Asia – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 May 2024 11:37:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CFO ของ Starbucks เผย ‘บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า’ แม้ยอดขายทั่วโลกจะลดลงก็ตาม https://positioningmag.com/1471751 Thu, 02 May 2024 05:21:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471751 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ ได้กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมาจะลดลงก็ตาม ขณะเดียวกันบริษัทก็เร่งแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท ซึ่งเชนร้านกาแฟจากสหรัฐฯ รายนี้กำลังพบกับความท้าทายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่อย่างสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหลายรายลดการจับจ่ายใช้สอย

Rachel Ruggeri ซึ่งเป็น CFO ของ Starbucks ได้กล่าวกับ Yahoo Finance ว่า “บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า” และชี้ว่ารายได้ของบริษัทที่ลดลงในผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของบริษัทลดลงเนื่องจากลูกค้าที่ไม่ใช่ขาประจำของบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายลง

รายงานผลประกอบการล่าสุดของ Starbucks นั้น CFO รายนี้ยังได้กล่าวถึง ไตรมาสที่ผ่านมาถือเป็นไตรมาสที่ยากลำบาก และบริษัทได้เรียนรู้จากเรื่องดังกล่าวและปรับโฟกัสของบริษัทให้เฉียบคมมากขึ้น และยังรวมถึงการแก้ปัญหาการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ ของบริษัท หรือแม้แต่การแก้ปัญหาในเรื่องของ Supply Chain

ขณะที่ CEO ของบริษัทอย่าง Laxman Narasimhan ได้ชี้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาสภาวะต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงกดดันจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าลดลง

ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Starbucks นั้นรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาลดลง 3% ขณะที่จีนยอดขายของ Starbucks ลดลง 6% แม้ว่าบริษัทจะมีการออกโปรโมชั่นในแดนมังกรเพื่อกระตุ้นยอดขายแล้วก็ตาม

รายได้จากสหรัฐอเมริกาและจีนคิดเป็น 61% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ขณะที่เหลือเป็นรายได้จากทั่วโลก และปัจจุบันเชนร้านกาแฟรายนี้มีสาขาทั้งหมด 38,951 สาขา

นอกจากนี้ในผลประกอบการล่าสุดของบริษัท ยังถือว่าเป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมาอีกด้วย

ยอดขายที่ลดลงทั่วโลกของ Starbucks ยังส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกลงไม่น้อยกว่า 10% เนื่องจากรายได้ กำไรของบริษัท นั้นแย่กว่าเหล่านักวิเคราะห์จากหลายสถาบันการเงินคาดไว้

ที่มา – Yahoo Finance

]]>
1471751
HSBC ขายกิจการในอาร์เจนตินาแบบขาดทุน หันมาโฟกัสธุรกิจในทวีปเอเชียเต็มตัวตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2021 https://positioningmag.com/1469679 Tue, 09 Apr 2024 13:12:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469679 เอชเอสบีซี (HSBC) ได้ประกาศขายกิจการในอาร์เจนตินา โดยสถาบันการเงินรายใหญ่รายนี้ได้ดำเนินนโยบายขายธุรกิจในประเทศที่ไม่ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะกลับมาโฟกัสธุรกิจในทวีปเอเชียอย่างเต็มตัวตามแผนที่ธนาคารวางไว้ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา

HSBC หนึ่งในสถาบันการเงินรายใหญ่ ได้ประกาศขายกิจการในประเทศอาร์เจนตินา ด้วยมูลค่า 550 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของสถาบันการเงินรายดังกล่าวที่ต้องการกลับมาโฟกัสธุรกิจในทวีปเอเชีย

Noel Quinn ซึ่งเป็น CEO ของ HSBC ได้กล่าวว่าธุรกิจของ HSBC ในอาร์เจนตินานั้นส่วนใหญ่มีธุรกรรมภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ และไม่ค่อยที่จะมีธุรกรรมติดต่อกับภายนอกมากนัก และธุรกิจในอาร์เจนตินานั้นได้สร้างความผันผวนของรายได้อย่างมาก

อย่างไรก็ดีสำหรับการขายกิจการในอาร์เจนตินาครั้งนี้ สถาบันการเงินรายใหญ่นั้นต้องแบกรับผลขาดทุนก่อนคำนวณภาษีมากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยกัน โดยคาดว่าจะปิดดีลได้ภายใน 12 เดือนหลังจากนี้

