Coca-Cola – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 15 Sep 2023 06:18:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Coca-Cola” ทดลองใช้ “AI” สร้างสรรค์ “น้ำอัดลม” รสชาติใหม่ “Y3000” จากโลกอนาคต https://positioningmag.com/1444365 Fri, 15 Sep 2023 01:42:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444365 ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังถูกนำไปใช้ในทุกๆ ด้าน ล่าสุด “Coca-Cola” สร้างแคมเปญทดลองใช้ AI พัฒนารสชาติ “น้ำอัดลม” จาก “โลกอนาคต” ออกมาเป็นรสชาติใหม่ “Y3000” ซึ่งหมายถึงน้ำอัดลมที่มาจากปี ค.ศ.3000

วิธีการพัฒนา Y3000 เริ่มต้นจากนักวิจัยที่ Coca-Cola เป็นผู้หาข้อมูลเกี่ยวกับรสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบ และเทรนด์ของรสชาติในอนาคตที่ผู้บริโภคจินตนาการไว้

จากนั้นนักวิจัยจึงป้อนข้อมูลทั้งหมดให้ AI นำไปประมวลจับคู่รสชาติที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นรสชาติแห่งอนาคต

Coca-Cola ไม่ได้อธิบายว่ารสชาติ Y3000 เป็นแบบไหน หรือใกล้เคียงกับรสชาติใดที่มีอยู่แล้วหรือไม่ แต่จะให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสเองว่ารสชาติอนาคตเป็นอย่างไร โดยมี 2 ชนิดให้เลือก คือ ใส่น้ำตาลปกติ กับ ไม่มีน้ำตาล

AI ยังออกแบบลักษณะกระป๋องน้ำอัดลมแห่งอนาคตด้วย โดยเป็นกระป๋องแบบสลิม แปะโลโก้ Coca-Cola ที่แตกเป็นพิกเซล พื้นหลังเป็นสีเงินสะอาดตา ระบายด้วยสีผสมของสีฟ้า ม่วง และชมพู

“จากแรงบันดาลใจของแบรนด์เหนือกาลเวลาอย่าง Coca-Cola เราต้องการจะเฉลิมฉลองไอเดียจินตนาการของทุกคนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” Oana Vlad ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกลยุทธ์สากลของ Coca-Cola กล่าวถึงรสชาติ Y3000 “ด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้เราสามารถจินตนาการถึงรสชาติในอนาคตของ Coca-Cola ได้ และได้สร้างประสบการณ์สัมผัสนวัตกรรมเพื่อสำรวจอนาคตไปด้วยกัน”

แคมเปญ Y3000 ยังไม่จบเท่านี้ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ รสชาติแห่งอนาคตของ Coca-Cola จะคอลแลปกับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทแวร์อย่าง “Ambush” เพื่อออกคอลเล็กชันพิเศษด้วย

เท่าที่ประกาศออกมาขณะนี้ Coca-Cola Y3000 มีจำหน่ายแล้วในสหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย โดยจำหน่ายในราคาเท่ากับโค้กปกติ และขายในจำนวนจำกัด

ที่มา: CNBC

#CocaCola #Coke #AI #ปัญญาประดิษฐ์ #น้ำอัดลม #Positioningmag

]]>
1444365
Coca-Cola ปรับใช้ ‘ขวดเเก้วรีฟิล’ รับมือเงินเฟ้อ เริ่มในตลาดละตินอเมริกา-แอฟริกา https://positioningmag.com/1382975 Tue, 26 Apr 2022 09:51:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382975 Coca-Cola ผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลก มองว่าความต้องการของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง จากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและยังไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น พร้อมมุ่งเน้นไปที่ขวดแก้วรีฟิล’ ที่ใช้ซ้ำได้เเละราคาไม่แพง ท่ามกลางตลาดที่มีการปรับขึ้นของราคาสินค้าครั้งใหญ่

ความต้องการน้ำอัดลมและอาหารบรรจุหีบห่ออื่นๆ ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีการปรับราคาสูงขึ้น จากการเเบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียม น้ำตาล แรงงาน และการขนส่ง

James Quincey ซีอีโอของ Coca-Cola ระบุว่า ความยืดหยุ่นของดีมานด์จะไม่คงอยู่ตลอดไปเเต่อาจจะเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลาในอนาคตซึ่งอาจจะเป็นไตรมาสหน้าหรือปีหน้า

ทั้งนี้ P&G บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์ดูแลผู้หญิงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านในสหรัฐฯ มีเเนวโน้มจะอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาช่วงฤดูร้อนได้ปรับเพิ่มขึ้น

เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะลดลง ทาง Coca-Cola กำลังขยายการจัดจำหน่ายขวดแก้วที่ส่งคืนหรือรีฟิลได้ที่ราคาถูกกว่า ในตลาดเกิดใหม่อย่างละตินอเมริกาและแอฟริกา โดยกำลังทดลองใช้ขวดที่ส่งคืนได้ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ

ตามข้อมูลของ Refinitiv พบว่า รายรับสุทธิของ Coca-Cola เพิ่มขึ้น 16% เป็น 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังการที่บริษัทประกาศระงับการดำเนินงานในรัสเซีย คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรประจำปี ราว 4 เซนต์ต่อหุ้นและรายรับสุทธิประจำปีประมาณ 1-2%

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1382975
เหลือใครบ้าง! Pepsi, Coca-Cola, McDonald และ Starbucks ประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย https://positioningmag.com/1376840 Wed, 09 Mar 2022 06:28:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1376840 หากให้ไล่เรียงรายชื่อแบรนด์ที่ออกมา คว่ำบาตรรัสเซีย ในตอนนี้ คงต้องบอกว่า หาชื่อแบรนด์ที่ยังไม่ออกมาน่าจะง่ายกว่า เพราะที่ผ่านมาแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของโลกแทบทั้งหมดก็ประกาศคว่ำบาตรเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมี 2 ผู้ให้บริการบัตรชำระเงินยักษ์ใหญ่อย่างวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ล่าสุด Pepsi, Coca-Cola, McDonald’s และ Starbucks ซึ่งถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกก็ออกมาประกาศว่าจะระงับการทำธุรกิจในรัสเซีย ด้วยเช่นกัน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัททั้ง 4 แห่ง ได้แก่ Pepsi, Coca-Cola, McDonald’s และ Starbucks ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะยังคงดำเนินธุรกิจในรัสเซียต่อไป ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรรัสเซียและหยุดการดำเนินกิจการไปแล้ว ล่าสุด ทั้ง 4 บริษัทก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่าจะระงับการทำธุรกิจในรัสเซีย

