Thailand – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Apr 2024 14:32:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ผลสำรวจเผยชาวจีนอยากท่องเที่ยวต่างประเทศแต่ยังไม่ได้จองตั๋วในปีนี้มากถึง 40% มองประเทศไทยทำการแคมเปญการตลาดได้ดี https://positioningmag.com/1471162 Thu, 25 Apr 2024 10:55:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471162 Dragon Trail Research ได้เปิดเผยผลสำรวจชาวจีนเกี่ยวกับมุมมองการท่องเที่ยวในเดือนเมษายนว่า ชาวจีนมากถึง 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด ขณะที่ผู้จองตั๋วและมีการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมีเพียงแค่ 5% เท่านั้น ขณะเดียวกันก็มองว่าประเทศไทยนั้นทำการตลาดแคมเปญได้ประทับใจ

Dragon Trail Research สำรวจชาวจีนมากถึง 1,015 ราย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นทั้งเมืองใหญ่และเมืองรองทั่วประเทศ และสอบถามโดยตั้งคำถามว่ามีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2024 นี้หรือไม่ พบว่า 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด รองลงมาคือไม่แน่ใจว่าปีนี้จะได้ท่องเที่ยวต่างประเทศหรือไม่ 27% ขณะที่ 18% ได้มีการจองตั๋วทริปต่างประเทศแล้ว 10% นั้นไม่มีแผนออกนอกประเทศจีน ที่เหลืออีก 5% ได้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องของความปลอดภัยในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย ชาวจีนที่ได้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 39% ไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัยของประเทศไทย 34% มองว่าไม่ปลอดภัย ที่เหลืออีก 24% เชื่อมั่นว่าปลอดภัย

ประเทศไทยในมุมมองของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวถือว่าปลอดภัยต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น อียิปต์ เม็กซิโก ด้วยซ้ำ แม้ว่าผลสำรวจในเดือนเมษานี้แสดงให้เห็นว่าชาวจีนเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในความปลอดภัยของประเทศไทยก็ตาม

ขณะที่แผนการเดินทางนอกเหนือจากทวีปเอเชียของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามดังกล่าวนั้นลดลงเหลือ 60% จากเดิมมากถึง 75% ในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยทวีปยุโรปยังเป็นเป้าหมายหลักของชาวจีน

ข้อมูลจาก Dragon Trail Research

สิ่งที่ดึงดูดให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศนั้น ในแบบสอบถามมีคำตอบ เช่น วิวทิวทัศน์ที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้คนของแต่ละท้องถิ่น และอาหารแปลกใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับชาวจีนนั้นกว้างไกลมากขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการใช้จ่ายประเทศนั้น ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 10,000 ถึง 30,000 หยวนต่อทริป ชาวจีนส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถาม 73% มองถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารการกินในต่างแดนเป็นหลัก รองลงมาคือสินค้าของประเทศนั้นๆ ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นสัดส่วนรองลงมา

แพลตฟอร์มที่ชาวจีนไว้หาข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ Xiaohongshu โดย Dragon Trail Research แนะนำให้แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทำแคมเปญการตลาดผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นหลักในปี 2024 นี้

นอกจากนี้ในผลสำรวจของ Dragon Trail Research ยังชี้ว่าการทำการตลาดของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับด้านท่องเที่ยวนั้นสามารถสร้างความประทับใจให้กับชาวจีนได้ โดยประเทศมีอันดับรองลงมาคือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มัลดีฟ เป็นต้น

]]>
1471162
IMF คาด GDP ไทยโต 2.7% ในปีนี้ มองเศรษฐกิจโลกเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เตือนยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก https://positioningmag.com/1470177 Tue, 16 Apr 2024 17:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470177 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 2.7% ขณะเดียวกันก็มองว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.2% จากปัจจัยของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็เตือนถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นยังมีความเสี่ยงอีกมาก

IMF ได้ออกคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดฉบับเดือนเมษายน โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกนั้นจะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิม ซึ่งได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดีก็ได้เตือนถึงเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย

สำหรับเศรษฐกิจโลก IMF ได้คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 3.2% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยูที่ 1.8% ขณะเดียวกันก็ปรับคาดการณ์ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเหลือเติบโตแค่ 4.2% ในปีนี้

นอกจากนี้ IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกถือว่ามีความยืดหยุ่น แม้ว่าโลกจะอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยสูงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ นอกจากนี้ชื่นชมว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อได้ถูกทางแล้ว

IMF ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเติบโตได้มากถึง 2.7% ในปีนี้ ขณะที่จีนคาดว่าจะเติบโตที่ 4.6% ขณะที่อินเดียคาดว่าจะเติบโตได้ 6.8% ยกเว้นในส่วนของยูโรโซนที่ปรับประมาณการลดลง เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปอย่างมาก

ในส่วนเศรษฐกิจไทยนั้น IMF คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 2.7% ในปีนี้ และคาดว่าจะเติบโต 2.9% ในปี 2025 ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7%

ทางด้านของความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก IMF ยังมองถึงความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง แต่ก็ทยอยลดลงจากราคาพลังงานและอาหารลดลง รวมถึง Supply Chain ทั่วโลกกลับมาสู่สภาวะปกติมากขึ้น คาดว่าทั่วโลกนั้นตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 5.9% ในปีนี้ และ 4.5% ในปี 2025

ในเรื่องอื่นๆ นั้น IMF ยังกังวลถึงความเสี่ยงระยะสั้นคือ ต้นทุนการเงินที่สูง การถอนมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงระยะกลางนั้น ด้านผลิตภาพ (Productivity) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และยังกังวลถึงเรื่องของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

และยังรวมถึงปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีน การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ส่งผลทำให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