นักวิเคราะห์ได้กล่าวกับ CNN ว่า การขายธุรกิจของ HSBC ในอาร์เจนตินาเนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อที่สูงมาก (Hyper Inflation) ส่งผลต่อการทำธุรกิจของสถาบันการเงิน โดยปี 2023 ที่ผ่านมาสถาบันการเงินรายนี้ต้องแบกรับผลขาดทุนมากถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากค่าเงินเปโซของอาร์เจนตินาลดมูลค่าลง

ขณะเดียวกันสถาบันการเงินรายนี้พร้อมที่จะขายธุรกิจที่ไม่สร้างผลกำไร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการทยอยขายธุรกิจตามประเทศต่างๆ มาแล้ว เช่น แคนาดา ฝรั่งเศส เป็นต้น

นอกจากนี้หัวเรือใหญ่ของ HSBC ยังชี้ว่าการขายธุรกิจในอาร์เจนตินานั้นเป็นก้าวย่างสำคัญในการหันกลับมามองประเทศที่สร้างมูลค่าให้กับธนาคารในเครือข่ายของธนาคารที่มีอยู่

ปี 2021 ในช่วงการปรับโครงสร้างธุรกิจธนาคาร Noel ได้ชี้ถึงความสำคัญของทวีปเอเชียมากขึ้น โดยหัวเรือใหญ่ของ HSBC ชี้ว่าทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย หรือแม้แต่อาเซียน จะคือกลุ่มประเทศที่ธนาคารให้ความสำคัญหลังจากนี้

และในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้รุกหนักในการกลับเข้ามาขยายธุรกิจในทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการบริหารความมั่งของลูกค้ารายย่อยในจีน การเพิ่มพนักงานในส่วนธุรกิจที่เติบโตในทวีปเอเชีย เช่น ธุรกิจ Private Banking ในหลายประเทศ หรือแม้แต่ในไทย เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านี้ความสำคัญของทวีปเอเชียนั้นยังเป็นส่วนธุรกิจที่สร้างกำไรให้กับ HSBC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ที่สถาบันการเงินรายนี้ทำธุรกิจ

อย่างไรก็ดีสำหรับธุรกิจในประเทศจีนของ HSBC นั้นได้ชี้ว่ายังจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของสถาบันการเงินรายนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

]]>
1469679
มหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกมีจำนวนลดลงในปี 2022 เอเชียลดลงเยอะสุด แต่ตะวันออกกลางกับละตินอเมริกากลับเพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1443841 Fri, 08 Sep 2023 09:10:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443841 ข้อมูลจาก Altrata ได้เปิดเผยว่าในปี 2022 จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกมีจำนวนลดลง 5.4% โดยทวีปที่มีจำนวนมหาเศรษฐีลดลงมากที่สุดคือเอเชีย ขณะที่ตะวันออกกลางกับละตินอเมริกากลับเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น

CNBC รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลจาก Altrata ที่เปิดเผยว่า จำนวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมามีจำนวนลดลงทั่วโลกมากถึง 5.4% ในปี 2022 ที่ผ่านมา เป็นการลดลงของจำนวนมหาเศรษฐีครั้งแรกในรอบ 4 ปีจากการเก็บข้อมูลของบริษัทดังกล่าว

Altrata ชี้ว่าจำนวนมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียลดลงมากถึง 10.9% ในปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเหลือจำนวน 108,370 คน ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดถ้าหากนับเป็นรายทวีป

ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ในประเทศจีนที่ส่งผลทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ จนท้ายที่สุดต้องมีมาตรการผ่อนคลายออกมา ซึ่งผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด การบุกยูเครนโดยรัสเซีย หรือแม้แต่ความชะงักงันของ Supply Chain ได้ส่งผลทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียหายไป

ทางด้านทวีปอื่นๆ อย่างยุโรปมีจำนวนลดลง 7.1% โดยเหลือจำนวน 100,850 คน ขณะที่ทวีปอเมริกาเหนือมีมหาเศรษฐีพันล้านลดลง 4% เหลือ 142,990 คน

ขณะที่เหตุผลที่จำนวนมหาเศรษฐีในทวีปอื่นลดลงคือเรื่องของปัจจัยเศรษฐกิจ รวมถึงการบุกยูเครนโดยรัสเซียซึ่งเหล่ามหาเศรษฐีในทวีปยุโรปได้รับผลกระทบโดยตรง หรือแม้แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่ยุโรปกับสหรัฐอเมริกาได้เผชิญในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีจำนวนมหาเศรษฐีในตะวันออกกลางกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 15.7% ขณะที่ละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นมากถึง 17.5% โดยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ราคานำ้มัน ราคาสินแร่ เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

