อาจจะดูแปลกไปหน่อยสำหรับ Apple ที่ยอมปลดล็อกบริการสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Apple TV ให้กับคู่แข่งอย่าง Android อย่างไรก็ตาม การจะขยายฐานผู้ใช้ใหม่ ๆ จะอาศัยแค่การเติบโตของยอดขายอุปกรณ์คงไม่พอ
เพราะแม้ว่าในสหรัฐฯ จำนวนผู้ใช้งาน iPhone จะมีมากกว่าผู้ใช้มือถือ Android แต่ทั่วโลกตามข้อมูลของ Statcounter ระบุว่า สัดส่วนผู้ใช้ Android มีถึง 72% ดังนั้น การเปิดตัวแอป Android ขยายตลาดของ Apple อย่างมีนัยสําคัญ
ดังนั้น การเปิดให้มือถือ Android สามารถใช้งานบริการ Apple TV ได้ ถือเป็นสัญญาณว่า Apple จะไม่จํากัดศักยภาพการเติบโตของแผนกบริการ จากเดิมที่เก็บค่าบริการ Apple TV จากเฉพาะแค่กับอุปกรณ์ของตัวเองเท่านั้น
ที่ผ่านมา ธุรกิจบริการของ Apple สามารถทำรายได้ มากสุดเป็นอันดับ 2 โดยเป็นรองแค่ยอดขาย iPhone และบริการมีอัตรารายได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว นอกจากการสมัครสมาชิกเช่น iCloud แล้ว ธุรกิจบริการยังรวมถึงรายได้จากการขายโฆษณา ข้อตกลงกับกูเกิล, การรับประกันของ AppleCare และค่าธรรมเนียมการชําระเงินจาก Apple Pay และ Apple TV+
ซึ่ง Apple TV ถือเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมของ Apple และมีหลายรายการที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จัก เช่น รายการ “Ted Lasso” และ “Severance” นอกจากนี้ Apple TV ยังออกอากาศเกมเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ และเมเจอร์ลีกเบสบอล อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่เคยเปิดเผยถึงจํานวนผู้ชมของ Apple TV+ แต่ Nielsen ประเมินว่าคิดเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการดูทีวีชาวอเมริกันทั้งหมด คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อเดือนในสหรัฐอเมริกา และรวมอยู่ในหลายชุดพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud, Apple Music และการสมัครสมาชิกอื่น ๆ
สำหรับแอปพลิเคชัน Apple TV+ สามารถดาวน์โหลดผ่านแอปสโตร์ Google Play ได้ตั้งแต่วันนี้ ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์จอพับ โดยผู้ใช้จะสามารถชําระเงินด้วยบัญชี Google ของตนได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถใช้งาน iTunes Store ได้ ดังนั้น ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถเช่าหรือซื้อคอนเทนต์ใด ๆ จากสโตร์ของ Apple ได้
]]>สำนักข่าว Bloomberg รายงานจากการพูดคุยกับ “Eddy Cue” ผู้บริหารของ Apple, “Zack Van Amburg” และ “Jamie Erlicht” หัวหน้าสตูดิโอของ Apple TV+ ว่าบริษัทกำลังพิจารณา “ตัดงบ” ลงทุนสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ลง ล้างภาพ “พ่อบุญทุ่ม” แห่งวงการสตรีมมิ่ง
ที่ผ่านมา Apple TV+ เป็นสตรีมมิ่งที่เน้นเรื่องคุณภาพของออริจินอล คอนเทนต์มากที่สุดเจ้าหนึ่ง ทำให้บริษัททุ่มไม่อั้นกับการสร้างคอนเทนต์ต่างๆ โดยมีรายงานว่าบริษัทลงทุนสะสมไปแล้ว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐให้กับคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม (ประมาณ 7.23 แสนล้านบาท)
ภาพยนตร์และซีรีส์หลายๆ เรื่องของ Apple TV+ ได้รับการยอมรับว่าเป็นคอนเทนต์คุณภาพสูง เช่น Killers of the Flower Moon ของผู้กำกับเบอร์ใหญ่ Martin Scorsese หรือซีรีส์ไซไฟอย่าง Severance ที่ได้รับเสียงตอบรับดีจากผู้ชม