]]>
1470177
กรุงเทพประกันภัย เตรียมส่ง 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ตั้งเป้าเบี้ยประกันปี 2024 ที่ 32,500 ล้านบาท https://positioningmag.com/1470117 Sun, 14 Apr 2024 08:27:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470117 กรุงเทพประกันภัย ประกาศแผนธุรกิจในปี 2024 โดยเตรียมส่งผล 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ขณะเดียวกันคาดว่าเบี้ยประกันในปีนี้จะเติบโตถึง 32,500 ล้านบาท แต่ก็ยังมองว่าการเติบโตเบี้ยประกันของบริษัทนั้นเติบโตมากกว่าตลาดในปีนี้ได้

อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ได้กล่าวถึงแผนธุรกิจในปีที่ผ่านมาว่าบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 12.1% ถือว่าเติบโตเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม แม้ว่าในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมจะเติบโตแค่ 4.1% ก็ตาม

ผลการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัยในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 29,915.7 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิ 3,043.8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2024 สมาคมประกันวินาศภัยไทยประเมินว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโต 5-6% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ผ่านมา

สาเหตุสำคัญมาจากประกันภัยสุขภาพที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

ในส่วนของประกันภัยภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เปิดโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้สูงมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยกว่า ทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยต่อหน่วยที่เข้าสู่ระบบประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังเบี้ยประกันอัคคีภัย แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ตาม

ทางด้านประกันภัยรถยนต์นั้น แม้ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมจะมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งรถยนต์ EV มีอัตราเบี้ยประกันภัยโดยเฉลี่ยที่สูงกว่ารถยนต์ใช้เชื้อเพลิง ส่งผลให้ปริมาณเบี้ยประกันภัยรถยนต์โดยรวมน่าจะยังคงเติบโตได้ อย่างไรก็ดีผู้บริหารสูงสุดของ BKI กล่าวว่าเบี้ยประกันภัย EV ของบริษัทยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ

ขณะที่การเติบโตของเบี้ยประกันภัยของกรุงเทพประกันชีวิตนั้นคาดว่าจะเติบโตได้ 8% ในปีนี้ ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าบริษัทจะต้องคิดเรื่องเติบโตควบคู่กับความสามารถในการทำประกันภัยด้วย และมองว่าเป้าตัวเลขดังกล่าวถือว่าเติบโตพอประมาณ

โดยบริษัทเตรียมที่จะส่งประกันภัย 5 รูปแบบออกสู่ท้องตลาด ได้แก่

  1. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาแผนประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัย 55 – 75 ปี ที่ชื่นชอบขับรถด้วยตนเอง นอกจากจะได้รับความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่นๆ เช่น เงินชดเชยในกรณีทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
  2. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย บริษัทได้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันมากขึ้น โดยจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง และกรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง
  3. ประกันภัยสุขภาพ (เพิ่มความคุ้มครองจิตเวช) ประกันดังกล่าวจะมีการเพิ่มความคุ้มครอง เช่น การตรวจรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ โดยมีแผนประกันที่เหมาะกับความต้องการลูกค้าแต่ละราย โดย ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าปัญหาซึมเศร้าเป็นปัญหาระดับชาติ ส่งผลต่อบุคลากรของประเทศไม่น้อย
  4. ประกันภัยสุขภาพ ผ่าน Telemedicine ในแผนประกันภัยสุขภาพดังกล่าวจะเป็นการปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Clicknic ที่รองรับถึง 55 อาการของโรคที่สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ทางไกลได้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ เจ็บคอ ผื่นคัน ตาเจ็บ ฯลฯ พร้อมช่วยลดความกังวลด้วยบริการจัดส่งยาให้ถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมงสำหรับในเขตกรุงเทพฯ และจะรองรับถึงอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจในภายหลังด้วย
  5. ประกันภัยสำหรับคอนโด บริษัทได้มองเห็นโอกาสเนื่องจากผู้คนอยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาแผนประกันภัยสำหรับคอนโดให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในคอนโดมิเนียมอันมีสาเหตุจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากลมพายุ ลูกเห็บ หรือน้ำท่วม รวมถึงคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดเหตุภายในคอนโดมิเนียม และยังครอบคลุมถึง ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก เช่น กรณีน้ำรั่วซึมไปยังห้องอื่นๆ จนเกิดความเสียหาย ฯลฯ

อภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ประกันข้างต้นที่จะมีการเปิดตัวในปีนี้นั้นได้พัฒนาจากปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันในกรณีของธุรกิจประกันภัยนั้นจะมองแต่เรื่องกำไรอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความเสี่ยงนั้นเกิดเมื่อไหร่ก็ได้

สำหรับการปรับโครงสร้างบริษัทไปเป็น ‘โฮลดิ้ง คอมพานี’ นั้นเขามองว่าการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และดูว่าลงทุนอะไรนั้นคุ้มค่าหรือไม่

เป้าหมายการเติบโตในปี 2024 นี้กรุงเทพประกันภัยวางเป้าเบี้ยประกันอยู่ที่ 32,500 ล้านบาท

]]>
1470117
SHOUT Together เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร มองตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง ตั้งเป้า GMV 100 ล้านภายในปีนี้ https://positioningmag.com/1469787 Fri, 12 Apr 2024 09:27:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469787 เชาท์ ทูเกทเตอร์ (SHOUT Together) เปิดตัว ‘SHOUT’ แพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร โดยชูจุดเด่นในการลดต้นทุนของเอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ในการจ้าง Influencer หรือทำแคมเปญด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง

บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (SHOUT Together) ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้าน ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ โดยเจาะลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ หรือแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการหาอินฟลูเอนเซอร์ โดยมองถึงตลาด Affiliate Marketing ยังเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย

จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน Co-founder และ CEO ผู้บริหารของ SHOUT Together ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการทำงานของตัวเขาในสายงานเอเจนซี่ และพบว่าตลาดไลฟ์ขายสินค้านั้นเติบโตมากขึ้น รวมถึงช่องทางที่อาศัยอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือ Key Opinion Leader (KOL) ในการช่วยทำการตลาด หรือที่เรารู้จักกันดีอย่าง Affiliate Marketing นั้นก็กำลังเติบโตอย่างมาก

