เครื่องดื่ม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 Dec 2021 13:19:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 FMCG เตรียมตัว! อีเวนต์-งานสังสรรค์ช่วง “เทศกาลเฉลิมฉลอง” ในเอเชีย โอกาสบูสต์ยอดขาย https://positioningmag.com/1365809 Wed, 08 Dec 2021 08:18:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365809 ข้อมูลจาก Kantar สำรวจข้อมูลย้อนหลังในเอเชียช่วง “เทศกาลเฉลิมฉลอง” ของประเทศต่างๆ ได้แก่ คริสต์มาส ตรุษจีน รอมฎอน และสงกรานต์ พบว่า ยอดขายสินค้า FMCG จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13% โดยปลายปีนี้จนถึงปีหน้า เชื่อว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่ดีขึ้นในหลายประเทศ จะทำให้การจัดงานสังสรรค์ทำได้เต็มที่ขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสินค้าดีขึ้นตามไปด้วย

Kantar เปิดข้อมูลย้อนหลังปี 2564 เทียบการใช้จ่ายสินค้า FMCG ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน และของใช้ส่วนตัว ระหว่างช่วง “เทศกาลเฉลิมฉลอง” กับช่วงที่ “ไม่ใช่เทศกาล” โดยสำรวจใน 8 เขตการปกครอง คือ เวียดนาม (เฉพาะในเขตเมือง) จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

จากข้อมูลพบว่า การใช้จ่ายกับสินค้า FMCG ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองรอบปี 2564 จะเติบโตสูงกว่าปกติเฉลี่ย 13%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ใช้จ่ายหนักจะเป็นประเทศที่ฉลอง “ตรุษจีน” คือ เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และมาเลเซีย ส่วนเทศกาลอื่นๆ ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้จ่ายสูงขึ้นมากซึ่งอาจเกิดจากเป็นช่วงที่มีการระบาดรอบใหม่เกิดขึ้นในภูมิภาคพอดี

รวมถึงประเทศไทยเราด้วย เมื่อวัดในช่วงสงกรานต์ 2564 แล้ว การใช้จ่ายจะเท่าๆ กับช่วงปกติที่ไม่มีเทศกาล แต่อาจเกิดจากสงกรานต์รอบที่ผ่านมา ไทยยังมีการล็อกดาวน์ต่อเนื่องเป็นปีที่สองทำให้จัดงานสังสรรค์ไม่ได้ แต่ก็มีสินค้าบางกลุ่มย่อยที่ขายดีขึ้นกว่าปกติ คือ “เครื่องดื่ม” และ “อาหารสำเร็จรูป” ซึ่งน่าจะเกิดจากการซื้อสินค้ากักตุนไว้ในช่วงล็อกดาวน์พอดี

 

อัตราฉีดวัคซีนดี กลับมาฉลองเต็มที่

Kantar มองว่า อัตราการฉีดวัคซีนที่เกินกว่า 50% แล้วในหลายๆ ประเทศแถบเอเชีย จะทำให้ผู้บริโภคกล้าเข้าร่วมงานอีเวนต์ จัดงานฉลอง งานสังสรรค์กันมากขึ้นในช่วงเทศกาล รวมถึงประเทศไทยที่ ณ วันที่ 4 ธ.ค. 2564 มีผู้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 60.8% ของประชากร (ยกเว้นประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ประชากรยังได้รับวัคซีนครบไม่ถึง 50%)

เมื่อวัดจากการฉลองตรุษจีน 2564 เป็นช่วงที่ยังไม่มีการระบาดรอบใหม่ในภูมิภาค เห็นได้ว่าในประเทศที่ฉลองตรุษจีนมียอดขายสินค้า FMCG ดีขึ้น และ Kantar คาดการณ์ว่าในปี 2565 น่าจะยิ่งดีขึ้นไปอีก เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนดังกล่าว

 

จับตากลุ่ม “เครื่องดื่ม” มาแรงช่วงสงกรานต์

เจาะตลาดประเทศไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ “มาร์ติน ชอย” Strategic Insights Director, Kantar ประเทศไทย กล่าวว่า ปกติแล้วสงกรานต์คือช่วงที่ร้อนที่สุดของปี ทำให้กลุ่ม “เครื่องดื่ม” มักจะเป็นสินค้าขายดีอยู่แล้ว และน่าจะยิ่งเติบโตในปี 2565 เมื่อลูกค้าซื้อแบบแพ็กใหญ่สำหรับการสังสรรค์

จะเห็นได้ว่าช่วงสงกรานต์ครั้งที่ผ่านมา เครื่องดื่มและอาหารสำเร็จรูปขายดีกว่าปกติ

สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องสำหรับตลาดไทยคือ ปีนี้ร้านของชำได้เปรียบมากในแง่ช่องทางการขาย FMCG เพราะได้แรงสนับสนุนจากโครงการคนละครึ่งของภาครัฐ ทำให้มีลูกค้าหน้าใหม่เดินเข้าร้านของชำในเขตเมืองมากขึ้น และลูกค้าเก่าในเขตต่างจังหวัดซื้อสินค้าในร้านของชำเยอะขึ้น

ชอยคาดว่า ปีหน้าจะเกิดการแย่งลูกค้ากันมากขึ้น ระหว่างโมเดิร์นเทรดที่ต้องการจะดึงลูกค้ากลับคืนมาหลังหมดโครงการรัฐกับร้านของชำที่จะดึงลูกค้าให้อยู่กับตัวเองต่อไป อาจจะได้เห็นการลดราคาอย่างหนักในกลุ่มเครื่องดื่มในช่วงเทศกาลฉลองนี้เอง

