The Star สื่อมาเลเซียได้สัมภาษณ์พิเศษ Tony Fernandes ซึ่งเป็น CEO และผู้ก่อตั้ง Capital A ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินราคาประหยัดอย่างแอร์เอเชีย (AirAsia) เขาได้กล่าวว่ามีแผนที่จะทำงานและวางแผนเตรียมที่จะวางมือภายใน 5 ปีนี้

เขากล่าวกับสื่อมาเลเซียว่า ในปี 2024 นี้จะเป็นช่วง 5 ปีสุดท้ายของเขา และแผนการของผู้ก่อตั้ง Capital A คือต้องการให้สายการบินอย่าง AirAsia กลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังประสบกับช่วงเวลายากลำบาก

ปัจจุบันรายได้หลักของ Capital A ยังมาจากสายการบินราคาประหยัด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 75% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท ขณะที่รายได้อื่นๆ นั้นมาจาก โลจิสติกส์ บริการโทรศัพท์มือถือ ประกันภัย ไปจนถึงบริการผ่าน SuperApp ของบริษัท

ก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่าต้องการให้บริษัทนั้นมีรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การบินมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ และยังได้เปรยว่ามีแผนจะลงจากตำแหน่ง (โดยไม่ได้บอกระยะเวลา) และบริษัทกำลังหาผู้สืบทอดธุรกิจต่อจากตัวเขา

สอดคล้องกับ Vivek Sasheendran ผู้เชี่ยวชาญในการพลิกฟื้นกิจการจาก Vad Capital ในมาเลเซีย ได้กล่าวกับ The Sun สื่อมาเลเซียอีกแห่งว่า แผนการในการหารายได้ในส่วนอื่นของ Tony Fernandes ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก หรือแม้แต่กลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผล และยังมีเครือข่าย (ของสายการบิน) ทั่วทั้งอาเซียน

ข้อมูลของ S&P Captial IQ ที่รวมคาดการณ์ข้อมูลของนักวิเคราะห์ คาดว่าผลดำเนินการปี 2023 Capital A จะยังขาดทุนราวๆ 205 ล้านริงกิตมาเลเซีย และบริษัทจะกลับมามีกำไรที่ 434 ล้านริงกิตในปีนี้

หลังจากนี้หัวเรือใหญ่ของ Capital A กล่าวว่าตัวเขาจะไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัท

สำนักข่าว Bloomberg ได้สัมภาษณ์พิเศษ โทนี เฟอร์นานเดส (Tony Fernandes) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Capital A (หรือชื่อเดิม AirAsia) ได้กล่าวว่าเขากำลังเตรียมตัวที่จะลงจากตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัท และกำลังเริ่มหาผู้สืบทอดหลังจากนี้ โดยเขาได้กล่าวว่าผู้นำที่ดีต้องรู้จักว่าเมื่อไหร่ควรจะไป

เขาได้กล่าวว่า เส้นทางในธุรกิจการบินของเขาเองนั้นกำลังใกล้ที่จะจบ ซึ่งเขาชี้ว่ากำลังหาผู้ที่สนใจเข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาหลังจากนี้ และเขาไม่สนว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด เพศใด ขอแค่ทำงานได้เท่านั้น เพียงแต่เขานั้นอยากได้ผู้สืบทอดตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารบริษัทในอาเซียนมากกว่า

ขณะเดียวกันเขาได้เล่าถึงชีวิตหลังจากนี้คือจะนำประสบการณ์ที่มีกับ AirAsia ไปใช้กับที่อื่น โดยเขากล่าว่าเขานั้นชอบการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลากหลักทรัพย์ (Private Equity) ขณะเดียวกันเขายังเชื่อในการให้ผู้คนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและการศึกษาด้วยราคาที่ถูกลง ซึ่งเขากล่าวว่ามีโมเดลในการทำเรื่องดังกล่าวได้

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหัวเรือใหญ่ของ AirAsia ได้กล่าวว่าราคาตั๋วในตอนนี้คือราคาตั๋วเครื่องบินที่ควรจะเป็นในปี 2019 ด้วยซ้ำ และเขาเองยังมองว่ามูลค่าของการท่องเที่ยวหลังจากช่วงเวลา 3 ปีผ่านไปนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และทางสายการบินกำลังเร่งนำเครื่องบินที่จอดพักไว้ เข้ามาให้บริการไวที่สุด

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าจะทำให้บริษัทแม่ของสายการบิน AirAsia มีสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่จากธุรกิจการบินอยู่ที่ 50% ภายในปี 2026

ในช่วงที่ผ่านมา Tony Fernandes ได้ทำให้สายการบินราคาประหยัดได้รับความนิยมในภูมิภาคนี้ เนื่องจากราคาเที่ยวบินต่อเที่ยว ส่งผลทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวในอาเซียนนั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา AirAsia จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดก็ตาม

