SCBX – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Jun 2024 14:32:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ย้อนรอยเส้นทาง Robinhood แอปฯ เพื่อคนตัวเล็ก พร้อมวิเคราะห์เหตุผลก่อนที่ SCBX ประกาศปิดตัวในท้ายที่สุด https://positioningmag.com/1479825 Thu, 27 Jun 2024 11:19:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479825 พาไปย้อนรอยเส้นทางของแอปพลิเคชันส่งอาหารรวมถึงบริการอื่นๆ อย่าง Robinhood โดยชูจุดเด่นว่าเป็นแอปฯ เพื่อคนตัวเล็ก ก่อนในท้ายที่สุดบริษัทแม่เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง SCBX จะประกาศปิดตัวแอปฯ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

ถือเป็นข่าวที่สร้างความตกใจไม่น้อย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา SCBX ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ทางคณะกรรมการบริษัทได้แจ้งถึงการยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood ของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งจะมีผลภายในวันที่ 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้

ซึ่งการปิดตัวแอปพลิเคชัน Robinhood ทำให้ผู้บริโภคหลายคนใจหายไม่น้อย เนื่องจากเป็นอีกแพลตฟอร์มที่สามารถสั่งอาหารหรือบริการอื่นๆ ได้

Positioning พาไปย้อนรอยแอปฯ ดังกล่าว และวิเคราะห์ถึงสาเหตุว่าทำไมถึงต้องปิดตัวลง

เปิดตัวแอปฯ เพื่อช่วยคนตัวเล็ก

ในช่วงปี 2020 บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันโรบินฮู้ด (Robinhood) โดยในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นทางกลุ่ม SCB มองว่าเป็นโครงการ CSR เพื่อคืนกำไรให้สังคม ให้ทั้งส่วนของ คนซื้อ คนขาย และคนส่งสินค้าได้ประโยชน์อย่างเต็มที่และเป็นธรรม

Robinhood เกิดขึ้นจากไอเดียของ อาทิตย์ นันทวิทยา ซีอีโอของ SCB ตอนที่ต้องกักตัวในช่วงการระบาดโควิด และต้องทำงานจากที่บ้าน ทำให้ต้องสั่งอาหารออนไลน์บ่อยครั้ง และมองเห็นโอกาสว่าธนาคารมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำได้ จึงต่อยอดด้วยการระดมทีมกว่า 80 คนพัฒนาแอปฯ นี้ขึ้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนเปิดตัว

จุดเด่นสำคัญคือ Robinhood จึงไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ เช่น ไม่มีค่าสมัคร ไม่คิดค่า GP (Gross Profit) ร้านอาหารจะได้เงินเต็มทุกบาททุกสตางค์ รวมถึงยังช่วยให้ร้านค้ามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย

และในช่วงเวลาดังกล่าวทางแอปฯ มองว่ามีช่องทางในการเจาะตลาดลูกค้า โดยมองว่าถ้าหากมีการสั่งอาหารที่ยอด 300 บาทขึ้นไป แอปฯ ดังกล่าวถือว่าตอบโจทย์มากกว่า

ขยายบริการ

นอกจากบริการส่งอาหารแล้ว ในปี 2022 ทาง Robinhood ได้เปิดบริการเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นบริการ จองโรงแรม บริการการท่องเที่ยว บริการจัดส่งเอกสารและพัสดุ หรือแม้แต่บริการเรียกรถ ซึ่งบริษัทได้ขยายธุรกิจเพื่อที่จะหารายได้เพิ่มเติมให้กับแพลตฟอร์ม

ไม่เพียงเท่านี้ในช่วงเวลาดังกล่าว เพอร์เพิล เวนเจอร์ส มีแผนที่จะมีการระดมทุน Series A จากนักลงทุนภายนอกด้วย รวมถึงวางเป้าในการเป็น Super App ในอาเซียน

ขณะเดียวกันทาง Robinhood เองมองว่าในเมื่อทางแอปฯ เองไม่ได้ต้องการที่จะเก็บค่า GP จากทั้งร้านค้า หรือแม้แต่คนขับ ทำให้เกิดไอเดียในการหากำไรเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำให้แอปฯ อยู่รอดได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาภายในแอปฯ หรือแม้แต่การปล่อยสินเชื่อ หรือการทำลีซซิ่ง มอเตอร์ไซค์และรถยนต์ไฟฟ้า

ถ้าหากแผนการดังกล่าวเป็นไปตามคาดจะทำให้ผลประกอบการของ Robinhood นั้นกลับมามีกำไรได้ภายในปี 2025 

Robinhood Ride

การแข่งขันสูง ภายใต้อุตสาหกรรมที่เติบโตช้าลง

อย่างไรก็ดีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การแข่งขันระหว่างบริการส่งอาหารภายในประเทศไทยนั้นมีความดุเดือดไม่น้อย แม้ว่าในช่วงของการแพร่ระบาดโควิดธุรกิจส่งอาหารจะได้รับความนิยมก็ตาม เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยนไป

ข้อมูลจาก Momentum Works ที่ได้ออกบทวิเคราะห์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาชี้ว่าในปี 2023 ผู้เล่นในตลาดบริการส่งอาหารมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Grab ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 47% และ LINE MAN ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 36%

ขณะเดียวกันผู้เล่นรายรองลงมาอย่าง foodpanda ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 8% และ Shopee Food ครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 6% ที่เหลืออีก 3% เป็นของ Robinhood เท่านั้น

ถ้าหากเทียบส่วนแบ่งการตลาดในปี 2022 นั้น Robinhood มีส่วนแบ่งตลาด 6% แต่ปี 2023 กลับมีส่วนแบ่งตลาดเหลือแค่ 3% ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจส่งอาหารในไทยยังมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาคือ Shopee Food ทำให้การแข่งขันนั้นเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อเทียบตัวเลขของ Momentum Works จะเห็นว่าขนาดตลาด เมื่อใช้ตัวเลขยอดขายสินค้าออนไลน์รวมในแพลตฟอร์ม (GMV) ของไทยนั้นปี 2022 มีขนาด 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2023 เติบโตเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

จะเห็นได้ว่าตลาดในประเทศไทยนั้นการเติบโตเริ่มช้าลง แต่ผู้เล่นรายใหญ่นั้นยังมีการแข่งขันที่ดุเดือด ไม่เพียงเท่านี้สภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า โดยบทวิเคราะห์ของ Bernstein ชี้ว่าอุตสาหกรรมส่งอาหารในอาเซียน อย่างเช่นในประเทศไทย (รวมถึงสิงคโปร์) นั้นเติบโตช้าลง

ปัจจัยข้างต้นยิ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมแพลตฟอร์มส่งอาหาร ส่งผลทำให้ผู้เล่นระดับรองๆ นั้นอาจไปต่อไม่ได้ภายใต้สภาวะเช่นนี้