]]>
1365809
จับตา ‘ค้าปลีก’ โค้งสุดท้ายปี 64 กลับมาฟื้นตัวเป็นบวก เเต่ผู้บริโภคยังระวังใช้จ่าย https://positioningmag.com/1356736 Fri, 15 Oct 2021 05:51:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356736 ‘ค้าปลีก’ ส่งสัญญาณฟื้นตัวช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี รับคลายล็อกดาวน์ KBANK ประเมินเศรษฐกิจไทยผ่านจุดเเย่สุดของวิกฤตโควิดมาเเล้ว กลุ่มสินค้าจำเป็น ‘อาหาร-เครื่องดื่ม’ ฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนกลุ่ม ‘เสื้อผ้า-รองเท้า’ ยังหดตัวต่อเนื่อง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย แนะเร่งทำโปรโมชันด้านราคาจับโอกาสตลาดหลังเปิดประเทศ ธุรกิจต้องปรับตัวรับกำลังซื้อที่ไม่เเน่นอน 

เเนวโน้มค้าปลีก Q4 ฟื้นตัวเป็นบวก 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ถึง ‘ธุรกิจค้าปลีก’ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 ว่าจะกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกได้ จากสถานการณ์การระบาดของโควิดในประเทศที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับการระบาดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้

โดยสถานการณ์การระบาดของโควิด และการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนที่เริ่มมีสัญญาณบวก จนทำให้ภาครัฐทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 ไม่ว่าจะเป็นแผนการเปิดประเทศเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว รวมทั้งสัญญาณความเป็นไปได้ในการกลับมาเปิดดำเนินกิจการของบางธุรกิจ เช่น สถานบันเทิง สะท้อนให้เห็น ถึงโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่น่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดจากการระบาดของโควิด-19 มาแล้ว

เมื่อประกอบกับจังหวะการเร่งออกแคมเปญส่งเสริมการตลาดของภาคธุรกิจต่างๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ส่งผลให้ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า

“ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 น่าจะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวที่ประมาณ 1.4% โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น ช้อปดีมีคืน ในช่วงปลายปีไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่หากภาครัฐมีการปรับหรือเพิ่มขนาดของมาตรการ ก็อาจจะทำให้ตัวเลขค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายขยับสูงขึ้นกว่าที่คาดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่หดตัว -1.2%”

การคลายมาตรการล็อกดาวน์ น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงเดือนธ.ค. ที่มีเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญอย่างเทศกาลปีใหม่ ซึ่งคาดว่าบรรยากาศของเทศกาลปีใหม่ในปีนี้ น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้วที่เกิดการระบาดคลัสเตอร์สมุทรสาคร

ในส่วนของผู้ประกอบการค้าปลีก ที่เน้นจำหน่ายสินค้าจำเป็น อย่างอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงของใช้ส่วนตัว เช่น ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ห้างสรรพสินค้า (โดยเฉพาะในโซนร้านอาหารและเครื่องดื่ม) ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ น่าจะทำยอดขายได้ต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี 64

อาหาร-เครื่องดื่มยังขายดี เสื้อผ้า-รองเท้า หดตัวต่อเนื่อง 

แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ผู้บริโภคยังคงกังวลกับความปลอดภัย และเผชิญกับกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ส่งผลให้ยังคงเลือกใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่ยังมีความจำเป็นอย่างอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงของใช้ส่วนตัว

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นอย่างเสื้อผ้า รองเท้า น่าจะยังคงหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี ส่วนกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แม้ว่ายอดขายอาจจะกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกเล็กน้อยในไตรมาส 4 ปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยอดขายทั้งปี 64 น่าจะยังคงหดตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เน้นจำหน่ายสินค้าจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ห้างสรรพสินค้า (โดยเฉพาะโซนร้านอาหารและเครื่องดื่ม) ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ น่าจะทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น หรือกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มห้างสรรพสินค้า (โซนจำหน่ายสินค้าไม่จำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า) ร้านค้าเฉพาะอย่าง เช่น ร้านจำหน่ายสินค้าความงาม ร้านวัสดุก่อสร้าง และซ่อมแซมตกแต่งบ้าน (แม้ในบางพื้นที่อาจได้แรงหนุนบ้างจากการซ่อมแซมหลังผ่านอุทกภัย)

เร่งทำโปรโมชัน สู้ตลาดด้านราคา 

ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้บริโภคยังคงกังวลกับรายได้ และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ยังคงต้องให้ความสำคัญกับการเร่งทำโปรโมชันการตลาดด้านราคาในช่วงเวลาดังกล่าว ที่เริ่มมีการเปิดประเทศภายหลังสถานการณ์โควิดส่งสัญญาณดีขึ้น

ควบคู่ไปกับการให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค และสร้างความประทับใจ รวมถึงผู้ประกอบการจะต้องมีการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อให้ธุรกิจยังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้

Photo : Shutterstock

ความไม่เเน่นอน กระทบค่าครองชีพ 

ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 65 ธุรกิจค้าปลีกยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายอีกหลายประการ ทำให้การดำเนินธุรกิจยังคงยากลำบากต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์น้ำท่วมที่ครอบคลุมพื้นที่ในหลายจังหวัด ซึ่งสร้างความเสียหาย ต่อสินค้าเกษตรและส่งผลต่อราคาตามมา เช่น ผักสด เนื้อสัตว์ และการขนส่งที่อาจจะล่าช้า ราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบกับค่าครองชีพของผู้บริโภค

ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ หรือมีศักยภาพในการใช้จ่ายยังคงมีจำนวนจำกัด หรือแม้แต่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือเทคโนโลยีในการทำธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจจะเข้ามาเปลี่ยนภาพการทำธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน และเกิดผู้เล่นรายใหม่ หรือการปรับตัวของผู้เล่นรายเดิม

ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัว หรือรับมือกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้เร็ว ก็น่าจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจค้าปลีกก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกในระยะข้างหน้า

“ความไม่แน่นอนของการระบาดของโควิดในประเทศในระยะข้างหน้า อาจจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจกลับมาของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และการใช้จ่ายของคนในประเทศ รวมถึงภาวะการแข่งขันของธุรกิจที่จำนวนผู้เล่นยังคงทยอยเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้เล่นที่อยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์” 

]]>
1356736
Genki Forest – โคคาโคล่าแห่งประเทศจีน https://positioningmag.com/1338329 Wed, 23 Jun 2021 15:24:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338329
‘Genki desu ka’ สบายดีกันมั้ยครับ? เชื่อว่าคงมีคนไทยน้อยคนที่เคยได้ยินหรือรู้จักบริษัทที่มีชื่อว่า ‘Genki Forest’ คำว่า ‘Genki’ เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ‘แข็งแรง/มีพลัง’ และ ‘Forest’ เป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า ‘ป่า’

หากได้ยินชื่อ ‘Genki Forest’ หรือ ‘ป่าที่แข็งแรงนี้’ คิดถึงบริษัทที่มาจากประเทศอะไรครับ? คิดถึงธุรกิจ สินค้า หรือบริการประเภทไหนครับ?

