Apple TV – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 24 Mar 2023 08:37:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Apple เตรียมอัดทุนสร้าง “ภาพยนตร์” 1 พันล้านเหรียญ พร้อมส่งเข้าฉายโรงก่อนสตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1424745 Fri, 24 Mar 2023 08:00:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424745 Apple วางแผนทุ่มทุนสร้าง “ภาพยนตร์” ปีละ 1,000 ล้านเหรียญ พร้อมส่งหนังเข้าฉายในโรงก่อนอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะว่าบริษัทเป็นค่ายหนังคุณภาพ และเอาจริงกับการทำภาพยนตร์

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Apple วางแผนจะอัดทุนสร้างภาพยนตร์อีกปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติก่อนอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนที่จะเข้าฉายผ่านสตรีมมิ่ง Apple TV+

จุดประสงค์การเข้าโรงปกติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้ชมเห็นว่า ค่าย Apple Studios นั้นเป็นผู้เล่นหลักในวงการภาพยนตร์ และต้องการจะทำหนังดีมีคุณภาพออกมา

ถือเป็นการแก้เกมที่ก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่อง CODA ที่ชนะรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล ค่ายนี้ก็ยังไม่มีหนังฮิตติดกระแสอีก และยังไม่ถูกมองเป็นค่ายหนังรางวัล

ปัจจุบัน Apple ถือว่ายังใหม่มากในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เข้าไปฉายในโรงหนัง ทำให้มีข่าวว่าค่ายอาจจะพูดคุยกับค่ายหนังอื่นด้วย เพื่อหาพันธมิตรช่วยในการจัดจำหน่าย

Argylle หนังระทึกขวัญจากค่าย Apple Studios คาดเข้าฉายกลางปี 2023 และอาจจะผลักดันเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ก่อน

แผนการนำภาพยนตร์ฉายในโรงอย่างต่อเนื่องของ Apple อาจได้เห็นเร็วๆ นี้ เพราะค่ายมีโปรแกรมหนังในมือรอออกฉายในปี 2023 อยู่หลายเรื่อง เช่น เรื่อง Argylle หนังระทึกขวัญนำแสดงโดย ดูอา ลิปา และ เฮนรี่ คาวิลล์ รวมถึงเรื่อง Napolean หนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์ที่กำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์ และนำแสดงโดย โจอาควิน ฟินิกซ์

ด้านคู่แข่งของ Apple มีความเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป เช่น Amazon ประกาศเหมือนกันว่าจะอัดทุนสร้างปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่เข้าโรงก่อนเข้าสตรีมมิ่งของตนเอง ขณะที่ Netflix นั้นส่งสัญญาณว่าแพลตฟอร์มไม่พร้อมจะส่งภาพยนตร์เข้าฉายโรงก่อน

แผนของ Apple ที่จะส่งหนังเข้าโรงก่อนนั้นยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อยในการช่วยดึงคนมาสมัครสมาชิกสตรีมมิ่งเพิ่ม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การส่งหนังไปฉายในโรงปกติก่อนจะทำให้สาธารณชนเปลี่ยนความคิด หันมามองว่าค่ายหนังของ Apple นั้น “เอาจริง” ในการทำหนังที่มีคุณภาพ และต้องทำหนังที่ดึงคนให้ไปตีตั๋วดูที่โรงหนังได้จริงๆ

Source

]]>
1424745
หุ้น ‘Netflix’ ดิ่ง 20% เหตุจำนวนผู้ใช้เริ่มตัน พร้อมยอมรับ ‘คู่แข่ง’ มีผลต่อการเติบโต https://positioningmag.com/1371118 Fri, 21 Jan 2022 06:54:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371118 Netflix (เน็ตฟลิกซ์) แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเบอร์ 1 ของโลกรายงานผลประกอบการ ไตรมาส 4 ซึ่งผลลัพธ์ในส่วนของผู้ใช้งานน่าจะไม่เป็นที่น่าพอใจต่อนักลงทุนเท่าไหร่นัก ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงมากกว่า 20% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020

ผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Netflix ปิดที่ 7.71 พันล้านดอลลาร์ (+16%) เท่ากับที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ ส่วนจำนวนสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นสุทธิ 8.28 ล้านราย สูงกว่าที่ StreetAccount นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ว่าจะเติบโต 8.19 ล้านราย แม้ว่าการเติบโตจะสูงกว่าที่ประมาณการ แต่ก็ยังน้อยกว่าการเติบโตในไตรมาส 4 ปี 2020 ที่ 8.5 ล้านราย