CEO ของ SHOUT Together ยังชี้ว่าตลาดของ Affiliate Marketing นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดของ Influencer ถึง 20 เท่า

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าลูกค้าที่เป็นแบรนด์ต่างๆ เองนั้นพบกับ 3 ปัญหาใหญ่ ได้แก่ การใช้ Influencer ผิดคน ซึ่งทำให้ไม่ตรงเป้าหมายของลูกค้า ขณะเดียวกันการใช้ Influencer เองนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป อาจทำไปแล้วไม่คุ้มกับการลงทุน รวมถึงการทำแคมเปญการตลาดนั้นมีต้นทุน และอาจมีความเสี่ยงในเรื่องความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายที่ใช้จ่ายลงไป

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จิรพัฒน์และทีมงานได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ขึ้นมาเพื่อที่จะตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้รับเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นจาก PinPung รวมถึงนักลงทุนรายอื่นๆ ในปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นเงิน 5 ล้านบาท

เขาได้กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data หรือ Automated Platform สามารถทำให้การทำ Influencer Campaign ต่างๆ สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำขึ้น ทั้งจากการใช้ข้อมูลต่างๆ มาคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงโจทย์ในราคาที่เหมาะสม สามารถจัดการแคมเปญ ตรวจสอบสถานะการทำงาน อินฟลูฯ อัตโนมัติ และวัดผลยอดขายได้อย่างเป็นระบบ มีรายงานที่สวยงามพร้อมใช้งานในการประเมินผลลัพธ์”

จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน – Co-founder และ CEO ผู้บริหาร บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด / ภาพจากบริษัท

สำหรับขั้นตอนในการใช้งานแพลตฟอร์ม SHOUT สำหรับแบรนด์หรือเอเจนซี่ ประกอบไปด้วย

  • สร้างบัญชีผู้ใช้งานนักการตลาด และเข้าสู่ระบบ
  • สร้างแคมเปญ และเลือก Social Media และ Scope งานที่ต้องการทำแคมเปญ เช่น Instagram Reels, Facebook Photo Album, YouTube Tie-in, X (Twitter) Album Post / TikTok Video เป็นต้น
  • ระบุสินค้าหรือบริการที่ต้องการโปรโมต พร้อมช่องทางการขาย และ ค่าตอบแทนที่ต้องการให้อินฟลูฯ
  • เลือกอินฟลูฯ ที่ต้องการ โดยในแพลตฟอร์มสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆ รวมถึงราคา นอกจากนี้ยังสามารถเจรจาต่อรองราคาอินฟลูฯ ได้
  • ระบุรายละเอียดการทำงานแลระยะเวลาทำแคมเปญ
  • เริ่มต้นแคมเปญ จัดการ ตรวจงานอินฟลูฯ ผ่านแพลตฟอร์ม
  • ตรวจสอบผลลัพธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและยอดขาย

นอกจากนี้ จิรพัฒน์ ยังชี้ว่าแพลตฟอร์ม SHOUT ยังช่วยให้แบรนด์หรือเอเจนซี่ประหยัดต้นทุนได้ถึง 60% โดยเขายกตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไม่ต้องติดต่อผ่านโทรศัพท์บ่อยๆ ฯลฯ และลดระยะเวลาการทำงานได้ถึง 95% เช่น เวลาในการทำเอกสาร หรือการโอนเงิน ฯลฯ

จิรพัฒน์ ยังมองว่าการใช้ KOL เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาดนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแบรนด์ต่างๆ แล้ว และตอนนี้มี Influencer เกิดใหม่เรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญสุดคือแบรนด์ต้องการอะไร เป้าหมายคืออะไร แล้วต้องมาดู Influencer ว่าตรงกับเป้าหมายหรือไม่ แล้วก็ต้องดูถึงความครีเอทีฟของ Influencer ว่าจะทำยังไง

นอกจากนี้เขามองว่าเทรนด์ Influencer จะร่วมทำงานกัน ทั้งในไทยหรือแม้แต่ไทยต่างประเทศ โดยเขายกตัวอย่างกรณีของ แน็ก ชาลี ไตรรัตน์ กับ กามิน ซึ่งเป็น Influencer ชาวเกาหลี หรือกรณีที่แร็ปเปอร์ชาวไทย มาจับมือกับ แร็ปเปอร์ต่างชาติ เป็นต้น

ผู้บริหารสูงสุดของ SHOUT Together ยังมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้วิธีทำแคมเปญการตลาดของแบรนด์ต่างๆ จะต้องคิดมากขึ้น

ขณะเดียวกันตลาด Affiliate Marketing ที่เติบโตมากขึ้น ทำให้ค่าคอมมิชชั่นถือว่ามีสำคัญ เขายังมองว่าบางแบรนด์อาจเจรจาในเรื่องสัดส่วนคอมมิชชั่น และมองว่าแผนการตลาดหรือการทำแคมเปญจะเป็นระยะยาวมากขึ้นได้ อาจไม่ใช่แคมเปญที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ ซึ่ง Influencer นั้นจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่แบรนด์ก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น

โมเดลรายได้ของ SHOUT หลังจากนี้นั้น จิรพัฒน์ กล่าวว่าจะเก็บค่าคอมมิชชั่นราวๆ 15% ปัจจุบันมี Influencer อยู่ในแพลตฟอร์มราวๆ 8,000 คน และเขามองว่าการสร้างแพลตฟอร์มของบริษัทขึ้นมาไม่ได้เป็นคู่แข่งกับเอเจนซี่ แต่เป็นเหมือนระบบหลังบ้านที่ทำให้เอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ทำงานได้ง่ายขึ้น

สำหรับเป้าหมายของ SHOUT Together นั้น CEO รายดังกล่าวได้กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มรุกตลาดจริงจัง ตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 นี้บริษัทจะมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม หรือ GMV ที่ 100 ล้านบาท และมี Influencer บนแพลตฟอร์ม 20,000 ราย และถ้าหากมีการระดมทุนในรอบถัดไปเขาคาดหวังว่ามูลค่าบริษัท 300-500 ล้านบาท

