ในช่วงปลายเดือน ม.ค. เวียดนามตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 สองรายแรกของประเทศ และรัฐบาลได้ติดต่อไปยังบริษัทต่างๆ ที่มีประสบการณ์ด้านการทดสอบทางการแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เดินเกมรับมืออย่างรวดเร็ว
ฟาน ก๊วก เหวียด (Phan Quoc Viet) นักธุรกิจจาก จ.เตยนีง (Tay Ninh) ทางภาคใต้ของประเทศเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐ
“เจ้าหน้าที่บอกว่าเวียดนามจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร็ว” ฟาน ก๊วก เหวียด เจ้าของบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ Viet A Corp ที่ผลิตชุดทดสอบและเป็นศูนย์กลางที่ทำให้เวียดนามสามารถเพิ่มการทดสอบหาเชื้อไวรัสได้ กล่าว
เวียดนาม ประเทศที่มีประชากรกว่า 96 ล้านคนที่มีพรมแดนติดกับจีน กำลังส่งสัญญาณว่าประเทศประสบความสำเร็จในการควบคุมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สิ่งที่หลายประเทศที่พัฒนามากกว่าและมั่งคั่งมากกว่ายังทำไม่สำเร็จ
รัฐบาลรายงานอย่างเป็นทางการว่าประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 270 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์ ซึ่งทำให้ประเทศกลับเข้าสู่เส้นทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายรายให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์
เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคที่มีประชากรมากกว่าเล็กน้อยเช่น “ฟิลิปปินส์” พบว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่าเวียดนามเกือบ 30 เท่า และเสียชีวิตมากกว่า 500 คน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกล่าวว่า เวียดนามประสบความสำเร็จ เพราะดำเนินการตั้งแต่ต้น ทั้งการดำเนินมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ การกักตัวคนจำนวนหลายหมื่นคนเพื่อสังเกตอาการ การเพิ่มปริมาณการตรวจหาเชื้อ และการติดตามผู้ที่อาจสัมผัสกับเชื้อไวรัสในเชิงรุก
“ขั้นตอนเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายที่จะอธิบาย แต่ยากที่จะนำไปปฏิบัติ แต่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการนำไปดำเนินการซ้ำๆ” แมทธิว มัวร์ เจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ ในกรุงฮานอย ที่ประสานงานกับรัฐบาลเวียดนามเกี่ยวกับการระบาดตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. กล่าว
มัวร์ เสริมว่า สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ มีความมั่นใจอย่างมากต่อการตอบสนองวิกฤตของรัฐบาลเวียดนาม
จัดการเป็นระบบ ทุกฝ่ายร่วมมือกัน
เวียดนามเพิ่มจำนวนห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อโรค COVID-19 จากในช่วงเริ่มแรกของการระบาดเมื่อเดือน ม.ค. ที่มีห้องปฏิบัติการอยู่เพียง 3 แห่ง กลายมาเป็น 112 แห่งในเดือน เม.ย. และจนถึงวันที่ 29 เมษายน เวียดนามได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสแล้ว 213,743 ครั้ง และมีผลตรวจเชื้อเป็นบวก 270 ครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในเวียดนามเป็นผลจากการรวมกันขององค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเผด็จการของประเทศ เศรษฐกิจตลาดเปิดกว้าง และประชากรที่มีความทรงจำเกี่ยวกับการระบาดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้พร้อมให้ความร่วมมือ
“เวียดนามจัดการอย่างเป็นระบบ เวียดนามสามารถทำให้การตัดสินใจนโยบายทั่วประเทศประกาศใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีการถกเถียงโต้แย้งกันมากเกินไป” กาย ทเวทส์ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยทางคลินิกมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดในนครโฮจิมินห์ กล่าว
ทเวทส์ กล่าวว่า จำนวนผลการทดสอบที่เป็นบวก ที่ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการของเขานั้น สอดคล้องต่อข้อมูลของรัฐบาล ซึ่งเขากล่าวว่า โรงพยาบาลโรคเขตร้อนขนาด 550 เตียงในนครโฮจิมินห์ที่เขาทำงานอยู่ ไม่ได้รับผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากตัวเลขของรัฐบาล
“หากมีการระบาดในชุมชนเกิดขึ้นโดยไม่ถูกรายงาน เราจะต้องเห็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลของเราบ้าง แต่นี่ไม่มี” ทเวทส์ กล่าว และว่าห้องปฏิบัติการของเขาเพิ่มขีดความสามารถจากที่เคยตรวจหาเชื้อได้ประมาณ 100 ครั้งต่อวัน เป็นประมาณ 1,000 ครั้งต่อวัน
รอยเตอร์ยังติดต่อไปยังผู้จัดการโรงประกอบพิธีศพ 13 แห่ง ในกรุงฮานอย ซึ่งผู้จัดการเหล่านั้นกล่าวว่า จำนวนผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนั้น การจัดพิธีศพยังลดลงในช่วงที่รัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ด้วย เพราะอุบัติเหตุจากการจราจรลดลงเช่นกัน
ตรวจหาเชื้อแบบเชิงรุก