ปัจจุบัน Netflix มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 222 ล้านราย (+8.8%) และคาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2022 นี้ จะมีสมาชิกเพิ่มอีก 2.5 ล้านราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าช่วงไตรมาส 1 ปี 2021 ที่ผู้ใช้ใหม่เติบโตถึง 3.98 ล้านราย แนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้ทำให้มูลค่าหุ้นของ Netflix หายไป 20%

Netflix ยอมรับว่า การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการมาของแพลตฟอร์มอื่นๆ คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเติบโตชะลอตัวลง แตกต่างจากที่ผ่านมาที่ Netflix เคยระบุว่า แพลตฟอร์ม Apple TV+ และ Disney+ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของบริษัท

เนื่องจากบริษัทบันเทิงทั่วโลกพัฒนาบริการสตรีมมิ่งของตนเอง ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นนี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเราในบางส่วน แต่เรายังคงเติบโตในทุกประเทศและภูมิภาคที่มีการเปิดตัวทางเลือกสตรีมมิ่งใหม่เหล่านี้ แน่นอน มันน่าผิดหวังที่การเติบโตลดลงในปัจจุบันReed Hastings ซีอีโอร่วมกล่าว

ขณะที่แผนแก้เกมในไตรมาสแรกของ Netflix ก็ยังเป็นแผนเดิมๆ คือ เปิดตัว Original Content ใหม่ๆ โดยจะออกอากาศรอบปฐมทัศน์ในเดือนมีนาคม ซึ่งไม่ต่างจากแผนที่ Netflix วางไว้ในช่วงไตรมาส 4 ที่เปิดตัวรายการทีวีและภาพยนตร์ใหม่ๆ เช่น Emily in Paris” “Don’t Look Up” “Red Notice” และ You”

Emily in Paris / Netflix

เนื่องจากกลยุทธ์ของ Netflix ที่ต้องเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าเสมอ ผลลัพธ์ คือ ลูกค้าค่อนข้างยึดติดกับเนื้อหาพิเศษของบริษัทมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Netflix ได้ประกาศขึ้นราคาค่าบริการในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งการขึ้นราคาสามารถช่วยชดเชยการเติบโตของลูกค้าที่ลดลงได้

ทั้งนี้ Netflix มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ได้ 800-900 ล้านราย ซึ่งนั่นยังเร็วเกินไปที่ Netflix จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกแผนที่ Netflix จะใช้สร้างการเติบโตก็คือ เกม ซึ่งอาจจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับ Netflix ได้ในอนาคต

Source

]]>
1371118
ครบ 1 ปี ‘Disney+’ ผู้ใช้ทะลุ 73.7 ล้านราย นักวิเคราะห์คาดอาจถึง 230 ล้านรายภายในปี 2025 https://positioningmag.com/1305913 Fri, 13 Nov 2020 07:52:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305913 เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ Disney+ เปิดตัวและบริการสตรีมมิ่งมีประสิทธิภาพเหนือความคาดหมายมาก โดย Disney ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่าแพลตฟอร์มมีผู้ติดตามมากกว่า 73.7 ล้านคน ถือเป็นการเติบโตที่โดดเด่นเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายของ Disney ที่เคยวางไว้ว่าต้องการมีผู้ใช้ 60-90 ล้านคนภายในปี 2024

เพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่ Disney+ กำลังรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็วในสมรภูมิสตรีมมิ่ง เพียงวันแรกที่ Disney+ เปิดตัวมีผู้สมัครถึง 10 ล้านคน และในไตรมาสแรกของการดำเนินงานบริการมีผู้ใช้บริการ 26.5 ล้านคน และมันพุ่งขึ้นจากอีกเนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้ผู้ใช้ Disney+ เพิ่มขึ้นอีกเป็น 33.5 ล้านคนในไตรมาสที่สอง และเป็น 57.5 ล้านคนในไตรมาสที่สาม

