การล็อกดาวน์รอบล่าสุดนับว่าสาหัสกับธุรกิจร้านอาหารมาก เพราะการห้ามนั่งทานในร้านนาน 2 เดือน ทำให้ร้านอาหารแบรนด์ดังหลายเจ้าต้องตัดสินใจยอมส่งแก้วตาดวงใจของร้านอย่าง “น้ำจิ้ม” หรือ “น้ำยำ” แพ็กใส่ขวดขาย อย่างน้อยเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายอีกทางหนึ่ง และเป็นการตลาดช่วยให้ลูกค้ายังไม่ลืมกัน
เป็นที่ฮือฮาในอินเทอร์เน็ตมากเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะ “บาร์บีคิวพลาซ่า” ประกาศขายเซต “น้ำจิ้ม” ของร้านจำนวนจำกัด 19,999 เซตเท่านั้น ในราคาเซตละ 199 บาท และจะขายผ่าน Facebook Live เพียงวันเดียวแบบมาก่อนได้ก่อน เมื่อถึงเวลาจำหน่าย ปรากฏว่าชาวเน็ตพร้อมใจกันเข้าไปคอมเมนต์เพื่อสั่งซื้อมากกว่า 110,000 ครั้ง!
จำนวนคอมเมนต์ที่มากกว่าน้ำจิ้มที่ก้อนมีขายถึง 5 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์มากขนาดไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ยาก เพราะเสียงเรียกร้องให้ก้อนขายน้ำจิ้มมีอยู่เนืองๆ และถึงกับมีแบรนด์ที่พยายามลอกเลียนน้ำจิ้มของร้านบาร์บีคิวพลาซ่าให้คล้ายที่สุดเพื่อจำหน่ายมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม บาร์บีคิวพลาซ่าไม่ใช่เจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ยอมนำ “สูตรลับ” ที่เป็นหัวใจของร้านมาขายในนาทีวิกฤต ก่อนหน้านี้มีทั้ง “อาฟเตอร์ยำ” พัทยาที่ทำเซอร์ไพรส์ขายน้ำยำของร้าน และ “เอ็มเค” ที่นำน้ำจิ้มออกจำหน่ายเหมือนกัน
กู้วิกฤตยอดขาย
สำหรับ “อาฟเตอร์ยำ” เพิ่งประกาศขาย “น้ำยำ” ราคา 149 บาท และ “น้ำปลาร้า” ราคา 89 บาท สูตรเดียวกับที่หน้าร้านในพัทยา โดยเป็นแบบบรรจุขวดผ่านการรับรองโดย อย. เก็บได้นาน 2 ปี มาพร้อมสโลแกน “อาฟเตอร์ยำ ใครทำก็อร่อย” แถมบอกสูตรการยำมาให้พร้อม พร้อมมีกิมมิกสุ่มแจกแถมทัพพีแบบเดียวกับหน้าร้านไปด้วยเลย เพื่อไปตวงน้ำยำน้ำปลาร้าให้พอดี
จากวิดีโอคลิปแนะนำสินค้าใหม่ แต๋ง-กฤษฎ์กูล ชุมแก้ว กับ ดุจดิว-ธีรวิวัฒน์ บุตรตะยา สองเจ้าของร้านเล่าที่มาของการทำน้ำยำและน้ำปลาร้าสูตรลับจำหน่ายคือ การเผชิญวิกฤต COVID-19 ถูกล็อกดาวน์หน้าร้านและกำหนดเวลาเคอร์ฟิว ทำให้ลูกค้าที่เคยต่อคิวยาวเหยียด กลายเป็นบางวันไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว และแม้จะเปิดร้านได้แล้วก็ยังต้องปิดเร็วขึ้นจากปกติร้านจะเปิดถึงเที่ยงคืน
ความไม่แน่นอนของโรคระบาด และการเดินทางท่องเที่ยวยากขึ้น ทำให้อาฟเตอร์ยำตัดสินใจขายน้ำยำและน้ำปลาร้า ช่วยทั้งเรื่องยอดขายร้าน และทำให้ลูกค้าที่คิดถึงกันยังได้ทานยำรสชาติแบบอาฟเตอร์ยำที่บ้าน
การขายของร้านผ่าน Facebook Live เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 64 มีคอมเมนต์ไปกว่า 19,000 ครั้ง เรียกว่ายอดขายถล่มทลายจนจัดส่งไม่ทันทีเดียว