ผู้เล่นในตลาดส่งอาหารในไทยมีหลายราย ภายใต้การเติบโต GMV ที่เริ่มโตช้าลง – ภาพจาก Shutterstock

ประกาศปิดตัว

ถ้าหากไปย้อนดูผลประกอบการของบริษัทแม่เจ้าของแอปฯ Robinhood นี้ โดยปี 2022 บริษัทมีผลขาดทุนราวๆ 1,900 ล้านบาท และปี 2023 มีผลขาดทุนราวๆ 2,100 ล้านบาท  ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้  เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ต้องปิดตัวแอปฯ ดังกล่าวลง

ในบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ชี้ว่า ถ้าหาก SCBX ได้เลิกกิจการของแอปพลิเคชัน Robinhood จะช่วยทำให้บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 800 ล้านบาทในปี 2024 นี้ และมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก

ขณะที่บทวิเคราะห์จาก UBS ยังชี้ว่าการยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood คาดว่าจะมีการตั้งด้อยค่าเพียง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของปี 2024 นี้และมองว่าการปิดตัวของแอปฯ ยังช่วยยุติการเผาเงินของบริษัท ช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ SCBX ในปี 2025 ลงได้

UBS ยังมองว่าในปี 2023 นั้น เพอร์เพิล เวนเจอร์ส มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานถึง 2,900 ล้านบาท และเมื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ทำให้ SCBX สามารถนำเงินไปลงทุนในส่วนอื่น หรือแม้แต่ทำให้สามารถมีเงินจ่ายปันผลได้อย่างยั่งยืนขึ้น

และนี่ถือเป็นอีกหนึ่งการปิดฉากแอปฯ ส่งอาหารชื่อดังของไทย ภายใต้สภาวะอันท้าทายเช่นนี้

ที่มา – Tech In Asia, ข้อมูลจาก Momentum Works, บทวิเคราะห์จาก Bernstein, Tisco, UBS

]]>
1479825
SCBX เปิดตัวพันธมิตรอีกรายจากประเทศจีน ‘WeBank’ มองช่วยขยายขอบเขตในการทำธุรกิจ Virtual Bank https://positioningmag.com/1467383 Fri, 22 Mar 2024 14:48:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467383 SCBX ได้เปิดตัวพันธมิตรอีกรายในการทำธุรกิจ Virtual Bank นั่นก็คือ ‘WeBank’ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายดังกล่าวมีพันธมิตรที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่าง KakaoBank ซึ่งมาจากเกาหลีใต้

SCBX ได้ประกาศเปิดตัวพันธมิตรอีกรายในการทำธุรกิจ Virtual Bank นั่นก็คือ ‘WeBank’ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งทางสถาบันการเงินรายใหญ่มองว่าจะช่วยขยายขอบเขตในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการเจาะลูกค้าที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงิน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ SCBX ตามหลังมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศแนวทางการขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ในปี 2022 ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง SCBX ได้เปิดตัวพันธมิตรได้แก่ KakaoBank ซึ่งมาจากเกาหลีใต้

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์และมีความคล่องตัวจะเป็นรากฐานที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Virtual Bank ประสบความสำเร็จ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SCBX ยังชี้ว่า การร่วมมือกับ WeBank ในครั้งนี้ จะช่วยขยายขอบเขตและศักยภาพทางเทคโนโลยีของ Virtual Bank พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้บริการธนาคารที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า มุ่งหวังที่จะร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการบริการที่ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย

ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนปี 2023 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SCBX ได้กล่าวว่า Virtual Bank จะช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มโอกาสให้กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบนี้ ให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น และการจัดตั้ง Virtual Bank ให้แข็งแรงนั้น จะต้องอาศัยเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

สำหรับ WeBank นั้นถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจ Virtual Bank ในประเทศจีน มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ Tencent ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศจีน เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง WeChat และ QQ เป็นต้น

การประกาศเป็นพันธมิตรกับ WeBank และ KakaoBank แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการขอใบอนุญาต Virtual Bank ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งคู่แข่งทั้งสถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศไทยต่างจับจ้องในการขอใบอนุญาตดังกล่าว

]]>
1467383
SCBX ทุ่ม 31,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ Home Credit Vietnam ขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อยในเวียดนาม https://positioningmag.com/1464300 Wed, 28 Feb 2024 11:11:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464300 SCBX ทุ่ม 31,000 ล้าน เข้าซื้อกิจการ Home Credit Vietnam ขยายธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อยในเวียดนาม จากปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงยังเป็นการกระจายรายได้ของกลุ่มด้วย

SCBX ประกาศเข้าลงทุนใน Home Credit Vietnam ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) โดยคิดเป็นเงิน 31,000 ล้านบาท โดยเป็นก้าวสำคัญในการเจาะตลาดภูมิภาค จากปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม รวมถึงเป็นการกระจายรายได้ของกลุ่ม

สำหรับ Home Credit มีเจ้าของคือ PPF ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนรายใหญ่ของสาธารณรัฐเช็ก โดยสำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่าในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจสินเชื่อของบริษัทนั้นประสบปัญหาขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2022 ซึ่งเกิดจากบริษัทขาดทุนจากการถอนธุรกิจจากรัสเซีย

ผลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องการขายธุรกิจในต่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการขายกิจการในอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะมีการประกาศขายธุรกิจในเวียดนามในเวลาต่อมา ซึ่งสำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลหลายราย รวมถึงสถาบันการเงินในประเทศไทยด้วย

Home Credit Vietnam ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 ปัจจุบันเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการสินเชื่อสินค้าคงทน สินเชื่อหมุนเวียน สินเชื่อเงินสด และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ให้กับผู้บริโภคชาวเวียดนาม

โดย Home Credit Vietnam มีลูกค้ากลุ่ม Mass และ Upper Mass รวมกันมากถึง 15 ล้านราย มีเครือข่ายจุดให้บริการ 14,000 จุด และตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผู้ให้บริการสินเชื่อรายนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของสินทรัพย์เฉลี่ยต่อปีสูงถึง 18.7%

สำหรับผลประกอบการของ Home Credit Vietnam ในปี 2022 บริษัทมีกำไรประมาณ 1,320 พันล้านดอง หรือเทียบคิดเป็นเงินไทย 1,940 ล้านบาท

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “การเข้าซื้อธุรกิจ Home Credit Vietnam ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ SCBX ในแผนยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำของภูมิภาค ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SCBX ในตลาดอาเซียนที่มีการเติบโตสูง และเพื่อเพิ่มมูลค่าและผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว”

คาดว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรกของปี 2025 ขึ้นอยู่กับการได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง

]]>
1464300
สยามพารากอน เปิด ‘SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX’ เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต https://positioningmag.com/1446815 Thu, 05 Oct 2023 05:55:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446815 · สยามพารากอน เดินหน้าทรานสฟอร์มสู่การกำหนดนิยามใหม่อีกระดับที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตในทุกมิติ

· ผนึกกำลัง SCBX พร้อมพันธมิตรผู้ทรงพลังในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ดิจิทัลการลงทุน และโซเชียลมีเดีย เนรมิตโซน “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต

· จัดแกรนด์โอเพ่นนิ่งสุดยิ่งใหญ่ ด้วย The Global Tech Talk ปรากฏการณ์ครั้งแรกในไทยที่รวบรวมบุคคลสำคัญระดับโลกของวงการดิจิทัลจากนานาประเทศ มาร่วมแบ่งปันความรู้ในงานเดียวได้มากที่สุดอย่าง ไม่เคยปรากฎมาก่อน


สยามพารากอน แลนด์มาร์คระดับโลกใจกลางมหานครกรุงเทพฯ ผนึกกำลังกับ SCBX (เอสซีบี เอกซ์) พร้อมพันธมิตรผู้ทรงพลังในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลการลงทุน และโซเชียลมีเดีย ร่วม Co-create เปิด “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” (สยามพารากอน เน็กซ์ เทค เอกซ์ เอสซีบี เอกซ์) เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต ชั้น 4 สยามพารากอน ด้วยงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้ผู้สนใจโลกดิจิทัลทุกกลุ่มวัย ได้แลกเปลี่ยนความรู้พร้อมก้าวเข้า สู่โลกอนาคตในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นแนวทางของการพัฒนาสู่ความยั่งยืน นับเป็นก้าวสำคัญในการทรานสฟอร์มสยามพารากอนสู่การกำหนดนิยามใหม่อีกระดับที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตในทุกมิติ “The World of Tomorrow”

นางธณพร ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า “สยามพารากอนเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญระดับโลก ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้โครงการสำคัญๆ ในประเทศต่างๆ และเป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและคนทั่วโลกมาโดยตลอด โดยในแต่ละวันมีผู้คนมาเยือนจำนวน 120,000 – 150,000 คนหรือกว่า 50 ล้านคนต่อปี ในปีนี้สยามพารากอนทุ่มงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อ ทรานสฟอร์มแลนด์มาร์คระดับโลกใจกลางมหานครกรุงเทพฯ แห่งนี้ทั้งอาคาร โดยจะรังสรรค์แพลตฟอร์มต่างๆ ให้เป็นต้นแบบใหม่ครั้งแรกของโลก เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ที่เป็นสุดยอดในทุกๆ ด้านมาร่วมกัน Co-create สร้างผลงานและเติมเต็มยกระดับชีวิตของผู้คนให้ได้รับประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมาย”

“วันนี้สยามพารากอน ได้ประกาศเดินหน้าอีกก้าวของการทรานสฟอร์มครั้งสำคัญสู่การเป็น The World of Tomorrow นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตที่มีความมหัศจรรย์น่าตื่นตาตื่นใจ โดยร่วมกับพันธมิตร ชั้นนำใน Ecosystem ร่วม Co-create สร้าง “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อ

การเรียนรู้แห่งโลกอนาคต บนพื้นที่กว่า 4,000 ตร.ม. ชั้น 4 สยามพารากอน พื้นที่แห่งการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้ผู้สนใจโลกดิจิทัลทุกเจนเนอเรชั่น ได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาตนเอง สร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมก้าวเข้าสู่โลกอนาคตในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นางสาวสิริพร หฤทัยวิญญู ผู้บริหารสายงาน บริหารธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “วิสัยทัศน์สำคัญในการพลิกโฉมการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘การร่วมกันรังสรรค์’ หรือ Co-Creation & Collaboration เป็นการผนึกกำลังผสานศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของเหล่าพันธมิตรชั้นนำในระดับประเทศและระดับโลก ที่มีความองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างให้มาร่วมกันสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของวงการค้าปลีก”

“สยามพารากอน ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพันธมิตรชั้นนำ ใน Tech Ecosystem ทุกแขนงครั้งยิ่งใหญ่ นำโดย SCBX และองค์กรพันธมิตรชั้นนำผู้ร่วมก่อตั้งมากกว่า 10 องค์กร พันธมิตรใน Tech Ecosystem กว่า 100 องค์กร และยังมีผู้นำความคิดและผู้เชี่ยวชาญในสายเทค กว่า 1,000 คน ทั่วโลก

มาร่วมกันสร้าง “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้แห่งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับอีกมิติของการนำเสนอประสบการณ์เหนือความคาดหมายทั้งในศูนย์การค้าและในโลกดิจิตัล

“นอกจากนี้ สยามพารากอน ยังให้ความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) จึงผนึกกำลังกับ SYNNEX ผู้นำด้าน IT Ecosystem ในโครงการ “ทิ้งให้ถูกที่กับ Trusted By Synnex E-Waste” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลพิษจากขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดภาวะโลกร้อน ด้วยการติดตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไอที ซึ่งจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี โดยผ่านการคัดแยกสู่กระบวนการ Recycle และ Upcycle เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด และนำไปสู่กระบวนการีไซเคิลแบบ Zero Landfill มาตรฐานสากลอีกด้วย”

ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “SCBX มีเป้าหมายสำคัญในการนำพาองค์กร สู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำในระดับภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือกับสยามพารากอน ในการ Co-create พื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” ณ ชั้น 4 สยามพารากอนในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ตรงกันของสององค์กรภาคเอกชน ชั้นนำของไทยที่มีความมุ่งมั่นในการผลักดันให้ประเทศไทย กลายเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคต่อไป”

“SCBX ได้นำเสนอพื้นที่ AreaX ซึ่งพัฒนาขึ้นจากความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเทคคอมมูนิตี้บนพื้นที่ศักยภาพซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยยึดเอาความต้องการและความสนใจของกลุ่ม Tech Talent เป็นแกนสำคัญ จึงได้แบ่งการใช้งานพื้นที่ 100 ตารางเมตร ออกเป็น 2 โซน ได้แก่ Developer Lounge แห่งแรกของเมืองไทย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โต๊ะทำงาน Workstation ปรับระดับได้ ที่มาพร้อม Coding Monitor ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่า Developer รวมถึง Digital Nomad สามารถทำงานได้อย่างสะดวก สอดคล้องกับรูปแบบการทำงานแบบ Work from Anywhere ในโลกยุคปัจจุบัน ที่ไม่จำกัดว่าจะต้องอยู่แต่ออฟฟิศเสมอไป และ Experience Zone พื้นที่แห่งการเรียนรู้ พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผ่านรูปแบบซีรีส์เวิร์กชอป ให้ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากบริษัทในกลุ่ม SCBX และองค์กรพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก ที่จะหมุนเวียนกันมาให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์แก่ผู้ที่สนใจตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังได้นำนวัตกรรมทางการเงินต่างๆ ของบริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX และเทคโนโลยี อันทันสมัยจากพันธมิตรชั้นนำมาจัดแสดงหมุนเวียนภายในพื้นที่แห่งนี้ เพื่อให้คนทั่วไปได้ร่วมสัมผัสและเข้าถึงโลกเทคโนโลยีทางการเงินมากยิ่งขึ้น”


“SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้ฮับของ Tech ทุกแขนง ภายใต้แนวคิด Smarter, Better, Richer

นายสาลวิท สุวิพร ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานสร้างสรรค์และนวัตกรรม บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยถึงคอนเซ็ปต์ของการรังสรรค์พื้นที่ว่า “ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” ภายใต้แนวคิด “Smarter Better Richer” จะเป็นเทคคอมมูนิตี้ฮับของ Tech ทุกแขนง เปิดโอกาสให้ผู้สนใจด้านดิจิทัลเข้ามาร่วมเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตนเอง จากการเข้าร่วมกิจกรรมของพันธมิตรมากมายตามความสนใจ ที่ทุกคนสามารถแบ่งปันความคิดหรือร่วมกันค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมเปิดรับโกลบอลพาร์ทเนอร์จากทั่วโลกมาร่วมนำเสนอประสบการณ์ของแบรนด์ คอนเทนต์ และเวิร์กชอปที่น่าสนใจมากกว่า 400 กิจกรรมตลอดทั้งปี

SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX ประกอบด้วยพื้นที่นำเสนอ Future Communities 7 ด้าน ประกอบด้วย

· DEV CONNECT

คอมมูนิตี้ของเหล่านักพัฒนาเทคโนโลยี ที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่าง ไร้รอยต่อ โดยได้รับความร่วมมือจากเหล่าพันธมิตรชั้นนำ

· BLOCKCHAIN WEB3 & FINTECH

ก้าวไปสู่ยุคใหม่ของโลกดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ประกอบการ, นักลงทุน และผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีเพื่อโอกาสในโลกดิจิทัลที่ ไม่มีที่สิ้นสุด

· NEW TECH

นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเป็นเครื่องมือสู่อนาคตและสนับสนุนให้ธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโต

· HEALTHTECH HUB

นำเสนอแนวคิดและนวัตกรรมการดูแลสุขภาพผ่านเทคโนโลยีและวิธีการที่ยั่งยืน เพื่อพัฒนาสุขภาพของมนุษย์ควบคู่ไปกับการดูแลปกป้องโลก นำเสนอ Looloo Technology AI และ Tele Medicine ที่ให้คำปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ พร้อมสร้างคอมมูนิตี้สำหรับคนที่สนใจทางด้าน Health Tech แห่งแรก ของเมืองไทย

· GAMER’S GUILD

พื้นที่ของเหล่าเกมเมอร์ และคนที่ชื่นชอบเกมได้มาแลกเปลี่ยนความชอบ เทคนิค และแพชชั่น ในเกมแนวที่ชอบ

· AI ARENA

เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนในโลกออนไลน์ รวมถึงสร้างโอกาสให้ผู้คนได้แบ่งปัน ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีที่สร้างความบันเทิง

· SOCIAL CO-CREATORS

เปิดโอกาสให้ โซเชียลอินฟลูเอ็นเซอร์ และผู้สนใจเข้ามาร่วมแชร์ประสบการณ์และความรู้ร่วมกัน โดยพันธมิตรระดับโลก

นอกจากพื้นที่นำเสนอฟิวเจอร์คอมมูนิตี้ใหม่ทั้ง 7 ด้านดังกล่าวแล้ว ยังมีพื้นที่ SCBX NEXT STAGE สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปแบบสัมมนา เวิร์กชอป ซึ่งสามารถรองรับคนได้มากถึง 300 คน รวมถึงพื้นที่สำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ ที่สร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยล่าสุดเปิดตัว Digital Art ผลงานจาก Miguel Chevalier (มิเกล เชอวาลิเยร์) ศิลปินระดับโลกชาวฝรั่งเศส มาร่วมรังสรรค์ Interactive Experience ด้วย Digital Art ในรูปแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสร้างประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี

ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่แสดง Curate Innovation Space ซึ่งเปิดตัวด้วย Robotic Arms โดย Salt Box_ Workshop ที่จะมาสร้างสรรค์งานศิลปะแกะสลักด้วยเทคโนโลยี รวมถึง Space K พาร์ทเนอร์จากประเทศเกาหลีที่เนรมิตพื้นที่ Mixed Reality Media Art สื่อศิลปะที่ผสมผสานเทคโนโลยี ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ และ K Culture ผ่านแสง สี สุดตระการตา


พิธีเปิด “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” ปรากฏการณ์ครั้งแรกในไทยที่รวมบุคคลสำคัญระดับโลกของวงการดิจิทัลจากนานาประเทศมากที่สุด

สยามพารากอน ผนึกกำลัง SCBX พร้อมพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ดิจิทัลการลงทุน และโซเชียลมีเดีย เปิด “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต โดยได้รับเกียรติจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ ชั้น 4 สยามพารากอน ตั้งเป้าเป็นเทคคอมมูนิตี้เพื่อพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ สนับสนุนและผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคต่อไป

ไฮไลท์สำคัญในงานเปิดครั้งนี้คือ ปรากฏการณ์ครั้งแรกในประเทศไทยที่รวบรวมบุคคลสำคัญระดับโลกของวงการดิจิทัลจากองค์กรชั้นนำในประเทศและต่างประเทศกว่า 50 องค์กรทั่วโลกมาเป็นวิทยากร ร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีในงานเดียวได้มากที่สุด ในกิจกรรม THE GLOBAL TECH TALK ระหว่างวันที่ 4 – 8 ตุลาคม 2566 อาทิ Mr. Alejandro Navia, Co-Founder & President ของ NFT NOW, Mr. Sebastien Borget, Co-Founder & COO ของ THE SANDBOX, Mr. Brendon Matheson, Solution Area Specialist App Innovation ของ Microsoft, Mr. Simon Seojoon Kim, CEO & Managing Partner ของ Hashed, Mr. Reuben Lim, COO จาก Singapore Fintech Association,

Mr. Derrick Loi , General Manager International Business จากThe Digital Technology Business Group of Ant Group, Mr. Michael Sung, Chairman Horizen Digital and Director Institute of Digital Finance Innovation (IDFI) จาก Zhejiang University International Business, Mr. Atul Harkisanka, Regional Business Head ของ LinkedIn, Mr. Dave Davani จาก CEO Blue Resources AI และ Mr. Hojin Kim, CSO ของ UNOPND เป็นต้น