แต่ถ้าหากนับความมั่งคั่งรวมกันแล้วมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียมีความมั่งคั่งรวมกันราวๆ 12.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมากกว่ามหาเศรษฐีในทวีปยุโรปซึ่งอยู่ที่ 11.71 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สหรัฐอเมริกายังครองแชมป์ที่ 16.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในรายงานดังกล่าวยังชี้ว่าแม้จำนวนของเหล่ามหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมาจะลดลง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่ใน 5 ปีข้างหน้า จำนวนมหาเศรษฐีเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นจาก 395,070 คน เป็น 528,100 คน โดยได้ปัจจัยจากทวีปเอเชีย แต่ความมั่งคั่งส่วนใหญ่จะยังอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ

]]>
1443841
นักวิเคราะห์คาดราคาตั๋วเครื่องบินในเอเชียจะแพงไปอีกระยะ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด https://positioningmag.com/1443439 Tue, 05 Sep 2023 04:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443439 นักวิเคราะห์จาก Bank of America สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์ถึงราคาตั๋วเครื่องบินในทวีปเอเชียว่าจะมีราคาแพงอีกสักระยะ แม้ว่าราคาจะขึ้นมาจากปี 2019 ราวๆ 25-30% แล้วก็ตาม สาเหตุสำคัญคือปริมาณเที่ยวบิน และต้นทุนอื่นๆ ของสายการบินที่ยังสูง

Bank of America สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับราคาตั๋วเครื่องบินในทวีปเอเชียว่ายังจะมีราคาแพงไปอีกระยะ โดยรายงานดังกล่าวชี้ว่าราคาตั๋วเครื่องบิน ณ ปัจจุบันมีราคาสูงกว่าปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิดราวๆ 25-30%

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินในเอเชียยังสูง เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาคือเรื่องของความต้องการเที่ยวบินที่ยังสูง แต่ปริมาณเที่ยวบินของสายการบินกลับยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยปริมาณเที่ยวบินต่างประเทศเฉลี่ยนั้นยังอยู่ราวๆ 85% ของปี 2019 ด้วยซ้ำ

ขณะที่ในสหรัฐอเมริกานั้นการแข่งขันของสายการบินได้เริ่มกลับมาแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 ขณะที่การแข่งขันของสายการบินในทวีปเอเชียอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่า

ในรายงานของ Bank of America ยังชี้เหตุผลอื่นๆ ว่าทำไมราคาตั๋วเครื่องบินในทวีปเอเชียยังแพงอยู่ 

  • เศรษฐกิจในเอเชียกลับมาเติบโตเหมือนปกติอีกครั้ง
  • ต้นทุนของสายการบินยังสูง โดยเฉพาะราคาน้ำมันเครื่องบิน
  • การส่งมอบเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ล่าช้า ขณะเดียวกันสายการบินเตรียมปลดประจำการเครื่องบินเก่าด้วย
  • สายการบินหลายแห่งเริ่มที่จะต้องนำเครื่องบินเข้าซ่อมแซมบำรุงรอบใหญ่อีกครั้ง
  • การฝึกพนักงานใหม่ รวมถึงการจัดการภาคพื้นดินของสนามบิน

อย่างไรก็ดีมีปัจจัยที่ทำให้ราคาตั๋วลดลงมาบ้างคือปัจจัยจากความต้องการที่อัดอั้นนั้นได้ลดลงมาพอสมควรแล้ว นอกจากนี้การควบคุมค่าใช้จ่ายขององค์กรต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งที่ถูกตัดออกคือเรื่องการเดินทาง และยังรวมถึงปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อและรายได้ของครัวเรือน

ขณะเดียวกันสายการบินในเอเชียคาดว่าเฉลี่ยอาจเพิ่มปริมาณเที่ยวบินอีก 10-15% ในช่วงหน้าหนาว และปริมาณเที่ยวบินจะสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคม 2024 แม้ว่าในอนาคตหลายปัจจัยจะผ่อนคลายมากขึ้น แต่ในรายงานดังกล่าวยังคาดว่าอัตรากำไรของสายการบินในเที่ยวบินต่างประเทศจะสูงกว่าปี 2019 เฉลี่ยอยู่ราวๆ 10-20% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าได้

รายงานดังกล่าวยังชี้ถึงปริมาณนักท่องเที่ยวของจีนที่ออกมานอกประเทศจีนว่าจะอยู่ที่ 64% ในเดือนมีนาคม 2024 ขณะที่ สิงคโปร์ อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกินค่าเฉลี่ยที่ 85% แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนอาจต้องใช้เวลามากกว่าคาด