ขณะที่หลาย ๆ บริการที่เปิดตัวในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่าง ‘Peacock’ ของ NBCUniversal มีผู้สมัครใช้ประมาณ 22 ล้านคน ส่วน ‘Apple’ ที่เปิดตัว ‘Apple TV’ ยังไม่เปิดเผยหมายจำนวนการสมัครสมาชิก ส่วนผู้นำในตลาดอย่าง ‘Netflix’ สามารถเพิ่มผู้ใช้ได้อีกกว่า 195 ล้านคนในไตรมาสล่าสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่มีการเปิดเผยว่ามีจำนวนสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการผ่านการรวมกลุ่มหรือเข้ามาเพราะโปรโมชันใช้ฟรีแล้วยกเลิกว่ามีมากน้อยแค่ไหน

โปสเตอร์พิเศษฉลองครบรอบ 1 ปี Disney+

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้นักวิเคราะห์ได้ปรับคาดการณ์จำนวนสมาชิกของ Disney+ จากเดิมที่คาดว่าจะไม่ถึงผู้ติดตาม 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 เป็น 160 ล้านคนในปี 2024 และเพิ่มเป็น 230 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025 ทั้งนี้ ก้าวต่อไปของ Disney คือ ต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นว่าสามารถรักษาสมาชิกเดิมไว้ได้ และต้องสามารถเพิ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ได้ด้วย

Source

]]>
1305913
โบกมือลา Quibi สตรีมมิ่งน้องใหม่ สู้เจ้าใหญ่ไม่ไหว ประกาศ “ปิดตัว” หลังให้บริการเเค่ 6 เดือน https://positioningmag.com/1302815 Thu, 22 Oct 2020 07:32:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302815 โบกมือลากันไปเเล้วกับ “Quibi” เเพลตฟอร์มสตรีมมิ่งน้องใหม่ ประกาศยุติให้บริการ หลังเปิดตัวมาได้เพียง 6 เดือน ทุ่มเงินลงทุนไปเเล้วกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์

สมรภูมิธุรกิจสตรีมมิ่ง มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เเละยิ่งรุนเเรงขึ้นไปอีกในวิกฤต COVID-19 ที่มียอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นมาในช่วงล็อกดาวน์ ปัจจุบันตลาดนี้ถูกครอบครองด้วยเจ้าใหญ่อย่าง Netflix, Prime Video ของ Amazon, Disney + และ Apple TV + ส่วนรายเล็กต้องดิ้นรนหาช่องว่างที่เหลือของตลาด ซึ่งเเทบจะไม่มีโอกาสได้เเจ้งเกิด

Quibi ก่อตั้งโดย Jeffrey Katzenberg อดีตผู้บริหารของ Walt Disney ระดมทุนได้กว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 6 เม.. ที่ผ่านมา ท่ามกลางการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้คนต้องหาความบันเทิงใหม่เมื่อต้องอยู่บ้าน

Quibi วางเกมโพสิชั่นในตลาดด้วยการชูจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอย่าง เนื้อหา ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการ, ซีรีส์หรือภาพยนตร์ก็ตาม จะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และทุกคอนเทนต์สามารถดูได้ทั้ง แนวตั้ง แนวนอน โดยค่าสมัครสมาชิกของ Quibi จะอยู่ที่ 5 เหรียญ หรือราว 156 บาทต่อเดือน (เเบบมีโฆษณา) และ 8 เหรียญ หรือราว 250 บาทเดือน (เเบบไม่มีโฆษณา)

ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยว่า ผู้นำในอุตสาหกรรมหนังและดาราดังอย่าง Steven Spielberg, Guillermo del Toro, Jennifer Lopez และ Reese Witherspoon ก็จะตบเท้ามาสร้างภาพยนตร์และรายการใน Quibi ด้วย

โลกได้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่ก่อตั้งแพลตฟอร์ม และโมเดลทางธุรกิจของ Quibi ที่แยกออกมาผลิตรายการต่าง ๆ เองก็ไม่เวิร์คอีกต่อไป Katzenberg ระบุในเเถลงการณ์

จากรายงานของ Apptopia ระบุว่า นอกจากการขายโฆษณาแล้ว Quibi มีรายได้จากการสมัครสมาชิก 3.3 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เปิดตัว โดยรายได้เริ่มมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง มาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม

ความล้มเหลวของเรา ไม่ใช่เพราะว่าขาดความพยายาม เราได้ใช้ทุกทางเลือกที่มีไปหมดแล้วซีอีโอ Quibi กล่าว