โดย Pepsi ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ทำธุรกิจในรัสเซียมานานกว่า 60 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต และจ่ายเรือรบแลกกับสินค้าเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม Pepsi ไม่ได้หยุดการทำธุกิจทั้งหมดในรัสเซีย จะงดแค่ขายน้ำอัดลม เช่น Pepsi-Cola, 7UP และ Mirinda โดยสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น นม หรืออาหารทารก ยังคงจัดจำหน่ายต่อไป ทั้งนี้ รัสเซียคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 4% ของ Pepsi

ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม เราต้องยึดมั่นในแง่มุมด้านมนุษยธรรมของเราให้มากขึ้นกว่าเดิม” Ramon Laguarta ซีอีโอของ Pepsi กล่าว

เเบรนด์ดังเเห่หยุดทำธุรกิจในรัสเซีย ‘Nike – IKEA’ ปิดสาขาชั่วคราว หลังซัพพลายเชนชะงัก

บริษัท ‘ยานยนต์’ ทั่วโลกแห่ ‘คว่ำบาตรรัสเซีย’ สั่งเบรกส่งออก-หยุดสายการผลิต

ในส่วนของ Coca-Cola ได้ออกมาระบุว่า “หัวใจของเราอยู่กับผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในยูเครน และเราจะคอยติดตามสถานการณ์ต่อไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง” โดย Coca-Cola มีสัดส่วนยอดขายในรัสเซียราว 1-2%

ด้าน McDonald’s ก็ออกมาประกาศว่า ร้านอาหารในรัสเซียทั้งหมด 850 แห่งจะปิดให้บริการชั่วคราว จากที่ก่อนหน้านั้น เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยังคงนิ่งเงียบในสงครามนี้ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงว่า แม้บริษัทจะออกมาประณามการบุกรุกแต่ยังคงเปิดสถานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ ร้านของ McDonald ในรัสเซียประมาณ 84% เป็นของบริษัท ในขณะที่ส่วนที่เหลือดำเนินการโดยแฟรนไชส์ซึ่งน่าจะยังดำเนินการต่อได้ปกติ

วีซ่า-มาสเตอร์การ์ด ทิ้งบอมลูกใหญ่! ประกาศระงับการทำธุรกรรมในรัสเซีย

ส่วน Starbucks ได้ระงับกิจกรรมทางธุรกิจของรัสเซียทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Kevin Johnson CEO ของ Starbucks ได้ออกมาประณามการโจมตีของรัสเซียอีกด้วย แน่นอนว่าการปิดสาขาในรัสเซียต้องส่งผลกระทบกับทั้ง Starbucks และ McDonald’s แน่นอน เพราะทั้ง 2 บริษัทมีจำนวนสาขามากกว่าในอเมริกา และมีเปอร์เซ็นต์รายได้ที่สูงขึ้นจากยอดขายเหล่านั้น

Source

]]>
1376840
ส่อง 21 บริษัทข้ามชาติใน ‘รัสเซีย’ ที่อาจ ‘ขาดทุน’ หนักจากวิกฤตสงคราม https://positioningmag.com/1375726 Mon, 28 Feb 2022 11:06:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375726 รัสเซีย กำลังถูกคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศได้พังทลายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และแน่นอนว่า บริษัทระหว่างประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจในรัสเซีย ต้องติดร่างแห่ไปด้วย ดังนั้น ไปดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีสถานะสำคัญในตลาดรัสเซีย

1. CoCa-Cola

CoCa-Cola จดทะเบียนในลอนดอนเพื่อจำหน่ายสินค้าใน รัสเซีย ยูเครน และส่วนใหญ่ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ซึ่ง รัสเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ของบริษัทและมีพนักงานราว 7,000 คนในรัสเซีย

2. BASF

ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติเยอรมัน BASF (BASFY) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีบริษัท Wintershall Dea เป็นเจ้าของร่วมกับกลุ่มนักลงทุน LetterOne ของ Mikhail Fridman เศรษฐีชาวรัสเซีย และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทางการเงินของท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ที่ถูกระงับ

3. BP

บริษัทน้ำมันของอังกฤษ BP เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยถือหุ้น 19.75% ใน Rosneft บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศ นอกจากนี้ยังถือหุ้นในโครงการน้ำมันและก๊าซอื่น ๆ อีกหลายโครงการในรัสเซีย

4. Danone

Danone ผู้ผลิตโยเกิร์ตสัญชาติฝรั่งเศส และเป็นผู้ควบคุมแบรนด์ผลิตภัณฑ์นม Prostokvanhino ของรัสเซีย ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 6% จากประเทศรัสเซีย

5. Engie

บริษัทสาธารณูปโภคด้านก๊าซของฝรั่งเศส ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมลงทุนของท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ของ Gazprom

6. Metro

บริษัทค้าปลีกสัญชาติเยอรมัน ซึ่งมีพนักงานประมาณ 10,000 คนในรัสเซีย ปัจจุบันให้บริการลูกค้าประมาณ 2.5 ล้านคน

7. Nestle

เนสท์เล่ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคของสวิส ปัจจุบันมี โรงงาน 6 แห่งในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงโรงงานที่ทำขนมและเครื่องดื่ม ตามเว็บไซต์ของบริษัท ในปี 2020 ที่ผ่านมา เนสท์เล่มียอดขายจากรัสเซียประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์

8. Renault

เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสถือหุ้น 69% ในบริษัทร่วมทุน Avtovaz ของรัสเซีย ซึ่งอยู่เบื้องหลังแบรนด์รถยนต์ Lada และจำหน่ายรถยนต์ได้มากกว่า 90% ในประเทศ