]]>
1469787
TikTok จับมือพันธมิตร ส่งแคมเปญ #สงกรานต์2567 ชวนผู้ใช้ทำคลิป ลุ้นรับของรางวัล https://positioningmag.com/1469010 Thu, 04 Apr 2024 02:25:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469010 ติ๊กต็อก (TikTok) จับมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน เปิดตัวแคมเปญ #สงกรานต์2567 โดยชูเรื่องเทศกาลสำคัญของไทยนั้นเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกัน นอกจากนี้ยังชักชวนให้ผู้ใช้งานทำคลิป และติดแฮชแท็ก เพื่อที่จะลุ้นรับของรางวัล

วชิราภรณ์ โอฬาร Content Team Lead ของ TikTok ประเทศไทย ได้กล่าวว่า TikTok รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลที่มีชีวิตชีวานี้อีกครั้ง ตลอดปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อผ่านคอนเทนต์มากมายที่ไม่เพียงแต่นำเสนอความสนุกสนานและรื่นเริงตามฤดูกาลเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของประเทศไทยอีกด้วย

Content Team Lead ของ TikTok ประเทศไทย ยังได้กล่าวเสริมว่า ปีนี้เราได้ต่อยอดการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ไปสู่อีกขั้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และเชื่อมต่อกับผู้อื่น สามารถจะช่วยเผยแพร่บรรยากาศช่วงสงกรานต์ในวงกว้าง และกลายเป็นประสบการณ์อันน่าจดจำสำหรับทุกคน

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย ถือเป็นเทศกาลสำคัญทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดย UNESCO เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา

วชิราภรณ์ โอฬาร – Content Team Lead ของ TikTok ประเทศไทย / ภาพจากบริษัท

วชิราภรณ์ ยังได้กล่าวเสริมว่าแคมเปญสงกรานต์ของ TikTok ในปีนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ เนื่องจากได้จับมือกับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สยามพารากอน และแบรนด์ดังอีกหลายแบรนด์

นอกจากนี้ TikTok ยังเชิญชวนให้ผู้ใช้งานทำคลิป และติดแฮชแท็ก เพื่อที่จะรับของรางวัลจากพันธมิตรต่างๆ โดยแฮชแท็กอย่างเป็นทางการของ TikTok ในปีนี้ประกอบไปด้วย #สงกรานต์2567 #สไตล์สงกรานต์บ้านเรา #แฟชั่นสงกรานต์บ้านเรา #เที่ยวกันสงกรานต์บ้านเรา #อิ่มกันสงกรานต์บ้านเรา #งามกันสงกรานต์บ้านเรา #เรียนกันสงกรานต์บ้านเรา #ดูกันสงกรานต์บ้านเรา #สงกรานต์กีฬาบ้านเรา #เล่นเกมบ้านเรา #SMEสงกรานต์บ้านเรา #TikTokLiveSongkran รวมถึง #TTSSongkran2024

นอกจากเชิญชวนให้ทำคลิปในช่วงวันสงกรานต์แล้วนั้น TikTok เองยังมีการจัดประกวดนางสงกรานต์ในปีนี้ โดยมีเหล่าครีเอเตอร์ชื่อดังหลายคนได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว นอกจากนี้วชิราภรณ์ ได้กล่าวเสริมว่าจะมีการยกงานสงกรานต์จากแพลตฟอร์มออนไลน์มาไว้ที่สยามพารากอนเป็นครั้งแรก เปิดพื้นที่ให้ทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลองและแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ อีกด้วย

ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้น TikTok มีแคมเปญติดแฮชแท็ก #TikTokสงกรานต์ทั่วไทย ซึ่งพบว่ามีจำนวนวิดีโอ 603,452 โพสต์ และยอดการรับชม 1,262,319,641 ครั้ง โดยสำหรับในปีนี้ Content Team Lead ของ TikTok ประเทศไทย คาดว่าจะมีจำนวนวิดีโอรวมถึงยอดการรับชมสูงขึ้นกว่าเดิม

]]>
1469010
Krungsri Consumer เตรียมส่งโปรโมชันผ่อน 0% นาน 3 เดือนสำหรับการใช้จ่ายในญี่ปุ่น คาดยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่แดนอาทิตย์อุทัยโต 50% ในปีนี้ https://positioningmag.com/1468749 Tue, 02 Apr 2024 13:41:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468749 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ (Krungsri Consumer) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2023 ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมส่งโปรโมชั่นจูงใจให้ลูกค้าสำหรับการจับจ่ายในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดการใช้จ่ายบัตรในประเทศญี่ปุ่นจะเติบโตมากถึง 50% ในปีนี้

อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงยอดการใช้จ่ายบัตรรวมถึงยอดสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมียอดบัตรเครดิตใหม่ 339,000 บัตร ยอดใช้จ่ายบัตร 365,000 ล้านบาท (เติบโต 10%) สินเชื่อใหม่ 92,000 ล้านบาท (เติบโต 6%) และสินเชื่อคงค้าง 148,400 ล้านบาท (เติบโต 3%)

สำหรับหมวดใช้จ่ายที่เติบโตสูงในปี 2023 ที่ผ่านมาได้แก่ ตัวแทนท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรมและรถเช่า ตามลำดับ ซึ่งอธิศได้ชี้ถึงการเดินทางได้กลับมาอีกครั้ง ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

แต่ถ้าหากเทียบยอดค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ประกันภัย ปั๊มน้ำมัน การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และตกแต่งบ้าน โดยเขาชี้ถึงคนไทยได้ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในอดีตไม่เคยมีหมวดหมู่นี้ติดอันดับต้นๆ ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าไลฟ์สไตล์คนไทยเปลี่ยนไป