]]>
1443439
Viu ยังครองเบอร์ 2 แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งในอาเซียน มีสมาชิกจ่ายเงินตามหลัง Disney+ Hotstar แต่ชนะ Netflix ได้ https://positioningmag.com/1439858 Fri, 04 Aug 2023 09:41:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439858 ศึก Video Streaming ในอาเซียนยังคงดุเดือด เมื่อ Viu ยังครองเบอร์ 2 แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งในอาเซียน มีสมาชิกจ่ายเงินตามหลัง Disney+ Hotstar แต่ชนะ Netflix ได้ และล่าสุดบริษัทได้รับเงินลงทุนจากบริษัทบันเทิงจากฝรั่งเศส ซึ่งจะเตรียมขยายธุรกิจออกนอกเอเชียด้วย

รายงานจากสำนักข่าว Bloomberg ได้อ้างอิงข้อมูลจาก Media Partners Asia บริษัทวิจัยด้านสื่อบันเทิง ได้ชี้ว่า Viu แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอจากฮ่องกง ล่าสุดยังครองอันดับ 2 แซงหน้า Netflix เมื่อเทียบจำนวนสมาชิกที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มทั้งหมด

ข้อมูลล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Viu มีสมาชิกแบบจ่ายเงินทั้งสิ้น 8.6 ล้านราย ขณะที่ Netflix มี 8.1 ล้านราย ขณะที่ Disney+ Hotstar นั้นมีสมาชิกแบบจ่ายเงินมากที่สุดในอาเซียนมากถึง 9.1 ล้านรายด้วยกัน

ถ้าหากเทียบสัดส่วนเวลารับชมแล้ว Netflix ยังครองตำแหน่งส่วนแบ่งอันดับ 1 ในอาเซียนที่ 44% ขณะที่อันดับ 2 คือ Viu ที่ 13% ขณะที่อันดับ 3 คือ True ID ครองส่วนแบ่ง 8% ขณะที่ Disney+ Hotstar กลับครองส่วนแบ่งอันดับ 4 ที่ 7%

ในปี 2021 ที่ผ่านมา Viu มีสมาชิกแบบจ่ายเงินมากกว่า 5 ล้านรายแล้ว และมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มมากถึง 49 ล้านคน ก่อนที่ตัวเลขล่าสุดจะมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเมื่อเดือนมิถุนายนมากถึง 66 ล้านคน

ในรายงานเดียวกันของ Bloomberg นั้นยังได้สัมภาษณ์ Janice Lee ซึ่งเป็น CEO ของ Viu หลังจากที่บริษัทได้รับเงินลงทุนเริ่มต้น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (และเพิ่มได้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ) จาก Canal+ Group เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แลกกับการถือหุ้น 26.1% ซึ่งเธอได้กล่าวว่าได้เตรียมที่จะผลิตคอนเทนท์พรีเมี่ยม รวมถึงการขยายหาลูกค้าเพิ่มเติมในเอเชีย

ขณะที่ Jacques du Puy ผู้บริหารสูงสุดของ Canal+ International ได้กล่าวว่า การลงทุนของบริษัทนั้นต้องการที่จะขยายตลาดนอกจากเวียดนามและพม่า ซึ่งบริษัทได้ลงทุนไว้ ปัจจุบัน Canal+ ได้นำคอนเทนต์ของ Viu มาออกอากาศในเคเบิลทีวีในเวียดนามด้วย และเป้าหมายคือต้องการเป็นผู้เล่นรายสำคัญในเอเชีย

ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของ Viu ยังได้กล่าวว่าเตรียมที่จะนำความเชี่ยวชาญของ Canal+ ที่จะขยายแพลตฟอร์มไปยังประเทศอื่นนอกทวีปเอเชียด้วย แต่ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดแต่อย่างใด

ปัจจุบัน Viu มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ PCCW บริษัทด้านโทรคมนาคมในฮ่องกง ซึ่งมีเจ้าของคือ Richard Li บุตรชายของ Li Ka-shing มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ปัจจุบันบริษัทได้ให้บริการ 16 ประเทศทั้งในเอเชีย ตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศแอฟริกาใต้

]]>
1439858
IMF คาด GDP เอเชียเติบโต 4.6% มองเศรษฐกิจ จีน อินเดีย ผลักดันการเติบโตในปีนี้ https://positioningmag.com/1429160 Tue, 02 May 2023 05:19:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429160 คาดการณ์ล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่าเศรษฐกิจในเอเชียปีนี้จะเติบโตได้ราวๆ 4.6% ได้แรงผลักดันจากเศรษฐกิจจีนที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย ขณะที่ไทยนั้น IMF คาดว่าจะเติบโตได้ 3.4% ซึ่งปรับลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน

IMF ได้ออกคาดการณ์การเติบโตล่าสุดสำหรับเศรษฐกิจเอเชีย โดยมองว่าเศรษฐกิจทวีปเอเชียจะเติบโตได้ 4.6% ในปีนี้ ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดย IMF คาดว่าจะเติบโตได้ 5.2% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน และเศรษฐกิจอินเดียนั้นเติบโตได้ที่ 5.9% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่นั้นมีการปรับตัวเลข GDP ลดลงเล็กน้อย ยกเว้น ฟิลิปปินส์ จีน ลาว มาเลเซีย

ขณะเดียวกัน IMF ยังคาดว่าเศรษฐกิจเอเชียจะยังเติบโตได้ 4.4% ในปี 2024 ทางด้านของเศรษฐกิจไทยนั้น IMF คาดว่า GDP จะโตได้ 3.4% ในปีนี้ ซึ่งลดลงกว่าคาดการณ์ครั้งก่อน และคาดว่าจะเติบโต 3.6% ในปี 2024

สำหรับเศรษฐกิจในเอเชียในปีนี้ถือว่ามีส่วนแบ่งในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2023 มากถึง 70% นำโดยเศรษฐกิจจีนซึ่งมีสัดส่วน 34.9% รองลงมาคืออินเดีย 15.4% อินโดนีเซีย 4.4% บังคลาเทศและญี่ปุ่นประเทศละ 1.8% ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีสัดส่วน 1.1%

ถึงแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในเอเชียปีนี้จะมีท่าทีสดใสมากขึ้น แต่ IMF ก็ได้เตือนถึงเรื่องความเสี่ยงของเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่สูง ปัญหาภาคการเงินในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าลดลง

อย่างไรก็ดี IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจจีนที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทวีปเอเชียในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมากำลังจะเติบโตลดลง จากปัญหาประชากร รวมถึงผลิตภาพที่ลดลง ทำให้ทวีปเอเชียควรที่จะมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานวัตกรรม ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด

]]>
1429160
Eastspring มองปี 2023 หุ้นเอเชียได้ผลดีจากจีนเปิดประเทศ แนะธีมลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำ https://positioningmag.com/1418046 Tue, 07 Feb 2023 02:06:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418046 บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) มองธีมการลงทุนในปี 2023 ว่า หุ้นเอเชียนั้นจะได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นอาจไม่ถดถอยมากอย่างที่คาดไว้  ขณะเดียวกันธีมการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ รวมถึงธีมการลงทุนแบบ ESG ที่กำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ

ดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกหลังจากที่ IMF ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกรอบล่าสุดเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า IMF เพิ่งปรับตัวเลข GDP หลังจากจีนเปิดประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีโอกาสถดถอย ตรงกันข้ามกับจีนเพิ่งประกาศเปิดประเทศ

เธอยังมองว่าการแพร่ระบาดของโควิดในจีนได้ผ่านจุดสูงสุดของไปแล้ว ไม่เพียงเท่านี้เธอยังมองว่าการปราบปรามกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีนก็สิ้นสุดเช่นกัน โดยเธอให้เหตุผลว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเกมหลายแห่งได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีน ยังรวมถึงแพลตฟอร์มเรียกรถอย่าง Didi ยังได้รับไฟเขียวให้กลับมาบริการได้อีกครั้ง

ขณะที่จีนเปิดประเทศเองนั้น ประเทศรอบๆ จีนได้ประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ดารบุษป์ มองว่าบริษัทหลายบริษัทย้ายฐานกำลังการผลิตออกจากจีน เช่น Foxconn ย้ายฐานการผลิตออกมาจากอินเดีย หรือแม้แต่การย้านฐานการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามายังอินโดนีเซีย สัญญาณว่าเอเชียกำลังจะกลับมาเติบโตสดใสอีกรอบ

เธอกล่าวว่าขณะที่นักลงทุนนั้นลดน้ำหนักการลงทุนในจีน ซึ่งหลังจากนี้อาจกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกับจีน และนั่นจะเป็นผลดีกับหุ้นเอเชียด้วย

กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) มองว่า จีนเปิดประเทศเองนั้น ประเทศรอบๆ จีนได้ประโยชน์อย่างมาก – ภาพจาก Shutterstock