ทั้งนี้ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” จะมีกิจกรรมจากพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่องมากมายเป็นประจำ อาทิเช่นงาน Android Bangkok, DevFest-Cloud AI Bangkok และ Google I/O โดย Google Developer Group, ซีรีส์สัมมนา SCBX Unlocking AI โดย SCBX, Martech Intergration Day โดยMarTech Association (Thailand), Thai Hungarian Fintech Forum โดยสมาคมฟินเทคประเทศไทย งานสัมมนาเกี่ยวกับ การเงินการลงทุน โดยการเงินธนาคาร ผู้จัด Money Expo, Community Meet Up, เวิร์กช็อปและสัมมนาทั้งใน เรื่องของ Fintech, Blockchain Web3, AI, Health, Game, Social Media และ New Technology ต่างๆ เปิดให้ ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังฟรี ณ SCBX NEXT STAGE ชั้น 4 สยามพารากอน

“การเปิด “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต เป็นการพลิกโฉมรูปแบบใหม่ของโลกศูนย์การค้าและธุรกิจรีเทล เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคต เป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของสยามพารากอนในการทรานสฟอร์มสู่ The World of Tomorrow” นางธณพร กล่าว

]]>
1446815
ซอยขายเป็นตารางนิ้ว! “RealX” โทเคนลงทุนคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” เหรียญละ 182 บาท การันตียีลด์ 4-5% https://positioningmag.com/1428853 Thu, 27 Apr 2023 08:10:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428853 เตรียมออกโทเคน “RealX” เพื่อการลงทุนในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ที่สร้างเสร็จแล้ว 3 ทำเล คือ ทองหล่อ พร้อมพงษ์ พญาไท ราคาเหรียญละ 182 บาท เปรียบเหมือนการซอยขายห้องชุดเป็นตารางนิ้ว ให้รายย่อยร่วมลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องมีเงินล้าน ใช้เงินลงทุนหลักร้อยบาท การันตียีลด์ปีละ 4-5% ใน 5 ปีแรก

“การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ตามวิธีดั้งเดิมคือต้องเป็นเจ้าของห้องทั้งห้องหรือบ้านทั้งหลัง หมายความว่านักลงทุนต้องมีเงินสดหลักล้าน หรือมีเครดิตดีพอที่จะกู้สินเชื่อบ้าน ยิ่งถ้าหากเป็นอสังหาฯ ใจกลางเมืองวันนี้ ราคาคอนโดฯ ย่านซีบีดีพุ่งไปถึงยูนิตละ 5 ล้าน 10 ล้าน ทำให้คนทั่วไปเอื้อมถึงการลงทุนอสังหาฯ ในทำเลทองได้ยากมาก

จนกระทั่งเทคโนโลยีบล็อกเชนและการออกเหรียญโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้น จึงมีการต่อยอดไอเดียมาสร้างการลงทุนแบบใหม่ ใช้การออก “โทเคน” กระจายการถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของคอนโดฯ 1 ห้องออกเป็นหลายเจ้าของ (fractionalization) เพื่อให้หน่วยการลงทุนอสังหาฯ มีขนาดเล็กลง คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

แนวคิดการออกโทเคนเพื่อลงทุนคอนโดฯ ดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรกในไทยกับ “RealX Investment Token” และคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ซึ่งพัฒนาโดย บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)

RealX
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการ RealX : (จากซ้าย) “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI), “ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และ “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X

 

ถือ 1 เหรียญ เสมือนเป็นเจ้าของ 1 ตารางนิ้ว

“ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดการออกเหรียญ “RealX” เป็นการนำห้องชุดในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” 3 ทำเล รวมไม่เกิน 361 ยูนิต มาแปลงเป็นหน่วยการลงทุน โดยแบ่งรายละเอียดคอนโดฯ ที่จะนำมาขายผ่านโทเคน ดังนี้

  • พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์ ไม่เกิน 138 ยูนิต
  • พาร์ค ออริจิ้น พญาไท ไม่เกิน 123 ยูนิต
  • พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ไม่เกิน 100 ยูนิต
RealX
(ซ้ายบน) พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์, (ขวาบน) พาร์ค ออริจิ้น พญาไท, (ภาพล่าง) พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ

เมื่อออกขายหน่วยลงทุนแล้ว RealX จะนำห้องชุดเหล่านี้เข้าระบบการ “ปล่อยเช่า” โดยมี บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด หรือ HHR เป็นผู้รับบริหารการเช่าครบวงจร (*HHR เป็นบริษัทในเครือออริจิ้น) เพื่อสร้างรายได้กลับมาเป็นเงินปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือโทเคน

ด้าน “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X ภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) กล่าวว่า เหรียญ RealX จะเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (ICO) จำนวนไม่เกิน 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท

จำนวนโทเคนนี้มาจากไหน? จิตตินันท์ระบุว่ามาจากการคำนวณพื้นที่ขายทั้งหมดของห้องชุดที่จะนำมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงของโทเคนนี้ และนำมาหารเป็น “ตารางนิ้ว” ทำให้การถือเหรียญ RealX 1 เหรียญ จะเปรียบเหมือนกับการถือครองคอนโดฯ 1 ตารางนิ้ว

 

การันตียีลด์ 4-5% ในช่วง 5 ปีแรก

โครงการลงทุนโทเคนดิจิทัล RealX มีการกำหนดอายุโครงการ 10 ปี โดย ดร.วีรพงษ์ นำเสนอผลตอบแทนที่จะได้รับในช่วง 10 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ

ช่วงแรก – ปีที่ 1-5 การันตีผลตอบแทนการเช่า 4.00%, 4.25%, 4.50%, 4.75% และ 5.00% ของมูลค่าเสนอขายโทเคน โดยปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี

ช่วงที่สอง – ปีที่ 6-10 จะทยอยขายยูนิตในโครงการเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา (capital gain) โดยจะขายปีละ 10%, 15%, 20%, 25% และ 30% ของจำนวนยูนิตที่มี ปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี จนขายหมดในปีที่ 10 (ทยอยขายเพื่อไม่ให้ซัพพลายล้นเกินในปีเดียว) ระยะนี้ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนทั้งส่วนที่ขายห้องชุดได้ และผลตอบแทนจากค่าเช่าในห้องชุดที่ยังไม่ได้ขายออกไป

ทั้งหมดนี้ ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาส

แม้โครงการจะมีอายุ 10 ปี แต่ในระหว่างนั้นผู้ถือโทเคนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือโทเคนได้ เพราะจะมีการนำเหรียญ RealX เข้าเทรดในตลาดรอง ซึ่งขณะนี้กำลังเลือกระหว่างกระดาน TDX หรือ Bitkub หรือทั้งสองกระดาน

เมื่อโทเคนอยู่บนกระดาน ราคาเหรียญจะมีการขึ้นลงตามตลาด สามารถเทรดซื้อขายทำกำไรเหรียญได้ ซื้อเพิ่มหรือขายออกได้คล่องตัวมากกว่าการลงทุนอสังหาฯ แบบดั้งเดิม

 

ลงทุนในแหล่งปล่อยเช่าชาวต่างชาติ

ดังที่เห็นว่าเหรียญ RealX เป็นโทเคนที่มีพื้นฐานจากสินทรัพย์อ้างอิง การพิจารณาความเหมาะสมของราคาขาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการทำกำไรทั้งจากค่าเช่าและส่วนต่างราคา จึงต้องกลับมาที่ตัวสินทรัพย์

“พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวถึงสินทรัพย์ทั้ง 3 แห่ง เป็นทำเลปล่อยเช่าชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (expat) ในทำเลทองหล่อ-พร้อมพงษ์จะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น ส่วนทำเลพญาไทมีหลากหลายสัญชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและไต้หวันซึ่งเดินทางติดต่อธุรกิจบ่อย ทำให้ต้องการที่พักใกล้ ARL เพื่อไปสนามบินสะดวก

ปัจจุบัน HHR บริหารการเช่าในทั้ง 3 โครงการอยู่แล้ว และมีอัตราเข้าพักเกือบเต็ม 100% สามารถทำราคาเช่าได้สูง ตัวอย่างเช่น ทำเลทองหล่อ คิดค่าเช่าที่ 2,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

อัตราผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ยของ 3 โครงการนี้อยู่ที่ 8% แต่ที่การันตียีลด์ 4-5% สำหรับผู้ถือโทเคน เพราะจะมีการหักค่าบริหารจัดการทั้งค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้ HHR และการบริหารของ RealX

ด้านการเติบโตของราคาคอนโดฯ พีระพงษ์มองว่าทำเลซีบีดีของกรุงเทพฯ ในอดีตที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าราคาสามารถขึ้น 100% ได้ภายใน 10 ปี เพราะที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัด

ส่วนราคาขายห้องชุดผ่านโทเคน ไม่ได้ปรับขึ้นสูงกว่าปกติและมีการลดราคาให้ด้วย เพราะปัจจุบันออริจิ้นขายโฉนด 3 โครงการนี้ในราคาเฉลี่ย 298,000 บาทต่อตร.ม. แต่การขายผ่าน RealX คิดเป็นตารางเมตรแล้วจะตก 265,000 บาทต่อตร.ม.

ดร.วีรพงษ์กล่าวต่อว่า RealX จะเริ่มเปิดขายผ่านแอปพลิเคชัน Token X ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 ในส่วนนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อคน (ตามกฎกำกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.) นักลงทุนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ และยืนยันตัวตนไว้ก่อนได้

“เรากำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ที่นวัตกรรมจะเปลี่ยนวงการอสังหาฯ ปกติถ้าผมขายคอนโดฯ กลางเมือง จะมีคนแค่ 5% ของประเทศนี้ที่ซื้อได้ แต่เมื่อมีการสร้างการลงทุนเป็นโทเคน จะซื้อเพียงแค่ 1 ตารางนิ้วก็ได้ ทำให้ใครๆ ก็ลงทุนได้ แม้แต่น้องพนักงานเซเว่นฯ ที่แม่ฮ่องสอนยังกดซื้อคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ ได้” พีระพงษ์แห่ง ORI กล่าว “นวัตกรรมนี้จะเปิดโอกาสอีกมากมาย ต่อไปผมอาจจะทำ Hotel Token กระจายการลงทุนในโรงแรม หรือทำ Warehouse Token กระจายการลงทุนคลังสินค้า ทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนกับกระแสอีคอมเมิร์ซที่กำลังบูมในวันนี้”

]]>
1428853
InnovestX จับมือ Goldman Sachs พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน ขยายฐานลูกค้าสถาบันต่างชาติ https://positioningmag.com/1414449 Tue, 03 Jan 2023 11:53:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414449 บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ธุรกิจการเงินการลงทุนของ SCBX ร่วมกับโกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก จับมือพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ร่วมกันเพื่อรองรับโลกการลงทุนแห่งอนาคต พร้อมรุกตลาดการลงทุนในไทย

ความร่วมมือดังกล่าวของ 2 สถาบันการเงินนี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายของ Goldman Sachs ในตลาดทุนทั่วโลก และคาดว่าจะทำให้ InnovestX สามารถขยายฐานลูกค้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศได้เพิ่มมากขึ้นทั้งลูกค้าสถาบันและลูกค้ารายย่อย

อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้านักลงทุนในการแสวงหาเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลายจากตลาดทุนทั่วโลก จึงได้มองหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับในระดับโลกอย่าง Goldman Sachs ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโอกาสทางการลงทุนให้กับนักลงทุนทั้งลูกค้าสถาบัน และลูกค้ารายย่อยในประเทศ

ขณะที่ Chris Chan Head of Global Markets Distribution for Southeast Asia at Goldman Sachs กล่าวว่า เรามองเห็นโอกาสจากการเติบโตของหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ในไทย และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ InnovestX ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนระดับโลกให้กับนักลงทุน

ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินไทยได้จับมือกับสถาบันการเงินต่างประเทศเพื่อเป็นพันธมิตรหลายราย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด จับมือกับ Jefferies สถาบันการเงินจากสหรัฐฯ ในการเป็นพันธมิตร หรือ สถาบันการเงินไทยอีกรายอย่างธนาคารเกียรตินาคินภัทรนั้นเป็นพันธมิตรกับทาง Bank of America

การจับมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินต่างประเทศของสถาบันการเงินไทย ทำให้นักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศสามารถเข้าถึงตลาดทุนไทยได้มากขึ้น รวมถึงรายได้ของสถาบันการเงินไทยจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นช่วง IPO ให้กับกองทุนต่างประเทศ ส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนไทยนั้นได้ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ จากสถาบันการเงินต่างประเทศมากขึ้น

]]>
1414449
MONIX เผยแผนธุรกิจ ปั้นแอปสินเชื่อ FINNIX สู่ Top 3 มองเป้าขยายธุรกิจไปยังอาเซียนหลังจากนี้ https://positioningmag.com/1411447 Wed, 07 Dec 2022 13:23:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411447 มันนิกซ์ เผยแผนธุรกิจในปี 2023 ปั้นแอปฯ FINNIX สู่ผู้เล่น 1 ใน 3 ของตลาดนาโนไฟแนนซ์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ รวมถึงแผนที่จะ IPO ภายในปี 2025 ด้วย

ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ได้กล่าวถึงตลาดสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ยังถือว่าเติบโต โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ราว 31,000 ล้านบาท และมีผู้เล่นในตลาด 52 ราย แต่ถิรนันท์ก็ได้ชี้ว่าแม้ว่าจะมีผู้เล่นมากขึ้น แต่ก็มีผู้เล่นรายเก่าที่ออกจากตลาดออกไปด้วย

สำหรับ MONIX ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 เป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน SCBX ถือหุ้น 60% และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีนถือหุ้น 40%

เธอได้กล่าวถึง ฟินนิกซ์ (FINNIX) แอปพลิเคชันให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ของ MONIX นั้นปัจจุบันมีให้บริการผ่าน 3 แอปสโตร์แล้ว หลังจากเริ่มต้นธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้วกว่า 650,000 ราย เติบโตมากถึง 58% มีสินเชื่อรวมกว่า 15,000 ล้านบาทเติบโตมากถึง 117% จากปี 2021