9. Rolls-Royce

โรลส์-รอยซ์ ถือเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้กับเครื่องบิน แม้จะระบุว่าตลาดรัสเซียมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 2% จากรายได้รวมทั้งหมด แต่ 20% ของการนำเข้าไททาเนียมซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนเครื่องยนต์และล้อลงจอดสำหรับเครื่องบินโดยสารระยะไกลมาจากประเทศรัสเซีย

10. Shell

บริษัทน้ำมันของเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของ 27.5% ของโครงการก๊าซธรรมชาติ Sakhali-2 ซึ่งมีกำลังการผลิต 10.9 ล้านตันต่อปีและดำเนินการโดย Gazprom นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมทุนของ Nord Stream 2

11. Safran

บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ไอพ่นของฝรั่งเศส ซึ่ง มีรัสเซียเป็นซัพพลายเออร์ไทเทเนียมรายเดียวที่ใหญ่ที่สุด ของบริษัท แม้ว่าบริษัทในฝรั่งเศสจะระบุว่า รัสเซียนั้นจัดหาซัพพลายให้น้อยกว่าครึ่งของความต้องการทั้งหมด

12. TotalEnergies

บริษัทน้ำมันของฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยถือหุ้น 19.4% ใน Novatek ของรัสเซีย ดอกเบี้ย 20% ในการร่วมทุน Yamal LNG, 21.6% ของ Arctic LNG 2 ถือหุ้น 20% ในแหล่งน้ำมัน Kharyaga และการถือครองต่าง ๆ ในภาคธุรกิจหมุนเวียน การกลั่น และเคมีภัณฑ์ของประเทศ

13. Uniper

โครงการสาธารณูปโภคของเยอรมันได้รับเงินลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์จาก Nord Stream 2 พร้อมด้วยโรงไฟฟ้า 5 แห่งในรัสเซียซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 11.2 กิกะวัตต์ ซึ่งให้พลังงานประมาณ 5% ของความต้องการพลังงานทั้งหมดของรัสเซีย นอกจากนี้ยัง นำเข้าก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไปยังยุโรป

St. Petersburg, Russia – Shell Oil Truck

14. McDonald’s

แมคโดนัลด์ เครือร้านเบอร์เกอร์ได้จัดให้ประเทศรัสเซียเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงและยังคงเปิดสาขาที่นั่นตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา

15. Mondelez

มอนเดลีซ ผู้ผลิตขนม โอริโอ้ และเจ้าของ Cadbury กลายเป็นผู้ผลิตช็อกโกแลตชั้นนำในรัสเซียตั้งแต่ปี 2018

16. ExxonMobil

เอ็กซอนโมบิล ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันของอเมริกามีพนักงานมากกว่า 1,000 คนในรัสเซีย และอยู่ในประเทศนี้มากว่า 25 ปี บริษัทในเครือ Exxon Neftegas Limited (ENL) ถือหุ้น 30% ใน Sakhalin-1 ซึ่งเป็นโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่นอกเกาะ Sakhalin ใน Russian Far East ซึ่งดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2538

17. Toyota

โตโยต้า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกมีโรงงานในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย โดยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ Camry และ Rav4 นอกจากนี้ยังมีสำนักงานขายในกรุงมอสโก มีพนักงานประมาณ 2,600 คน รวมทั้งชาวญี่ปุ่น 26 คนในสำนักงานเหล่านั้น

18. Mitsubishi

มิตซูบิชิ บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ผ่านตัวแทนจำหน่าย 141 แห่งในรัสเซีย และถือหุ้นในโครงการพัฒนาก๊าซและน้ำมัน Sakhalin 2 ซึ่งจัดหาก๊าซธรรมชาติให้ญี่ปุ่นและซื้อขายถ่านหิน อะลูมิเนียม นิกเกิล ถ่านหิน เมทานอล พลาสติก และวัสดุอื่น ๆ นอกจากนี้ยังจัดหาอุปกรณ์โรงไฟฟ้าและเครื่องจักรอื่น ๆ ให้กับรัสเซียอีกด้วย

19. Japan Tobacco

JTI ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบระหว่างประเทศชั้นนำของญี่ปุ่นเจ้าของบุหรี่ Winston มีพนักงานประมาณ 4,000 คนในโรงงานที่รัสเซีย โดยในปี 2020 บริษัทได้ชำระภาษีคิดเป็น 1.4% ของงบประมาณของรัฐสหพันธรัฐรัสเซีย โดยปริมาณกำไรประมาณ 1 ใน 5 ของบริษัทมาจากเครือจักรภพแห่งรัฐอิสระรวมถึงรัสเซียและเบลารุส

20. Marubeni

เทรดดิ้งเฮาส์สัญชาติญี่ปุ่นมีสำนักงาน 4 แห่งในรัสเซีย ซึ่งขายยางล้อสำหรับอุปกรณ์ขุดและบริหารจัดการศูนย์ตรวจสุขภาพ

21. SBI Holdings

SBI Bank ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว โดยให้บริการสินเชื่อแก่บริษัทญี่ปุ่นที่กำลังขยายการดำเนินงานในรัสเซีย

Source

]]>
1375726
Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเงินเฟ้อ หากต้นทุนพุ่งสูง อาจปรับขึ้นราคา https://positioningmag.com/1373780 Sat, 12 Feb 2022 06:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373780 สองผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเตือนถึงแรงกดดันต่อผลกำไรในปีนี้ หลังตุ้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีการปรับขึ้นราคา 

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียมไปจนถึงค่าแรงและค่าขนส่ง ท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารบรรจุหีบห่อ (packaged food) ต้องรับมือกับการขึ้นราคา

ด้วยต้นทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นบวกกับปัญหาคอขวดของอุปทาน ที่มีสัญญาณผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อยนั้น นักวิเคราะห์เตือนว่า การขึ้นราคาอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับกับอัตรากำไรของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่

Hugh Johnston บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่าบริษัทอาจปรับขึ้นราคาได้อีกในปลายปีนี้ หากต้นทุนสูงขึ้นเกินคาด และไม่ได้ตัดขาดสินค้าบางรายการออกอย่างไรก็ตาม จะมีการควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อประคับประคองสถานการณ์

