สหรัฐฯ ขอให้ ‘Tesla’ เรียกคืนรถยนต์ไฟฟ้า 1.58 เเสนคัน หลังตรวจพบปัญหาด้านความปลอดภัย

Photo : Shutterstock

ทางการสหรัฐฯ ขอให้ ‘Tesla’ เรียกคืนรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 158,000 คันในตลาด หลังพบปัญหาด้านระบบความปลอดภัยบกพร่องในหลายส่วน 

องค์กรบริหารความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐฯ (NHTSA) ยื่นจดหมายถึง Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ เรียกร้องให้เรียกคืนรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 158,000 คันในตลาดทั่วประเทศ หลังพบปัญหาเกี่ยวกับหน้าจอแสดงผลของรถยนต์ กล้องมองหลัง และฟังก์ชันด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

โดย NHTSA ตรวจพบความผิดปกติในรถยนต์ไฟฟ้าบางคันของ Tesla ในรุ่น Model S ที่ผลิตตั้งเเต่ปี 2012-2018 เเละรุ่น Model X ที่ผลิตในปี 2016-2018

จากรายงานผลการศึกษาของ NHTSA ระบุว่า ระบบควมคุมสื่อภายในรถยนต์ หรือ Media Control Unit (MCU) มีข้อผิดพลาดในการทำงาน ทำให้หน้าจอระบบสัมผัสบนรถไม่แสดงผล ภาพจากล้องมองหลังไม่พร้อมใช้งาน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถยนต์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

นอกจากนี้ การทำงานผิดปกติของ MCU ยังส่งผลทำให้ระบบกำจัดไอน้ำและน้ำแข็งที่กระจกหน้ารถใช้การไม่ได้ กระทบต่อการแจ้งเตือนของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ ‘Autopilot’ และการทำงานของสัญญาณไฟเลี้ยว

Photo : Shutterstock

NHTSA จึงขอให้ Tesla ดำเนินการเรียกคืนรถยนต์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด พร้อมแจ้งต่อผู้ซื้อและตัวแทนจำหน่ายทั้งหมดให้ทราบถึงข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยและดำเนินการแก้ไขต่อไป

โดย NHTSA บอกว่า ตอนนี้ไม่ได้มีเพียง Tesla บริษัทเดียวเท่านั้น แต่ยังมีบริษัทรถยนต์รายใหญ่อีก 9 แห่งที่พบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

ล่าสุด Tesla ยังไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว โดย Tesla มีเวลาถึงวันที่ 27 มกราคมนี้เพื่อชี้เเจงอย่างละเอียด โดยรถยนต์จำนวน 158,000 คันที่ต้องเรียกคืนนั้นคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของรถยนต์ทั้งหมดที่ Tesla วางจำหน่ายในปี 2020 เลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ Tesla ปิดปี 2020 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์และการผลิตแตะ 5 แสนคันต่อปี เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปัที่ทำได้สำเร็จจากที่ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีซีอีโอของบริษัท เคยวางเป้าไว้เมื่อปี 2010

สำหรับภาคการผลิตของ Tesla ขยายตัวอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีนี้ หลังจากปีก่อนเปิดโรงงานใหม่ที่เซี่ยงไฮ้ตามด้วยการเปิดโรงงานที่เบอร์ลิน แห่งแรกในทวีปยุโรป รวมถึงโรงงานในออสติน รัฐเท็กซัส ก็เริ่มก่อสร้างแล้ว

 

ที่มา : Reuters , CNBC