ทอดด์ พอลแล็ค ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อจากฮาร์วาร์ด ที่มีสำนักงานในกรุงฮานอย กล่าวว่า กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีจำนวนไม่ถึง 10% ของผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดในประเทศ ซึ่งคนในกลุ่มอายุนี้มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจาก COVID-19 มากที่สุด
โดยพอลแล็ค ยังกล่าวเสริมอีกว่า ผู้ป่วยทุกคนได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในสถานพยาบาลและได้รับการดูแลทางการแพทย์เป็นอย่างดี และเกาหลีใต้ก็เป็นอีกประเทศที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสกับคนจำนวนมาก และรักษาให้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน
“อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเกาหลีใต้อยู่ที่ประมาณ 2% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาทดสอบอย่างกว้างขวาง หากเราใช้อัตรานี้กับจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อของเวียดนาม และพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เราก็สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างไรจนถึงตอนนี้”
ส่วนแพทย์โรคติดเชื้อและความมั่นคงทางชีวภาพอีกรายหนึ่ง จากศูนย์จอห์น ฮอปกินส์เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ กล่าวว่า “ไม่มีทางที่จะรู้ได้แน่นอน แต่พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมจากการตอบสนองของพวกเขาด้วยการทดสอบ การแยก และกักกันคน”
ในปลายเดือน ก.พ. ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังคงไม่ให้ความสำคัญถึงอันตรายของโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เหวียด และเพื่อนของเขาเริ่มจัดหาสินค้าที่เป็นส่วนประกอบสำคัญซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชุดตรวจ COVID-19 จากสหรัฐฯ และเยอรมนี
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแพทย์ทหารของรัฐบาลเวียดนาม ที่ทำงานร่วมกับบริษัท Viet A Corp ของเหวียด ได้ออกแบบชุดทดสอบเป็นที่เรียบร้อย และรัฐบาลได้มอบใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนผลิตชุดตรวจดังกล่าว
ระงับเที่ยวบินจากอู่ฮั่น ปิดพรมแดนกับจีนรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ทางการเวียดนามได้สั่งระงับเที่ยวบินเข้า และออกจากเมืองอู่ฮั่นของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่การระบาดเริ่มขึ้น หลังพบผู้ป่วย 2 รายแรกของประเทศ แม้เวลานั้นองค์การอนามัยโลกยังไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการเดินทาง และในสัปดาห์ต่อมา เวียดนามสั่งปิดพรมแดนติดกับจีนทั้งหมดยกเว้นการค้าสำคัญ
จนถึงกลางเดือน มี.ค. เวียดนามออกมาตรการบังคับสวมหน้ากากในที่สาธารณะทั่วประเทศ ความเคลื่อนไหวที่ไม่สนใจคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยที่ควรสวมหน้ากาก ส่วนโรงงานผลิตเสื้อผ้าในประเทศบางรายได้เปลี่ยนการผลิตมาผลิตหน้ากากทางการแพทย์ และหน้ากากผ้าเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ
ในเวลาต่อมา องค์การอนามัยโลกระบุว่าได้เผยแพร่คำแนะนำเกี่ยวกับการสวมหน้ากากในสถานการณ์ที่ไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้ และระบุว่า หน้ากากทางการแพทย์ควรถูกสงวนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์
การเพิ่มปริมาณการตรวจหาเชื้อไวรัสของเวียดนามเกิดขึ้นพร้อมกับการติดตามผู้สัมผัสติดต่ออย่างละเอียด และการกักตัวคนหลายหมื่น ซึ่งหลายคนในนั้นเป็นชาวเวียดนามในต่างประเทศที่เดินทางกลับบ้านเพื่อหลีกหนีการระบาดที่ย่ำแย่ลงในยุโรป และสหรัฐฯ
ชุดตรวจ COVID-19 ของบริษัท Viet A Corp เริ่มใช้งานในวันที่ 4 มี.ค. ตามที่เหวียดเผยกับรอยเตอร์ แต่ในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ทางการเวียดนามได้เพิ่มปริมาณการตรวจหาเชื้อไวรัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่จำนวนของผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวกยังต่ำกว่า 20 คน จนในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน มี.ค. จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อถึงขยับเพิ่มเป็น 2 เท่า
ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงต้นเดือน มี.ค. ผู้ที่ถูกกักตัวที่ศูนย์กักกันโรคของทหารมีคนจำนวนไม่มากที่ได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัส แต่นับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. จำนวนการตรวจหาเชื้อเริ่มมากกว่าจำนวนผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ในศูนย์
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ตรวจสอบซ้ำๆ กับผู้ที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ และผู้ที่มีผลทดสอบเป็นลบหลายครั้งถึงได้รับการปล่อยตัวออกจากศูนย์ นอกจากนี้ ทางการยังตรวจหาเชื้อกับกลุ่มคนที่ไม่ถูกกักกันโรคแต่อาจสัมผัสกับไวรัสด้วย