไป เหมือนอย่างที่มาเที่ยวหัวหินไม่ได้มาเที่ยวสวนน้ำอย่างเดียว แต่มีอีเวนต์อยู่ด้วยทำให้การพักผ่อนสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย”

“สวนน้ำ” ยังได้ไปต่อ ต้องกระตุ้นการกลับมาซ้ำ

เชื่อว่าในตอนนี้ทุกธุรกิจย่อมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรมก็อาจจะเจ็บหนักมากกว่าเพื่อนหน่อย สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่การสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และการกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคยังกลับมาได้

พราวพุธบอกว่าสวนน้ำได้กลับมาเปิดให้บริการช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จากมาตรการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่ว่าคนไทยจะออกมาเที่ยวหรือไม่ บางคนแค่เดินห้างสรรพสินค้ายังรู้สึกกลัวเลย แต่ทางสวนน้ำก็ได้มีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยกำหนดจำนวนคนในการเข้าสวนน้ำ เร่งสร้างความเชื่อมั่นความปลอดภัย เป็นสวนน้ำที่แรกที่ได้รับรอง SHA จากทางททท. ด้วย

ด้วยความที่ตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ยังต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก เพราะยังไม่เปิดรับชาวต่างชาติ จึงค่อนข้างเป็นโจทย์ใหญ่ให้สวนน้ำวานา นาวาหัวหินในการดึงลูกค้าให้กลับมาเที่ยวซ้ำให้ได้

“ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนกลยุทธ์แต่เดิมลูกค้าต่างชาติเกือบ 50% ทีนี้พอมีแต่คนไทย ความยากอยู่ที่คนที่เคยมาแล้ว จะทำอย่างไรให้กลับมาอีกถ้าเป็นชาวต่างชาติได้มาหัวหินครั้งแรกต้องมาลองที่สวนน้ำโจทย์ใหญ่คือ ทำอย่างไรให้กลับมาเที่ยวอีกส่วนหนึ่งคือ ต้องมีอีเวนต์มีเครื่องเล่นใหม่ๆอัพเดตในช่วงหลัง COVID-19ได้เปิดตัว VR Slide ครั้งแรกในเอเชียพอมีเครื่องเล่นใหม่ ก็ทำให้เขาอยากจะมาอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับผู้บริโภคอึดอัดอยากเที่ยวด้วยแล้วสวนน้ำป็นสถานที่ที่มาเที่ยวได้ทั้งครอบครัว จึงได้ลูกค้าจากกลุ่มนี้เยอะ”

หลังจากที่กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ตอนนี้สวนน้ำวานา นาวาหัวหินมีทราฟิกกลับมาราวๆ 60% เมื่อเทียบกับก่อนช่วง COVID-19 มีการใช้โปรโมชั่นเป็นตัวดึงดูด

เช่น โปรวันธรรมดาราคา 400 บาทในวันจันทร์-พฤหัสบดี เป็นโปรโมชั่นถึงสิ้นปีส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ อาจจะมีโปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2ซึ่งจะอยู่แล้วแต่ช่วงในเดือนหน้าจะมีโปรโมชั่นครบรอบ 6 ปีมีขายบัตรรายปีที่ออกปีละครั้งล้อกับโปร 11.11 ปกติขาย 1,200 บาทปีนี้ขาย 1,201 บาทสามารถเล่นได้ทั้งปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการจับRepeat Customer เข้ามาด้วย

“วานา นาวาหัวหิน” ขึ้นแท่นเดสติเนชั่นสำคัญเมืองหัวหิน

ถ้าถามถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้สวนน้ำวานา นาวาหัวหิน เป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นที่คนมาหัวหินจะต้องแวะมาให้ได้ อีกทั้งยังเป็นสวนน้ำในระดับต้นๆ ของประเทศไทย พราวพุธได้มองถึง 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. สถานที่ตั้ง แต่ก่อนคนมองว่าทำสวนน้ำไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองส่วนใหญ่จะไปนอกเมือง วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินอยู่ห่างจากเมืองหัวหินแค่ 10 นาที มีการเดินทางสะดวก
  2. มาตรฐานความปลอดภัยยึดมั่นความปลอดภัยระดับโลกอย่างสูงที่สุด
  3. การตลาดที่แข็งแกร่ง ต้องหาเหตุผลให้คนกลับมาเรื่อยๆผ่านการทำการตลาดและทำกิจกรรมร่วมกับพาร์ทเนอร์

