ดราม่ารายวันสำหรับ “แกร็บ” หลังจากที่มีการขึ้ค่า GP ร้านอาหารของ GrabFood เป็น 35% แล้วพอมีกระแสหนักขึ้นก็ทำการปรับลดลง ล่าสุดมีการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ GrabExpress เรียกว่าเป็นการฉวยโอกาสในทุกช่องทางหรือไม่?
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีกระแสบนโซเชียลมีเดียถึงประเด้นร้อนแรงที่ “แกร็บ” ได้ทำการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการจัดส่งพัสดุ (GrabExpress) และบริการผู้ช่วยฝากซื้อสินค้าพร้อมส่งถึงบ้าน (GrabAssistant) เป้นจำนวน 3 บาท/ครั้ง เป็นการเก็บเพิ่มกับลูกค้าที่ใช้บริการ พร้อมย้ำว่าไม่กระทบรายได้ของพาร์ตเนอร์คนขับ มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563
ทำให้มีกระแสลบออกมาอีกระลอก หลังจากก่อนหน้านี้ได้ขึ้นค่า GP ร้านอาหารสำหรับบริการเดลิเวอรี่ ขึ้นค่าจัดส่งแต่คนขับไม่ได้ พร้อมกับมีค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อขนาดเล็กอีก เรียกว่าเป้นการตอกย้ำวิกฤตให้แย่ลงไปอีก
แต่ล่าสุดทางแกร็บได้มีการชี้แจงแล้วว่า ได้ทำการงดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว พร้อมกับคำชี้แจงดังนี้
สืบเนื่องจากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลบนช่องทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการประกาศเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชันของแกร็บนั้น แกร็บ ประเทศไทย ขอเรียนชี้แจงให้ทราบถึงข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
บริษัทฯ ได้ ยุติการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชันสำหรับบริการจัดส่งพัสดุ (GrabExpress) และบริการผู้ช่วยฝากซื้อสินค้าพร้อมส่งถึงบ้าน (GrabAssistant) โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ (3 เมษายน 2563) เป็นต้นไป ทั้งนี้ แกร็บจะมอบโค้ดส่วนลดมูลค่า 40 บาทให้กับผู้ที่ได้ใช้บริการทั้งสองประเภทในระหว่างวันที่ 31 มีนาคมถึง 2 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นการชดเชยให้กับผู้ใช้บริการ โดยโค้ดส่วนลดดังกล่าวสามารถใช้ได้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 นี้
- ‘แกร็บ’ แก้ปมดราม่าด้วย ‘แกร็บแคร์’ ปรับลด GP เหลือ ‘30%’ พร้อมเร่งเวลาเปิดร้านบนแกร็บเหลือ ‘10 วัน’
บริษัทฯ ขอยืนยันว่า แกร็บไม่เคยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชันสำหรับบริการจัดส่งอาหาร (GrabFood) แต่อย่างใด
พร้อมกับขอชี้แจงว่า จุดประสงค์ของการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชันที่ได้ดำเนินไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อนำรายได้ส่วนนี้ไปใช้ในการคุ้มครองและดูแลพาร์ตเนอร์คนขับที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่ผ่านมาซึ่งแกร็บได้มีการเพิ่มจำนวนพาร์ตเนอร์คนขับกว่า 29,000 คน และกำลังเปิดรับเพิ่มอีกอย่างน้อย 35,000 คนในเดือนเมษายนนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคหลายคนได้มองว่าแบรนด์ที่ดีต้องไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ยิ่งเมื่อยามที่ประเทศเกิดวิกฤตหนักขนาดนี้ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
สุดท้ายแล้วไม่แน่ใจว่าดราม่า หรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะกระทบกับแกร็บในระยะยาวหรือไม่ แต่การแข่งขันในตลาดสูงึข้นเรื่อยๆ และในตลาดไม่ได้มีแค่แบรนด์เดียว ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นได้เสมอ