ไม่เพียงเเต่รายเล็กที่ต้องล้มหายตายจากในธุรกิจสตรีมมิ่ง เเต่ตอนนี้บรรดาเจ้าใหญ่ก็เจออุปสรรคที่ท้าทายเช่นกัน หลายคนมองว่า จำนวนสมาชิกของ Netflix โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกากำลังถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งหมายความว่า หากอยากสร้างการเติบโตของรายได้ Netflix อาจจะมาจากการปรับขึ้นราคาค่าบริการ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจส่งผลเสียกับ Netflix มากกว่า เพราะพวกเขาพร้อมจะ ‘ยกเลิก’ บริการ

เราคิดว่าในปี 2021 การเติบโตของสมาชิกจะยิ่งชะลอตัวลงอย่างมาก ดังนั้น แนวโน้มปีหน้าจะท้าทายมากขึ้นสำหรับ Netflix นอกจากนี้ เราได้ทำการสำรวจตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งและผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุว่า พวกเขาจะยกเลิก Netflix หรือลดจำนวนเดือนที่สมัคร Netflix หากขึ้นราคาเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ

อ่านเพิ่มเติม : เวลาอันแสนง่ายของ ‘Netflix’ จบแล้ว เมื่อไม่มี COVID-19 หนุน แถมมี Disney+ หายใจรดต้นคอ

ที่มา : Reuters

]]> 1302815 มองอนาคต ‘Apple TV+’ ที่อาจเป็นได้แค่ของ ‘ฟรี’ หากสู้สตรีมมิ่งรายอื่นไม่ได้ https://positioningmag.com/1297049 Tue, 15 Sep 2020 07:25:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297049 ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2019 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ Tim Cook CEO ได้เปิดตัว 2 บริการใหม่ของ Apple ได้แก่ ‘Apple Arcade’ แพลตฟอร์มรวมเกมแนวอาร์เคดแบบบุฟเฟต์ และ ‘Apple TV +’ บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง แต่กระแสความนิยมกลับจางหายไป เมื่อเจอเหล่าคู่แข่งดึงความสนใจไปหมด

เติบโตแต่มันไปได้ ‘ไกล’ กว่านี้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2020 การเติบโตของรายได้ปีต่อปีจากธุรกิจบริการของ Apple อยู่ที่ 16% ซึ่งเกือบจะเท่ากับอัตราเดียวกับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2019 แม้ว่าผลการดำเนินงานจะดูดี แต่อย่าลืมว่า การเติบโตของธุรกิจบริการไม่ได้เร่งตัวขึ้นเลย แม้จะมีการเปิดตัว Apple TV + และ Apple Arcade อีกทั้งการระบาดใหญ่ของ COVID-19 นั้นช่วยดันให้ความต้องการความบันเทิงดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม แต่ทำไม Apple TV + และ Apple Arcade ถึงไม่สามารถเติบโตได้มากกว่านี้

หลายคนอาจจะเถียงว่า Apple เป็นบริษัท ‘ฮาร์ดแวร์’ ไม่ใช่หรอ แต่จริง ๆ แล้วภาคการบริการถือเป็นส่วนที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากและยังคิดเป็น 20% ของยอดขายโดยรวมของบริษัท และหาก Apple ต้องการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจบริการ บริษัทก็จะต้องทำให้ดึงดูดผู้คนหลายร้อยล้านคนที่ซื้อสินค้าของ Apple ให้มาใช้ ดังนั้น บริการดิจิทัลยังคงเป็นส่วนเสริมที่สำคัญของบริษัทในภาพรวม

“แน่นอนว่า Apple ยังคงเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมพวกเขายังคงต้องออกผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต” Dan Morgan ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสของ Synovus Trust Company กล่าว

คอนเทนต์ดี แต่ ‘น้อย’

การรุกในสงครามสตรีมมิ่งของ Apple ที่เปิดตัวมาพร้อมกับเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์ที่น่าสนใจจำนวนมาก อาทิ รายการทอล์คโชว์จากโอปราห์ วินฟรีย์ หรือซีรีส์ ‘The Morning Show’ ที่นำแสดงโดย ‘เจนนิเฟอร์ อนิสตัน’ ที่ได้เข้าชิงได้เข้าชิงราววัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำ แต่หลังจากนั้น Apple ก็ไม่ได้เข้าสู่ตลาดด้วยความคึกคักอย่างที่ Disney + ทำ ซึ่งมีซีรีส์อย่าง ‘Madalorian’