ทราบมั้ยครับว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทเครื่องดื่มสัญชาติจีนแต่ใช้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น และบริษัทที่คนไทยไม่เคยได้ยินชื่อนี้ไม่เพียงเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดประเทศจีนในปีที่ผ่านมา แต่ยังกำลังมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำของประเทศจีน เหมือนที่โคคาโคล่าเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา

Genki Forest

ช่วงปลายของราชวงศ์ชิง ปี 1894 และ 1931 ญี่ปุ่นได้มีการก่อสงคราม และเข้ารุกรานประเทศจีน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้ไม่เคยอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกได้ว่าดี เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นนั้นมีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่าจีนอย่างมหาศาล การใช้ชื่อแบรนด์ หรือการใช้ชื่อสินค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยครั้ง

หากแต่เมื่อจีนได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้น รวมถึงการปลุกระดม ‘ชาตินิยม’ สินค้าและบริการจากประเทศญี่ปุ่นจึงถูกเลือกปฏิบัติ กระทั่งถูกบอยคอตมาเป็นระยะๆ การมีสินค้า และบริการที่เกี่ยวข้องกับประเทศญี่ปุ่น จึงนับได้ว่าเป็น ‘ความเสี่ยง’ รูปแบบหนึ่งในตลาดประเทศจีน

ดังนั้นการถือกำเนิดขึ้นของ ‘Genki Forest’ ในปี 2016 ซึ่งใช้ภาษาญี่ปุ่นมาเป็นชื่อบริษัท ทั้งๆ ที่เป็นบริษัทจีน 100% จึงนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ว่าสินค้าของบริษัทนี้จะสามารถประสบความสำเร็จได้เพียงไหน

‘Genki Forest’ ถูกก่อตั้งขึ้นโดยมีผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเป็นเครื่องดื่มอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทั้งๆ ที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ราว 4–5 ปี  ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าอยู่ราว 190,000 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบให้กับผู้อ่านชาวไทยเห็นภาพ ไทยเบฟ หรือบริษัทเครื่องดื่มชั้นนำของไทยเรามีมูลค่าอยู่ราว 400,000 ล้านบาท แปลว่าปัจจุบันบริษัท ‘Genki Forest’ มีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของไทยเบฟ ความแตกต่างคือไทยเบฟนั้นถูกก่อตั้งมาแล้วกว่า 18 ปี

นอกจากนั้นถึงแม้ ‘Genki Forest’ จะมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสามหลัก (CAGR) มาโดยตลอด แต่ในปี 2020 ที่ผ่านมา การเติบโตที่น่าประทับใจนี้มาจากการเข้าถึงครัวเรือนเพียง 11.1% ของครัวเรือนจีน หรือราว 20 ล้านครัวเรือนในประเทศจีนเท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยทั้งประเทศมีครัวเรือนรวมอยู่เพียง 26 ล้านครัวเรือน แปลว่าแค่ในประเทศจีนเอง ‘Genki Forest’ ก็ยังมีช่องว่างในการเติบโต และเข้าถึงผู้บริโภคได้อีกอย่างอย่างมหาศาล

เครื่องดื่มของ ‘Genki Forest’ วางรากฐานและเน้นการสื่อสารใน คอนเซ็ปต์ 3 ศูนย์ : ศูนย์น้ำตาล ศูนย์ไขมัน และศูนย์แคลอรี ปัจจัยที่ทำให้ ‘Genki Forest’ โดดเด่น นอกเหนือจากการจับเทรนด์รักสุขภาพของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างถูกต้อง แต่ยังคือ ความเข้าใจผู้บริโภคของตัวเองอย่างลึกซึ้งว่าถึงจะรักสุขภาพแต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบเครื่องดื่มน้ำอัดลม เพียงแต่ต้องเป็นเครื่องดื่มอัดลมที่ดี หรืออย่างน้อยๆ ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

จริงอยู่ที่หลายบริษัทเครื่องดื่มน้ำดำระดับโลกได้มีการออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลออกสู่ตลาด แต่เครื่องดื่ม 0% เหล่านี้มักจะมีรสชาติที่แย่กว่าเครื่องดื่มรสออริจินัลของบริษัทซึ่งเป็นรสชาติที่ผู้บริโภคคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน

ถึงแม้จะมีการสื่อสารว่านี่คือสินค้าคนละตัว แต่สำหรับผู้บริโภคหลายๆ คน ก็คงอดเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัวไม่ได้ว่าตัว 0% นี้ มีรสชาติที่แย่กว่าตัวออริจินัลอย่างเทียบไม่ได้ ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งอาจยอมที่จะเปลี่ยนไปดื่มตัว 0% แทน แต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่รับไม่ได้กับรสชาติและเลือกที่จะเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มประเภทอื่นโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ยังมีความชื่นชอบในเครื่องดื่มอัดลมอยู่

นอกจากเหนือจากความเสียเปรียบของบริษัทน้ำดำดั้งเดิม ที่มีผลิตภัณฑ์ออริจินัลให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบแล้ว บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่มักจะใช้สารให้ความหวานจำพวก แอสปาร์แตม (Aspartame) และ แอซีซัลเฟมโพแทสเซียม (Acesulfame potassium) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ ไม่ใช่สารให้ความหวานจากธรรมชาติ

