UK – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 19 Jun 2024 08:50:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เศรษฐีสหราชอาณาจักร’ แห่หนีออกนอกประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ หลังกังวลการ ‘เก็บภาษีคนรวยเพิ่ม’ https://positioningmag.com/1478867 Wed, 19 Jun 2024 08:45:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478867 เศรษฐีสหราชอาณาจักร จำนวนมากเป็นประวัติการณ์อาจเดินทาง ออกจากประเทศ ในปีนี้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและการเก็บภาษีที่สูงขึ้นในอนาคต ทำให้สหราชอาณาจักร ไม่ใช่ปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับคนรวยอีกต่อไป

ตามรายงานของ Henley Private Wealth Migration Report คาดว่ามีจำนวน เศรษฐี 9,500 คน ที่จะ ย้ายออกจากสหราชอาณาจักร ในปีนี้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าจำนวนเศรษฐีที่ย้ายออกในปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า โดยสหราชอาณาจักร ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ที่คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐี 15,200 คน ในปีนี้

 “ผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน ยังคงเกิดขึ้น โดยที่เมืองลอนดอนไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอีกต่อไป” ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันเพื่อรัฐบาล เขียนในรายงาน

การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษจะมีการ เลือกตั้ง ในอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งพรรคแรงงานฝ่ายค้านที่สนับสนุนการ เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมประมาณ 20 คะแนน นอกจากนี้ ผลกระทบของ Brexit ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย รวมไปถึงการเพิ่มอุปสรรคใหม่ต่อการค้าและการลงทุน และผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สงครามในยูเครน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นตามมา ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรถือเป็นประเทศปลายทางของเศรษฐีในหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ลอนดอน

Source

]]>
1478867
CEO โรลส์-รอยซ์ ชี้เศรษฐียังซื้อรถหรูอยู่ หลังยอดขายทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 119 ปี https://positioningmag.com/1414893 Tue, 10 Jan 2023 07:53:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414893 รถหรูอย่าง Rolls-Royce นั้นยังขายได้เติบโตในปี 2022 แม้สภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มจะไม่เป็นใจ ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทำยอดขายสถิติสูงสุดใหม่ ขณะเดียวกันเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกยังต้องการรถหรูจากแบรนด์ดังกล่าวอยู่ และไม่มีทีท่าลดลงด้วยซ้ำ

Torsten Müller-Ötvös ซึ่งเป็น CEO ของผู้ผลิตรถยนต์หรูจากอังกฤษอย่าง โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) ชี้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเหล่ามหาเศรษฐียังซื้อรถหรูอยู่ในปี 2022 ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทได้รายงานยอดขายทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 119 ปี

ในปี 2022 ที่ผ่านมา Torsten ได้ชี้ว่ายอดขายรถยนต์ของบริษัทนั้นสูงถึง 6,021 คัน มากกว่าในปี 2021 ที่บริษัททำยอดขายได้ 5,586 คัน ซึ่งถือว่าทำลายสถิติยอดขายสูงสุด 119 ปีของบริษัท

รายได้สำคัญของบริษัทนั้นยังมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 35% ขณะที่ประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งรายได้อันดับ 2 ของ Rolls-Royce กลับมียอดขายลดลง สาเหตุสำคัญมาจากเศรษฐกิจในประเทศจีนจากผลกระทบของนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่บริษัทได้ยอดขายจากพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกมาทดแทน

ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังเตรียมที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Spectre ภายในปลายปีนี้ ซึ่งรถยนต์รุ่นดังกล่าวสามารถทำความเร็วๆ 0-100 กิโลเมตรได้ภายในระยะเวลา 4.5 วินาที

ราคาเฉลี่ยรถยนต์ของบริษัทที่ขายในปี 2022 นั้นอยู่ที่ 534,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 17.9 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากลูกค้าของบริษัทต้องการที่จะปรับเปลี่ยนสเปคของรถให้เหมาะสมกับตัวเอง ตั้งแต่วัสดุภายในรถยนต์ไปจนถึงสีของรถยนต์

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมที่จะเปิดโชว์รูมแบบพิเศษที่บริษัทจะเชิญลูกค้าเท่านั้น โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการไปแล้วที่ดูไบ และจะขยายรูปแบบบริการดังกล่าวทั่วโลกในภายหลัง