Paul Tassi คอลัมนิสต์จาก Forbes วิจารณ์ว่า ภาพรวมคอนเทนต์ของ Apple TV+ เป็นสตรีมมิ่งที่มีคอนเทนต์ให้เลือกไม่มากแต่ 80% เป็นคอนเทนต์คุณภาพที่คัดสรรมาแล้ว หากเทียบกับ Netflix ซึ่งเน้นปริมาณคอนเทนต์เยอะเข้าว่า แต่ที่มีคุณภาพจริงๆ อาจจะมีแค่ 10%
อย่างไรก็ตาม คุณภาพกลับไม่สามารถดึงดูดผู้ชมเข้ามาที่ Apple TV+ ได้มากเท่าที่คาด ตัวอย่างเช่นปีนี้มีมินิซีรีส์เรื่อง Masters of the Air เข้าฉายบนสตรีมมิ่ง ซีรีส์เรื่องนี้ใช้งบลงทุนไปถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,000 ล้านบาท) แต่ผลตอบรับในการดึงผู้ชมเรียกได้ว่า ‘เงียบกริบ’
งบลงทุนของ Apple TV+ สูงลิ่วแต่ปัจจุบันดึงส่วนแบ่งผู้ชมสตรีมมิ่งในสหรัฐฯ มาได้แค่ 0.2% และถ้าเทียบกับคู่แข่งแล้ว จำนวนผู้ชมใน 1 เดือนของ Apple TV+ ยังน้อยกว่ายอดผู้ชมของ Netflix ใน 1 วันด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ Apple TV+ มีโอกาสจะถูกตัดงบการลงทุนเพราะอย่างไรเสียสตรีมมิ่งก็ไม่ใช่ธุรกิจหลักของ Apple ข่าวนี้น่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟนคลับซีรีส์ของ Apple TV+ เพราะมีซีรีส์หลายเรื่องของสตรีมมิ่งเจ้านี้ที่ยังรอการสร้างซีซันใหม่และส่วนใหญ่เป็นซีรีส์ไซไฟแนวเหนือจริงที่ต้องลงทุนสูงหากต้องการคุณภาพถึงขั้น เช่น Severance, Silo, Foundation, For All Mankind
ส่วนสาเหตุที่ชัดเจนว่า ‘ทำไม Apple TV+ ถึงไม่ฮิตทั้งที่ผลิตคอนเทนต์แบบคุณภาพคับแก้วขนาดนี้’ มีความเป็นไปได้มากมาย ทั้งเรื่องการเข้าถึงสตรีมมิ่งที่ยากกว่าคู่แข่งเพราะดูผ่านระบบ Android ไม่ได้ เรื่องการตลาด/โปรโมตทำไม่ถึง เรื่องการจัดแพ็กเกจราคาที่ไม่มีตัวเลือกราคาถูกแต่มาพร้อมโฆษณา (ad-tier) แถมยังไม่ใช้ประโยชน์จากลูกค้า Apple ที่มีหลายร้อยล้านคนทั่วโลกให้มากกว่านี้ ซึ่งทั้งหมดคงต้องรอดูต่อไปว่า Apple TV+ จะแก้เกมอย่างไร
]]>สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Apple วางแผนจะอัดทุนสร้างภาพยนตร์อีกปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติก่อนอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนที่จะเข้าฉายผ่านสตรีมมิ่ง Apple TV+
จุดประสงค์การเข้าโรงปกติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้ชมเห็นว่า ค่าย Apple Studios นั้นเป็นผู้เล่นหลักในวงการภาพยนตร์ และต้องการจะทำหนังดีมีคุณภาพออกมา
ถือเป็นการแก้เกมที่ก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่อง CODA ที่ชนะรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล ค่ายนี้ก็ยังไม่มีหนังฮิตติดกระแสอีก และยังไม่ถูกมองเป็นค่ายหนังรางวัล
ปัจจุบัน Apple ถือว่ายังใหม่มากในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เข้าไปฉายในโรงหนัง ทำให้มีข่าวว่าค่ายอาจจะพูดคุยกับค่ายหนังอื่นด้วย เพื่อหาพันธมิตรช่วยในการจัดจำหน่าย
แผนการนำภาพยนตร์ฉายในโรงอย่างต่อเนื่องของ Apple อาจได้เห็นเร็วๆ นี้ เพราะค่ายมีโปรแกรมหนังในมือรอออกฉายในปี 2023 อยู่หลายเรื่อง เช่น เรื่อง Argylle หนังระทึกขวัญนำแสดงโดย ดูอา ลิปา และ เฮนรี่ คาวิลล์ รวมถึงเรื่อง Napolean หนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์ที่กำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์ และนำแสดงโดย โจอาควิน ฟินิกซ์