ซึ่งสารนี้นอกจากจะมีรสชาติที่คนไทยมักพูดว่า ‘หวานปะแล่มๆ’ แล้ว ผลข้างเคียงหรือผลเสียจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมเป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ก็ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคจำนวนมากกังวล

‘Genki Forest’ จึงมีความได้เปรียบที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ออริจินัลของตัวเองให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบ บริษัทไม่มีความจำเป็นที่ต้องพยายามทำให้เครื่องดื่ม 0% มีรสชาติเหมือนเครื่องดื่มออริจินัล ‘Genki Forest’ จึงสามารถพัฒนาเครื่องดื่มที่มีรสชาติที่ดีที่สุดจากการใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติเป็นตัวตั้งต้น

นอกเหนือจากนั้น ‘Genki Forest’ ยังสร้างความแตกต่าง โดยเป็นบริษัทแรกในจีนที่มีการใช้ Erythritol ซึ่งเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติไม่ใช่สารให้ความหวานสังเคราะห์ ที่ถึงแม้จะมีราคาสูงกว่าแต่ก็ให้รสชาติที่ดีกว่าสารให้ความหวานประเภท xylitol หรือ maltol และปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า นับว่าเป็นข้อได้เปรียบที่บริษัทสามารถสื่อสารให้กลุ่มผู้บริโภคได้เห็นถึงความแตกต่าง รวมถึงคุณภาพที่เหนือกว่าของบริษัทด้วย

จริงๆ แล้วนอกจากตลาดประเทศจีน ปัจจุบัน ‘Genki Forest’ มีจำหน่ายอยู่ใน 40 ประเทศทั่วโลก โดยรายได้จากต่างประเทศในไตรมาส 4 ของปี 2020 เติบโตถึง 69% เทียบปีต่อปี (YoY) แปลว่าโอกาสทางการตลาดของบริษัทไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในประเทศบ้านเกิด แต่ยังมีอยู่อีกในหลากหลายประเทศทั่วโลก

ทราบกันมั้ยครับว่า หนึ่งในประเทศที่บริษัทสนใจจะเข้ามาทำตลาดก็คือประเทศไทยของเรานี่เอง โดย ‘Genki Forest’ ได้มีการลงประกาศรับสมัครพนักงานชาวไทยผ่านช่องทางอย่าง Linkedin ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัทในการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย

จริงๆ แล้วมีคนไทยส่วนหนึ่งที่ได้ลองชิมเครื่องดื่มของ ‘Genki Forest’ ผ่านช่องทางอย่าง Shopee และช่องทางออนไลน์อื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหากดูจาก Sentiment ของ Social mention แล้ว เครื่องดื่มของบริษัทก็ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทยอยู่ไม่น้อย

น่าสนใจนะครับว่าหากบริษัทตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในประเทศเราอย่างเต็มตัว ‘Genki Forest’ จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมและแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาดบ้านเราได้มากน้อยเพียงใด เพราะตลาดเครื่องดื่มบ้านเราก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตลาดปราบเซียนที่มีการแข่งขันการอย่างเลือดสาดเลยทีเดียว

]]>
1338329
เปิดเบื้องหลัง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ช้าเเต่ชัวร์…สิงห์ส่งหมัดเด็ด ชิงตลาดน้ำผสมวิตามิน https://positioningmag.com/1304761 Thu, 05 Nov 2020 18:02:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304761 หอมหวานสุดๆ ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาดน้ำผสมวิตามินกันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียวมาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก “7-8 เจ้าปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง 

ล่าสุดบิ๊กน้ำดื่มอย่างสิงห์ประเดิมส่งเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ ขอลงสนามโตไวนี้ด้วย เล่นเอาเเบรนด์คู่เเข่งต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่เลยทีเดียว

เพราะน้ำแร่เพอร์ร่า” เป็นแบรนด์อันดับ 1 มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำเเร่ถึง 26% หลังจากเปิดตัวเพียง 8 ปี เเสดงว่าต้องมีฐานเเฟนคลับผู้รักสุขภาพ” อยู่จำนวนมาก เป็นทุนเดิมนั่นเอง ประกอบกับน้ำดื่มสิงห์” ก็ครองเเชมป์ตลาดด้วยมาร์เก็ตเเชร์ 25% (ย้อนหลัง 12 เดือน) ด้วยเช่นกัน

การเสริมพอร์ตด้วยน้ำดื่มผสมวิตามินของสิงห์ จึงน่าจับตาว่าจะสามารถเขย่าตลาดเเข่งดุ” นี้ ได้หรือไม่ ส่วนคำถามที่ว่า “ทำไมออกตัวช้านั้น

เต้ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด บอกกับ Positioning ว่า น้ำดื่มผสมวิตามิน ต้องผ่านกระบวนการคิดค้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องคุณประโยชน์ที่ต้องไปให้ได้กับรสชาติที่อร่อย จึงจำเป็นต้องใช้เวลา

“อยู่ที่จังหวะ บางทีการปล่อยสินค้าออกมาเร็วๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือกดีที่สุด เเม้ตลาดจะมีไปเเล้ว 7-8 เจ้า เเต่ในที่สุดอาจจะเหลือผู้ที่อยู่ครองตลาดได้เเค่ 2-3 เจ้า ภายใน 2-3 ปีนี้

โดยตลาดน้ำผสมวิตามิน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 มีมูลค่าตลาดราว 1,068 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปี 2563 จะมูลค่าตลาดถึง 3,500 ล้านบาท เเละเป็นเพียงการเติบโตใน “ช่วงเริ่มต้น” เท่านั้น เเละยังมีโอกาสโตไปได้อีกมาก

ต่อยอดด้วยเเบรนด์ “เพอร์ร่า” ไม่ใช่ “สิงห์” ?