กลยุทธ์ในปี 2024 นั้น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ยังได้กล่าวว่าบริษัทจะเน้นการขยายพันธมิตรให้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็จะเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น โดยเขาชี้ว่าเพื่อที่จะรีเฟรชพอร์ตโฟลิโอของบริษัทด้วย ไม่ให้มีลูกค้าในช่วงอายุใดอายุหนึ่งมีสัดส่วนมากเกินไป

เขายังกล่าวว่าในปีนี้จะมีการเน้นในส่วนของ Flagship Product มากขึ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการปรับปรุงบัตรและเปิดตัวบัตรใหม่ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังรวมถึงกลยุทธ์ในการทำงานแบบประสานพลังในเครือกรุงศรีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินฝาก ประกัน หรือแม้แต่เรื่องของการบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าบัตรเครดิต

บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท

อธิศ รุจิรวัฒน์ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด / ภาพจากบริษัท

ลูกค้ากรุงศรีฯ เที่ยวญี่ปุ่นเยอะ เตรียมจับมือพันธมิตรเพิ่ม

สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้กล่าวถึงข้อมูลยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในปี 2023 นั้น สัดส่วนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของลูกค้าของบริษัท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลสำรวจที่ Visa ได้ทำไว้ว่าญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของคนไทยอยากไปเที่ยว

กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะบริษัทในเครือกรุงศรี หนึ่งในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) บริษัทจึงเตรียมต่อยอดแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา

บริษัทยังเปิดเผยข้อมูลลูกค้าของบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีในปี 2023 ได้ใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่นมากถึง 2,200 ล้านบาท โดยลูกค้ากลุ่ม Gen X และ Gen Y นั้นมีสัดส่วนมากถึง 80% ซึ่งมียอดเฉลี่ยต่อคน 32,000 บาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2022

แต่ถ้าหากเรียงตามยอดใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรือที่พัก สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ สนามบินและสินค้าปลอดภาษี ตามลำดับ

สมหวัง โตรักตระกูล – กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด / ภาพจากบริษัท

ชู 4 แนวทางหลักขับเคลื่อนแคมเปญ

เพื่อต่อยอดกับแคมเปญดังกล่าว สมหวังยังกล่าวว่าบริษัทนั้นจะตั้งเป้าสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในญี่ปุ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่นและไทยเพิ่มมากขึ้น 600 แบรนด์ หรือแม้แต่การใช้เครือข่ายของ MUFG ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มพันธมิตรในญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น โดยแนวทางในการขับเคลื่อน “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ได้แก่

  • ขยายความร่วมมือโดยเพิ่มจำนวนพันธมิตร เพิ่มสิทธิประโยชน์ เสริมหมวดหมู่ใหม่ๆ เพื่อคนรักญี่ปุ่น
  • นำเสนอทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เช่น Tap & Go
  • เสริมประสบการณ์ให้หลากหลาย ครบทุกเรื่องญี่ปุ่น ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านร้านอาหาร การช้อปปิ้ง และบริการ งานอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น
  • ใช้ข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อที่จะเสริมประสิทธิภาพการตลาด

เตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน หรือใช้บัตร Krungsri Boarding Card ก็ได้

สมหวังยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าบริษัทเตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถเลือกผ่อนชำระรายการที่เป็นสกุลเงินเยนหรือร้านค้าในประเทศญี่ปุ่นได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น UCHOOSE ได้ ซึ่งเขาคาดว่าโปรโมชั่นดังกล่าวน่าจะออกมาได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้

นอกจากนี้สมหวังยังได้ชี้ถึงอีกทางเลือกของคนที่ชอบเที่ยวคือ Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นบัตร VISA Prepaid Card ที่มีกระเป๋าเงิน e-Wallet ซึ่งสามารถใช้ 16 สกุลเงินต่างประเทศ และสกุลเงินบาทได้นั้น สมหวังได้ชูจุดเด่นที่ลูกค้าสามารถตั้งซื้อเรทค่าเงินได้ผ่านทาง Krungsri Mobile App

สมหวังได้กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,950 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเติบโต 50% เทียบกับปี 2023 ที่ผ่านมา จากสิทธิประโยชน์ที่ครบ และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นผู้นำธุรกิจในเซกเมนต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้

อธิป ศิลป์พจีการ – ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด / ภาพจากบริษัท

ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายแบงก์ชาติ

อธิป ศิลป์พจีการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในส่วนของนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อที่จะแก้ปัญหาหนี้ในครัวเรือนที่มีระดับสูงอยู่ในเวลานี้ อธิปได้กล่าวว่าทางกรุงศรีฯ​ ได้มีนโยบายดังกล่าวมานานแล้ว แค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น

หลังจากนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เตรียมจะเริ่มการสื่อสารกับลูกค้าในกลุ่มผ่านทุกช่องทางตามกำหนดการของ ธปท. เพื่อแจ้งสถานะว่าลูกค้าเหล่านี้อยู่ในกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นจะสามารถเลือกที่จะปิดหนี้ผ่านโครงการสินเชื่อพิเศษที่อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปีได้

อย่างไรก็ดีเขาชี้ว่าลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นคาดว่ามีไม่ถึง 10% ที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เนื่องจากลูกค้าต้องการวงเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ยกเว้นว่าลูกหนี้คนดังกล่าวนั้นต้องการที่จะยกเลิกบริการสินเชื่อไปเลย

กังวลเรื่องการปรับอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ออกนโยบายไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของการเพิ่มอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น เขากังวลว่ามาตรการดังกล่าวดูเหมือนว่าตัวเลขอาจไม่สูง แต่ถ้ามองในมุมของลูกค้าเขากังวลว่าจะกระทบต่อภาระในการชำระหนี้

อธิศ ได้กล่าวว่า อัตราส่วนคงค้างของสินเชื่อของลูกหนี้ที่มีค่างวดค้างชำระเกินกว่า 90 วันของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อยู่ที่ระดับ 1.14% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.5%