ด้านคู่แข่งของ Apple มีความเคลื่อนไหวแตกต่างกันไป เช่น Amazon ประกาศเหมือนกันว่าจะอัดทุนสร้างปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่เข้าโรงก่อนเข้าสตรีมมิ่งของตนเอง ขณะที่ Netflix นั้นส่งสัญญาณว่าแพลตฟอร์มไม่พร้อมจะส่งภาพยนตร์เข้าฉายโรงก่อน
แผนของ Apple ที่จะส่งหนังเข้าโรงก่อนนั้นยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อยในการช่วยดึงคนมาสมัครสมาชิกสตรีมมิ่งเพิ่ม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การส่งหนังไปฉายในโรงปกติก่อนจะทำให้สาธารณชนเปลี่ยนความคิด หันมามองว่าค่ายหนังของ Apple นั้น “เอาจริง” ในการทำหนังที่มีคุณภาพ และต้องทำหนังที่ดึงคนให้ไปตีตั๋วดูที่โรงหนังได้จริงๆ
]]>ผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Netflix ปิดที่ 7.71 พันล้านดอลลาร์ (+16%) เท่ากับที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ ส่วนจำนวนสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นสุทธิ 8.28 ล้านราย สูงกว่าที่ StreetAccount นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ว่าจะเติบโต 8.19 ล้านราย แม้ว่าการเติบโตจะสูงกว่าที่ประมาณการ แต่ก็ยังน้อยกว่าการเติบโตในไตรมาส 4 ปี 2020 ที่ 8.5 ล้านราย
ปัจจุบัน Netflix มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 222 ล้านราย (+8.8%) และคาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2022 นี้ จะมีสมาชิกเพิ่มอีก 2.5 ล้านราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าช่วงไตรมาส 1 ปี 2021 ที่ผู้ใช้ใหม่เติบโตถึง 3.98 ล้านราย แนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้ทำให้มูลค่าหุ้นของ Netflix หายไป 20%
Netflix ยอมรับว่า การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการมาของแพลตฟอร์มอื่นๆ คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเติบโตชะลอตัวลง แตกต่างจากที่ผ่านมาที่ Netflix เคยระบุว่า แพลตฟอร์ม Apple TV+ และ Disney+ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของบริษัท
“เนื่องจากบริษัทบันเทิงทั่วโลกพัฒนาบริการสตรีมมิ่งของตนเอง ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นนี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเราในบางส่วน แต่เรายังคงเติบโตในทุกประเทศและภูมิภาคที่มีการเปิดตัวทางเลือกสตรีมมิ่งใหม่เหล่านี้ แน่นอน มันน่าผิดหวังที่การเติบโตลดลงในปัจจุบัน” Reed Hastings ซีอีโอร่วมกล่าว
ขณะที่แผนแก้เกมในไตรมาสแรกของ Netflix ก็ยังเป็นแผนเดิมๆ คือ เปิดตัว Original Content ใหม่ๆ โดยจะออกอากาศรอบปฐมทัศน์ในเดือนมีนาคม ซึ่งไม่ต่างจากแผนที่ Netflix วางไว้ในช่วงไตรมาส 4 ที่เปิดตัวรายการทีวีและภาพยนตร์ใหม่ๆ เช่น “Emily in Paris” “Don’t Look Up” “Red Notice” และ “You”
เนื่องจากกลยุทธ์ของ Netflix ที่ต้องเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าเสมอ ผลลัพธ์ คือ ลูกค้าค่อนข้างยึดติดกับเนื้อหาพิเศษของบริษัทมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Netflix ได้ประกาศขึ้นราคาค่าบริการในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งการขึ้นราคาสามารถช่วยชดเชยการเติบโตของลูกค้าที่ลดลงได้