Tony Fernandes ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย (AirAsia) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทาง Bloomberg โดยกล่าวว่า ราคาตั๋วเครื่องบินในปัจจุบันไม่ได้ราคาสูง แต่คือราคาที่แท้จริง หลังจากที่ราคาตั๋วเครื่องบินไม่ว่าจะเป็นของสายการบินราคาประหยัดรายดังกล่าว หรือแม้แต่ราคาของคู่แข่งรายอื่นๆ นั้นก็มีราคาสูงเช่นกัน

หัวเรือใหญ่ของ AirAsia ได้กล่าวเสริมว่าราคาตั๋วในตอนนี้คือราคาตั๋วเครื่องบินที่ควรจะเป็นในปี 2019 ด้วยซ้ำ และเขาเองยังมองว่ามูลค่าของการท่องเที่ยวหลังจากช่วงเวลา 3 ปีผ่านไป (จากการแพร่ระบาดของโควิด-19) นั้นย่อมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

เขายังชี้ว่าสภาวะราคาค่าตั๋วเครื่องบินตอนนี้ถือว่าดีมาก เขายังชี้ว่าราคาตั๋วเครื่องบินทุกวันนี้นั้นสายการบินถือว่าตั้งราคาต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ และผู้คนตกใจถึงราคาที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ในช่วงที่ผ่านมาหลายสายการบินทั่วโลกประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสายการบินในหลายประเทศนั้นประสบปัญหาในการทำธุรกิจจนถึงขั้นล้มละลาย เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทาง หรือแม้แต่นโยบายของแต่ละประเทศที่ปิดพรมแดน ซึ่งสายการบินราคาประหยัดรายนี้ก็ต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ รวมถึงปลดพนักงานด้วย

โดยสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดว่าอุตสาหกรรมการบินจะกลับมาฟื้นตัวมากกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องรอจนถึงปี 2024 ไม่เพียงเท่านี้ Willie Walsh ผู้อำนวยการทั่วไปของ IATA ได้กล่าวว่าราคาตั๋วเครื่องบินนั้นอาจไม่ได้เห็นตั๋วราคาถูกอีกต่อไป เนื่องจากปัจจัยสำคัญก็คือเรื่องของเงินเฟ้อ รวมถึงต้นทุนของสายการบินที่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ Tony Fernandes ยังได้กล่าวว่า AirAsia เตรียมนำฝูงบินกลับมาให้บริการเต็มที่ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งไวกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก

โทนี เฟอร์นานเดส (Tony Fernandes) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Capital A (หรือชื่อเดิม AirAsia) ได้เปิดเผยกับ Bernama สื่อของมาเลเซียว่าบริษัทกำลังอยู่ในกระบวนการนำธุรกิจเข้า IPO เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาในปีหน้า และจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ขณะเดียวกันเขายังมองว่าธุรกิจการบินตอนนี้กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ธุรกิจของ Capital A ที่จะนำเข้า IPO ในสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วยธุรกิจสายการบิน ซึ่งประกอบไปด้วย AirAsia ในหลายประเทศเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยที่ถือหุ้นร่วมกับบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) รวมถึงธุรกิจ airasia Super App ซึ่งก่อนหน้านี้มีแผนที่จะนำธุรกิจดังกล่าวเข้าตลาดหลักทรัพย์มาแล้ว

ขณะเดียวกันมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจการบินเขามองว่าในปี 2023 ธุรกิจสายการบินจะกลับมาเติบโตก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเขากล่าวว่า ในปีหน้านี้เขาอยากเห็นเครื่องบินของสายการบินราคาประหยัดรายนี้กว่า 205 ลำขึ้นบินทั้งหมดภายในไตรมาส 1 ของปีหน้า ซึ่งปัจจุบันเครื่องบินที่ทำการบินอยู่ในช่วงเวลานี้อยู่ที่ 110 ลำ

นอกจากนี้เขายังคาดว่าประเทศจีนน่าจะมีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางได้อีกครั้งในช่วงกลางปี 2023 โดยตลาดในเอเชียเหนืออย่างญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ รวมถึงไต้หวัน เขามองว่าตลาดนี้จะค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง ตามนโยบายเปิดประเทศ

เขายังคาดว่าในปี 2022 นี้จะมีผู้โดยสารราวๆ 40 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่าในปี 2019 ราวๆ 50%

สายการบินราคาประหยัดรายนี้ยังเตรียมที่จะสั่งเครื่องบินจาก Airbus เป็นรุ่น A321 ซึ่งประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่น A320 ที่ใช้งานในปัจจุบัน โดยเครื่องบิน A321 นี้จะเริ่มมีการส่งมอบในปี 2024 และจะมีเครื่องบินรุ่นนี้ทั้งฝูงบินของ AirAsia ในปี 2029

สำหรับเรื่องธุรกิจของ Capital A ที่ยังมีปัญหาขาดทุน และอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูกิจการในประเทศมาเลเซีย เขาชี้ว่าปัญหาดังกล่าวไม่ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปแต่อย่างใด