CEO รายดังกล่าวยังชี้ว่ายอดจองรถยนต์หรูในปี 2023 นี้ยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้แม้บริษัทจะไม่จำหน่ายรถยนต์ในประเทศรัสเซียจากมาตรการคว่ำบาตรของประเทศตะวันตก ก็ยังไม่ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบเท่าไหร่นัก แม้ว่ายอดขายรถหรูในรัสเซียของบริษัทจะมากถึงปีละ 250-300 คันต่อปีก็ตาม

ที่มา – Reuters, CNBC

]]>
1414893
คนงานใน ‘สหราชอาณาจักร’ กว่า 1.5 แสนคน ประท้วง ‘หยุดงาน’ เพื่อขอขึ้นค่าแรง หลังเจอวิกฤตเงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1398665 Fri, 02 Sep 2022 10:06:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398665 พนักงานในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่พนักงานรถไฟ นักข่าว ทนายความ และพนักงานไปรษณีย์ หยุดงานประท้วงในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เพื่อเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

คนงานอย่างน้อย 155,000 คนกำลังประท้วงหยุดงาน ตั้งแต่พนักงานไปรษณีย์ของประเทศ วิศวกร พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และพนักงานรถไฟ นัดหยุดงาน และในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า มีแนวโน้มว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ อาทิ ครู แพทย์ และพยาบาล เตรียมลงมติหยุดงานประท้วงด้วยเช่นกัน

การประท้วงดังกล่าวถือเป็นการก่อความไม่สงบทางอุตสาหกรรมครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ปี 1970 ที่ปัญหาอัตราเงินเฟ้อทำให้แรงงานจำนวนมากหยุดงานประท้วง โดยปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้นถึง 10.1% ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และคาดว่าพุ่งทะลุ 18% ในช่วงต้นปีหน้า และ Goldman Sachs คาดว่าอาจถึง 22% หากราคาน้ำมันไม่ลดลง

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้สหราชอาณาจักรต้องเจอกับปัญหาเงินเฟ้อ มาจากค่าพลังงานในครัวเรือนที่สูงขึ้นถึง 54% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในเดือนตุลาคมที่จะถึง โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3,549 ปอนด์ต่อปี (ราว 150,000 บาท) ตามการประมาณการโดย Auxilione บริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง และจะขึ้นเป็ 7,700 ปอนด์ (ราว 326,000 บาท) ภายในเดือนเมษายนปีหน้า

Chiara Benassi รองศาสตราจารย์ด้านการจ้างงานที่ King’s College London มองว่า การหยุดงานของแรงงานในทุกภาคส่วน เป็นสิ่งที่สหราชอาณาจักรไม่เคยเจอมาก่อน เพราะการประท้วงนี้ไม่ได้มาจากแค่แรงงานที่มีรายได้น้อยที่ต้องสู้กับวิกฤตค่าครองชีพ แต่แพทย์และวิศวกรก็ร่วมประท้วงด้วย

Deepsha Agrawal แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวกับ CNN Business ว่า เพื่อนร่วมงานของเธอจะร่วมประทิ้งเพื่อผลักดันให้ขึ้นค่าแรงที่มากกว่า 2% ตามที่รัฐบาลเคยตกลงกันไว้ในปี 2019 ขณะที่สหภาพการแพทย์อังกฤษของเธอจะลงคะแนนเสียงให้สมาชิกในเร็ว ๆ นี้ว่าจะนัดหยุดงานหรือไม่

“มันค่อนข้างน่าเศร้า เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะสูงขึ้นมากในปีหน้า และเพื่อนร่วมงานของเธอหลายคนรู้สึกว่าไม่สามารถซื้อบ้านหรือมีลูกได้”

Source

]]>
1398665
‘สหราชอาณาจักร’ ปักเป้าเป็น ‘ผู้นำโลกคริปโต’ พร้อมเตรียมสร้าง NFT ของตัวเอง https://positioningmag.com/1380560 Tue, 05 Apr 2022 10:10:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380560 ในช่วง 2-3 ปีมานี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าตลาด คริปโตเคอร์เรนซี และ NFT อีกแล้ว เพราะถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในการลงทุนเป็นจำนวนมาก ขณะที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญอย่างจริงจัง รวมไปถึง รัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่วางโรดแมปพาประเทศไปสู่ ผู้นำระดับโลกของตลาดคริปโต