ทั้งนี้ Netflix มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ได้ 800-900 ล้านราย ซึ่งนั่นยังเร็วเกินไปที่ Netflix จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกแผนที่ Netflix จะใช้สร้างการเติบโตก็คือ เกม ซึ่งอาจจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับ Netflix ได้ในอนาคต
]]>เพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่ Disney+ กำลังรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็วในสมรภูมิสตรีมมิ่ง เพียงวันแรกที่ Disney+ เปิดตัวมีผู้สมัครถึง 10 ล้านคน และในไตรมาสแรกของการดำเนินงานบริการมีผู้ใช้บริการ 26.5 ล้านคน และมันพุ่งขึ้นจากอีกเนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้ผู้ใช้ Disney+ เพิ่มขึ้นอีกเป็น 33.5 ล้านคนในไตรมาสที่สอง และเป็น 57.5 ล้านคนในไตรมาสที่สาม
ขณะที่หลาย ๆ บริการที่เปิดตัวในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่าง ‘Peacock’ ของ NBCUniversal มีผู้สมัครใช้ประมาณ 22 ล้านคน ส่วน ‘Apple’ ที่เปิดตัว ‘Apple TV’ ยังไม่เปิดเผยหมายจำนวนการสมัครสมาชิก ส่วนผู้นำในตลาดอย่าง ‘Netflix’ สามารถเพิ่มผู้ใช้ได้อีกกว่า 195 ล้านคนในไตรมาสล่าสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่มีการเปิดเผยว่ามีจำนวนสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการผ่านการรวมกลุ่มหรือเข้ามาเพราะโปรโมชันใช้ฟรีแล้วยกเลิกว่ามีมากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้นักวิเคราะห์ได้ปรับคาดการณ์จำนวนสมาชิกของ Disney+ จากเดิมที่คาดว่าจะไม่ถึงผู้ติดตาม 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 เป็น 160 ล้านคนในปี 2024 และเพิ่มเป็น 230 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025 ทั้งนี้ ก้าวต่อไปของ Disney คือ ต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นว่าสามารถรักษาสมาชิกเดิมไว้ได้ และต้องสามารถเพิ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ได้ด้วย
]]>สมรภูมิธุรกิจสตรีมมิ่ง มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เเละยิ่งรุนเเรงขึ้นไปอีกในวิกฤต COVID-19 ที่มียอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นมาในช่วงล็อกดาวน์ ปัจจุบันตลาดนี้ถูกครอบครองด้วยเจ้าใหญ่อย่าง Netflix, Prime Video ของ Amazon, Disney + และ Apple TV + ส่วนรายเล็กต้องดิ้นรนหาช่องว่างที่เหลือของตลาด ซึ่งเเทบจะไม่มีโอกาสได้เเจ้งเกิด
Quibi ก่อตั้งโดย Jeffrey Katzenberg อดีตผู้บริหารของ Walt Disney ระดมทุนได้กว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา ท่ามกลางการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้คนต้องหาความบันเทิงใหม่เมื่อต้องอยู่บ้าน
Quibi วางเกมโพสิชั่นในตลาดด้วยการชู “จุดแข็ง” ที่ไม่เหมือนใครอย่าง เนื้อหา ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการ, ซีรีส์หรือภาพยนตร์ก็ตาม จะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และทุกคอนเทนต์สามารถดูได้ทั้ง แนวตั้ง แนวนอน โดยค่าสมัครสมาชิกของ Quibi จะอยู่ที่ 5 เหรียญ หรือราว 156 บาทต่อเดือน (เเบบมีโฆษณา) และ 8 เหรียญ หรือราว 250 บาทเดือน (เเบบไม่มีโฆษณา)
ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยว่า ผู้นำในอุตสาหกรรมหนังและดาราดังอย่าง Steven Spielberg, Guillermo del Toro, Jennifer Lopez และ Reese Witherspoon ก็จะตบเท้ามาสร้างภาพยนตร์และรายการใน Quibi ด้วย
“โลกได้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่ก่อตั้งแพลตฟอร์ม และโมเดลทางธุรกิจของ Quibi ที่แยกออกมาผลิตรายการต่าง ๆ เองก็ไม่เวิร์คอีกต่อไป” Katzenberg ระบุในเเถลงการณ์
จากรายงานของ Apptopia ระบุว่า นอกจากการขายโฆษณาแล้ว Quibi มีรายได้จากการสมัครสมาชิก 3.3 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เปิดตัว โดยรายได้เริ่มมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง มาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม
“ความล้มเหลวของเรา ไม่ใช่เพราะว่าขาดความพยายาม เราได้ใช้ทุกทางเลือกที่มีไปหมดแล้ว” ซีอีโอ Quibi กล่าว
ไม่เพียงเเต่รายเล็กที่ต้องล้มหายตายจากในธุรกิจสตรีมมิ่ง เเต่ตอนนี้บรรดาเจ้าใหญ่ก็เจออุปสรรคที่ท้าทายเช่นกัน หลายคนมองว่า จำนวนสมาชิกของ Netflix โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกากำลังถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งหมายความว่า หากอยากสร้างการเติบโตของรายได้ Netflix อาจจะมาจากการปรับขึ้นราคาค่าบริการ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจส่งผลเสียกับ Netflix มากกว่า เพราะพวกเขาพร้อมจะ ‘ยกเลิก’ บริการ
“เราคิดว่าในปี 2021 การเติบโตของสมาชิกจะยิ่งชะลอตัวลงอย่างมาก ดังนั้น แนวโน้มปีหน้าจะท้าทายมากขึ้นสำหรับ Netflix นอกจากนี้ เราได้ทำการสำรวจตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งและผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุว่า พวกเขาจะยกเลิก Netflix หรือลดจำนวนเดือนที่สมัคร Netflix หากขึ้นราคาเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ”
อ่านเพิ่มเติม : เวลาอันแสนง่ายของ ‘Netflix’ จบแล้ว เมื่อไม่มี COVID-19 หนุน แถมมี Disney+ หายใจรดต้นคอ
ที่มา : Reuters
]]>
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2020 การเติบโตของรายได้ปีต่อปีจากธุรกิจบริการของ Apple อยู่ที่ 16% ซึ่งเกือบจะเท่ากับอัตราเดียวกับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2019 แม้ว่าผลการดำเนินงานจะดูดี แต่อย่าลืมว่า การเติบโตของธุรกิจบริการไม่ได้เร่งตัวขึ้นเลย แม้จะมีการเปิดตัว Apple TV + และ Apple Arcade อีกทั้งการระบาดใหญ่ของ COVID-19 นั้นช่วยดันให้ความต้องการความบันเทิงดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม แต่ทำไม Apple TV + และ Apple Arcade ถึงไม่สามารถเติบโตได้มากกว่านี้
หลายคนอาจจะเถียงว่า Apple เป็นบริษัท ‘ฮาร์ดแวร์’ ไม่ใช่หรอ แต่จริง ๆ แล้วภาคการบริการถือเป็นส่วนที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากและยังคิดเป็น 20% ของยอดขายโดยรวมของบริษัท และหาก Apple ต้องการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจบริการ บริษัทก็จะต้องทำให้ดึงดูดผู้คนหลายร้อยล้านคนที่ซื้อสินค้าของ Apple ให้มาใช้ ดังนั้น บริการดิจิทัลยังคงเป็นส่วนเสริมที่สำคัญของบริษัทในภาพรวม
“แน่นอนว่า Apple ยังคงเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมพวกเขายังคงต้องออกผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต” Dan Morgan ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสของ Synovus Trust Company กล่าว