ด้านคู่เเข่งรายสำคัญอย่าง Coca-Cola ก็เริ่มส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วในไตรมาสที่ 4 ของ Coca-Cola ลดลงเหลือ 22.1% จาก 27.3% ในปีก่อนหน้า ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วของ PepsiCo ลดลง 183 basis points 

PepsiCo รายงานรายรับสุทธิในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 2.525 หมื่นล้านดอลลาร์ เเละคาดการณ์กำไรหลักของปีงบประมาณ 2022 ที่ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.73 ดอลลาร์ ตามข้อมูลของ IBES จาก Refinitiv

Coca-Cola คาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 5% เป็น 6% จาก 2.32 ดอลลาร์ในปี 2021 เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6%

ก่อนหน้านี้ เชนร้านกาเเฟรายใหญ่ของโลกอย่าง Starbucks ก็วางเเผนจะปรับขึ้นราคาในปีนี้ เพื่อชดเชยเงินเฟ้อ ต้นทุนที่สูงขึ้น เเถมเจอปัญหาซัพพลายเชนเเละการขาดแคลนแรงงาน

หลังจากที่เคยปรับขึ้นราคาเมนูมาเเล้วเมื่อเดือนต..ปีที่เเล้ว และเดือนม..ปีนี้ ทาง Starbucks ก็เตรียมปรับขึ้นราคาเมนูอีกครั้งในช่วงปี 2022 พร้อมลดใช้จ่ายบางส่วน อย่างด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อชดเชยต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ะบาดของโควิด-19

โดยปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เเละปัญหาขาดแคลนแรงงาน ได้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1373780
‘Coca-Cola’ ทุ่มเงิน 5.6 พันล้านเหรียญฮุบ ‘BodyArmor’ sports drink ชื่อดังอเมริกา https://positioningmag.com/1359447 Mon, 01 Nov 2021 06:35:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1359447 สำหรับประเทศไทย ชื่อของ ‘BodyArmor’ อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ในสหรัฐอเมริกาถือเป็นบริษัท sports drink ที่มีชื่อเสียง โดยมี Kobe Bryant อดีตนักบาสเกตบอลชื่อดังผู้ล่วงลับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 3 ขณะที่ Coca-Cola (โคคา-โคลา) ก็เตรียมทุ่มเงินอีก 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซื้อหุ้นอีก 70% ที่เหลือ

ย้อนไปปี 2018 Coca-Cola เจ้าพ่อน้ำอัดลมได้เข้าถือหุ้น 30% ใน BodyArmor และในปีนี้กำลังเตรียมที่จะซื้อหุ้น 70% ที่เหลือจากผู้ก่อตั้งและนักลงทุนของ BodyArmor รวมถึงกลุ่มนักกีฬามืออาชีพที่ลงทุนในบริษัทเพื่อเข้าควบคุมบริษัทในข้อตกลงมูลค่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้จะทำให้ BodyArmor มีมูลค่าประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

BodyArmor ได้รับการสนับสนุนในการก่อตั้งในปี 2011 โดย Kobe Bryant นักบาสเกตบอลชื่อดัง ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อต้นปี 2020 โดยเขาได้ลงทุน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบริษัท ซึ่งมีรายงานว่า Kobe Bryant จะสามารถทำเงินได้ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อตกลงนี้

Coca-Cola ลุยตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ ซื้อหุ้น BodyArmor ดาวรุ่งชน Gatorade

สำหรับ BodyArmor เป็นคู่แข่งของ Gatorade ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม sports drink ซึ่งมี Pepsi เป็นเจ้าของ ดังนั้น นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Coca-Cola ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจหลักกับ Pepsi ลงทุนใน BodyArmor โดยจุดเด่นของ BodyArmor อยู่ที่แคลอรีต่ำ โดยใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติ และมีการเติมอิเล็กโทรไลต์ (electrolytes) หรือแร่ธาติและวิตามิน เช่น โพแทสเซียม และแคลเซียม จนโดนใจคนยุคใหม่

ทั้งนี้ BodyArmor คาดว่ายอดขายจะสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ เทียบกับ 250 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 เมื่อ Coca-Cola ลงทุนในบริษัทเป็นครั้งแรก

Source

]]>
1359447
Coca-Cola พลิกจากตัวปัญหาขยะพลาสติก สู่โซลูชั่น “ขวดจากพืช” https://positioningmag.com/1358683 Wed, 27 Oct 2021 07:42:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358683 แทนที่จะโฆษณาสีแดง แบรนด์น้ำอัดลมน้ำดำสุดซ่าอย่าง Coca-Cola เลือกใช้สีเขียวเป็นหลักในโฆษณาล่าสุด พร้อมประกาศความสำเร็จว่า Coca-Cola สามารถพัฒนาขวดพลาสติกจากพืชแบบ 100% สำเร็จแล้ว โดยมีแผนแบ่งปันเทคโนให้คู่แข่งรายอื่นด้วย

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะที่ผ่านมา Coca-Cola ถูกยกเป็นหนึ่งในต้นต่อขยะพลาสติกรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งจากการสำรวจของรายงาน Break Free from Plastic ประจำปี 2021 พบว่า Coca-Cola จำหน่ายขวดพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นขยะมากกว่า 1 แสนล้านขวดต่อปี

จากภาพตัวก่อปัญหา Coca-Cola ต้องการพลิกบทบาทมาเป็นผู้นำในการค้นพบทางแก้ไข หรือเป็นผู้พัฒนาโซลูชั่นเพื่อให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมน้ำหวานได้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน แต่คำถามคือ Coca-Cola จะทำได้ไหม? และจะทำได้ด้วยวิธีใด? 