เศรษฐกิจโลกต้องต่อสู้กับเงินเฟ้อ

บิล มาโดนาโด ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) ได้กล่าวว่าเมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ทุกคนพูดถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจถดถอยหนัก แล้วก็เรื่องเงินเฟ้อที่สูง แต่ตอนนี้เงินเฟ้อลดลง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับปีที่แล้ว แถมอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ กลับลดลงเหลือ 3.4% ซึ่งกลับมาต่ำอีกรอบ

เขายังกล่าวว่าตอนนี้ไม่ใช้ช่วงเวลาเศรษฐกิจขาลงแบบไม่ปกติ แต่เงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) ยังชี้ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตแบบสัมพันธ์กัน จีนเพิ่งจะฟื้นตัวและไม่มีเงินเฟ้อ แต่ยุโรปกลับเจอเรื่องเงินเฟ้อ หลายคนเลยแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ

“ตอนนี้เลยจับตามองเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ถ้าเงินเฟ้อกลับขึ้นมา Fed อาจกลับมาขึ้นดอกเบี้ย” บิลกล่าว

บิล ยังชี้ว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง หลังจากนี้อาจเป็นเรื่องของการต่อสู้กับเงินเฟ้อ และโลกของเรา 10-20 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง แต่เขาก็ชี้ว่าถ้าหากถือแค่เงินสดก็ได้แต่ก็จะโดนเงินเฟ้อกัดกิน ซึ่งเรื่องนี้สำคัญสำหรับการลงทุนอย่างมาก เพราะเราจะต้องหาสินทรัพย์ที่ลงทุนต่อสู้กับเงินเฟ้อได้

ขณะที่เรื่องการลงทุนใน ESG นั้น บิลมองว่าในระยะยาว ถือเป็นเรื่องปกติในการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนจากยุโรป หลีกเลี่ยงเรื่องดังกล่าวไม่ได้ เขาได้ยกกรณีของนักลงทุนยุโรปมาลงทุนในเอเชียต้องใช้มองมุมมอง ESG ในการตัดสินใจลงทุน ทำให้บริษัทหลายๆ ที่ต้องปรับเพื่อที่จะดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติ

เขาได้ยกตัวอย่างนักลงทุนชาวต่างชาติหลายคนไม่ลงทุนในหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน แม้ว่าบริษัทมีงบที่ดีมาก เมื่อทุกคนให้ความสำคัญในเรื่อง ESG นักลงทุนก็ขายหุ้นกู้ของบริษัทดังกล่าวออกมา ส่งผลทำให้กระทบต่อนักลงทุนอย่างมาก

ซึ่งเรื่อง ESG บิลกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ Eastspring ให้ความสนใจ

ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) กล่าวว่า เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง หลังจากนี้อาจเป็นเรื่องของการต่อสู้กับเงินเฟ้อ  – ภาพจาก Shutterstock

จัดพอร์ตการลงทุนปี 2023 ยังไงดี

ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ไปไหนมาก แต่ถ้าเทียบหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นๆ ถือว่าทำผลงานได้ดี

อย่างไรก็ดี ยิ่งยงมองว่า ปีนี้หุ้นไทยมีความท้าทายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สูญมากขึ้นซึ่งกดดันกำไร เงินบาทที่แข็งค่าส่งผลต่อส่งออก ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนกลับมาแน่ๆ รวมถึงไทยมีการเลือกตั้งในช่วงกลางปี แต่เขากลับมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ดีในปัจจุบันนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยเขามองว่าค่อนข้างเหนื่อย แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม แต่ดอกเบี้ยตราสารหนี้ไทยวิ่งตามดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เขามองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะอยู่ที่ 2% ส่งผลทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยเริ่มน่าสนใจ

รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดการลงทุน ยังชี้ว่าในปีนี้ควรจะลดสัดส่วนการถือครองเงินสดกับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) แนะนำว่าหุ้นจีนประเภท A-Shares น่าสนใจจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ขณะที่เวียดนามเขามองว่ากำไรของตลาดหุ้นยังดี และยังมองว่าหุ้นเอเชียในกลุ่มค้าปลีกและบริษัทกลุ่มผลิตสินค้าน่าสนใจ

ส่วนทางด้านธีมการลงทุนที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้แนะนำให้นักลงทุนในปีนี้ได้แก่ ธีมการลงทุนเน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพมีความผัวผวนของราคาต่ำ ธีมลงทุนในเอเชีย ธีมการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง ธีมลงทุนเน้นความยั่งยืน

แต่ถ้าหากมองหากองทุนในประเทศไทย ธีมใหญ่ที่อีสท์สปริงเน้นในปีนี้คือ ธีมหุ้นปันผลและหุ้นขนาดใหญ่ ธีมหุ้นกู้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงธีมการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