“พวกเขาต้องสร้างปริมาณให้มากขึ้น อย่าง The Morning Show ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย แต่ไม่ใช่แค่การมีรายการนั้นเท่านั้นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการเสนอชื่อ แต่เป็นเรื่องของปริมาณ” Zak Shaikh รองประธานฝ่ายที่ปรึกษาด้านสื่อและความบันเทิงระดับโลกกับ Magid กล่าว

นักวิเคราะห์มองว่าการที่ Apple มีจำนวนคอนเทนต์ที่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Apple ใช้เงินเพียงเศษเสี้ยวของคู่แข่ง เช่น Netflix ลงทุนในการสร้างเนื้อหาพิเศษ และในฐานะบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Apple สามารถเลือกที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้

“ไม่ใช่ทุกบริการที่จะ อยู่รอดในอีก 5 ปีข้างหน้าเพราะมีตัวเลือกมากเกินไป ดังนั้นการที่กำลังทุ่มเพื่อสร้างคอนเทนต์ระดับโลก จะส่งผลในระยะยาว”

อนาคตอาจเป็นของ ‘ฟรี’

แม้ค่าบริการ Apple TV + จะอยู่ที่ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว 150 บาท (แต่ในไทยเดือนละ 99 บาท) ซึ่งถือว่าถูกกว่าบริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ซึ่งเป็นจุดขาย แถมยังให้ ‘ดูฟรี’ 1 ปี แต่สำหรับ Apple ที่จะรักษาสมาชิกในระยะยาวจำเป็นต้องมีคอนเทนต์เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบัน Apple ยังไม่เปิดเผยหมายเลขสมาชิก Apple TV + ว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน

Netflix, Hulu และ Disney + ถือเป็น 3 บริการสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ชาวอเมริกัน โดยมี Apple TV + และ HBO Max ที่กำลังสู้กันเพื่อชิงเบอร์ 4 นั่นอาจเป็นจุดที่ยุ่งยากในการเข้ามาในตลาด เพราะผู้คนไม่น่าจะสมัครรับบริการสตรีมมิ่งทุกราย

“แม้ว่าจะมีราคาน้อยกว่า Disney และ Netflix และน้อยกว่า HBO มาก แต่ในอนาคตบริการ Apple TV + อาจเป็นได้เพียงของแถมให้ผู้ซื้อฮาร์ดแวร์ของ Apple เท่านั้น หรืออย่างดี คือลูกค้าจะจ่ายค่าสมัครสมาชิกเป็นเวลา 1-2 เดือนเพื่อรับชมรายการหรือภาพยนตร์บางรายการ พอจบก็จะยกเลิก และใช้อีกครั้งเมื่อมีเนื้อหาพิเศษใหม่” Jeffrey Cole ซีอีโอ Center for Digital Future กล่าว

Apple Arcade และ พอดแคสต์ ก็ไม่รอด

สำหรับ Apple Arcade ที่รวมเกมในราคาย่อมเยาว์เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า Apple ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของคอนโซลหรือพีซี แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หากต้องการรักษาฐานผู้ใช้และเป็นที่สนใจของชาวเกมเมอร์ จำเป็นจะต้องมีเนื้อหาเพิ่มเติมใหม่ ๆ โดยที่ผ่านมา Bloomberg ได้รายงานในเดือนมิถุนายนว่า Apple Arcade กำลังยกเลิกสัญญากับนักพัฒนาเกมบางรายเนื่องจากพยายามสร้างข้อเสนอใหม่และรักษาผู้ติดตามบนแพลตฟอร์ม ขณะที่ธุรกิจพอดแคสต์ของ Apple ก็เผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจาก Spotify ที่ได้ลงทุนอย่างหนักใน Excursive คอนเทนต์และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ

“พวกเขาทำเหมือนเรามีทุกอย่างในมือ แต่โฟกัสของคุณคืออะไร Morgan กล่าวเสริม

Source

]]>
1297049
ทำความรู้จัก ‘Quibi’ สตรีมมิ่งน้องใหม่ ที่เปิดตัวท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 https://positioningmag.com/1271877 Mon, 06 Apr 2020 05:36:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271877 สตรีมมิ่ง ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดในตอนนี้ เพราะมีผู้เล่นรายใหญ่หันมาจับตลาดนี้จำนวนมาก อาทิ Disney ที่มี Disney+ หรือ Apple ที่มี Apple TV ยังไม่รวม Netflix, Hulu, Amazon Prime ที่อยู่กันมาก่อนหน้า ส่งผลให้สตรีมมิ่งรายย่อยเป็นอันต้องล้มหายตายจากกันไปบ้าง ล่าสุดก็ Hooq ที่ประกาศเลิกกิจการ แม้ว่าจะมีลูกค้ากว่า 80 ล้านราย แต่เพราะแบกต้นทุนไม่ไหวจึงต้องเก็บเสื่อไปอย่างน่าเสียดาย

แต่แม้จะเป็นตลาดที่โหดหินแค่ไหน แต่ก็จะมีข่าวเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งมาเรื่อย ๆ ล่าสุด Quibi แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งน้องใหม่ที่ระดมทุนกว่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็พึ่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้ในสหรัฐอเมริกา พร้อมเข้ามาท้าชนรุ่นพี่ในตลาดด้วยจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอย่าง เนื้อหา ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการ, ซีรีส์หรือภาพยนตร์ก็ตาม จะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และทุกคอนเทนต์สามารถดูได้ทั้ง แนวตั้ง แนวนอน นอกตำนานอุตสาหกรรมและดาราดังอย่าง Steven Spielberg, Guillermo del Toro, Jennifer Lopez และ Reese Witherspoon ก็ตบเท้ามาสร้างภาพยนตร์และรายการใน Quibi ด้วย

“ผู้คนมีช่วงเวลาต่างกัน อย่างพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งวันอาจจะแวะพักสัก 10-15 นาทีเพื่อมาใช้ Quibi ก็ได้ หรืออย่างตัวเองที่ใช้เวลา 10 หรือ 15 นาทีเพื่อดู Quibi หลังจากประชุมผ่าน Zoom ในทุกวัน” Meg Whitman ซีอีโอ กล่าว

เบื้องต้น Quibi มี Original Shows กว่า 175 เรื่อง และวิดีโอตอนสั้น 8,500 คลิป ที่จะมีการฉายในปีแรก ซี่งมั่นใจว่า ‘เพียงพอ’ ที่จะให้บริการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถาณการณ์โควิด-19 ที่ระบาด ส่องผลต่อการผลิตคอนเทนต์ที่ชะงักลงด้วย แต่ทาง Quibi หวังว่าการผลิตจะกลับมาในไม่ช้า

“รายการทั่วไปเราใช้งบประมาณ 500 เหรียญ/นาที หรือราว 16,500 บาท และเราจ่ายเงินสูงถึง 100,000 เหรียญ/นาที หรือราว 3.3 ล้านบาทสำหรับภาพยนตร์และบทยาวพรีเมี่ยมของเรา”

งบประมาณที่น่าจับตามองของ Quibi นั้นเปรียบได้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ยาวกว่าเช่น Netflix, Amazon Prime, Disney + และ Apple TV + ขณะที่ HBO Max และ Peacock ที่จะลงสู่สมรภูมิอีกในไม่ช้า นอกจากนี้ Quibi ต้องแข่งขันกับวิดีโอฟรีนับล้านที่สร้างโดยผู้ใช้งาน อาทิ YouTube, TikTok, Facebook และ Instagram

“เรามีเป้าหมายที่จะสร้าง คลื่นลูกใหญ่แห่งการเล่าเรื่อง เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรง”

Meg Whitman CEO Quibi

สำหรับค่าสมัครสมาชิกของ Quibi จะอยู่ที่ 5 เหรียญ/เดือน (มีโฆษณา) และ 8 เหรียญ/เดือน (ไม่มีโฆษณา) ซึ่งปัจจุบัน Quibi ได้ขยายระยะเวลาทดลองใช้สองสัปดาห์เป็น 90 วัน อย่างไรก็ตาม Quibi นั้นตั้งใจที่จะเปิดตัวในเดือนเมษายนตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการระบาดดังกล่าวส่งผลให้จะผู้คนหลายพันล้านทั่วโลกต้องอยู่แต่บ้าน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครแน่ใจว่าจะวัดความสำเร็จในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้อย่างไร

Source

#Quibi #Disney+ #Apple TV #Netflix #Hulu #AmazonPrime #Streaming #Positoiningmag

]]>
1271877