ในส่วนของการแข่งขัน และกระแสความนิยมของสวนน้ำนั้น พราวพุธได้ให้ความคิดเห็นว่า ภาพรวมในปีนี้ทุกคนต้องเหนื่อยแน่นอน แต่ด้วยความที่สวนน้ำวานา นาวาหัวหินเป็นเจ้าเดียวในหัวหิน และความโชคดีของหัวหินที่ยังมีฐานนักท่องเที่ยวคนไทยคอ่นข้างเยอะ เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ทำให้พลิกสถานการณ์ได้ง่ายกว่า มีการเดินทางง่าย คนไทยรู้จัก

ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่ทำตลาดมา ได้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ในช่วงปีแรกได้รับผลตอบรับดีมากเพราะเป็นของใหม่ ตอนนั้นยังไม่มีใครทำตลาดกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนต้องไปลองกลุ่มลูกค้าอาจจะเป็น First Mover ที่ต้องไปเยือนให้ได้ก่อนใคร เป็นวัยรุ่น หรือ Influencer ตอนนี้กลุ่มลูกค้าก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มครอบครัวเยอะขึ้น ข้อดีคือ มาบ่อยเพราะเด็กๆ ชอบเล่นกิจกรรม ชอบสวนน้ำ

“เราอยากให้สวนน้ำเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคน เหมือนกับไปห้างสรรพสินค้า ไม่จำเป็นต้องรอช่วงพิเศษ หรือวันหยุดยาว แต่สามารถมาได้ทุกสุดสัปดาห์”

ต้องเป็น “เวิล์ดคลาส เดสติเนชั่น” ให้ได้ ในอนาคต

ในวันนี้หัวหินอาจเป็นเดสติเนชั่นที่หลายคนนึกถึงเวลาอยากไปพักผ่อน หรือนึกถึงทะเล แต่ในแง่ของการรู้จักในระดับโลกอาจจะยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร ความฝันของพราวพุธจึงอยากให้หัวหินเป็น “เวิลด์คลาส เดสติเนชั่น” ในระดับโลกให้ได้

“เป้าหมายเราอยากให้หัวหินเป็นเวิลด์คลาสเดสติเนชั่น ตอนนี้ในแง่ของการเป็นที่รู้จักกับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่เท่าภูเก็ต หรือสมุย แต่ตอนนี้ในระยะสั้นต้องการดึงนักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวก่อนมีบางกลุ่มที่ชอบหัวหินมาก ต้องมาทุกอาทิตย์ด้วยแต่ก็ต้องดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ด้วยตอนนี้มีสายการบินแอร์เอเชียเปิดเส้นทางจากเชียงใหม่ อุดรธานีบินมาหัวหิน เป็นโอกาสที่จะดึงฐานลูกค้าที่ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ มาหัวหินด้วยเช่นกัน”

ต้องบอกว่าการตลาดในยุคนี้ไม่สามารถใช้ตำราเดียว และตำราเดิมได้ไปตลอด ต้องมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค การได้เห็นความร่วมมือกันครั้งใหญ่ของสวนน้ำวานา นาวาหัวหิน และเป๊ปซี่ เรียกว่าเป็นการเดินเกม Lifestyle Marketing ที่จะช่วยสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับเมืองหัวหินอย่างแน่นอน

]]>
1306792
คอนโดฯ “อินเตอร์คอนฯ หัวหิน” ขายดีสวนกระแส เศรษฐีอัดอั้นไม่ได้เที่ยวต่างประเทศ https://positioningmag.com/1299224 Tue, 29 Sep 2020 10:17:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299224 ตลาดคอนโดฯ ระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ อาจจะซบเซา แต่ที่ “หัวหิน” ขายดีมาก! “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” ขายห้องชุดเริ่มต้น 7.8 ล้านบาท กวาดยอดขายไปแล้ว 65% คึกคักกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 เหตุเพราะเศรษฐีไทยบินไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้ ทำให้มีดีมานด์เพิ่มเพื่อลงทุนสถานตากอากาศหรูส่วนตัว