]]>
1418046
กรุงไทยเตือน 5 ปัจจัยสำคัญกระทบภาคธุรกิจไทย มองเศรษฐกิจปีนี้ยังโตได้จากท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1414996 Tue, 10 Jan 2023 16:11:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414996 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ได้ออกบทวิเคราะห์ชี้ถึง 5 ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจไทยในปี 2566 นี้ และย้ำถึงการวางแผนรับมือในปัจจัยดังกล่าวนี้ ขณะเดียวกันก็มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตได้ถึง 3.4% ได้แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวของไทย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยอาจได้เห็นถึง 2% ในปีนี้

ศูนย์วิจัยของธนาคารกรุงไทย ยังประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2566 นั้นฟื้นตัวต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยว และชี้ถึง 5 ปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจไทยจะต้องรู้ หลังเศรษฐกิจเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ และแนะนำว่าภาคธุรกิจควรวางแผนรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ธีมสำคัญในปีนี้ที่ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินไว้คือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้ได้นำพาเศรษฐกิจไทยไปอยู่ในจุดที่ไม่คุ้นเคย ภายใต้โลกใหม่ที่มีความผันผวนและซับซ้อน

5 ปัจจัยสำคัญที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นี้ได้แก่

  1. การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ Krungthai COMPASS ได้ชี้ว่าปัจจัยดังกล่าวนั้นมีหลายประเด็นที่ภาคธุรกิจไทยจะได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางตรงอย่างความรุนแรงของสภาวะอากาศตั้งแต่ระดับน้ำทะเลสูง ไปอุณภูมิที่เพิ่งสูงขึ้น จนถึงความรุนแรงของพายุ หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากผลกระทบ เช่น ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ความชะงักงันของ Supply Chain เป็นต้น รวมถึงภาษีคาร์บอนที่สหภาพยุโรปเริ่มมีการเก็บในเดือนตุลาคม
  2. เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมาหน่วยงานหลายแห่งหรือสถาบันการเงินต่างๆ ได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลง โดยเฉพาะ GDP ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากปัญหาสำคัญคือเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 5-5.25% ส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวจากปัญหาพลังงาน รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายโควิดในจีน ไปจนถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์
  3. เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ภาคการท่องเที่ยว ในปี 2566 นี้ Krungthai COMPASS ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะเข้าสู่สภาวะเปลี่ยนผ่านจากภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยไปสู่ภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลดีจากปัจจัยดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนนักท่องเที่ยวจากอาเซียนที่กลับมาใกล้กับจำนวนเดิมก่อนการแพร่ระบาดของโควิด
  4. การเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของไทย ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางในแต่ละประเทศได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงในช่วงที่ผ่านมา เพื่อที่จะต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งผลดังกล่าวได้กระทบกับประเทศไทยที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตามกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
  5. การเปลี่ยนผ่านท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาของราคาพลังงานในช่วงที่ผ่านมาจากผลกระทบของการบุกยูเครนของรัสเซีย ต้นทุนค่าจ้างที่สูง ซึ่งแรงกดดันดังกล่าวทำให้ Krungthai COMPASS มองว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยแม้จะลดลงมาเหลือ 3.1% ในปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น Krungthai COMPASS คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.4% ในปี 2566 ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่ที่ 22.5 ล้านคน การส่งออกของไทยเติบโตแค่ 0.7% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2% และอาจมีสิทธิ์เพิ่มสูงสุดได้ถึง 2.5% ในปีหน้า ขณะที่ค่าเงินบาทของไทยคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 33.75-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

]]>
1414996
IMF มองปี 2023 เศรษฐกิจโลกยังพบเวลายากลำบาก กังวลโควิดในจีน แม้จะผ่อนคลายก็ตาม https://positioningmag.com/1398455 Tue, 03 Jan 2023 10:04:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398455 ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเศรษฐกิจโลกในปี 2023 ซึ่งเป็นอีกปีที่พบกับความยากลำบาก โดยเธอมองว่า 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกจะพบกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนเองก็อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

คริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์ CBS ในรายการ Face the Nation โดยกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2023 ว่ามีความยากลำบาก ขณะเดียวกันแม้ว่าประเทศจีนจะมีมาตรการผ่อนคลายเกี่ยวกับโควิด-19 แล้วก็ตาม แต่เธอมองว่าการแพร่ระบาดในประเทศจีนจะกลับส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ

เธอได้ชี้ถึงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าวได้ แต่ในปีนี้ 1 ใน 3 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะพบกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากการบุกยูเครนโดยรัสเซีย