ตลอดช่วง 9 เดือนเเรกของปี 2563 ภาพรวมของตลาดน้ำดื่ม ที่มีมูลค่ากว่า 24,750 ล้านบาท หดตัวไปกว่า -12% จากพิษการเเพร่ระบาดของ COVID-19

เช่นเดียวกับ “ตลาดน้ำเเร่” ที่ติดลบไป -9% เเต่ทว่า “น้ำดื่มผสมวิตามิน” กลับเติบโตเป็นเท่าตัวถึง 110% สวนทิศทางเครื่องดื่มทั้งหลาย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สิงห์ต้องกระโจนเข้ามาสู้ตลาดนี้ หลังเตรียมการมานานหลายเดือน 

ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer – Brand ของบุญรอดเทรดดิ้ง บอกถึงเหตุผลที่เลือกเปิดตัวน้ำผสมวิตามินตัวใหม่นี้ ผ่านเเบรนด์ “เพอร์ร่า” ว่า กลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อน้ำเเร่ มักจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับคนที่ซื้อน้ำผสมวิตามิน 

น้ำแร่เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคหลัก คือวัยทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนิยม “ดื่มนอกบ้าน” มากกว่าซื้อเป็นแพ็กติดบ้าน เมื่อเกิดล็อกดาวน์และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ตลาดน้ำแร่ยิ่งเจ็บหนัก ส่วนเหตุผลรองที่อาจมากระทบคือ เทรนด์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ หันไปดื่มน้ำเสริมวิตามินแทนน้ำแร่

โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งคุ้นเคยกับเเบรนด์เพอร์ร่าดีอยู่เเล้ว

อีกทั้ง “เพอร์ร่า” ยังอยู่ในเซ็กเมนต์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดังนั้นการนำเสนอสินค้าไลน์ใหม่ด้วยภาพลักษณ์เดียวกันนั้น จะทำให้ลูกค้า “จำได้ง่ายกว่า” เเละมองเห็นภาพความ “เฮลท์ตี้” ได้ชัดเจนขึ้น ส่วนข้อสงสัยที่ว่าคนจะจำสับสนกันหรือไม่นั้น ทางบริษัทได้ปรับให้ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ มีดีไซน์ของขวด ฉลากเเละสีสัน เเตกต่างจากน้ำเเร่เพอร์ร่าเเล้ว

เปรียบเทียบเเพ็กเกจจิ้งของน้ำเเร่เพอร์ร่า (ซ้าย) เเละเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ (ขวา)

เเตกต่างด้วย “ครบจบในขวดเดียว” 

“ความยากคือทำอย่างไรให้ใส่วิตามินเยอะเเล้วยังมีความอร่อย ต้องบาลานซ์คุณภาพของน้ำในขวดตามที่เขียนในฉลาก เเต่รสชาติต้องพอดื่มได้ บางคนลองดมดูเเล้วบอกว่ามีกลิ่นเหมือนยา เเต่เราก็ไม่อยากลดวิตามิน” 

โดยจุดเด่นเเละความเเตกต่างของ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ (Purra Vitamin Water) ที่จะเข้ามาเจาะตลาดนี้ คือการชูคอนเซ็ปต์ “ครบจบในขวดเดียว”

“เราเห็นช่องว่างว่า ตอนนี้เเบรนด์ต่างๆ ที่ผลิตน้ำผสมวิตามินออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่จะเเยกขาย เช่น วิตามิน C หนึ่งขวด วิตามิน B อีกหนึ่งขวด ผู้บริโภคอาจจะต้องซื้อหลายขวดหลายเเบรนด์ เเต่เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ จะมาเเบบเเร่ธาตุครบในขวดเดียว พร้อมใส่ปริมาณของเเต่ละวิตามินเท่ากับที่เเบรนด์อื่นใส่ไปในขวดเดียวด้วย…นี่คือจุดเด่นของเรา” 

โดยเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ หนึ่งขวด จะมีวิตามินซีสูง 200% และวิตามินบี 1, 3, 5, 6, 7, 9, 12 รวม 8 ชนิด
ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี ไม่มีโซเดียม ซึ่งทางเเบรนด์ชูว่า คุณประโยชน์ของวิตามินเหล่านี้จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น
เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย บำรุงระบบประสาทและสมอง มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวและเส้นผม
นอกจากนี้ ยังนำเข้าวิตามินส่งตรงจาก “เยอรมนี” ซึ่งมีชื่อเสียงด้านวิตามินต่างๆ ที่นิยมเติมลงในน้ำดื่มเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวัน เป็นอีกจุดขายจุดขายที่สร้างความเเต่างจากคู่แข่ง ที่บางรายนำเข้าวิตามินจากญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ 
ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (ขวา) ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer-Brand (ซ้าย)

ทำไมเลือกราคาขายที่ 17 บาท ? 

“เมื่อคำนวณจากต้นทุนเเล้ว เราตั้งราคาของเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ ให้ต่ำกว่า 15 บาทไม่ได้ เเละจะไม่ตั้งราคาไปไกลถึง 20 บาทเพราะผู้บริโภครับไม่ไหว ดังนั้นเราจึงเลือกจุดตรงกลางที่ 17 บาท ในขนาดบรรจุ 500 มล. เป็นราคาที่เหมาะสม” 

ธิติพร อธิบายต่อว่า ตามปกติเเล้ว หลักเกณฑ์ในการตั้งราคาขายของเเต่ละสินค้า จะดูที่ 3 เเกนหลัก ได้เเก่ 1)ต้นทุน 2)คู่เเข่ง 3) ผู้บริโภครับได้ไหม ดังนั้น เมื่อทางเเบรนด์ใช้วิตามินนำเข้าเเละใส่ไปในปริมาณเยอะ จึงไม่สามารถปรับราคาให้ลดลงกว่านี้ได้

โดยผู้บริหารบุญรอดทั้ง ภูริตเเละธิติพร ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่เข้าไปต่อสู้เเบบ “ดัมพ์ราคา” ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ที่บางเเบรนด์อาจจะมีการลดไปถึงหลักสิบบาทต้นๆ อย่างเเน่นอน เพราะไม่ใช่เเนวทางของบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่เเบรนดิ้ง คุณภาพ เเละมองว่าเรื่องราคาเป็นเรื่องรอง 

