สงครามการค้าทำพิษ FedEx รับโลจิสติกส์วูบหลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนักสุดรอบ 10 ปี

ภาพ : facebook.com/pg/FedEx

งานเข้า FedEx เจ้าพ่อโลจิสติกที่อยู่ในภาวะหุ้นร่วง 14 – 18% เพียงวันเดียวหลังประกาศผลประกอบการพลาดเป้า พร้อมกับประเมินเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่าหดตัวจนน่าเป็นห่วง แถมสัญญาระหว่าง FedEx กับเจ้าพ่อออนไลน์อย่าง Amazon ก็กำลังจบลง ส่งให้ Amazon และ FedEx กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงแบบช้างชนช้าง

สำหรับเศรษฐกิจโลก FedEx ระบุว่าความคึกคักบนเวทีการค้าโลกวันนี้อยู่ในช่วงชะลอตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ FedEx ปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ปีนี้ลง พร้อมกับย้ำว่าการค้าระหว่างประเทศกำลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของรัฐบาล Trump ซึ่งทำให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาลดลง ทำให้ความต้องการใช้บริการโลจิสติกลดตามไปด้วย

Brie Carere ประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสารของ FedEx ย้ำว่าดัชนีการค้าโลกจะสะท้อนภาพการชะลอตัวชัดเจนในปีนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดย 10 ปีที่ผ่านมา การค้าโลกได้รับการอัดฉีดจากมาตรการปลอดภาษี และมาตรการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งเครื่องมือทรงพลังเหล่านี้ได้หดหายไปอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009

ยอด shipping ตก

Alan Graf ประธานฝ่ายการเงินของ FedEx มองว่าไม่เพียงเศรษฐกิจโลก แต่สถิติการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมยังซบเซาจนทำให้มีผลผลิตน้อยกว่าดีมานด์ที่คาดเอาไว้ สินค้าที่น้อยลงทำให้ยอดการ shipping หดตัว ซึ่ง FedEx ยอมรับผลนี้และประกาศลดตัวเลขประเมินผลประกอบการล่วงหน้าสำหรับปี 2020 อย่างเป็นทางการ

เมื่อปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ลดลงชัดเจน นักวิเคราะห์ใน Wall Street จึงไม่อยู่เฉย ทำให้หุ้น FedEx ถูกลดเกรดจนน่าใจหาย ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายมองว่า FedEx ควบรวมเครือข่าย TNT ผู้ให้บริการในยุโรปได้ช้าเกินไป ทั้งที่ซื้อกิจการสำเร็จตั้งแต่ปี 2016 ด้วยราคา 4,400 ล้านเหรียญ 

แข่งรอบด้าน

Fred Smith ผู้ก่อตั้ง FedEx ยอมรับกับนักลงทุนว่าวันนี้ FedEx ต้องแข่งขันกับบริษัท UPS และ DHL และล่าสุดคือ Amazon ที่จะเป็นคู่แข่งเต็มตัวคนใหม่ ทำให้ FedEx ต้องปรับตัวตลอดเวลาเพื่อยกระดับบริการ

สำหรับกรณีของ Amazon สื่อบางสำนักมองว่า FedEx จะได้รับผลรุนแรงจากการปิดฉากความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งคู่ โดยบริการ FedEx Express พบว่ามียอดการจัดส่งสินค้าในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียง 7% เท่านั้น ซึ่งแปลว่าตลาด e-commerce ยังเป็นเซกเมนต์รองของ FedEx อยู่ ทั้งที่ FedEx ควรตื่นตัวกว่านี้ในยุคแห่ง e-commerce.