แม้ว่าหลายประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ เธอได้กล่าวว่าประชาชนเหล่านี้ก็จะรู้สึกถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เช่นกัน

ทางด้านของเศรษฐกิจจีนนั้น เธอได้กล่าวว่าอาจเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่เศรษฐกิจจีนนั้นโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และเธอยังชี้ว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเติบโตของจีนนั้นผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากกว่า 30% ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนไม่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาคือนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน แม้ว่าล่าสุดจีนจะออกมาตรการผ่อนคลาย รวมถึงให้ชาวจีนออกนอกประเทศได้แล้วก็ตาม เพื่อทำให้เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกกลับมาเติบโตตามปกติอีกครั้ง

ผู้อำนวยการของ IMF ยังกล่าวถึงการพบกับผู้นำประเทศในเอเชียหลายประเทศ ซึ่งคำถามที่ผู้นำเหล่านี้เริ่มต้นถามเธอก็คือ “เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจจีน” หรือไม่ก็เป็นคำถามที่ว่า “จีนจะสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับไปเติบโตในระดับสูงเท่ากับในอดีตได้หรือไม่” แสดงให้เห็นความกังวลถึงสภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีความเปราะบางมากขึ้น

เธอยังมองว่า 2-3 เดือนหลังจากนี้ เศรษฐกิจจีนมีโอกาสที่จะถดถอยจากการแพร่ระบาดโควิดได้ และจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจโลก

IMF คาดว่า GDP โลกจะเติบโตได้ 2.7% เท่านั้นในปี 2022 จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 3.2% นอกจากนี้คาดการณ์ล่าสุดนั้นในปี 2023 ยังมองว่ามีโอกาส 1 ใน 4 ที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่ำกว่า 2% ด้วย

]]>
1398455
ผลสำรวจเผยผู้ประกอบการในเอเชียโอเคกับ WFH แต่ยังไม่เปิดรับการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ https://positioningmag.com/1409090 Sun, 20 Nov 2022 18:30:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409090 ผลสำรวจจากผู้ประกอบการถึงเกือบ 2,200 รายจากทวีปเอเชียแปซิฟิกพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการที่จะให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน นอกจากนี้การยอมรับในการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ของผู้ประกอบการนั้นยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยมากอีกด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานผลสำรวจจาก Center for Creative Leadership ซึ่งสำรวจผู้ประกอบการมากถึง 2,170 รายจาก 13 ประเทศทั่วทวีปเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสอบถามในหัวข้อ “ในระยะยาว (3-5 ปีข้างหน้า) รูปแบบการทำงานที่ต้องการหรือกำลังเกิดขึ้นในองค์กรของคุณคืออะไร”

ผลสำรวจเหล่านี้พบว่าผู้ประกอบการหลายประเทศเองต้องการให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าผู้ประกอบการส่วนน้อยที่สามารถให้พนักงานทำงานแบบรีโมตได้เต็มที่ 100% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานก็ตาม

ผู้ประกอบการในประเทศที่ให้พนักงานสามารถทำงานได้ยืดหยุ่นมากที่สุดนั่นก็คือ สิงคโปร์ ออสเตรเลียรวมถึงนิวซีแลนด์ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวสูงถึง 31% และ 28% ตามลำดับ และผู้ประกอบการจาก 2 ประเทศดังกล่าวยังต้องการให้พนักงานเข้าทำงานในสำนักงานเต็มรูปแบบเพียงแค่ 1% และ 8% ตามลำดับด้วย

ขณะที่ผู้ประกอบการไทยนั้นในผลสำรวจชี้ว่าความยืดหยุ่นมีแค่ 16% เท่านั้น และต้องการให้พนักงานเข้าทำงานในสำนักงานเต็มรูปที่ 16%

ในผลสำรวจยังชี้ว่าตรงข้ามกับผู้ประกอบการจากประเทศจีนกลับมีความยืดหยุ่นน้อยมากที่สุด โดยอยู่ที่ 10% เท่านั้น อย่างไรก็ดี 14% ของผู้ประกอบการจีนต้องการให้พนักงานเข้าสำนักงานแบบเต็มรูปแบบที่ 14%

นอกจากนี้ในผลสำรวจยังพบว่ามีเพียงบริษัทแค่ 2% จากผู้สอบถามทั้งหมดที่ยอมรับการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ในช่วงอนาคตข้างหน้านี้ด้วย ซึ่งทำให้เห็นว่าเทรนด์การทำงาน 4 วันอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่ผู้ประกอบการทั้งหลายจะยอมรับในเรื่องนี้

]]>
1409090