เขากล่าวถึงตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์เริ่มเห็นสัญญาณของการผิดนัดชำระหนี้บ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่คนมีเงินก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เขายังกล่าวเสริมว่ากรณีดังกล่าวเปรียบได้กับการขอให้คนที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากพอจ่ายเงินมากขึ้น

อธิศ ยังกล่าวว่าหลังจากในส่วนของมาตรการให้ชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ 8% ออกมา 6 เดือนแล้วจะมีการประเมินผลอีกที และจะนำประเด็นดังกล่าวไปพูดคุยกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยในภายหลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันเป็นระยะๆ ในเรื่องดังกล่าว

]]>
1468749
‘วินด์ เอนเนอร์ยี่’ เผยคดีความระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกันเริ่มนิ่งแล้ว ชี้ไม่กระทบการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด https://positioningmag.com/1467423 Sun, 24 Mar 2024 10:50:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467423 ผู้บริหารของ ‘วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง’ ได้กล่าวถึงในช่วงที่ผ่านคดีความที่เป็นข่าวดังนั้นเป็นเรื่องระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกัน และหลายคดีเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กระทบการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด

‘วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง’ (WEH) ได้เปิดเผยโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท และบริษัทยังได้ชี้ถึงข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้นบริษัทนั้นเริ่มนิ่งหมดแล้ว และไม่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท ขณะเดียวกันหุ้นของบริษัทที่มีการโอนหุ้นระหว่างผู้ถือหุ้นทุกฉบับถือว่าชอบด้วยกฎหมาย

ณัฏฐ์ธฤต อยู่ดี ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ได้กล่าวถึงโครงสร้างของผู้ถือหุ้น WEH นั้นแยกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน

  • ผู้ถือหุ้น WEH กลุ่มแรก มีสัดส่วน 59.46% เดิมถือครองโดยบริษัท REC ของกลุ่มนายนพพร ศุภพิพัฒน์ เปลี่ยนมือมาเป็นบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KPNET ในปี 2558 และเปลี่ยนมือมายัง นายเกษม ณรงค์เดช ในปี 2559 และปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา) ถือครองโดยบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด (GML) สัดส่วน 37.87% นายประเดช กิตติอิสรานนท์ สัดส่วน 11.81% กลุ่มอดีตผู้บริหารของ บริษัทฯ สัดส่วน 3.75% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 36 ราย รวมเป็นสัดส่วน 6.03% ซึ่งกลุ่มนี้เราจะเห็นเป็นข่าวบนหน้าสื่อบ่อยครั้ง
  • ผู้ถือหุ้น WEH กลุ่มที่สอง มีสัดส่วน 40.54% เดิมถือครองโดยกลุ่มกิตติอิสรานนท์ มีการเปลี่ยนมือกันตามปกติ ไม่มีข้อพิพาทใดๆ ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา) ถือครองโดยบริษัท ธนา พาวเวอร์ วัน จำกัด สัดส่วน 26.65% บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 7.12% บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 3.87% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 91 ราย ถือหุ้นรวมเป็นสัดส่วน 2.90%

ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ WEH กล่าวว่า ยอมรับว่าข้อพิพาทของบุคคลภายนอก ที่พาดพิงถึงบริษัทฯ อยู่บ่อยครั้ง เป็นข่าวใหญ่มาตลอด เพราะเป็นเรื่องของบุคคลผู้มีชื่อเสียง แต่เป็นประเด็นพาดพิงเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ 1 เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ และไม่เกี่ยวข้องการดำเนินการหรือมีผลผูกพันใดๆ กับบริษัทฯ

โดยบริษัทได้ติดตามเหตุการณ์ข้อพิพาทของบุคคลภายนอกที่พาดพิงบริษัทฯ ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มเหตุการณ์ และประเมินผลกระทบเป็นระยะ ขณะนี้ภาพรวมทุกกลุ่มเหตุการณ์นิ่งหมดแล้ว และไม่มีผลกระทบกับบริษัทฯ มีเพียงคำสั่งศาลให้ปฏิบัติตามในฐานะนายทะเบียนบ้างเท่านั้น โดยมีรายละเอียดกลุ่มเหตุการณ์ข้อพิพาทบุคคลภายนอก ต่อหุ้นกลุ่มที่ 1 ดังนี้