“พราวพุธ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอาคารชุดตากอากาศ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน เปิดเผยสถานการณ์ของโครงการช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ พบว่ายอดขายทำได้ดีขึ้นมาก ปัจจุบันขายไปแล้ว 65% ของมูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท

โดยโครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 238 ยูนิตบนที่ดินขนาด 7 ไร่ ด้านหนึ่งติดหน้าหาดหัวหิน และอีกด้านติดถนนเพชรเกษม บริเวณตรงข้าม Market Village ฟังก์ชันห้องชุดขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 45-300 ตร.ม. เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรีของหัวหินด้วยราคาขายเริ่มต้น 250,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่ม 7.89 ล้านบาทต่อยูนิต คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จปี 2565

ภาพจำลองบรรยากาศอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน สถาปัตยกรรมยังคงกลิ่นอายบ้านสไตล์โคโนเนียล เอกลักษณ์ของพื้นที่

โครงการเปิดตัวมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 62 และเริ่มเปิดให้ชมห้องตัวอย่างเดือนกุมภาพันธ์ 63 แต่ก่อนจะได้โหมการตลาดกลับต้องเผชิญสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การขายชะลอตัวลงมากในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 63 เนื่องจากลูกค้าเดินทางมาชมห้องตัวอย่างที่หัวหินไม่ได้

อย่างไรก็ตาม พราวพุธกล่าวว่า เมื่อกลับมาเปิดทำการเซลส์แกลลอรี่ได้ เฉพาะช่วง 2 เดือน มิถุนายน-กรกฎาคม 63 กลับมีดีมานด์ทะลักเข้ามาจองถึง 2,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อคนระดับบนยังดีอยู่ และมีลักษณะ ‘ซื้อด้วยอารมณ์’ สูงมาก

 

คนรวยไปไหนไม่ได้ ซื้อคอนโดฯ ไทยไว้พักผ่อน

ด้าน “ไพสิฐ แก่นจันทร์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) อธิบายเพิ่มเติมว่า COVID-19 เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลบวกกับโครงการนี้อย่างมาก

ข้อแรก คือ ปกติคนระดับบนจะเน้นท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำให้ไปต่างประเทศได้ลำบากอย่างน้อยก็จนถึงปี 2564 ดังนั้น จะหันมาเที่ยวในประเทศแทน

ห้องตัวอย่าง อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มีห้องน้ำแบบ sexy bath

ข้อสอง คือ เมื่อเที่ยวในประเทศ หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนระดับบนบางกลุ่มอาจไม่นิยมมีคอนโดฯ ของตนเอง นิยมพักตามโรงแรมมากกว่า แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เห็นความจำเป็นมากขึ้น เพราะโรงแรมถูกสั่งปิด หรือกระทั่งเปิดบริการแล้วก็ยังต้องพักปะปนกับคนจำนวนมากซึ่งทำให้เกิดความกังวล

จากเหตุผลสองข้อนี้ คนระดับบนที่มองหาบ้านพักตากอากาศจึงมีมากขึ้น และเข็มทิศมุ่งมาที่ “หัวหิน” เป็นหลักเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงที่คนไทยนิยมอยู่แล้ว มีหน้าหาดทรายสวย ใกล้โรงพยาบาล ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และขับรถจากกรุงเทพฯ ระยะ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น

 

ใช้ Branded Residences ชื่อโรงแรมหรูอัพราคา

เมื่อโฟกัสเฉพาะตลาดคอนโดฯ หัวหิน พราวพุธย้ำว่า อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในตลาด เนื่องจากซัพพลายแห่งอื่นๆ ขายหมดไปตั้งแต่ปี 2562 และซัพพลายที่จะเปิดใหม่ทำได้ยาก เพราะต้องหาที่ดินติดหาดหัวหินและติดถนนเพชรเกษม