การรุกในสงครามสตรีมมิ่งของ Apple ที่เปิดตัวมาพร้อมกับเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์ที่น่าสนใจจำนวนมาก อาทิ รายการทอล์คโชว์จากโอปราห์ วินฟรีย์ หรือซีรีส์ ‘The Morning Show’ ที่นำแสดงโดย ‘เจนนิเฟอร์ อนิสตัน’ ที่ได้เข้าชิงได้เข้าชิงราววัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำ แต่หลังจากนั้น Apple ก็ไม่ได้เข้าสู่ตลาดด้วยความคึกคักอย่างที่ Disney + ทำ ซึ่งมีซีรีส์อย่าง ‘Madalorian’
“พวกเขาต้องสร้างปริมาณให้มากขึ้น อย่าง The Morning Show ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย แต่ไม่ใช่แค่การมีรายการนั้นเท่านั้นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการเสนอชื่อ แต่เป็นเรื่องของปริมาณ” Zak Shaikh รองประธานฝ่ายที่ปรึกษาด้านสื่อและความบันเทิงระดับโลกกับ Magid กล่าว
นักวิเคราะห์มองว่าการที่ Apple มีจำนวนคอนเทนต์ที่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Apple ใช้เงินเพียงเศษเสี้ยวของคู่แข่ง เช่น Netflix ลงทุนในการสร้างเนื้อหาพิเศษ และในฐานะบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Apple สามารถเลือกที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้
“ไม่ใช่ทุกบริการที่จะ อยู่รอดในอีก 5 ปีข้างหน้าเพราะมีตัวเลือกมากเกินไป ดังนั้นการที่กำลังทุ่มเพื่อสร้างคอนเทนต์ระดับโลก จะส่งผลในระยะยาว”
แม้ค่าบริการ Apple TV + จะอยู่ที่ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว 150 บาท (แต่ในไทยเดือนละ 99 บาท) ซึ่งถือว่าถูกกว่าบริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ซึ่งเป็นจุดขาย แถมยังให้ ‘ดูฟรี’ 1 ปี แต่สำหรับ Apple ที่จะรักษาสมาชิกในระยะยาวจำเป็นต้องมีคอนเทนต์เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบัน Apple ยังไม่เปิดเผยหมายเลขสมาชิก Apple TV + ว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน
Netflix, Hulu และ Disney + ถือเป็น 3 บริการสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ชาวอเมริกัน โดยมี Apple TV + และ HBO Max ที่กำลังสู้กันเพื่อชิงเบอร์ 4 นั่นอาจเป็นจุดที่ยุ่งยากในการเข้ามาในตลาด เพราะผู้คนไม่น่าจะสมัครรับบริการสตรีมมิ่งทุกราย
“แม้ว่าจะมีราคาน้อยกว่า Disney และ Netflix และน้อยกว่า HBO มาก แต่ในอนาคตบริการ Apple TV + อาจเป็นได้เพียงของแถมให้ผู้ซื้อฮาร์ดแวร์ของ Apple เท่านั้น หรืออย่างดี คือลูกค้าจะจ่ายค่าสมัครสมาชิกเป็นเวลา 1-2 เดือนเพื่อรับชมรายการหรือภาพยนตร์บางรายการ พอจบก็จะยกเลิก และใช้อีกครั้งเมื่อมีเนื้อหาพิเศษใหม่” Jeffrey Cole ซีอีโอ Center for Digital Future กล่าว
สำหรับ Apple Arcade ที่รวมเกมในราคาย่อมเยาว์เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า Apple ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของคอนโซลหรือพีซี แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หากต้องการรักษาฐานผู้ใช้และเป็นที่สนใจของชาวเกมเมอร์ จำเป็นจะต้องมีเนื้อหาเพิ่มเติมใหม่ ๆ โดยที่ผ่านมา Bloomberg ได้รายงานในเดือนมิถุนายนว่า Apple Arcade กำลังยกเลิกสัญญากับนักพัฒนาเกมบางรายเนื่องจากพยายามสร้างข้อเสนอใหม่และรักษาผู้ติดตามบนแพลตฟอร์ม ขณะที่ธุรกิจพอดแคสต์ของ Apple ก็เผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจาก Spotify ที่ได้ลงทุนอย่างหนักใน Excursive คอนเทนต์และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