  • กลุ่มเหตุการณ์ที่ 1 ข้อพิพาทบุคคลภายนอก เรื่องการชำระเงินซื้อขายบริษัท REC โดยระหว่างปี 2558 – 2560 กลุ่มนายนพพรได้ขายบริษัท REC (ถือครองหุ้น WEH 59.46%) ให้กับกลุ่มนายณพ ณรงค์เดช และเปลี่ยนชื่อจาก REC เป็น KPNET แต่เกิดข้อพิพาทการชำระเงินซื้อขาย REC นำไปสู่คดีความระหว่าง 2 ฝ่าย ในฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ และไทย
  • กลุ่มเหตุการณ์ที่ 2 ข้อพิพาทบุคคลภายนอก คดีแพ่งและคดีอาญา ที่นายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ในคดีแพ่ง และโจทก์ร่วมในคดีอาญา ฟ้องบุคคลภายนอกอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ
    • คดีแพ่งที่ยังมีผลอยู่ปัจจุบัน คือ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.978/2565 ที่นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายกรณ์ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้องเรียกหุ้น WEH คืนจาก GML จำนวน 31 ล้านหุ้น สถานะปัจจุบันนั้นศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้จำหน่ายจ่ายโอน และให้อายัดเงินปันผลหุ้น WEH ที่ GML ถือครองอยู่ 37.87% ทั้งหมด โดยศาลสั่งให้บริษัทฯ นำเงินปันผลทั้งหมดของ GML ไปวางไว้ที่ศาลตามคำสั่งคุ้มครองจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ นำเงินปันผลส่วนนี้ไปวางไว้ที่ศาลแล้วรวมประมาณ 2,700 ล้านบาท
    • คดีสุดท้ายของกลุ่มนี้ คือ คดีอาญา ที่อัยการและนายเกษม เป็นโจทก์ร่วม ฟ้องคดีความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร คดีหมายเลขดำที่ อ.1708/2564 (หมายเลขแดงที่ อ.1753/2566) โดยยื่นฟ้องในปี 2564
      สถานะปัจจุบันศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยทั้งหมด แต่มีคำพิพากษาว่าลายเซ็นนายเกษมในเอกสาร 5 รายการ เป็นลายเซ็นปลอม จึงมีคำสั่งให้ริบเอกสารทั้ง 5 รายการ โดยมีเอกสารรายการเดียวเท่านั้น ที่กล่าวถึงบริษัทฯ คือ สัญญาซื้อขายหุ้น WEH ระหว่างนายเกษม กับ KPNET เป็นสัญญาระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นเอกสารคนละฉบับกับตราสารการโอนหุ้น ไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นการโอนหุ้นระหว่างนายเกษม กับ KPNET จึงมีผลสมบูรณ์ด้วยกฎหมาย
  • กลุ่มเหตุการณ์ที่ 3 ข้อพิพาทบุคคลภายนอก โดย KPNET อาศัยคำพิพากษาคดีอาญาปลอมแปลงเอกสาร หมายเลขแดงที่ อ.1753/2566 เพื่ออ้างตัวเป็นผู้ถือหุ้น WEH สำหรับ KPNET สถานะปัจจุบันเป็นบุคคลภายนอก ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัทฯ เพราะไม่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น และในบอจ.5 แต่หลังคำตัดสินคดีอาญาปลอมเอกสาร KPNET ได้อาศัยคำพิพากษาคดีดังกล่าว อ้างตัวเป็นผู้ถือหุ้น WEH และไปจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น WEH เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการคัดค้านต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ขณะที่กรณีของผู้ถือหุ้นกลุ่มที่ 2 สัดส่วน 40.54% ในกรณี บมจ. ณุศาศิริ หรือ NUSA ถือครองในสัดส่วน 7.12% ได้มาจากการซื้อขายชำระเงินโดยวิธีการแลกหุ้น (Share Swap) จากผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ 2 ซึ่งไม่ได้มีปัญหาใดๆ การทำธุรกรรมสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย บริษัทฯ จึงไม่มีความหนักใจใดๆ ในคดีที่ NUSA ยื่นต่อศาลขอเพิกถอนธุรกรรมแลกหุ้นทั้งหมด เพราะ NUSA ไปอ้างคำตัดสินคดีอาญา(คดีปลอมเอกสาร) ของหุ้นกลุ่มที่ 1 ที่ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ซึ่งข้อเท็จจริง และเอกสารหลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจนในตัวเอง พร้อมนำเสนอต่อศาลอยู่แล้ว

ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ WEH ยังกล่าวว่า สำหรับกรณีการแต่งตั้งบอร์ดบริหารของบริษัทยังสามารถแต่งตั้งได้ เนื่องจากมีเสียงของผู้ถือหุ้นในการแต่งตั้งบอร์ดรวมกันเกิน 51%

ขณะที่ ณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WEH ได้กล่าวว่า บริษัทยังมีการดำเนินงานปกติ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาปัญหานั้นเป็นปัญหาของผู้ถือหุ้นบริษัท โดยรายได้ในปีที่ผ่านมาเขากล่าวว่าอยู่ที่ราวๆ 10,000 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ราวๆ 5,000 ล้านบาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WEH ยังกล่าวว่า ในการขยายโครงการพลังงานลม หรือแม้แต่พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมนั้นบริษัทจะใช้กระแสเงินสด รวมถึงกำไรของบริษัทในการลงทุนต่อไป

]]>
1467423
SCBX เปิดตัวพันธมิตรอีกรายจากประเทศจีน ‘WeBank’ มองช่วยขยายขอบเขตในการทำธุรกิจ Virtual Bank https://positioningmag.com/1467383 Fri, 22 Mar 2024 14:48:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467383 SCBX ได้เปิดตัวพันธมิตรอีกรายในการทำธุรกิจ Virtual Bank นั่นก็คือ ‘WeBank’ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายดังกล่าวมีพันธมิตรที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่าง KakaoBank ซึ่งมาจากเกาหลีใต้

SCBX ได้ประกาศเปิดตัวพันธมิตรอีกรายในการทำธุรกิจ Virtual Bank นั่นก็คือ ‘WeBank’ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งทางสถาบันการเงินรายใหญ่มองว่าจะช่วยขยายขอบเขตในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการเจาะลูกค้าที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงิน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ SCBX ตามหลังมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศแนวทางการขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ในปี 2022 ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง SCBX ได้เปิดตัวพันธมิตรได้แก่ KakaoBank ซึ่งมาจากเกาหลีใต้

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์และมีความคล่องตัวจะเป็นรากฐานที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Virtual Bank ประสบความสำเร็จ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SCBX ยังชี้ว่า การร่วมมือกับ WeBank ในครั้งนี้ จะช่วยขยายขอบเขตและศักยภาพทางเทคโนโลยีของ Virtual Bank พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้บริการธนาคารที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า มุ่งหวังที่จะร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการบริการที่ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย

ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนปี 2023 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SCBX ได้กล่าวว่า Virtual Bank จะช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มโอกาสให้กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบนี้ ให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น และการจัดตั้ง Virtual Bank ให้แข็งแรงนั้น จะต้องอาศัยเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

สำหรับ WeBank นั้นถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจ Virtual Bank ในประเทศจีน มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ Tencent ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศจีน เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง WeChat และ QQ เป็นต้น

การประกาศเป็นพันธมิตรกับ WeBank และ KakaoBank แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการขอใบอนุญาต Virtual Bank ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งคู่แข่งทั้งสถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศไทยต่างจับจ้องในการขอใบอนุญาตดังกล่าว