ในขณะที่ลูกค้าหลายคนให้เหตุผลถึงการเลือกซื้อ “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ว่าเป็นการบำรุงร่างกายต่างๆ เเต่ก็มีอีกอีกกลุ่มผู้บริโภคที่สงสัยว่าจำเป็นต่อร่างกายจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกระเเสนิยมเเละการตลาดเท่านั้น ทางเเบรนด์จะมีการสื่อสารต่อโปรดักต์นี้อย่างไร

ธิติพร ตอบว่า วิตามินเป็นสิ่งที่บำรุงร่างกายอยู่เเล้ว เเต่การที่น้ำดื่มผสมวิตามินจะมีเเร่ธาตุเท่ากับการกินผัก ผลไม้เเละอาหารต่างๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการสื่อสารกับลูกค้าถึงสรรพคุณตามความเป็นจริง เน้นเข้าถึงผู้คนผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รองลงมาคือทางออฟไลน์อย่าง กิจกรรมส่งเสริมการขาย จุดขาย ตามแหล่งออฟฟิศต่างๆ เพื่อให้เกิดการทดลองสินค้าไปในวงกว้างที่สุด

นอกจากนี้ ยังสื่อสารผ่านการใช้ “พรีเซ็นเตอร์” ที่ครองใจคนรุ่นใหม่อย่าง “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” นักแสดงชื่อดังที่สะท้อนความเป็นคนทันสมัย ที่ไม่ว่างานเยอะแค่ไหน ก็ยังคงใส่ใจรักษาสุขภาพ

เกาะเทรนด์เครื่องดื่มอนาคต : 0 cal – Functional Drink

สิงห์บุกขยายพอร์ตในเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาตามกระเเสนิยมโลก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านโฆษณามากเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์

“สัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์”

ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic

เมื่อกลางปีนี้ เพิ่งออกสิงห์ เลมอนโซดา ซึ่งเป็นนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ตัวแรกที่เจาะหมวดใหม่คือ
น้ำอัดลม จากก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา โดยเปิดผลิตภัณฑ์แรกก็มีเฉพาะแบบ
น้ำตาล 0% เลย ไม่มีแบบใส่น้ำตาลปกติ วางขาย 1 เดือนแรกทำยอดขายเกินเป้า 5 เท่า เเละเตรียมออกรสชาติอื่นเพิ่มภายในปีนี้ 

จากปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวมน้ำอัดลม เเบรนด์สิงห์ มองว่าน่าจะโตไปถึง 30% ของตลาดรวมได้ภายใน 3 ปี 

ในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาด 0 cal จะโตมาก รวมไปถึงกระเเสนิยมในกลุ่ม Functional Drink เครื่องดื่มที่ดีสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำดื่มผสมวิตามิน ยังจะมีต่อเนื่องไปอีกหลายปี เเละยังเป็นตลาดที่มีช่องว่างให้เติบโตได้อีก

]]>
1304761
COVID-19 ทำคนเครียดพุ่ง เป๊ปซี่ ชิงเปิดตัว “Driftwell” เครื่องดื่มใหม่ ช่วยผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น https://positioningmag.com/1297307 Wed, 16 Sep 2020 07:47:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297307 จากการเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้คนมีความเครียดเเละนอนไม่หลับกันเพิ่มมากขึ้น ยักษ์ใหญ่เเห่งวงการเครื่องดื่มโลกอย่างเป๊ปซี่ โคได้โอกาสออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “Driftwell” มาเพื่อเจาะตลาดนี้

“Driftwell” เป็นเครื่องดื่มตัวใหม่ของเป๊ปซี่ จะเริ่มวางจำหน่ายทั่วสหรัฐฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมจะวางขายในร้านค้าปลีก ภายในไตรมาสแรกของปี 2021

โดยมีการชูจุดเด่นว่า หากดื่มเเล้วจะช่วยให้ผ่อนคลายเเละนอนหลับได้ง่ายขึ้น ด้วยการผสมแอลธีอะนีน” (L-theanine) กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ให้การยอมรับ ซึ่งพบได้ในชาเขียว ชาดำ และเห็ดบางชนิด

ที่มาของเครื่องดื่ม Driftwell นี้ เกิดจากโครงการการแข่งขันเสนอไอเดียภายในบริษัทของเป๊ปซี่ เพื่อนำไปต่อยอดผลิตเป็นสินค้าที่จำหน่ายในตลาดได้จริง โดย Emily Silver ผู้บริหารดูแลฝ่ายนวัตกรรม บอกว่า Driftwell เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากไอเดียของพนักงานที่ทำออกมาวางขายจริงได้เร็วที่สุดของบริษัท

โดย Driftwell จะถูกจัดอยู่ในประเภท Functional Water หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ บรรจุในกระป๋องขนาด 7.5 ออนซ์ เหมาะที่จะดื่มในช่วงค่ำๆ ก่อนถึงเวลาเข้านอนโดยไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน มาพร้อมกลิ่นของแบล็กเบอร์รีและลาเวนเดอร์มีส่วนผสมของแอลธีอะนีนถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนว่า สารดังกล่าวมีส่วนช่วยลดความเครียดในสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความกังวลและปรับอารมณ์ก่อนนอนได้

สำหรับตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในอเมริกา ในปี 2019 มีมูลค่ากว่า 2.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.27 หมื่นล้านบาท) ตามรายงานของ Euromonitor เเละคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายเติบโตได้เกือบ 5% จากความนิยมในเครื่องดื่มที่ช่วยผ่อนคลายที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดหนักในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ กระทบเศรษฐกิจเเละไม่มีความเเน่นอน ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความเครียดมากขึ้นนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ตลาดเครื่องดื่มลูกผสมเเบบ “ไฮบริด” ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันในยุคนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดสูงโดยคู่เเข่งอย่าง โคคาโคล่า” ก็เตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เพื่อเจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 