รัฐบาลยูเครน ระดมทุนขาย ‘NFT’ ได้มากกว่า 6 แสนดอลลาร์ นำไปฟื้นฟูเมือง-พิพิธภัณฑ์

รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง NFT ของตัวเอง ซึ่งแผนเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ประเทศกลายเป็น ‘ผู้นำระดับโลก’ ในตลาดสกุลคริปโตเคอร์เรนซี โดย Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอให้โรงกษาปณ์ Royal Mint ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการผลิตเหรียญสำหรับสหราชอาณาจักร ให้จัดทำและออก NFT ในช่วงซัมเมอร์นี้ และจะแถลงถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้

NFT เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของไอเทมเสมือน เช่น อาร์ตเวิร์กหรืออวาตาร์วิดีโอเกมโดยใช้มีเทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง โดย NFT ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการยอมรับเพิ่มขึ้นจากคนดังและองค์กรขนาดใหญ่

ยิ่งกว่าก้าวกระโดด! ตลาด ‘NFT’ โตพุ่ง 21,000% มูลค่าทะลุ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรกำลังศึกษาถึงมาตรการในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาอยู่ภายใต้การตรวจสอบด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงแผนการที่จะสร้าง Stablecoins เพื่อใช้ในการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์, การตรวจสอบการรักษาทางภาษีของสินเชื่อการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi), การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการออกตราสารหนี้ รวมถึงปรึกษาเกี่ยวกับกฎการเทรดคริปโตกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Bitcoin เป็นต้น

“เราไม่ควรคิดว่ากฎระเบียบเป็นสิ่งที่เข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น แต่เราควรคิดให้กฎระเบียบเป็นเหมือนโค้ดคอมพิวเตอร์ ที่สามารถปรับแต่งและเขียนขึ้นใหม่ได้เมื่อจำเป็น” John Glen รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง

John Glen รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง

สำหรับ Stablecoins ที่เป็นคริปโตที่อ้างอิงมูลค่าตามสกุลเงิน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กำลังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมีเหรียญ Tether ซึ่งเป็นเหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอุปทานหมุนเวียนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับเงินสำรองที่สนับสนุนเหรียญอยู่ ซึ่งรัฐบาลสหราชอาณาจักพร้อมที่จะนำ Stablecoin เข้าสู่ระบบการกำกับดูแล

ไม่ใช่แค่เรื่องของคริปโต แต่รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังศึกษาเรื่อง Web3 ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน โดย Web3 นั้นจะเป็นอีกขั้นของอินเตอร์เน็ตโดยจะกระจายอำนาจมากขึ้น

“ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า Web3 จะเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสที่บล็อกเชนจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา ซึ่งเราต้องการให้ประเทศนี้เป็นผู้นำแถวหน้าในการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

Source

]]>
1380560
ค่าครองชีพพุ่ง ‘เงินเฟ้อ’ อังกฤษ แตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี https://positioningmag.com/1370903 Wed, 19 Jan 2022 12:20:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370903 อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร พุ่งเเตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี จากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้น อุปสงค์ที่กำลังฟื้นตัว และปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ผลักดันให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในเดือนธ.. 2021 อยู่ที่ระดับ 5.4% ต่อปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เเละสูงกว่าเดือนพ..ที่ขยายตัว 5.1% นับเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่เดือนมี.. 1992

มีการประเมินว่าราคาน้ำมันและไฟฟ้า จะพุ่งขึ้นถึง 50% ในเดือนเม..นี้ ส่วนราคาสินค้าทั่วไปในเดือนธ.. ก็ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ารายรับ จนสร้างแรงกดดันต่อรายได้ครัวเรือนโดยราคาสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันปรับสูงขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง

อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นค่อนข้างกระจายตัว (broad based) ซึ่งทำให้ราคาอาหารและค่าอาหารในร้านอาหารแพงขึ้น รวมไปถึงค่าโรงแรม เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในครัวเรือน เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ

จากเเนวโน้มค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปได้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยตลาดจะต้องจับตามองการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 3 .. ที่จะถึงนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ เมื่อเดือนธ.. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษ เป็นธนาคารกลางรายใหญ่แห่งแรกที่เริ่มปรับขึ้นต้นทุนการกู้ยืม หลังจากรักษาระดับต่ำในช่วงวิกฤตโควิด-19

ขณะเดียวกัน ตำแหน่งงานว่างที่สูงเป็นประวัติการณ์และอัตราการจ้างงานก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนเกิดโรคระบาด เชื่อมโยงกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ไม่ใช่แค่ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ค่าแรงในการทำงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เเต่ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการกลับสู่สภาวะปกติ” Paul Craig จาก Quilter Investors กล่าว

 

ที่มา : CNBC , Bloomberg 

]]>
1370903
ข่าวดี! ผลการศึกษาที่ UK พบเคสโอมิครอนเสี่ยงอาการหนักเข้ารพ. น้อยแค่ 1 ใน 3 ของเดลตา https://positioningmag.com/1369255 Sat, 01 Jan 2022 15:27:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369255 ความเสี่ยงป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อยู่ที่ราวๆ 1 ใน 3 ของตัวกลายพันธุ์เดลตา จากผลวิเคราะห์ของสหราชอาณาจักรที่เกี่ยวข้องกับเคสผู้ติดเชื้อทั้งสองสายพันธุ์มากกว่า 1 ล้านคนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกหนักหน่วงของ COVID-19 ซึ่งมีตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมากเป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีเคสผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 189,846 คนในวันศุกร์ที่ 31 ธ.ค. 64

ในขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเริ่มสูงขึ้น รัฐบาลเชื่อว่าตัวกลายพันธุ์ใหม่ก่ออาการเจ็บป่วยเบากว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา

จำนวนคนไข้ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจยังคงทรงตัวมาตลอดเดือนธันวาคม ต่างจากช่วงพีกสุดของการแพร่ระบาดระลอกก่อนๆ

ผลการวิเคราะห์นี้เผยแพร่โดยสำนักงานความมั่นคงทางสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร หลังจากพวกเขาดำเนินการวิจัยร่วมกับแผนก MRC Biostatistics แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในการวิเคราะห์ตัวอย่างเคสโอมิครอน 528,176 เคส และเคสเดลตา 573,012 ราย

นอกจากนี้ พวกเขายังพบด้วยว่าวัคซีนทำงานอย่างได้ผลกับตัวกลายพันธุ์โอมิครอน “ในการวิเคราะห์นี้ ความเสี่ยงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดต่ำลง สำหรับเคสติดเชื้อแบบโอมิครอนแบบแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการ หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และ 3 และความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลลดลงถึง 81% หลังฉีดเข็ม 3 หากเทียบกับคนที่ไม่ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อโอมิครอน”

ซูซาน ฮ็อปกินส์ หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของสำนักงานความมั่นคงทางสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า ผลวิเคราะห์สอดคล้องกับสัญญาณต่างๆ ในทางบวกอื่นๆ เกี่ยวกับโอมิครอน แต่หน่วยงานสาธารณสุขยังคงประสบกับปัญหากับอัตราการแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากเช่นนี้

“มันยังคงเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปใดๆ เกี่ยวกับอาการรุนแรงถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และด้วยโอมิครอนแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากๆ และเคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในอังกฤษ มันจึงยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ระบบสาธารณสุขของอังกฤษจะเผชิญแรงกดดันมหึมาในช่วงปลายสัปดาห์ข้างหน้า”

ข้อมูลอัปเดตล่าสุดในวันศุกร์ที่ 31 ธ.ค. 64 พบว่ามีคนไข้ COVID-19 รักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ ในอังกฤษ จำนวน 12,395 คน เพิ่มขึ้นจากระดับ 11,542 คนในวันพฤหัสบดีที่ 30 ธ.ค. 64 และยังคงอยู่ในแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่ามากจากระดับพีคสุดกว่า 34,000 คนในเดือนมกราคม

Source

]]>
1369255
‘อังกฤษ’ ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น ‘430 บาท/ชั่วโมง’ หวังแก้ปัญหา ‘เงินเฟ้อ’ https://positioningmag.com/1358583 Wed, 27 Oct 2021 06:26:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358583 คนงานในสหราชอาณาจักรราว 2 ล้านคน จะได้รับเงินเดือนที่มากขึ้น โดยจะเริ่มในเดือนเมษายนปีหน้า หลังจากที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

