10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกของคน “ทำงานจากที่ไหนก็ได้” (Work from Anywhere) ปี 2021

Nestpick แพลตฟอร์มค้นหาที่พักรายเดือนออนไลน์ รายงานดัชนี “เมือง” ที่เหมาะกับการ “ทำงานจากที่ไหนก็ได้” (Work from Anywhere) มากที่สุดในโลก ประจำปี 2021 โดยปีนี้เมือง “เมลเบิร์น” ออสเตรเลีย คว้าอันดับ 1 ไปครองจากที่สำรวจทั้งหมด 75 เมือง ส่วนประเทศไทยมีติดโผ 2 เมืองคือ “เชียงใหม่” และ “กรุงเทพฯ”

กระแสการ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) เป็นที่นิยมมากขึ้นหลังผ่านการดิสรัปต์จากโรคระบาด ด้วยเทคโนโลยีที่สร้างให้วิธีการทำงานเช่นนี้เกิดขึ้นได้จริง และเป็นไปได้ว่าจะยังนิยมต่อเนื่องแม้โรคระบาดคลี่คลายแล้ว mindset ของคนทำงานเริ่มเปลี่ยนไป จากการมุ่งเป้าไปพำนักในเมืองธุรกิจที่ค่าครองชีพมักจะสูง กลายเป็นการอยู่อาศัยในเมืองที่น่าอยู่ มีไลฟ์สไตล์ และถูกกว่า

นั่นทำให้คนทำงานที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้เริ่มมองหาที่อยู่ใหม่รอบโลก โดยบริษัท Nestpick ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มค้นหาที่พักรายเดือนทั่วโลก ทำการศึกษาเมือง 75 เมืองหลักซึ่ง “เหมาะกับการอยู่อาศัย” มากที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการทำงานออนไลน์

ดัชนีของ Nestpick แบ่งการให้คะแนนออกเป็น 3 ส่วนหลัก 16 ข้อย่อย ดังนี้

1.ต้นทุนการทำงานและโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเช่าโฮมออฟฟิศ, ความยากง่ายในการหาที่พักอาศัย, ภาษี และความเร็วอินเทอร์เน็ต

2.กฎหมายและเสรีภาพ ได้แก่ กฎหมายรองรับคนทำงานทางไกล (เช่น วีซ่า), โครงสร้างพื้นฐานสำหรับคนทำงานทางไกล, ความปลอดภัย สิทธิ และเสรีภาพ, ความเท่าเทียมทางเพศ, เป็นมิตรกับ LGBTQ และเป็นมิตรกับชาติพันธุ์กลุ่มน้อย

3.ความน่าอยู่ของเมือง ได้แก่ อัตราการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19, ค่าครองชีพโดยรวม, ระบบสาธารณสุข, วัฒนธรรมและสถานที่พักผ่อน, ภูมิอากาศ, มลภาวะ

เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

จะเห็นได้ว่า การสำรวจครั้งนี้รวมเอา “อัตราการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19” ของประชากรท้องถิ่นไว้ด้วย เนื่องจากความปลอดภัยเชิงสุขภาพกลายมาเป็นหนึ่งในดัชนีสำคัญวัดความน่าอยู่ของเมืองแล้ว

จากการสำรวจทั้งหมด เหล่านี้คือ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกของ “คนทำงานจากที่ไหนก็ได้” (Work from Anywhere) ปี 2021

  1. เมลเบิร์น / ออสเตรเลีย
  2. ดูไบ / UAE
  3. ซิดนีย์ / ออสเตรเลีย
  4. ทาลลินน์ / เอสโตเนีย
  5. ลอนดอน / สหราชอาณาจักร
  6. โตเกียว / ญี่ปุ่น
  7. สิงคโปร์ / สิงคโปร์
  8. กลาสโกว์ / สหราชอาณาจักร
  9. มอนทรีอัล / แคนาดา
  10. เบอร์ลิน / เยอรมนี

ทั้งนี้ ใน 10 อันดับแรกมีเพียง 4 ประเทศที่ขณะนี้มีวีซ่าสำหรับดิจิทัล โนแมดหรือฟรีแลนซ์ ได้แก่ ออสเตรเลีย, UAE, เอสโตเนีย และเยอรมนี

ส่วนประเทศไทยซึ่งเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของกลุ่มดิจิทัล โนแมดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรามี 2 เมืองที่เข้ามาติดโผนี้ ได้แก่ “เชียงใหม่” ในอันดับที่ 34 และ “กรุงเทพฯ” อันดับที่ 59 โดยเชียงใหม่นั้นถือว่ามีความโดดเด่นเรื่องของค่าเช่าโฮมออฟฟิศและค่าครองชีพถูกเทียบกับตลาดโลก และความเท่าเทียมทางเพศ เป็นมิตรกับ LGBTQ

Source