…ต้องรอลุ้นว่าจะเข้าไทยหรือไม่

 

ที่มา : CNBC , CNN

 

 

 

 

]]>
1297307
ยุคทองของน้ำวิตามิน! อิชิตัน แตกไลน์ “PH PLUS 8.5” น้ำอัลคาไลน์ ผสมวิตามินบีรวม https://positioningmag.com/1281895 Wed, 03 Jun 2020 15:50:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281895 เมื่อตลาดชาเขียวเริ่มตัน แถมไวรัสก็มา ทำให้เครื่องดื่มวิตามินมาแรง “อิชิตัน กรุ๊ป” เลยขอแตกไลน์สินค้ากลุ่มใหม่ “PH PLUS 8.5” เครื่องดื่มน้ำ PH ผสมวิตามินบีรวม สู้ศึกตลาดน้ำสร้างภูมิคุ้มกัน

ยุคของเครื่องดื่มผสมวิตามิน

ก่อนหน้านี้เทรนด์ของเครื่องดื่มที่มาแรงในประเทศไทยคือเครื่องดื่มสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณหวานน้อย หรือฟังก์ชันนอลดริ้งก์ต่างๆ แต่ในตอนนี้เทรนด์ของเครื่องดื่มเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ผู้บริโภคต้องการอาหาร และเครื่องดื่มที่ที่ชวยในเรื่องของการ “สร้างภูมิคุ้มกัน” หรือภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในตอนนี้นี่เอง

ทำให้วงการเครื่องดื่มในตอนนี้มีทั้งเครื่องดื่มวิตามินซี และเครื่องดื่มผสมวิตามินออกมามากมาย อีกทั้งยังได้รับการตอบรับอย่างดี

ล่าสุด “อิชิตัน” ได้รวมแจมกับรถไฟขบวนนี้ด้วย แตกไลน์สินค้าใหม่ PH PLUS 8.5 (พีเอช พลัส 8.5)” วางจุดยืนเป็นเครื่องดื่มน้ำอัลคาไลน์ ผสมวิตามินบีรวม ทางแบรนด์ได้เคลมว่าเครื่องดื่มนี้จะช่วยคืนความสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ลดสภาวะกรดในร่างกายซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดโรคต่างๆ ด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่นที่ทำให้โมเลกุลน้ำมีขนาดเล็ก นำพาวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เทรนด์ด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปัจจุบัน โดยการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้หลายคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ PH PLUS 8.5 มีฤทธิ์ด่างอ่อน ด้วยค่า PH 8.5 ช่วยปรับให้ร่างกายสมดุลจากสภาวะความเป็นกรดที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น อาหารรสจัด อาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบ และใช้ความร้อนสูงในการปรุง เช่นการปิ้งย่าง รวมไปถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางความเครียด ฝุ่นควัน มลภาวะ ของคนเมืองยุคใหม่

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด และแสดงออกในรูปของโรคต่างๆ เช่น กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร การเผาผลาญไม่สมบูรณ์ ฯลฯ เมื่อร่างกายมีความสมดุลแล้ว ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมที่จะสู้โรคต่อไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสดชื่นในระหว่างวัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง และมองหาวิธีการสร้างสุขภาพที่ดีในรูปแบบของไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ”

เทรนด์จากญี่ปุ่น

ตัน กล่าวเสริมว่า “เทรนด์การดื่มน้ำ PH ที่มีคุณสมบัติเป็นด่างได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน จะเห็นได้จากจำนวนผู้เล่น และมูลค่าตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเมือง และคนที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพจากภายใน

เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายถึง 70% ร่างกายมีการใช้น้ำทุกส่วนและหมุนเวียนไปทุกอวัยวะ ดังนั้นการนำน้ำเข้าสู่ร่างกายจึงจะต้องเลือกน้ำคุณภาพที่มีความเหมาะสม เช่น น้ำที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง มีโมเลกุลขนาดเล็ก และไม่มีสารโลหะหนักเจือปน

อิชิตันได้นำเข้าเทคโนโลยีที่ได้รับลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการผลิต และหวังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพชาวไทย วางเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท

]]>
1281895
Coca-Cola คาดไวรัสโคโรนาระบาด กระทบกำไร-รายได้ ในไตรมาสแรก https://positioningmag.com/1265675 Mon, 24 Feb 2020 13:41:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265675 ผูัผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก Coca-Cola คาดการณ์ว่าการระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสเเรกปีนี้ถึง 2 เซนต์ต่อหุ้น เเละกระทบปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มราว 2-3%

บริษัทคาดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 จะส่งผลต่อตัวเลขกำไรในไตรมาสเเรก ราว 1-2 เซนต์ต่อหุ้น และกระทบรายได้ ราว 1-2% ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มจะกระทบราว 2-3%

อย่างไรก็ตาม เเม้จะได้รับผลกระทบในไตรมาสเเรก เเต่ทาง Coca-Cola ยืนยันว่าบริษัทจะมีผลประกอบการประจำปีนี้ตามเป้าหมายเดิม ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 5% และกำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วจะเพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.25 ดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2019 Coca-Cola มียอดขายสุทธิอยู่ที่ 3.73 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้น 2.07 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นของบริษัทลดลงน้อยกว่า 1% ในการซื้อขายล่วงหน้า โดยมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.56 เเสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ มูลค่าธุรกิจในจีนของ Coca-Cola คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของทั้งโลก โดยบริษัทคาดว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับธุรกิจได้ภายในช่วงก่อนเดือน เม.ย.นี้

 

ที่มา : CNBC

]]>
1265675
ลิโพ ปรับโฉมใหม่เน้นญี่ปุ่น เจาะนักศึกษา-ออฟฟิศ เล็งขายเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อผู้หญิง https://positioningmag.com/1264494 Fri, 14 Feb 2020 13:30:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264494 “ลิโพ” เป็นเเบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดี ด้วยการเจ้าเเรกที่เข้ามาบุกเบิกเครื่องดื่มชูกำลังในไทยจนถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 55