]]>
1467383
บล.พาย เปิดตัวแอปฯ Pi Financial ชูจุดเด่นใช้งานง่ายลงทุนสะดวก ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1467261 Fri, 22 Mar 2024 06:51:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467261 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial โดยชูจุดเด่นในเรื่องการใช้งานง่าย และลูกค้าสามารถลงทุนได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทย กองทุนรวม ไปจนถึงหุ้นต่างประเทศ โดยตั้งเป้าในปี 2024 นี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 43,000 ล้านบาท

บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้มีการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัลที่ครบวงจร ควบคู่กับบริการแนะนำการลงทุนส่วนบุคคล เพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Digital With A Human Touch

สำหรับปี 2024 นี้ บล.พาย ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial โดยชูจุดเด่นในเรื่องการลงทุนที่ง่าย ใช้เอกสารเปิดบัญชีเท่าที่จำเป็น และสามารถเปิดบัญชีได้สะดวกโดยผ่านระบบ NDID รวมถึงมีบริการยืนยันตัวตนที่ 7-Eleven ซึ่งระบบดังกล่าวจะมีภายหลังจากนี้

สำหรับแอปพลิเคชัน Pi Financial นั้นมีบริการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ ฯลฯ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน การทำธุรกรรมฝากและถอนเงิน การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัทได้ชี้ถึงหน้าจอการใช้งานที่ง่าย และบริษัทยังรับฟังความเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริงเพื่อพัฒนาระบบให้ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ บล.พาย ยังชูจุดแข็งในเรื่องบทวิเคราะห์หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ ทั้งช่องทางเดิมที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดบทวิเคราะห์ไปอ่านได้ หรือแม้แต่ช่องทาง Social Content ที่เติบโตค่อนเร็ว ส่งผลทำให้บริษัทได้หันมาทำ Channel ผ่าน Youtube ซึ่งตัวเลขล่าสุดมีผู้ติดตามมากว่า 48,000 ราย และยังสามารถติดตามบทวิเคราะห์ดังกล่าวผ่านแอปฯ Pi Financial ได้ด้วย

บล.พาย ยังได้ชูถึงเรื่องบทวิเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นช่องทางแบบดั้งเดิม หรือการที่นักวิเคราะห์ได้ออกไลฟ์สตรีม / ภาพจากบริษัท

นอกจากนี้ บ๊อบ ยังได้กล่าวถึงการที่บริษัทเตรียมรุกธุรกิจ Wealth Management โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูง โดย บล.พาย เตรียมที่จะดึงพนักงาน Relationship Manager จำนวนหนึ่งมาร่วมงานเพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่มดังกล่าว และจะเริ่มหาลูกค้าในกลุ่มความมั่งคั่งสูงเข้ามาใช้บริการด้วย

ธุรกิจ Wealth Management ของ บล.พาย ที่กำลังจะเดินหน้านั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บล.พาย มองจุดเด่นที่แตกต่างจากธนาคารที่ได้ทำธุรกิจดังกล่าวในเรื่องของความอิสระที่มากกว่า

ในปี 2023 ที่ผ่านมา บล.พาย นั้นมีฐานลูกค้าล่าสุดมากกว่า 80,000 ราย และบริษัทได้ระดมทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐจากตระกูล Koo Family กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สัญชาติไต้หวัน และบริษัทคาดว่าจะระดมทุนเพิ่มอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐได้หลังจากนี้เพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่มีการแข่งขันสูง บ๊อบ มองว่าการลงทุนช่องทางดิจิทัลใช้เงินลงทุนสูงและเชื่อว่าผู้เล่นในอุตสาหกรรมจะมีจำนวนลดลง ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการ แต่เขาเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ของบริษัท บล.พาย จะเป็นผู้เล่นที่อยู่รอดได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บล.พาย ยังมองว่า ด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง และทีมที่ปรึกษาทางการลงทุนที่เชี่ยวชาญ บริษัทได้ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า และมีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 43,000 ล้านบาท

]]>
1467261
Bloomberg รายงาน ‘สยามพิวรรธน์’ อาจเข้า IPO ก่อนสิ้นปีนี้ คาดระดมทุนสูงสุดถึง 27,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1467100 Thu, 21 Mar 2024 08:13:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467100 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ‘สยามพิวรรธน์’ เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของไทย อาจเข้า IPO ในตลาดหุ้นไทยก่อนสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าจะระดมทุนมากถึง 27,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า สยามพิวรรธน์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ได้เตรียมที่จะ IPO เข้าตลาดหุ้นไทยภายในช่วงสิ้นปี 2024 นี้ หลังจากที่บริษัทได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศไทยเมื่อช่วงไตรมาส 3 ของปี 2023 ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้น แหล่งข่าวของ Bloomberg รายงานข่าวว่า สยามพิวรรธน์ ได้ติดต่อสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่งให้ยื่นข้อเสนอในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หรือแม้แต่เป็นผู้รับประกันการจัดจำหน่าย เพื่อที่จะเข้า IPO ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงก่อนสิ้นปีนี้

ขณะที่ยอดการระดมทุนนั้นแหล่งข่าวรายดังกล่าวยังคาดว่าจะอยู่ที่ 500-750 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยสูง  สุดราวๆ 27,000 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้สยามพิวรรธน์เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ฟื้นตัวหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด นอกจากนี้แผนการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยยังทำให้บริษัทสามารถนำเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นนำไปต่อยอดในโครงการในประเทศไทย หรือแม้แต่ต่างประเทศได้ในภายหลัง

ถ้าหากบริษัทสามารถระดมทุนในตลาดหุ้นไทยได้สำเร็จ จะทำให้เป็นการระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ บมจ. ไทยประกันชีวิต เข้า IPO ในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา

ปัจจุบันสยามพิวรรธน์ เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังในกรุงเทพมหานคร เช่น Siam Discovery Siam Center Siam Paragon รวมถึง Icon Siam นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

ในช่วงเดือนกันยายนของปี 2023 ที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ ได้แต่งตั้งบริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อช่วยปรับโครงสร้างและวางแผนทางการเงิน รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ในอนาคตมาแล้ว

]]>
1467100