“พวกเขาทำเหมือนเรามีทุกอย่างในมือ แต่โฟกัสของคุณคืออะไร“ Morgan กล่าวเสริม
]]>แต่แม้จะเป็นตลาดที่โหดหินแค่ไหน แต่ก็จะมีข่าวเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งมาเรื่อย ๆ ล่าสุด Quibi แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งน้องใหม่ที่ระดมทุนกว่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็พึ่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้ในสหรัฐอเมริกา พร้อมเข้ามาท้าชนรุ่นพี่ในตลาดด้วยจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอย่าง เนื้อหา ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการ, ซีรีส์หรือภาพยนตร์ก็ตาม จะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และทุกคอนเทนต์สามารถดูได้ทั้ง แนวตั้ง แนวนอน นอกตำนานอุตสาหกรรมและดาราดังอย่าง Steven Spielberg, Guillermo del Toro, Jennifer Lopez และ Reese Witherspoon ก็ตบเท้ามาสร้างภาพยนตร์และรายการใน Quibi ด้วย
“ผู้คนมีช่วงเวลาต่างกัน อย่างพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งวันอาจจะแวะพักสัก 10-15 นาทีเพื่อมาใช้ Quibi ก็ได้ หรืออย่างตัวเองที่ใช้เวลา 10 หรือ 15 นาทีเพื่อดู Quibi หลังจากประชุมผ่าน Zoom ในทุกวัน” Meg Whitman ซีอีโอ กล่าว
เบื้องต้น Quibi มี Original Shows กว่า 175 เรื่อง และวิดีโอตอนสั้น 8,500 คลิป ที่จะมีการฉายในปีแรก ซี่งมั่นใจว่า ‘เพียงพอ’ ที่จะให้บริการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถาณการณ์โควิด-19 ที่ระบาด ส่องผลต่อการผลิตคอนเทนต์ที่ชะงักลงด้วย แต่ทาง Quibi หวังว่าการผลิตจะกลับมาในไม่ช้า
“รายการทั่วไปเราใช้งบประมาณ 500 เหรียญ/นาที หรือราว 16,500 บาท และเราจ่ายเงินสูงถึง 100,000 เหรียญ/นาที หรือราว 3.3 ล้านบาทสำหรับภาพยนตร์และบทยาวพรีเมี่ยมของเรา”
งบประมาณที่น่าจับตามองของ Quibi นั้นเปรียบได้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ยาวกว่าเช่น Netflix, Amazon Prime, Disney + และ Apple TV + ขณะที่ HBO Max และ Peacock ที่จะลงสู่สมรภูมิอีกในไม่ช้า นอกจากนี้ Quibi ต้องแข่งขันกับวิดีโอฟรีนับล้านที่สร้างโดยผู้ใช้งาน อาทิ YouTube, TikTok, Facebook และ Instagram
“เรามีเป้าหมายที่จะสร้าง คลื่นลูกใหญ่แห่งการเล่าเรื่อง เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรง”
สำหรับค่าสมัครสมาชิกของ Quibi จะอยู่ที่ 5 เหรียญ/เดือน (มีโฆษณา) และ 8 เหรียญ/เดือน (ไม่มีโฆษณา) ซึ่งปัจจุบัน Quibi ได้ขยายระยะเวลาทดลองใช้สองสัปดาห์เป็น 90 วัน อย่างไรก็ตาม Quibi นั้นตั้งใจที่จะเปิดตัวในเดือนเมษายนตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการระบาดดังกล่าวส่งผลให้จะผู้คนหลายพันล้านทั่วโลกต้องอยู่แต่บ้าน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครแน่ใจว่าจะวัดความสำเร็จในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้อย่างไร
#Quibi #Disney+ #Apple TV #Netflix #Hulu #AmazonPrime #Streaming #Positoiningmag
]]>