จัดการปัญหาพลาสติกของตัวเอง

ที่ผ่านมา Coca-Cola หรือโค้กมีวิธีจัดการกับขวดด้วยระบบการคืนขวดแก้ว ซึ่งเมื่อลูกค้าดื่มน้ำหวานที่จำหน่ายไปพร้อมขวดแก้วหมดแล้ว ก็จะส่งคืนร้านค้าโดยที่ร้านจะได้รับเงินตอบแทนสำหรับขวดที่ส่งกลับมา ซึ่งที่สุดแล้ว ขวดเหล่านี้จะถูกส่งไปรียูสหรือใช้ซ้ำอีกครั้ง

ขวดแก้วลักษณะนี้ยังมีจำหน่ายในบางพื้นที่จนกระทั่งต้นปี 2021 สำนักข่าว BBC ยกตัวอย่างพื้นที่เกาะซามัว ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ อยู่กึ่งกลางระหว่างมลรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์ ซามัวเป็นเกาะที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหามลพิษขยะพลาสติกอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Coca-Cola ตัดสินใจเปลี่ยนขวดแก้วมาเป็นขวดพลาสติก แล้ววางจำหน่ายบนเกาะ ช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผู้ที่อาศัยในเกาะกลับพบกับขยะที่เป็นขวดสินค้า Coca-Cola มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขวดเหล่านี้ไม่ใช่แค่แบรนด์ Coca-Cola แต่ยังมีแบรนด์ในเครือเช่น Fanta และ Sprite รวมอยู่ด้วย กลายเป็นกระแสขึ้นมาทันทีว่าขวดพลาสติกเหล่านี้กำลังเป็นปัญหา ในพื้นที่ซึ่งไม่มีโรงงานรีไซเคิลอย่างเกาะซามัว 

ขณะนี้ มีการประเมินว่าขวด Coke เป็น 1 ใน 3 ขวดพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นขยะมากที่สุดบนเกาะซามัว ตัวเกาะมีประชากรอาศัยอยู่เพียง 2 แสนคน ทำให้ปริมาณขยะในเกาะไม่ได้มีมากพอที่จะต้องก่อตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกบนเกาะ ปัญหาคือโรงงานรีไซเคิลพลาสติกลักษณะนี้จะมีผลดีเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น แต่สำหรับพื้นที่เล็กๆอย่างซามัว ผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่าพยายามที่จะส่งออกขยะออกจากเกาะแทน แต่ค่าขนส่งนั้นแพงมาก ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าแม้จะมีการส่งออกขยะแบบเต็มคอนเทนเนอร์ก็ตาม รวมทั้งยังมีต้นทุนในการจัดหาแรงงานเพื่อทำความสะอาดขยะขวดพลาสติกเหล่านี้

กรณีนี้ Coca-Cola เคยพยายามรับผิดชอบด้วยการกำหนดค่าชดเชยให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อขยะขวดพลาสติก 1 กิโลกรัมที่รวบรวมได้ โดยให้เหตุผลสาเหตุที่ตัดสินใจยกเลิกขวดแก้ว ว่าเป็นเพราะปัญหาความยุ่งยากและการจัดการที่ซับซ้อนในห่วงโซ่การผลิตหรือ supply chain โดย Coca-Cola ยืนยันชัดเจนว่า บริษัทกำลังพยายามทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าของ Coca-Cola จะไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว BBC ย้ำว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำอัดลมถือเป็นแหล่งใหญ่ของการผลิตขวดพลาสติกมากกว่า 4.7 แสนล้านขวดต่อปี ทุกขวดถูกออกแบบเพื่อให้สามารถใช้งานครั้งเดียวแล้วทิ้ง และ 1 ใน 4 ของขวดใช้แล้วทิ้งถูกจำหน่ายไปโดย Coca-Cola 

เบื้องต้น นักสังเกตการณ์ชี้ว่าผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวหรือ single use plastic ถือเป็นช่องทางลดต้นทุนที่ดีที่สุดของบริษัทหลายแห่ง ไม่ใช่เพียง Coca-Cola แต่หลายบริษัทใช้พลาสติกที่มีราคาถูกอย่างเหลือเชื่อในการผลิตบรรจุภัณฑ์ เมื่อวางจำหน่ายในตลาดแล้ว บริษัทหลายแห่งถือว่าภารกิจตัวเองได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว จึงไม่ได้มีการดำเนินการใดๆต่อเพื่อรับผิดชอบ 

Coca-Cola ไม่นิ่งดูดาย

ในปี 2018 แบรนด์โคล่าอย่าง Coca-Cola ประกาศแผนโลกที่ไร้ขยะหรือ World Without Waste Plan เพื่อเก็บและรีไซเคิลขวดสำหรับขวดทุกขวดที่ Coca-Cola จำหน่ายภายในปี 203 เวลานั้นเจมส์ ควินซ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท The Coca Cola Company ให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทจะเข้ามามีส่วนร่วมในการรวบรวม และจัดการขวดเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อรีไซเคิลและนำกลับมาผลิตขวดซ้ำใหม่อีกครั้ง 

นโยบายนี้ย้ำว่า Coca-Cola หวังที่จะเปลี่ยนทัศนคติจากภาพที่ถูกมองว่าเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหา มาเป็น Coca-Cola ที่ก้าวนำในด้านการค้นพบทางแก้ไขหรือโซลูชั่นของทั้งอุตสาหกรรม

ก้าวล่าสุดที่ Coca-Cola ทำคือการต่อยอดโครงการผลักดันความยั่งยืน จากช่วงต้นปีนี้ที่ได้เริ่มทดลองใช้ขวดต้นแบบที่ทำจากกระดาษ มาเป็นการสานต่อโครงการขวดพลาสติก PET แบบใหม่ซึ่งผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100% โดยไม่ใช่แค่ในขวดของตัวเอง Coca-Cola ยังประกาศจุดยืนว่าจะเผยแพร่เทคโนโลยีแก่ผู้เล่นทุกรายในอุตสาหกรรม เป็นการเต็มใจเปิดกว้างให้แบรนด์เครื่องดื่มที่เป็นคู่แข่งกัน

 

Coca-Cola อธิบายว่าเป้าหมายของบริษัทคือการพัฒนาโซลูชั่นที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรม โดยย้ำว่าต้องการให้บริษัทอื่นเข้าร่วมและก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ด้วยการใช้ขวดใหม่ซึ่งใช้วัสดุจากพืชทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในกระบวนการ ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถนำไปใช้กับการผลิตฝาปิดและฉลาก แต่ Coca-Cola ก็ย้ำว่านี่คือก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีขวดพลาสติกจากพืชไปใช้ในเชิงพาณิชย์

เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือวัสดุจากพืชที่เรียกว่าพาราไซลีน (bPX) ซึ่งทำจากข้าวโพด เมื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นกรดเทเรฟทาลิก (bPTA) และเข้าสู่การแปลงชีวมวลเป็นโมโนเอทิลีนไกลคอล สารพื้นฐานสำหรับผลิตเรซินหรือสีที่ได้จากพืช (bMEG) วิธีการนี้ลดการปล่อยมลพิษในสายการผลิต คาดว่าจะมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในโรงงานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบที่เยอรมนี และมีการใช้วัตถุดิบเศษไม้เหลือใช้จากอุตสาหกรรมไม้เพื่อสร้าง bMEG ให้มากขึ้น

เบื้องต้น Coca-Cola ตั้งใจจะกำจัดการใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติออกจากการผลิตขวดพลาสติกทั้งหมดภายในปี 2030 โดยมีแผนพร้อมใช้วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุหมุนเวียนเท่านั้นในตลาดยุโรปและญี่ปุ่น

ทั้งหมดนี้ Coca-Cola โพสต์บนทวิตเตอร์ว่าขวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม #WorldWithoutWaste โดยบอกว่านี่คือขวดเครื่องดื่มรุ่นแรกของ Coca-Cola ที่ทำจากพลาสติกจากพืช 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นขวดที่ผลิตโดยเทคโนโลยีซึ่งพร้อมจะนำไปเดินหน้าผลิตจำนวนมากในเชิงพาณิชย์แล้ว.

ที่มา :

]]>
1358683
ส่องแบรนด์ที่ ‘โรนัลโด้’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ สตาร์ลูกหนังที่ทำรายได้อันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1337272 Wed, 16 Jun 2021 11:50:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337272 จากเหตุการณ์ล่าสุดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ได้ทำเอา ‘โค้ก’ (CoCa-Cola) สปอนเซอร์หลักของฟุตบอลยูโรต้องกุมขมับ เนื่องจากเจ้าตัวหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทน ซึ่งก็ได้ส่งผลให้หุ้นของ CoCa-Cola ตกไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,500 ล้านบาท) เลยทีเดียว ดังนั้นไปดูกันว่านอกจากอิมแพคที่โรนัลโด้สามารถสร้างในสนามแล้ว นอกสนามเจ้าตัวสามารถสร้างอิมแพคได้ขนาดไหนบ้าง

กว่าจะเป็น ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส เกิดเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 ปัจจุบันอายุ 36 ปี โรนัลโด้เริ่มต้นอาชีพจากเด็กโนเนมในลีกบ้านเกิดของอังดูรีญา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซียูนัลในปี 1997 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะอกหักจากการดึงตัว โรนัลดินโญ่ มาร่วมทัพปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนโชคชะตาพาให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้พบกับโรนัลโด้จนได้ย้ายมาเล่นกับทีม ก่อนจะถูกดึงตัวไปร่วมงานกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด และปัจจุบันยังคงค้าแข่งกับ ยูเวนตุส ในกัลโช่ เซเรีย อา

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้าน โรนัลโด้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ 5 สมัย และ รางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีก 4 สมัย และเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำ 100 ประตูขึ้นไปในการเล่นให้กับ 3 สโมสร ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนยกย่องให้เป็นไอดอลในดวงใจ และไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะมีผู้คนคอยเฝ้าติดตามอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลงานในสนามหรือสินค้าอะไรก็ตามที่เจ้าตัวหยิบจับ

Cristiano Ronaldo ในศึกยูโร 2020 ภายใต้ทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 36 ปี (Photo by Alex Pantling/Getty Images)

นักฟุตบอลรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของโลก

ความเป็นสตาร์คนดังก็ไม่ได้สร้างอิมแพคแค่ในเกมการแข่งขัน แต่นอกสนามก็สามารถสร้างอิมแพคได้เช่นกัน อย่างใน Instagram ของเจ้าตัวนั้นก็มีผู้ติดตามกว่า 299 ล้านคน ในการโพสต์เพียงครั้งเดียวของเขาสามารถทำเงินได้ถึง 780,000 ปอนด์ หรือกว่า 34 ล้านบาท!

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีเหล่าสินค้ามากมายหลายชนิดรุมจีบเพื่อดึงตัวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ และนั่นทำให้เขาได้รับรายได้จำนวนมหาศาล จนกลายเป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีรายได้ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,756 ล้านบาท เป็นรองแค่ ลิโอเนล เมสซี ที่มีรายได้ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,069 ล้านบาท จากการจัดอันดับของฟอร์บส์นิตยสารด้านการเงินชื่อดัง

หากอ้างอิงจากตัวเลขในปี 2018 พบว่าเฉพาะรายได้จากค่าพรีเซ็นเตอร์ โรนัลโด้สามารถทำได้ถึงปีละ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,320 ล้านบาท ขณะที่ค่าเหนื่อยอยู่ที่ 31 ล้านยูโรต่อปี หรือประมาณ 1,140 ล้านบาท ยังไม่รวมธุรกิจส่วนตัวอื่น ๆ อีก ได้แก่

Pestana CR7 ธุรกิจโรงแรม, CR7 Crunch Fitness ธุรกิจฟิตเนสพิพิธภัณฑ์ CR7 Museum, แบรนด์แฟชั่น CR7, แบรนด์ชุดชั้นในและถุงเท้า CR7, แบรนด์รองเท้า CR7 footwear, แบรนด์แฟชั่น Cristiano Ronaldo & Sacoor Brothers, กางเกงยีนส์ CR7 Denim, แบรนด์น้ำหอม Cristiano Ronaldo Legacy และแม้แต่ CR7Selfie แอปถ่ายเซลฟี่

อยู่ในทุกสินค้าตั้งเเต่อุปกรณ์กีฬายันอีคอมเมิร์ซ

มาที่ฝั่งการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโรนัลโด้ ต้องบอกว่าสามารถอยู่ได้ในทุกสินค้า ชื่อเสียงของโรนัลโด้สามารถใช้กับอะไรก็ได้ โดยแบรนด์แรกที่ต้องพูดก็คือ ‘Nike’ (ไนกี้) บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกที่เซ็นสัญญากับโรนัลโด้ ตลอดชีวิต! ซึ่งมีเพียงนักกีฬา 3 คนในโลกที่ได้รับเกียรตินี้ และเขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกด้วย