สหราชอาณาจักรเตรียมค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีอายุ 23 ปีขึ้นไป โดยจะเพิ่มขึ้น 6.6% เป็น 9.50 ปอนด์ หรือราว 430 บาท โดยการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพนั้น คิดเป็น สองเท่า ของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ 3.1% อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์มองว่ายัง ไม่เพียงพอ เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และรัฐบาลกำลังลดสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยในขณะที่ขึ้นภาษีแรงงาน

ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ ยังต้องเผชิญกับรายจ่ายในสัดส่วนที่สูงขึ้นเนื่องจากค่าใช่จ่ายด้านที่พุ่งสูงขึ้น โดยหน่วยงานกำกับดูแลภาคก๊าซและไฟฟ้าของสหราชอาณาจักรประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมว่า ขีดจำกัดราคาปกป้องบ้านจากบิลที่พุ่งขึ้นสูงถึง 15 ล้านครัวเรือน จะเพิ่มขึ้นถึง 13% ในเดือนนี้ หลังจากที่ราคาก๊าซธรรมชาติสร้างสถิติใหม่

Nye Cominetti นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านนโยบายเศรษฐกิจคิดว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 แต่มองว่า การปรับขึ้นราคาเดือนเม.ย. ปี 65 อาจทำให้มูลค่าดูน้อยลง เนื่องจากเมื่อถึงช่วงเวลาดังกล่าว อัตราเงินเฟ้อน่าจะมากกว่า 4%

นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่า เงินเฟ้อน่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดย Huw Pill นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของ Bank of England กล่าวกับ Financial Times เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขา “จะไม่ตกใจ” ที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 5% ในต้นปีหน้า ดังนั้น ค่าจ้างที่สูงขึ้นจะไม่ชดเชยอย่างเต็มที่ สำหรับการลดลงของสวัสดิการรัฐบาลสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ โดยลดลง 20 ปอนด์ หรือราว 920 บาทต่อสัปดาห์

Tom Waters นักเศรษฐศาสตร์วิจัยอาวุโสขององค์กรวิจัย Institute for Fiscal Studies กล่าวว่า คนงานเต็มเวลาที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำจะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ปอนด์ หรือราว 46,000 บาทต่อปี

Source

]]>
1358583
ยักษ์อีคอมเมิร์ซ ‘Amazon’ เตรียมจ้างพนักงานเพิ่ม 10,000 ตำเเหน่งใน UK รับเศรษฐกิจฟื้น https://positioningmag.com/1332375 Sun, 16 May 2021 08:48:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332375 ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง ‘Amazon’ วางเเผนจะจ้างพนักงานเพิ่ม 10,000 ตำเเหน่งในสหราชอาณาจักร หลังประกาศจ้างพนักงานส่งของและพนักงานคลังสินค้ากว่า 75,000 คนในสหรัฐฯ และแคนาดา เชื่อมั่นลงทุนหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น

โดยตำแหน่งงานใหม่ของ Amazon ที่จะเปิดรับสมัครในสหราชอาณาจักรนั้น จะรวมถึงพนักงานประจำคลังสินค้า 4 แห่งใหม่และพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน, แมนเชสเตอร์, เอดินเบอระ และแคมบริดจ์ รวมไปตำแหน่งงานไอทีใน Amazon Web Services ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งของ Amazon ด้วย

อย่างไรก็ตาม Amazon ปฏิเสธที่จะระบุถึงจำนวนการเพิ่มตำแหน่งใหม่ ในส่วนพนักงานขับรถจัดส่งและพนักงานคลังสินค้า หลังมีการประท้วงเรื่องค่าเเรงต่ำและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ไม่ดีนัก

สำหรับค่าเเรงในการทำงานของ Amazon ในสหราชอาณาจักร จะเริ่มต้นที่ 10.80 ปอนด์ ต่อชั่วโมง (ราว 477 บาท) ในพื้นที่กรุงลอนดอน และ 9.70 ปอนด์ต่อชั่วโมงในส่วนอื่นๆ