นอกจากจะเป็นแห่งเดียวที่มีแล้ว การที่โครงการใช้ชื่ออินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซสซึ่งเป็น Branded Residences ในเครือ IHG เชนโรงแรมหรูระดับสากล ทำให้โครงการขายได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะลูกค้ามั่นใจได้ในคุณภาพ สถาปัตยกรรม และบริการโรงแรมที่จะพ่วงมากับคอนโดฯ

คอนโดฯ ขายแบบ fully-fitted มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ

การมีชื่อ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส” คู่กับโครงการไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัจจุบันแบรนด์นี้มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้วอยู่เพียง 8 โครงการทั่วโลก ได้แก่ เมืองเบรุต บอสตัน ไคโร โดฮา ดูไบ ปราก วอร์ซอ และโฮจิมินห์ โดยไพสิฐกล่าวว่า ที่ไม่ง่ายเพราะ IHG จะเซ็นสัญญาให้ใช้แบรนด์ได้ก็ต่อเมื่อโครงการอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสมกับแบรนด์ และบริษัทต้องทำตามมาตรฐาน IHG เช่น ห้องชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 45 ตร.ม. ตกแต่งในสไตล์ที่สื่อถึง IHG

อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากในการทำตามข้อกำหนดและต้องออกแบบร่วมกัน นำมาซึ่งผลดีในภายหลัง เพราะเมื่อได้แบรนด์ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส ปะหน้า โครงการจึงตั้งราคาขายได้ถึง 250,000-300,000 บาทต่อตร.ม. โดยไพสิฐประเมินว่า ถ้าไม่มีแบรนด์นี้ โครงการน่าจะขายได้ที่ราคา 150,000-180,000 บาทต่อตร.ม.เท่านั้น

บรรยากาศติดชายทะเล โดยโครงการจะถมหาดเทียมไว้ให้ด้วย เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนบริเวณชายหาด

แต่แน่นอนว่าบริษัทจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับโรงแรมในการใช้ชื่อแบรนด์ รวมถึงจ้าง IHG บริหารโครงการแทนนิติบุคคลเมื่อโครงการสร้างเสร็จ ทำให้กำไรสุทธิจะยังอยู่ที่ 14-15% เหมือนกับไม่มีแบรนด์ แต่ข้อดีคือจะทำให้ลูกค้ามั่นใจและตัดสินใจซื้อง่ายกว่า

ยกตัวอย่างความมั่นใจของลูกค้า พราวพุธระบุว่าขณะนี้มีลูกค้าต่างชาติจองมาแล้วคิดเป็นสัดส่วน 5% ของโครงการ ส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมัน รัสเซีย แม้ว่าต่างชาติจะบินเข้ามาชมห้องตัวอย่างและทำเลเองไม่ได้ ต้องชมห้องผ่านระบบออนไลน์ไปก่อน แต่ก็ตัดสินใจจองเพราะมั่นใจแบรนด์จาก IHG

ด้วยกระแสที่ดีเหล่านี้ ทำให้พราวพุธคาดการณ์ว่าจะปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในเทศกาลสงกรานต์ปี 2564

 

“เกร็ดข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินหัวหิน”

ที่ดินติดหาดหัวหิน (ไม่นับหน้าหาดฝั่งชะอำ เขาเต่า เขาตะเกียบ) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินพระราชทานให้แก่ข้าราชบริพารตั้งแต่ยุค พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อให้เหล่าผู้ใกล้ชิดมาปลูกบ้านตากอากาศอาศัยระหว่างรับใช้เจ้านาย เมื่อพระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมายังพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทำให้แปลงที่ดินจะมีลักษณะเดียวกันคือเป็นที่ดินแบ่งแปลงด้านหน้าจดหาด ด้านหลังจดถนน แปลงละ 7-8 ไร่ใกล้เคียงกัน