การมีสินค้าเกี่ยวกับกีฬามาจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาโรนัลโด้ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกมากโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกีฬาเลย ไม่ว่าจะเป็น 

  • คาสตรอล (Castrol) บริษัทน้ำมันเครื่องยักษ์ใหญ่
  • อียิปต์เชียน สตีล (Egyptian Steel) เพื่อโปรโมตอุตสาหกรรมเหล็ก
  • Clear (แชมพูเคลียร์) โดยในปี 2014 โรนัลโด้เป็นได้ร่วมงานกับบริษัทแชมพูเคลียร์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยทำหน้าที่โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องการขจัดรังแค
  • ทรนนิ่ง เกียร์ ซิกซ์แพ็ด (Training Gear Sixpad) อุปกรณ์แผ่นเครื่องนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง
  • และด้วยหุ่นที่เฟิร์มอยู่ตลอด Emporio Armani ก็เคยคว้าโรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์แทน เดวิด เบ็คแฮม ในปี 2010
  • เพราะนักฟุตบอลต้องเดินทางไปแข่งขันในต่างที่ต่างถิ่นเสมอ ดังนั้น อเมริกัน ทัวริสเตอร์ (American Tourister) แบรนด์กระเป๋าเดินทางชื่อดังเลยคว้าโรนัลโด้มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์พร้อมค่าเหนื่อยประมาณประมาณ 312,000 ปอนด์ (ราว 14 ล้านบาท)
  •  อีเอ สปอร์ตส์ (EA Sports) สตูดิโอผลิตเกมชื่อดังเจ้าของเกม ‘ฟีฟ่า’ (Fifa) หลังจากที่เคยได้ ลิโอเนล เมสซี่ ขึ้นปกเกมเป็นเวลา 4 ปี มาในปี 2018 โรนัลโด้ก็ได้รับเสียงโหวตจากแฟน ๆ ให้ได้ขึ้นปก ฟีฟ่า 18 และ 19
  • แพนเซอร์ กลาสส์ (PanzeerGlass) บริษัทผลิตฟิล์มกระจกกันรอยแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก เคยได้โรนัลโด้เป็นพาร์ตเนอร์พร้อมออกกระจกกันรอยและเคสรุ่น CR7 สัญลักษณ์ประจำตัวของโรนัลโด้
  • TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสก็เป็นอีกแบรนด์ที่ได้โรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมออกรุ่นพิเศษ ‘CR7’ ด้วย

และที่คนไทยน่าจะคุ้นกันสุด ๆ ก็คือ Shopee (ช้อปปี้) อีคอมเมิร์ซเจ้าดัง ซึ่งหลายคนออกแนวช็อกไปตามกันเมื่อเห็นโรนัลโด้เต้นเพลงช้อปปี้ ๆ ๆ ๆ แม้จะดูขัดกับภาพลักษณ์ไปหน่อย แต่พลังของโรนัลโด้ก็ช่วยให้ยอดขายช้อปปี้โตขึ้น 3 เท่าในแคมเปญ 9.9 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์ล่าสุดที่โรนัลโด้เลือกจะหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทนเพื่อแสดงถึงความใส่ใจสุขภาพ แต่หากย้อนการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในด้านอาหารและเครื่องดื่มก็นับว่ามีความน่าสนใจ อย่างปี 2013 โรนัลโด้มี เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เป็นผู้สนับสนุนด้านโภชนาการ ส่วนในปี 2014 โรนัลโด้ก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไก่ทอด KFC ซึ่งดูขัดกับภาพลักษณ์นักกีฬาสายเฮลตี้อยู่เหมือนกัน

ยังไม่แขวนสตั๊ด ยังมีโอกาสรับทรัพย์อีกเพียบ

โดยปกติแล้วนักฟุตบอลอาชีพจะมีช่วงเวลาในการ แขวนสตั๊ด หรือ ยุติเส้นทางค้าแข้ง ในช่วงอายุประมาณ 34-36 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกแขวนสตั๊ดในช่วงอายุดังกล่าว บางคนก็เลิกเล่นก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงวัยที่เลยเลข 3 ไม่ใช่ช่วงอายุที่พีคสุดสำหรับการเล่นฟุตบอลแล้ว

แต่สำหรับโรนัลโด้ในวัย 36 ปี กลับยังฟิตพอ ๆ กับคนอายุ 20 ปี การจะรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของ CR7 ที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลยืนยาว และรักษามาตรฐานการเล่นไม่ให้ตกลงไปคือ การดูแลสภาพร่างกายนอกสนามแข่งคือ การกิน, การนอน, การผ่อนคลาย และการว่ายน้ำ ที่ทำให้สุขภาพกายแข็งแรง และสุขภาพใจแข็งแกร่ง

หากโรนัลโด้ยังคงค้าแข้งต่อ แฟน ๆ ก็คงจะได้เห็นอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมจะทุ่มเงินดึงโรนัลโด้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แน่นอน แต่อาจจะเดาทางยากสักหน่อยว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน เพราะหากย้อนดูที่ผ่านมาถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ อยู่เหมือนกัน หรือหากแขวนสตั๊ดไปแล้ว อย่าลืมว่าโรนัลโด้มีธุรกิจส่วนตัวอีกเพียบ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าชีวิตหลังแขวนสตั๊ดโรนัลโด้จะผุดแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาอีกก็เป็นได้

]]>
1337272
‘โค้ก’ มั่นใจปี 2021 พลิกฟื้นจากโควิด โดยมี ‘เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก https://positioningmag.com/1320517 Tue, 23 Feb 2021 06:30:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320517 ‘Coca-Cola’ หรือ ‘โค้ก’ ได้เปิดเผยถึงรายได้ในไตรมาส 4 ที่ยังคงได้ผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ความพยายามในการลดต้นทุนก็ช่วยลดความรุนแรงได้ระดับหนึ่ง และที่น่าสนใจคือ การเติบโตของ ‘โค้กซีโร่’ ที่ CEO ระบุว่าจะเป็น ‘ตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่ดีที่สุดในปี 2021’ หลังไตรมาส 4 เติบโต 3%

ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2020 ของโค้กยอดขายสุทธิลดลง 5% สู่ระดับ 8.6 พันล้านดอลลาร์ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.63 พันล้านดอลลาร์ โดยเครื่องดื่มแบบมีฟองมียอดขายลดลง 1% กลุ่มน้ำอัดลมชื่อดังเติบโตของปริมาณ 1% ส่วน ‘Coke Zero’ เติบโตขึ้น 3% ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้, นมและเครื่องดื่มจากพืชของบริษัทมียอดขายลดลง 2% แม้ว่า Coke’s Simply Juice และ Fairlife Milk ทำได้ดี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของ ‘Minute Maid’ ส่วนยอดขายน้ำเปล่าและเครื่องดื่มกีฬาลดลง 9% สุดท้าย ธุรกิจชาและกาแฟรายงานปริมาณการหดตัวมากที่สุดถึง 15%

โค้กคาดว่ารายได้ในปี 2021 จะเติบโตแบบออแกนิกโดยจะเติบโตประมาณ 9-10% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลประกอบการทั้งปี 2021 จะเติบโตราว 10.5%

“เรามั่นใจว่าเราจะเห็นการฟื้นตัวในปีนี้และคาดว่าจะส่งมอบผลประกอบการในปี 2021 ที่สูงกว่าปี 2019 เราได้เตรียมตัวมากขึ้นกว่าปกติเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่” CFO John Murphy กล่าว

ด้าน James Quincey CEO ของโค้ก กล่าวว่า ‘เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล’ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักของบริษัทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งหากดูจากในปี 2020 จะเห็นว่า ‘Coke Zero’ ที่เป็นโค้กสูตรไม่มีน้ำตาลนั้นเติบโตสูงสุด ต่างจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อื่น ๆ ที่มักจะทำได้ดีแค่ช่วงแรกที่เปิดตัว แต่จะแผ่วปลายลงจาก COVID-19

ทั้งนี้ Coke Zero เปิดตัวเมื่อปี 2017 โดยการเปิดตัวเครื่องดื่มรุ่นใหม่ได้ดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพด้วยเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล

CNBC / CNBC

]]>
1320517
‘โค้ก’ เปิดตัว ‘ขวดรีไซเคิล 100%’ ลบภาพผู้ก่อมลพิษจากพลาสติกอันดับ 1 ของโลก https://positioningmag.com/1318765 Wed, 10 Feb 2021 08:19:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318765 ‘Coca-Cola’ หรือ ‘โค้ก’ ที่คนไทยคุ้นเคยกำลังเปิดตัวขวดขนาดใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และเป็นขวดแรกที่พลาสติกผลิจจากพลาสติกรีไซเคิล 100%

Coca-Cola มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดขยะพลาสติกทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อปีที่แล้ว Coca-Cola ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ‘ผู้ก่อมลพิษจากพลาสติกอันดับ 1 ของโลก’ ที่จัดโดยบริษัท Break Free From Plastic บริษัทด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งวัดผลจากโลโก้และตราสินค้าบนพลาสติก 13,834 ชิ้นใน 51 ประเทศที่มักจะทิ้งในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ และชายหาด

ล่าสุด บริษัทก็ได้เปิดตัว ขวดที่ทำมาจากวัสดุพลาสติกรีไซเคิล 100% ในขนาด 13.2 ออนซ์ ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของ Coca-Cola ที่เกิดภายใต้โครงการ “โลกไร้ขยะ” ที่เริ่มต้นในปี 2018 โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ภายในปี 2030 จะยกเลิกบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และจะนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานมาใช้ผลิตขวดรีไซเคิลแทน

“การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ถือเป็นงานแห่งความรักและนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ โดยบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ จะสามารถนำไปทำความสะอาดก่อนจะนำไปบดให้ละเอียดจนกลายเป็นเกล็ดคล้ายเมล็ดพืช ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นขวดใหม่มาใช้อีกครั้ง” Alpa Sutaria ผู้จัดการทั่วไปด้านความยั่งยืนของ Coca-Cola กล่าว

ด้วยขนาดขนาด 13.2 ออนซ์นั้นใหญ่กว่าโค้กกระป๋องอะลูมิเนียมเล็กน้อย แต่ก็เล็กกว่าขวด 20 ออนซ์ทั่วไป ด้วยขนาดที่ไม่เหมือนใครนี้ Coca-Cola ได้ระบุว่าจะช่วยให้ “ดึงดูดให้ดื่มง่ายมากขึ้น” ขณะที่ราคาจะอยู่ที่ 1.59 ดอลลาร์ และไม่ใช่แค่จะช่วยลดขยะพลาสติกเท่านั้น แต่ Alpa Sutaria ระบุว่า ขวดใหม่ที่รีไซเคิลได้ 100% นี้จะช่วยดึงดูดนักดื่มอายุน้อยกว่า 25 ปีที่กำลังมองหาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน

“เรารับฟังผู้บริโภคและพวกเขาบอกเราว่าพวกเขาต้องการอะไรที่เล็กลงและบริโภคได้ง่ายขึ้น เราเลยถือโอกาสนี้ทำขวดพลาสติกที่รีไซเคิลได้ 100% โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อโลกของเราให้น้อยที่สุด โดยบริษัทได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของเราด้วยการลงมือปฏิบัติจริง”

ทั้งนี้ โค้กขวดใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนนี้ในบางรัฐทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา รวมถึงนิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, คอนเนตทิคัต และฟลอริดา ก่อนจะเปิดตัวทั่วประเทศในช่วงฤดูร้อนนี้ 

อย่างไรก็ตาม Coca-Cola ไม่ใช่บริษัทข้ามชาติเพียงแห่งเดียวที่มีเป้าหมายเพื่อลดมลภาวะจากพลาสติก ‘เนสท์เล่’ บริษัทอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลกประกาศเมื่อปีที่แล้วว่าใช้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์ในโครงการที่คล้ายกัน เช่นเดียวกับ ‘Pepsi’ เพิ่งเปิดตัวขวดขนาด 2 ลิตรที่ออกแบบใหม่ซึ่งใช้วัสดุน้อยลง 24%

Source

]]>
1318765