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2505 “ไทโช ฟาร์มาซูติคอล” ได้เปิดตัวลิโพที่ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2508 ได้ขยายตลาดมายังประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับ “โอสถสภา”

เเม้เเบรนด์ที่อยู่มานานจะเเข็งเเกร่ง เเต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่ดุเดือด เเละมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 23,000 ล้าน ลิโพจึงต้องขยับก้าวใหม่ ชูจุดเด่น “ความพรีเมียม” เพื่อขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นพนักงานออฟฟิศ นักศึกษาเเละนักกีฬามากขึ้น

ลิโพจึงหนีตลาดเเมสเครื่องดื่มชูกำลังที่ขายกันที่ 10 บาทต่อขวด ปรับภาพลักษณ์เเล้วขายที่ราคา 12 บาทต่อขวด มาเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้ว เเสดงว่าการยืนหยัดเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มนั้น “ได้ผล” ด้วยยอดขายราว 300 ล้านขวดต่อปี

“ไทยเป็นตลาดที่ประสบความสำเร็จของลิโพ” ยูคิโอะ ซาวาดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด กล่าว

เล็งโอกาสเครื่องดื่มชูกำลังสำหรับ “ผู้หญิง” ในไทย

ซาวาดะมองว่า เทรนด์ผู้บริโภคที่กำลังให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เเละผู้บริโภคเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยก็ให้ความใส่ใจเครื่องดื่มชูกำลังที่มีประโยชน์

“ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง เนื่องจากสัดส่วนประชากรในไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงเเละมีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้หญิง จากเดิมที่ลูกค้าจะเป็นผู้ชายเป็นหลัก”

ทั้งนี้ ปัจจัยการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องดื่มชูกำลังของผู้บริโภคในไทย มี 3 ด้านได้แก่ 1) แบรนด์ 2) ความสะดวก เเละ 3) รสชาติ โดยในญี่ปุ่น ลิโพมีชนิดสินค้าอยู่ราว 20 SKU ส่วนไทยมี 2 SKU มาเลเซียที่ 2-3 SKU เวียดนาม 1 SKU และสหรัฐอเมริกามี 5 SKU

ในญี่ปุ่นลิโพมีผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่ม “ผู้หญิงเเละเด็ก” ด้วย

เเม้ลิโพจะเป็นเเบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังรายเเรกของไทย เเต่ปัจจุบันที่มีเเบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่เข้ามาทำตลาด ทำให้ลิโพมีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ในลำดับที่ 4-5 นั้น ผู้บริหารไทโชบอกว่า “ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” เพราะลิโพยังต้องการขยายตลาดในประเทศไทยต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่การให้ความรีเมียมกับผู้บริโภค ไม่ลงไปแข่งขันในตลาดเเมสเเละมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มคนเมือง

“ยึดมั่นในการใช้วัตถุดิบคุณภาพจากญี่ปุ่น เจาะตลาดนีชมาร์เก็ต นี่คือเป้าหมายของเเบรนด์ลิโพ” ซาวาดะกล่าว

ยูคิโอะ ซาวาดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด

ยึดตลาดพรีเมียม คนเมือง พนักงานออฟฟิศ

ด้าน วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในปี 2563 ภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในไทยมีความพรีเมียมมากขึ้นต่างจากในอดีต การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลถึงการวางแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่าง กลุ่มนักศึกษา พนักงานออฟฟิศ และนักกีฬา โดยบริษัทจะใช้ความได้เปรียบด้วยความที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหลักพรีเมียมที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น

ประวาล โรจนพฤกษ์ ผู้อำนวยการการตลาดผลิตภัณฑ์ลิโพ กล่าวว่า การที่เเบรนด์ต่างๆ เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังเข้าสู่ตลาดอย่างหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมากขึ้นเป็นเเนวโน้มที่ดีของตลาดภาพรวม เเม้ว่าช่วงนี้ตลาดจะทรงตัว เเต่สำหรับโอสถสภาเเล้วถือว่าเป็นตัวหลักที่ต้องทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รักษาฐานลูกค้าเดิมเเละเพิ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งการมีทั้งเเบรนด์ M150 ฉลาม ลิโพ เเละโสมอินซัม ทำให้โอสถสภายังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังต่อไป

“ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเเบ่งเป็นตลาดเเมส 80% เเละตลาดพรีเมียม 20% สำหรับกลุ่มลูกค้าใหญ่ของลิโพจะเป็นพนักงานที่อยู่ในเมือง เเต่ก็มีการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ ขายดีที่สุดในภาคกลาง โดยมีช่องทางการขายเป็นเเบบร้านดั้งเดิม 75% เเละโมเดิร์นเทรด 25%”

รีเเพ็กเกจจิ้งใหม่ ชูจุดเด่นความเป็นญี่ปุ่น

ในโอกาสครบรอบ 55 ปี ของแบรนด์ ลิโพ ในประเทศไทย ได้เปิดตัวแคมเปญ “ลิโพ 55 ปีแห่งการส่งต่อ” พร้อมการปรับโฉมแพ็กเกจจิ้งใหม่ด้วยการเพิ่มฉลากภาษาญี่ปุ่นและเน้นไอคอน “ทอรีน 1,000 มก.” รวมถึงได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ซึ่งจะออกกาศในวันที่ 16 ก.พ. เป็นครั้งแรก

โดยโฆษณาชุดใหม่นี้ เน้นสื่อถึงความเป็นเครื่องดื่มพรีเมียมที่มาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นของลิโพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วย 3 คาแร็กเตอร์ญี่ปุ่น ได้แก่ ‘ซูโม่’ สื่อถึงความแข็งแรง ‘นินจา’ สื่อถึงความกระฉับกระเฉงว่องไว และ ‘ซามูไร’ สื่อถึงดวงตาที่เฉียบคม จากการช่วยบำรุงสายตา

]]>
1264494