บ้านศตสุข ซึ่งนำมาบริหารเป็น 111 Social Club

ปัจจุบันยังมีบ้านไม้ใต้ถุนสูงทรงโคโลเนียลที่หลงเหลือมาจากยุครัชกาลที่ 6 อยู่หลายหลัง เช่น บ้านมะขามโทนของตระกูลภิรมย์ภักดี และโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มีการเช่าบ้านโบราณ “บ้านศตสุข” พร้อมที่ดินระยะเวลา 13 ปีในพื้นที่ติดกันไว้ด้วย (เดิมทีพระราชทานให้กับพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ก่อนซื้อขายเปลี่ยนมือมาเป็นของตระกูลอรุณวงศ์) บ้านหลังนี้จะใช้เป็น 111 Social Club บริการคาเฟ่ จิบชากาแฟ รองรับวันพักผ่อนของลูกบ้าน

]]>
1299224
โบกมือลา 12 ปี “เพลินวาน” บทเรียนแลนด์มาร์กท่องเที่ยว ขาดการเปลี่ยนแปลงจนขาดทุนเรื้อรัง https://positioningmag.com/1258380 Tue, 24 Dec 2019 15:18:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258380 “กูรูท่องเที่ยว” วิเคราะห์ “เพลินวาน” ที่เที่ยวชื่อดังเมืองหัวหิน ทำไมไปไม่รอด ทั้งที่เป็นเมืองท่องเที่ยว เตรียมโบกมือลา 12 ปี เหลือไว้แค่ความทรงจำ ยื้อไม่ไหว เจอพิษเศรษฐกิจ ขาดทุนสะสมมานาน

โบกมือลา “เพลินวาน” 12 ปี

“ก้าวแรกของเพลินวานเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว จากความคิดที่อยากนำความเชื่อและความชอบมาทำเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยไม่คาดหวังใดๆ นอกจากมีความสุขที่ได้ทำ สิ่งที่เราได้กลับมาประเมินค่าไม่ได้ มันคือความสุขที่สัมผัสได้จากชุมชนของเรา ทั้งคู่ค้าและลูกค้าที่สนับสนุนเพลินวานมาโดยตลอด”

ก้อย-ภัทรา สหวัฒน์ เจ้าของเพลินวาน ที่นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวย้อนยุคโบราณชื่อดังของหัวหิน โพสต์อำลากิจการผ่านเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Phattra Sahawat” หลังเจอปัญหาเศรษฐกิจและภาวะขาดทุนสะสมที่มีมานาน

“ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เราทุกคนได้เรียนรู้ ได้สร้างประสบการณ์ร่วมกัน ได้ส่งต่อแรงบันดาลใจ และได้รู้สึกภูมิใจที่ได้คิดงานอยู่บนพื้นฐานความเป็นไทย แต่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง เพลินวานกำลังจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีและเป็นโรงเรียนที่เราจะไม่ลืม วันนี้ เราจะขอปิดฉากเวทีนี้ เพื่อเวทีต่อไป ที่ยังจะทำประโยชน์ต่อสังคม จากความเชื่อและความชอบเดิมที่วันนี้มันกลายเป็นความรัก

ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณทุกๆ คนที่รักเพลินวานและสนับสนุนเรามาตลอด เพลินวานกำลังดำเนินการเป็นวันสุดท้ายในวันที่ 31 มกราคม 2020 อยากให้ทุกคนแวะมาเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ และขอให้ทุกคนคอยให้กำลังใจพวกเราในการเดินทางสู่ความท้าทายข้างหน้า จนกว่าจะพบกันใหม่

ระหว่างนี้ หากคิดถึงกัน พบกันที่เพลินวานพาณิชย์ สาขา ทองหล่อ 13, สาขา เดอะสตรีท รัชดา, สาขา สถาบันประสาทวิทยา, สาขา ล้ง 1919, และสาขา หัวหิน (ที่อยู่ใหม่เร็วๆ นี้) ซึ่งยังคงเปิดให้บริการอยู่เหมือนเดิมทุกสาขา”

ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวที่เคยไปเก็บความทรงจำที่เพลินวานรู้สึกใจหายไปตามๆ กัน เข้าไปคอมเมนต์เล่าความทรงจำที่เคยไปเยือน พร้อมทั้งยังเข้าไปให้กำลังใจเจ้าของเพลินวานอีกเพียบ

