Kimberly-Clark เปิดแผนลดพนักงาน 5,000 ตำแหน่ง หรือประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของกำลังแรงงานทั่วโลก ขณะเดียวกันก็เตรียมปิดหรือเลขายโรงงาน 9 แห่งจาก 91 แห่งทั่วโลก บนเป้าหมายลดต้นทุนให้ได้ 2 พันล้านเหรียญฯ ภายในปี 2021
การประกาศแผนลดจำนวนพนักงานลง 13% ของ Kimberly-Clark ถือเป็นสัญญาณบอกความไม่ปกติของเศรษฐกิจโลก โดย Kimberly-Clark มีแบรนด์ดังในมืออย่างผ้าอ้อม Huggies และกระดาษทิชชู Kleenex จุดนี้ทำให้มีการวิเคราะห์ว่า การลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อกู้วิกฤติขาลงยอดขายของบริษัท
สำหรับแผนปิดหรือขายสายพานการผลิต 9 แห่งใน 91 โรงงานทั่วโลก Kimberly-Clark หวังว่าจะข่วยให้บริษัทสามารถตัดลดต้นทุนได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญฯ ภายใน 4 ปีนับจากนี้ จุดนี้มีรายละเอียดแจงว่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญฯ จะมาจากการรัดเข็มขัดภายในธุรกิจ ขณะที่อีก 500 ล้านเหรียญฯ ถึง 550 ล้านเหรียญฯ จะมาจากความพยายามในการปรับปรุงการผลิตและห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ
หลายปีที่ผ่านมา Kimberly-Clark ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นพยายามต่อสู้เพื่อไม่ให้หุ้นของบริษัทตกต่ำ Kimberly-Clark ไม่ต่างจากบริษัทอื่นที่ต้องพยายามเติบโตเพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของนักลงทุน แต่ความพยายามนี้สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้างเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภต และความกดดันด้านการแข่งขันของวงการ
วิกฤติของ Kimberly-Clark เห็นได้ชัดจากส่วนแบ่งการตลาด วันนี้ผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ เช่น Target และ Costco ต้องดึงดูดผู้ซื้อด้วยการลดราคาสินค้าเพื่อจำหน่ายออนไลน์ ในขณะเดียวกันก็ต้องแข่งกับร้านค้าปลีกอื่นเช่น Walmart, Aldi และ Lidl ทั้งหมดนี้รู้จักกันดีเรื่องราคาสินค้าที่ต่ำกว่า และทุกคนยังคงต้องเปิดร้านใหม่และหาทางเพิ่มอิทธิพลของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น Procter & Gamble คู่แข่งรายใหญ่ของ Kimberly-Clark ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าจะจัดโปรโมชันลดราคามีดโกน Gillette ทั้งหมดนี้ทำให้ฐานะเจ้าพ่อสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดพีแอนด์จี ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและโกยส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งไปได้มากขึ้นต่อเนื่อง
P&G มีหลายแบรนด์ที่แข่งขันกับ Kimberly-Clark โดยตรง โดยเฉพาะตลาดผ้าอ้อมที่แข่งขันรุนแรงในแทบทุกตลาดทั่วโลก ไม่พอ ทั้งคู่ยังได้รับความกดดันจากการที่ Amazon ตัดสินใจเปิดตัวธุรกิจผ้าอ้อมของตัวเอง จุดนี้ถือเป็นการบุกหนักตลาดผ้าอ้อมเด็ก ที่ผู้ซื้ออย่างพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเติมเงินเพื่อซื้อเป็นประจำ และมีผู้ซื้อมากขึ้นต่อเนื่อง
รายงานเบื้องต้นระบุว่า Kimberly-Clark กำลังพิจารณาเรื่องการขายธุรกิจกระดาษทิชชูสำหรับผู้บริโภค เซกเมนต์นี้จะรวมแบรนด์กระดาษ Scott และแบรนด์อื่นซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมบริษัท
การตัดสินใจของ Kimberly-Clark เป็นไปในทางเดียวกับ Unilever และ Nestle ที่พยายามตัดธุรกิจที่ไม่โตตามเป้าหมายหรือ underperforming business ทิ้งไป จุดนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Thomas Falk แสดงความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงของบริษัทจะทำให้บริษัทมีผลกำไรที่ดีขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้บริษัทสามารถลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีการเติบโตมากกว่า แถมยังช่วยให้บริษัทแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น
หุ้นของ Kimberly-Clark เพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% หลังประกาศ สำหรับช่วงไตรมาสที่ 4 ปีการเงิน 2017 Kimberly-Clark รายงานรายได้สุทธิที่ 1.75 เหรียญฯ ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 1.40 เหรียญฯ ในปีที่ผ่านมา โดยหลังจากหักรายการค่าใช้จ่ายทางบัญชี บริษัทมีรายได้ราว 1.57 เหรียญฯ ต่อหุ้น
ยอดขายสุทธิ Kimberly-Clark เพิ่มขึ้น 1% แตะที่ 4.6 พันล้านเหรียญฯ ในขณะที่ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง 2% ตัวเลขเหล่านี้ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่า Kimberly-Clark จะทำได้ 1.54 เหรียญฯ ต่อหุ้น จากรายได้ 4.6 พันล้านเหรียญฯ ตามคาดการณ์ของ Thomson Reuters
สิ่งที่น่าสนใจจากตัวเลขผลประกอบการของ Kimberly-Clark คือราคาจำหน่ายสินค้าของบริษัท ลดลง 4% ผลจากการจัดโปรโมชันซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในสินค้าหลายประเภท ทั้งหมดนี้คาดว่ายอดขายสุทธิในปีนี้ 2018 จะเพิ่มขึ้น 1-2% เช่นเดิม
ที่มา : cnbc.com/2018/01/23/kimberly-clark-to-slash-5000-half-in-north-america-close-10-factories.html