บริการของ FINNIX นั้นได้แยกออกมาจากบริการสินเชื่อของ SCB โดยเธอได้กล่าวว่าแอปพลิเคชันให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

กลุ่มลูกค้าสำคัญของแพลตฟอร์มส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มอาชีพอิสระ หรือผู้ที่มีรายได้น้อย ฐานลูกค้าคือรายได้เฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 10,000 บาท จุดเด่นของ FINNIX คือลูกค้าสามารถเลือกจ่ายหนี้เท่าไหร่ก็ได้ตามใจ และเป็นการลดต้นลดดอก ซึ่งแตกต่างกับสินเชื่อนอกระบบ ขณะเดียวกันถ้าหากสถานการณ์ของลูกค้าเปลี่ยนไป เช่น ลูกค้าอยู่ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาก็สามารถปรับเปลี่ยนวงเงินหรือดอกเบี้ยได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ FINNIX ยังมีการนำระบบ AI มาใช้ในการอนุมัติสินเชื่อจากข้อมูลของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ เช่น การดู SMS หรือสมุดโทรศัพท์ของลูกค้า โดยลูกค้าเป็นคนให้สิทธิ์มอบข้อมูลให้กับแอปพลิเคชัน ขณะเดียวกันทาง MONIX เองก็พยายามที่จะลดต้นทุนผ่านการใช้ระบบไอทีให้มากที่สุดรวมถึง

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ MONIX ยังกล่าวว่ามีกำไรตั้งแต่กลางปี 2021 และ NPL ยังถือว่าอยู่ในเป้าหมายของบริษัท

สำหรับเป้าหมายของ MONIX ในปี 2023 ที่ตั้งเป้าไว้ เช่น

  • ยอดดาวน์โหลดแอป FINNIX 12 ล้านครั้ง
  • จำนวนลูกค้า 1 ล้านราย ซึ่งมองลูกค้าในต่างจังหวัดไว้มากยิ่งขึ้น
  • มีบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยหรือวงเงินที่แตกต่างกันตามความเสี่ยงของลูกค้า
  • มีระบบการให้รางวัลกับลูกค้าถ้าหากเล่นเกมภายในแอปฯ หรือส่วนลดในการซื้อสินค้า
  • มีการขยายพันธมิตรใหม่ๆ หรือการเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้า เช่น การหางานใหม่ๆ ให้กับลูกค้า เป็นต้น
  • การให้ความรู้ทางด้านการเงิน

เธอยังชี้ว่าตลาดนาโนไฟแนนซ์ของไทยนั้นมีโอกาสเติบโตแน่นอน อย่างไรก็ดีเธอชี้ว่าผู้ประกอบการกลับต้องระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้น รวมถึงการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า และมองว่าถ้าหากปัจจัยทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปก็อาจทำให้มั่นใจในการปล่อยสินเชื่อได้

ถิรนันท์ ยังได้กล่าวว่าเป้าหมายของบริษัทหลังจากนี้คือเป็นผู้เล่น 1 ใน 3 ของตลาดสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่ลูกค้าคิดถึง นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่ามีแผนที่จะขยายธุรกิจไปในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังต้องการที่จะ IPO ภายในปี 2025 อีกด้วย

]]>
1411447
AutoX เปิดตัว เงินไชโย ชูกลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน https://positioningmag.com/1407949 Fri, 11 Nov 2022 14:39:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407949 AutoX ผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนเป็นหลักประกันและวงเงินหมุนเวียน ภายใต้กลุ่ม SCBX ประกาศเดินหน้าบุกตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียน ภายใต้แบรนด์ เงินไชโย นอกจากนี้ยังชูกลยุทธ์ มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างความรับรู้ในตัวแบรนด์ รวมถึงการให้พนักงานแต่ละสาขาเข้าหาลูกค้าในแต่ละพื้นที่ด้วย

อภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโต้ เอกซ์ จำกัด ได้กล่าวถึงการเปิดตัวแบรนด์ เงินไชโย ว่าปัจจุบันคนไทยกว่า 95% สามารถที่จะเข้าถึงบัญชีธนาคารได้ อย่างไรก็ดีกลับมีคนไทยราวๆ 36 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 55% ของคนไทยไม่สามารถที่จะเข้าถึงสินเชื่อได้ และปัญหายิ่งเพิ่มสูงขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงทำให้เกิดการเปิดตัวธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนขึ้นมาในปี 2022 นี้ และเริ่มให้บริการแบบ Soft Launch ไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

โดยแบรนด์เงินไชโยได้จุดเด่นไม่ว่าจะเป็น

  • สามารถอนุมัติสินเชื่อภายใน 1 ชั่วโมง
  • สินเชื่อดังกล่าวไม่มีค่าธรรมเนียม วงเงินได้เต็มตามที่อนุมัติ แถมประกันฟรีในทุกสัญญา และไม่ต้องมีคนค้ำประกัน
  • บัตรเงินไชโย จ่ายต้นเท่าไหร่ กดได้เท่านั้น ไม่กดเงินใช้ไม่คิดดอกเบี้ย ไว้กดใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ ได้ แต่ถ้าไม่ชำระหนี้บัตรจะถูกปิดการใช้งาน และสามารถกดเงินได้ทุกตู้ ATM ไม่มีค่าธรรมเนียม
  • สาขาของเงินไชโย นั้นให้บริการวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจะใช้บริการผ่าน Application รวมถึงแชตผ่าน Line หรือให้มาบริการถึงบ้านก็ได้

สำหรับระบบของสาขาเงินไชโยจะแยกออกจากระบบของธนาคารไทยพาณิชย์ และจะปล่อยสินเชื่อมูลค่า 50% ของมูลค่าหลักประกัน เช่น รถจักรยานยนต์มีมูลค่า 20,000 บาท ก็จะปล่อยสินเชื่อแค่ 10,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ผู้บริหารของเงินไชโยยังได้กล่าวว่าระบบของเงินไชโยสามารถที่จะผ่อนชำระเป็นรายวันได้อีกด้วย ซึ่งสามารถลดภาระหนี้ของลูกหนี้ลงได้ด้วย

นอกจากนี้เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ เงินไชโย ทาง AutoX ได้นำกลยุทธ์ มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง มาใช้ โดยมีเพลงเพื่อสื่อถึงแบรนด์โดยใช้ภาษาง่ายๆ ดนตรีที่มีจังหวะสนุกครื้นเครงเพื่อที่จะเจาะกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเดินสายจัดงานคอนเสิร์ตตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ และยังรวมถึงการนำพนักงานที่มีในแต่ละสาขานั้นทำความรู้จักกับคนในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

ปัจจุบันลูกค้าของเงินไชโยแบ่งเป็นสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 50% สินเชื่อรถยนต์ 25% และสินเชื่อรถเชิงพาณิชย์ 25%