โดยตั้งเป้าว่าพนักงานทั้งหมดในสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 5.5 หมื่นราย ได้ภายในสิ้นปี 2021 ซึ่งจะทำให้ Amazon บริษัทกลายเป็นหนึ่งเป็นในบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากที่สุดในอังกฤษ เหมือนยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอื่น ๆ ของสหรัฐฯ อย่าง Google, Microsoft, Facebook และ Apple

นอกจากนี้ Amazon วางเเผนจะทุ่มงบประมาณราว 10 ล้านปอนด์ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้ฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ให้พนักงานในสหราชอาณาจักรราว 5,000 คน เพื่อเสริมความสามารถในการประกอบอาชีพทั้งในเเละนอกองค์กร พร้อมร่วมงานกับหอการค้าอังกฤษและธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อเเก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะในส่วนภูมิภาค

เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังการระบาดใหญ่ ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญในภาคการค้าปลีกของเรา

เเม้ว่า Amazon จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างงานมากมายในสหราชอาณาจักร แต่บริษัทก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาษีที่จ่ายโดยบริษัทจ่ายจ่ายภาษีเเค่ 293 ล้านปอนด์ในปี 2019 จากยอดขายมีมากถึง 1.37 หมื่นล้านปอนด์

 

 

ที่มา : CNBC , BBC

]]>
1332375
Wendy’s เชนเบอร์เกอร์ยักษ์ใหญ่ หวนชิงตลาด ‘อังกฤษ’ ในรอบ 20 ปี รับเทรนด์ Takeaway บูม https://positioningmag.com/1331299 Mon, 10 May 2021 08:30:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331299 ‘Wendy’s’ เชนเบอร์เกอร์ยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 จากสหรัฐฯ ตัดสินใจคืนสังเวียนสู้ในตลาดอังกฤษอีกครั้งในรอบ 20 ปี พร้อมชิงส่วนเเบ่งจากคู่เเข่งอย่าง McDonald’s และ Burger King หลังอานิสงส์เทรนด์ซื้อกลับบ้านเเบบ ’Takeaway’ บูมขึ้นช่วงโควิด-19 ตั้งเป้าขยายสาขาทั่วโลกให้ได้ 8,000 เเห่งภายในปี 2025

โดย Wendy’s วางเเผนจะเปิดสาขากว่า 400 เเห่งทั่วสหราชอาณาจักร และตั้งเป้าว่าจะสร้างงานให้ได้อย่างน้อย 12,000 ตำแหน่ง แม้ว่าต้องใช้เวลาหลายปีก็ตาม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2001 Wendy’s ประกาศออกจากตลาดสหราชอาณาจักรไป โดยให้เหตุผลเรื่องต้นทุนที่ทำให้บริษัทเติบโตได้ไม่เต็มที่ เเต่การกลับมาครั้งนี้ก็ต้องเจอกับงานหิน เมื่อเเบรนด์ McDonald’s ขยายตลาดไปในสหราชอาณาจักรไปกว่า 1,300 แล้ว

Abigail Pringle ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Wendy’s ให้สัมภาษณ์ว่า ตลาดเบอร์เกอร์และเทรนด์การซื้อกลับบ้านเเบบ ‘Takeaway’ ในสหราชอาณาจักรที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงการเเพร่ระบาด นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาของ Wendy’s

Wendy’s จะวางให้สหราชอาณาจักรเป็นสปริงบอร์ดเพื่อขยายการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปต่อไป โดยเมื่อปีที่เเล้ว เเบรนด์เพิ่งจะเเซงคู่เเข่งอย่าง Burger King ขึ้นเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดเเฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ

สำหรับสาขาแรกของ Wendy’s ในอังกฤษจะเริ่มเปิดในเมือง Reading ช่วงเดือนหน้า จากนั้นจะขยายไปยังเมือง Stratford เเละ Oxford ซึ่งทางร้านระบุว่า จะมีเมนูใหม่ที่เหมาะกับตลาดอังกฤษเเละถูกใจคนในพื้นที่ รวมถึงเมนูที่เป็นมังสวิรัติด้วย 

จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย Wendy’s มองว่าเเม้จะตลาดในสหราชอาณาจักรจะไม่ขยายตัวเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้ เเต่ก็เชื่อว่าจะสามารถชิงส่วนเเบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้ โดยเน้นไปที่คุณภาพและบริการพร้อมส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นและเนื้อสดที่ไม่ได้แช่แข็ง

Wendy’s เป็นเชนเบอร์เกอร์เก่าเเก่ที่ก่อตั้งมาตั้งเเต่ปี 1969 ปัจจุบันมีสาขาราว 6,800 เเห่งทั่วโลก อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.56 แสนล้านบาท)

โดยมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้ได้ 8,000 เเห่งภายในปี 2025 เน้นไปที่แคนาดาและสหราชอาณาจักร หลังมองเห็นการเติบโตของธุรกิจในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผู้คนหันมาสั่งอาหารผ่านแอปฯ หรือซื้อเเบบ drive-thru

ทั้งนี้ Wendy’s รายงานผลประกอบการเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่ายอดขายของร้านอาหารในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ยอดขายร้านอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5%

 

ที่มา : BBC , Yahoo Finance 

]]>
1331299
‘คนอังกฤษ’ เมินฉีดวัคซีน ‘แอสตราเซเนกา’ เพิ่มขึ้น กังวลความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน https://positioningmag.com/1329842 Wed, 28 Apr 2021 14:04:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329842 ผลสำรวจพบ ความนิยมของวัคซีนแอสตราเซเนกา’ (AstraZeneca) ในหมู่คนอังกฤษลดลงอย่างมาก หลังมีรายงานผลข้างเคียงหลังฉีด ที่เชื่อมโยงกับการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

จากผลสำรวจความเห็นของประชาชนเกือบ 5,000 คนในสหราชอาณาจักร ช่วงเดือนเมษายน พบว่า ประชาชนมีความต้องการที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาลดลง นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา เเละมีและความเชื่อว่าจะทำให้เลือดภาวะอุดตันลิ่มเลือดเพิ่มขึ้น

ผลการศึกษาทางวิชาการของอังกฤษ พบว่า กลุ่มคนที่เคยประสงค์จะฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา ที่มีอยู่ราว 24% ในเดือนมีนาคม ลดลงเหลือเพียง 17% ของผู้ตอบแบบสอบถามในเดือนเมษายนเท่านั้น

ขณะที่ 23% เชื่อว่าวัคซีนของแอสตราเซนเนกานั้น ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน กลับมีเพิ่มขึ้นจากระดับ 13% ในเดือนมีนาคม

อย่างไรก็ตาม ชาวอังกฤษอีก 39% ยังคงเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ เเละอีก 38% ระบุว่า พวกเขายังไม่แน่ใจว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องหรือไม่

Photo : Shutterstock

โดยผลการศึกษานี้ ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยบริสทอล คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ร่วมกับสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติ (NIHR) จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 1-16 เมษายน

ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนมีความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลังได้รับข่าวสารใหม่ เมื่อทางการอังกฤษประกาศว่า มีความเป็นไปได้ที่วัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา จะเกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้ยากจากนั้นมีชาติในยุโรปอย่างเดนมาร์กตัดสินใจระงับการฉีดวัคซีนนี้

ขณะท่ี่ผลการทดลองขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่าวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดย ‘แอสตราเซเนกา’ และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มีประสิทธิภาพ 79% ในการป้องกันอาการเจ็บป่วยและได้ผล 100% ในการป้องกันโรครุนแรงและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และสำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ประสิทธิภาพของวัคซีนจะอยู่ที่ 80%

อย่างไรก็ตาม เเม้ข้อกังขาในผลข้างเคียงของวัคซีนจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น เเต่ก็เกิดขึ้นเฉพาะยี่ห้อเท่านั้น เนื่องจากความพึงพอใจการในการควบคุมวิกฤตโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีนโดยรวมนั้นมีมากขึ้น

โดยกว่า 81% มองว่า วัคซีนมีความปลอดภัย เพิ่มขึ้นจากระดับ 73% ในช่วงปลายปี 2020 เเละชาวอังกฤษกว่า 86% เชื่อว่าการทำงานของวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้นจากระดับ 79% ในช่วงเดือนพฤศจิกายนธันวาคมของปีที่เเล้ว

 

ที่มา : CNBC , Reuters 

]]>
1329842