ชิมลางการขาย ทำการตลาด
กลับมาที่ “บาร์บีคิวพลาซ่า” ที่ผ่านมาร้านบาร์บีคิวพลาซ่ายังไม่ยอมขายน้ำจิ้มด้วยตนเอง ซึ่งเข้าใจได้ว่าอาจเป็นความเสี่ยงต่อกิจการของร้าน เพราะถ้ามีน้ำจิ้มสูตรเด็ดใกล้มือแล้ว ลูกค้าอาจจะหาทางทำทานเองที่บ้านได้ง่ายขึ้น กลายเป็นว่าการขายสินค้ารองอาจจะตัดทางทำกินของธุรกิจหลักได้
แต่วิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ทำให้บาร์บีคิวพลาซ่าปรับกลยุทธ์มาแล้วหลายอย่าง เช่น การหันมาบุกเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น มีระบบยืม-คืนกระทะ จับมือกับพันธมิตรหลายแบรนด์เพื่อขายสินค้าขึ้นเชลฟ์บนซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกค้าซื้อกลับไปทำทานเองได้ง่าย
รวมถึงการขายน้ำจิ้มของบาร์บีก้อนด้วยที่น่าจะเป็นการทดลองตลาด ด้วยลักษณะน้ำจิ้มขายแบบถุงแบบที่ใช้ในร้าน แต่แถมขวดพลาสติกพร้อมสติกเกอร์ให้ลูกค้า DIY เทบรรจุขวดเองได้
นอกจากนี้ แคมเปญน้ำจิ้มยังเรียกเสียงฮือฮาจาก ‘แฟนๆ’ ของก้อน ได้ทั้งยอดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ มากกว่าแคมเปญอื่นใดจะทำได้ แม้ว่าจะเกิดผลสะท้อนในทางกลับกันเพราะคนเข้ามา CF มากจนระบบล่ม ทำให้มีลูกค้าไม่พอใจจำนวนมาก แต่บาร์บีก้อนกำลังตามแก้ไขปัญหา และจะเปิดขายน้ำจิ้มรอบเก็บตกให้อีกครั้งเดือนหน้า
ส่วนอีกหนึ่งไอเท็มที่ลูกค้าอยากครอบครองคือ “น้ำจิ้มสุกี้ MK” ซึ่งเอ็มเคสุกี้ก็ยอมทำน้ำจิ้มออกขายมาแล้วเหมือนกัน โดยจำหน่ายแบบบรรจุขวดราคา 89 บาท เปิดขายตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 64 แต่แตกต่างกับอีกสองเจ้าคือเลือกขายผ่านหน้าร้าน ผ่านเว็บไซต์ของร้าน และบริการเดลิเวอรี่ เช่น Grab, Lineman, Foodpanda
สังเกตว่าการขายน้ำจิ้มสุกี้ MK เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนการสั่งปิดนั่งทานในร้านอาหาร แต่เป็นช่วงที่ตลาดซบเซาไปแล้วจากความวิตกของลูกค้าจนการนั่งทานในร้านน้อยลง สะท้อนให้เห็นความพยายามหาช่องทางตลาดใหม่ๆ ของร้าน โดยช่วงแรกร้านตั้งใจจะขายเพียง 1 เดือน แต่ขณะนี้ยังเปิดขายเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แบรนด์ร้านอาหาร “โออิชิ” ก็เคยนำเครื่องปรุงรสยี่ห้อเดียวกับร้านออกขายแล้วก่อนเพื่อน ทั้งโชยุ ซอสเทอริยากิ และน้ำจิ้มสุกี้ เพราะมองเห็นเทรนด์การทำอาหารทานเองที่บ้านที่เพิ่มมากขึ้น จึงตัดสินใจลองจับเทรนด์นี้ด้วยสินค้าในครัว
น่าสนใจว่าการนำแก้วตาดวงใจของร้านออกขายจะไปต่ออย่างไร โดยแต่ละแบรนด์อาจมีมุมมองต่างกัน อย่างกรณีของบาร์บีคิวพลาซ่าและเอ็มเคซึ่งมีสาขาจำนวนมากทั่วประเทศ อาจต้องระวังไม่ให้น้ำจิ้มที่มีทุกบ้านมาตัดยอดขายหน้าร้าน แต่กรณีแบบอาฟเตอร์ยำซึ่งขณะนี้มีเพียง 2 สาขาที่พัทยากับระยอง การส่งน้ำยำไปขายทั่วประเทศอาจเป็นทางเลือกที่เข้าเป้า