จริงๆ แล้วถ้าย้อนกลับไป เพลินวานคือสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำได้ดีพอสมควร สามารถปลุกหัวหินให้ดูย้อนยุค และสร้างคำว่า “ชิค” ให้เกิดที่หัวหิน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญประจำหัวหินไปแล้วเรียบร้อย อีกทั้งโลเคชั่นยังตั้งอยู่ในจุดที่นักท่องเที่ยวกำลังกลับบ้าน เป็นจุดแวะได้เป็นอย่างดี

ไร้การปรับปรุง เลยไม่ดึงดูด

เมื่อสอบถามความคิดเห็นของ ก้อ-วรุตม์ โอนพรัตน์วิบูล เจ้าของแฟนเพจท่องเที่ยวชื่อดัง “เที่ยวเอง” ในฐานะที่เดินทางท่องเที่ยวมาแล้วรอบโลก ให้ช่วยวิเคราะห์ การอำลากิจการของเพลินวานว่าทำไมไปไม่รอด ทั้งที่คนน่าจะเยอะในเมืองท่องเที่ยวแบบหัวหิน

“ช่วงหลังๆ ความน่าสนใจอาจจะมีส่วน ถ้าเกิดว่าคนที่เคยไปแล้วเขาก็อาจจะไปแค่ครั้งเดียว หรืออย่างมากแค่ 2 ครั้ง เคยไปแล้วก็ไม่ไปอีก คิดว่าตรงนี้มันน่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านค้า หรือการตกแต่ง ถ้าเกิดว่ามีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใหม่ๆ คิดว่าอาจจะอยู่ได้ หรือว่าดีกว่านี้ครับ

ในมุมของตัวเองคิดว่า หัวหินยังไงมันก็ฮิตตลอดกาลอยู่แล้ว คือหัวหินมันก็มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากขึ้น ที่อาจจะตอบโจทย์คนในวัยรุ่นมากขึ้น เพราะว่าเคยไปเพลินวานแค่ 2 ครั้ง ก็เลยไม่รู้ว่ายุคหลังๆ 4-5 ปี หลังเขาได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมหรือว่าเขายังเหมือนเดิมหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ

แต่ให้เดาคนก็อาจจะเคยไปแล้วก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรใหม่หรือเปล่า มันเหมือนอยู่กับที่เดิม คนไปแล้วเขาก็อาจจะไม่ไปอีก ทำให้อาจจะได้รายได้น้อยลง เขาอาจจะไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือไม่ได้มีอะไรให้คนไปมากขึ้น และอีกอย่างรอบบริเวณหัวหินอาจจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้คนไปได้มากกว่าเดิม

หากจะให้เพลินวานอยู่รอดต่อไป เจ้าของเพจท่องเที่ยวชื่อดังยังได้วิเคราะห์อีกว่า ต้องมีการปรับเปลี่ยนดึงปลุกกระแสสถานที่เหล่านี้อยู่อยู่ตลอดเวลา เพื่อจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าเพลินวานคนเขาก็เข้าไป คนอาจจะแวะเข้าไปแต่เขาไม่ใช้จ่ายข้างใน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อธุรกิจ ก็คิดว่าน่าจะต้องมีอะไรปรับเปลี่ยนให้เป็นที่พูดถึง คนก็อาจจะเข้าไปจอดรถแล้วก็เข้าไปถ่ายรูป ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรแล้วก็ออกมา อีกอย่างมันไม่ได้มีกระแสตลอดเวลา

“คิดว่าน่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนลูกเล่นกิมมิกอะไรต่างๆ อยู่เสมอ หรือมีโปรโมชั่น ดึงคนเข้ามาด้วยโปรโมชั่น เพื่อดึงคนเข้ามาให้แข่งกับคู่แข่งหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่อยู่รอบบริเวณได้ ไม่ใช่แค่ในหัวหิน อาจจะในรอบจังหวัดหรือในรอบภูมิภาค เพราะว่าเดี๋ยวนี้สถานที่ท่องเที่ยวก็เกิดขึ้นใหม่เยอะมาก แค่ในประเทศไทยก็คือเกิดขึ้นเยอะมากอยู่แล้ว