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจหลังจากนี้นั้น ภายในปี 2022 นี้ตั้งเป้าที่จะมีสาขาให้ได้ 1,200 สาขา มียอดสินเชื่อคงค้าง 10,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2025 มีสาขาทั้งหมด 3,000 สาขา มียอดสินเชื่อคงค้าง 70,000 ล้านบาท และตั้งเป้าถึงการนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2027 ด้วย

]]>
1407949
InnovestX เปิดตัวซูเปอร์แอปสำหรับการลงทุน ตั้งเป้ามีลูกค้า 4-5 ล้านราย IPO ภายใน 3 ปี https://positioningmag.com/1403618 Fri, 07 Oct 2022 10:11:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403618 บล. InnovestX ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ Future of Finance Reimagined โดยล่าสุดได้เปิดตัวซูเปอร์แอปสำหรับการลงทุนซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์รายนี้ยังเตรียมที่จะขยายฐานลูกค้าไปในอาเซียน โดยตั้งเป้ามีลูกค้ารวม 4-5 ล้านราย IPO ภายใน 3 ปีหลังจากนี้

หลังจากที่ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) แล้ว ล่าสุดได้มีการประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ภายใต้แนวคิด Future of Finance Reimagined โดยมองถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของการลงทุนไปอย่างมาก

ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์และขับเคลื่อนอนาคตโลกการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล และถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้โลกการเงินเติบโตอย่างก้าวกระโดด นำมาซึ่งโอกาส และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน และการลงทุนให้กับทุกคน

ความสามารถทางเทคโนโลยี ผสานเข้ากับความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และความเข้าใจนักลงทุน ทำให้บริษัทฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนใหม่ในชื่อ InnovestX ซูเปอร์แอปแรกในไทยที่รวมทุกสินทรัพย์ในแอปเดียว ครอบคลุม ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดบนพื้นฐานของความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มลงทุน หรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์

โดยฟังก์ชันของแอปพลิเคชัน InnovestX มีตั้งแต่มือใหม่สามารถลงทุนตามเหล่ากูรูชื่อดังด้านการลงทุนที่สามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน หรือแม้แต่การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง จนถึงตั้งเตือนความเคลื่อนไหวในสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ เช่น หุ้นสหรัฐมีความเคลื่อนไหวในแง่บวกหรือลบ ก็จะมีการแจ้งเตือน เป็นต้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ได้กล่าวว่า เขาต้องการที่จะทำให้คนไทยนั้นเข้าถึงการลงทุนได้อย่างสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม และชี้ว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคในการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจะหมดไป

ขณะที่สิ่งที่แตกต่างของ InnovestX เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มการลงทุนคู่แข่งนั้น ดร.อารักษ์ ได้ชี้ว่า “เราอยากเป็นพาร์ตเนอร์กับลูกค้า และต้องการเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สินทรัพย์หรือโลกดิจิทัล รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน”

นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ของบริษัทว่าจากเดิมที่บริษัทหลักทรัพย์จะเน้นการเติบโตแบบธรรมชาติ (Organic Growth) แต่หลังจากนี้แผนธุรกิจจะเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดดมากขึ้น และจะเน้นไปยังรายได้ใหม่ๆ ที่มาจากสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงการผนึกกำลังกับบริษัทในเครือ SCBX เช่น TokenX หรือแม้แต่ SCB10X ในการออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของ InnovestX มุ่งหวังจะขยายจำนวนผู้ใช้งาน 4 ถึง 5 ล้านราย และเป็น Top 5 ในธุรกิจด้านการลงทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลในอาเซียนภายใน 3 ปี ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และทำ IPO ต่อไป

]]>
1403618
SCBX ร่วมลงทุนทางอ้อมในธนาคารอินโดนีเซีย Jasa Jakarta มูลค่า 1,847 ล้านบาท https://positioningmag.com/1401046 Tue, 20 Sep 2022 10:19:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401046 กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ประกาศเข้าลงทุนทางอ้อมในธนาคาร Jasa Jakarta (BJJ) ธนาคารพาณิชย์ในประเทศอินโดนีเซีย ผ่าน WeLab Sky Limited ร่วมกับบริษัทร่วมลงทุนรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Allianz X, Boyu Capital, Horizons Ventures, Taipei Fubon Bank Capital รวมถึง WeLab ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการเงินดิจิทัลในฮ่องกง

เม็ดเงินที่ WeLab Sky Limited ได้ลงทุนใน BJJ อยู่ที่ 510 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 18,850 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าที่ SCBX Group ได้ลงทุนทางอ้อมผ่าน WeLab Sky Limited อยู่ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 1,847 ล้านบาท

การลงทุนใน BJJ นั้น WeLab Sky Limited จะถือหุ้นในสัดส่วน 49.56% ขณะที่ PT Astra International Tbk (Astra) ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซียจะถือหุ้นในสัดส่วน 49.56% เท่ากัน ซึ่งธุรกรรมในการซื้อหุ้นของ BJJ เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคมปี 2021 ทางกลุ่มนักลงทุนและ WeLab ได้ซื้อหุ้นของ BJJ สัดส่วน 24% ก่อนที่จะมีดีลดังกล่าวเกิดขึ้น

เท่ากับว่า ดีลการซื้อกิจการ BJJ ที่ WeLab Sky Limited และ Astra ร่วมกันนั้นจะมีมูลค่ามากกว่า 1,020 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราวๆ 37,700 ล้านบาท) โดยธุรกรรมดังกล่าวยังถือเป็นธุรกรรมการควบรวมกิจการ ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน (20 กันยายน)

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเตรียมที่จะเปลี่ยนธุรกิจของ BJJ ให้กลายเป็นธนาคารดิจิทัล โดยผลการสำรวจนั้นพบว่า 77% ของชาวอินโดนีเซียยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงบริการทางการเงินได้ และคาดหวังว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้รวดเร็วมากขึ้น

สอดคล้องกับ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ Deputy CEO บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม SCBX ตระหนักถึงโอกาสด้านการเติบโตของธุรกิจธนาคารดิจิทัลในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากตลาดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังไม่มีผู้นำตลาดที่ชัดเจน จึงเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในแพลตฟอร์มสินเชื่อธนาคารดิจิทัลออนไลน์ชั้นนำที่ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการประมวลผลในอินโดนีเซีย เพื่อรองรับความต้องการในการใช้บริการธนาคารดิจิทัลในอินโดนีเซียที่มีประชากรจำนวนมหาศาล

สำหรับสถาบันการเงินในอินโดนีเซียนั้นสถาบันการเงินไทยเริ่มที่จะกลับมาให้ความสนใจและเข้าไปลงทุนไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อมเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากอัตราการเติบโตของประชากรและเศรษฐกิจที่ยังเติบโตสูง

ที่มา – SCMP, Press Release จาก SCBX

]]>
1401046