อีกอย่างคิดว่าต้องมีความน่าสนใจ เพราะคนไปหัวหินก็จริง แต่ว่ามันก็มีช้อยให้เลือกให้คนไปเยอะมาก อย่างบางคนเขาไปหัวหิน ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้อยากไปที่ไหนเขาก็นอนอยู่แต่โรงแรมก็มี หรือว่าเขาอยากจะไปเที่ยวไหน ก็ยังมีตัวเลือกอีกเพียบเลยเกิน 10 ที่ ทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ไนต์มาร์เก็ต สถานที่อื่นๆ มีให้เที่ยวเยอะมากกว่า”

เทรนด์ท่องเที่ยวย้อนยุคยังอยู่

“เรื่องเทรนด์ท่องเที่ยวการย้อนยุคคิดว่าคนก็ยังสนใจ ในเรื่องเทรนด์กันแบบว่าไปถ่ายรูปบรรยากาศที่ตกแต่งให้ดูเก่าให้ดูย้อนยุค คิดว่าก็ยังขายได้ แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของดีเทลข้างในมากกว่า เช่น เข้าไปนอกจากถ่ายรูปคนก็ไม่รู้จะทำอะไร จะกินร้านอาหารหรืออะไร มันก็อาจจะยังไม่ได้ตอบโจทย์คนตรงนั้น อาจจะมีคนเข้าไป แต่มันอาจจะไม่ได้มีการใช้จ่ายข้างใน คนก็เข้าไปถ่ายรูป ก็โอเคจบ”

เจ้าของเพจท่องเที่ยวชื่อดัง วิเคราะห์เติ่มเติมถึงเทรนด์สถานที่ท่องเที่ยวแบบจำลองในไทยว่า คนก็ยังให้ความสนใจเกี่ยวกับเทรนด์เหล่านี้อยู่ แต่ต้องทำให้สถานที่เหล่านั้นมีกระแสดึงดูดคนอยู่ตลอดเวลาถึงจะอยู่รอดได้

“ยิ่งคนที่เที่ยวในประเทศก็คือเที่ยวตามกระแส ถ้าเกิดว่ามันไม่มีกระแสขึ้นมาคนเขาก็ไม่ไป หรือเขาอาจจะลืม หรือว่าไม่ได้สนใจ มองข้ามไป บางคนจำได้รู้จักอย่างผมก็จำได้และรู้จักแต่ว่าบางทีเราก็ลืมก็มองข้ามไปเพราะไม่ได้มีกระแสอะไรขึ้นมา”

ย้อนกลับไปในอดีตเพลินวานเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจัดขึ้นในธีมย้อนยุคในอดีตของเมืองไทย จำลองบรรยากาศย้อนยุค ทั้งร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านเหล้า มาให้เพลิดเพลินกัน

แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป และเพลินวานนับว่าเป็นสถานที่คนนิยมไปเที่ยวถ่ายรูป โดยส่วนใหญ่จะไปแค่ครั้งเดิม ไม่นิยมไปซ้ำ ทำให้ช่วงหลังเพลินวานได้ลดความนิยมลง

จากการตรวจสอบพบว่าผลประกอบการของ บริษัท เพลินวาน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเพลินวาน หัวหิน และ ร้านเพลินวานพาณิชย์ ถือหุ้นและบริหารงานโดย “ภัทรา สหวัฒน์” พบว่า ผลประกอบการย้อนหลังจากปี 2558-2560 ขาดทุนต่อเนื่อง โดยในปี 2558 มีรายได้ราว 36.75 ล้านบาท ขาดทุน 6.36 ล้านบาท

และในปี 2559 มีรายได้ 38.96 ล้านบาท ขาดทุน 21.57 ล้านบาท โดยปี 2560 ล่าสุดพบว่า มีรายได้สูงขึ้นเป็น 44.66 ล้านบาท แต่ก็ขาดทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยขาดทุนหนักถึง 36.11 ล้านบาท

เพลินวาน ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานความทรงจำคู่เมืองหัวหิน ที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน ต่างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี

Source

]]>
1258380