ต่อจากนี้เราอาจจะได้ยินเสียง ‘บอกเบอร์ The 1 เลยค่ะ’ กับร้านค้าหลายแห่งมากขึ้น เพราะ CPN เริ่มเปิดระบบ The 1 Biz ให้ร้านค้าเข้ามาใช้ประโยชน์จากดาต้า แลกกับการ ‘แจกพอยต์’ ให้ลูกค้าได้สะสมเมื่อใช้จ่าย โดยเซ็นทรัลพัฒนาหวังจะเป็นหมัดเด็ดมัดใจผู้เช่าให้โตไปกับศูนย์ฯ ขณะนี้มีพันธมิตรร่วมเข้าระบบแล้ว เช่น Rev Runnr, The Body Shop, G2000, Dyson ฯลฯ
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด และ อิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายขาย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย ระวี พัวพรพงษ์ Head of Corporate Affairs and Relationship, The 1 แถลงข่าวการเปิดโมเดลธุรกิจเสริมแกร่งให้คู่ค้าผู้เช่า โดยใช้ “ดาต้า” เป็นตัวชูโรงเพื่อสนับสนุนให้ผู้เช่าอยู่กับ CPN และเติบโตไปด้วยกัน
ผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนาฉายภาพก่อนว่า ปัจจุบันเครือมีศูนย์การค้าทั้งหมด 34 แห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ (กำลังจะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งที่ศรีราชาและอยุธยา ภายในสิ้นปีนี้) เครือข่ายศูนย์การค้าหลายจังหวัด แบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีการลงทุนการตลาด มีเครือข่ายองค์ความรู้ของผู้เช่าด้วยกันและการจัดอบรมธุรกิจจากทาง CPN เปิดช่องทางแบบ omnichannel รวมถึงล่าสุดในภาวะ COVID-19 ศูนย์ฯ ดูแลด้านสุขอนามัยให้ได้มาตรฐาน เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นรากฐานดึงทราฟฟิกให้ผู้เช่าทำยอดขายได้มาโดยตลอด
ล่าสุด CPN จะเพิ่มโมเดลธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนร้านค้า นั่นคือการเปิดตัว “The 1 Biz” ให้ร้านค้าสามารถเข้ามาใช้ระบบ CRM ของ The 1 ได้ โดยร้านค้าสามารถแจกพอยต์และรับแลกพอยต์ของลูกค้า สามารถดึงดาต้าผู้ซื้อขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อทำการตลาดได้
“Data-Driven แบบนี้จะช่วยให้ร้านค้าขยายตัวเติบโต” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าว “ปกติถ้าร้านค้าจะทำระบบ CRM เองต้องลงทุนมหาศาล แต่ถ้ามาใช้ The 1 Biz ต้นทุนจะต่ำกว่า โดยที่มาใช้ข้อมูลของเราได้ ดึงดาต้าทำ CRM ได้ ส่งสื่อโปรโมชันไปให้ลูกค้าโดยตรง”
ลงทุน 1,000 ล้าน เป้าเริ่มต้นดึง 1,000 ร้านค้า
ระบบนี้เซ็นทรัลพัฒนาลงทุน 1,000 ล้านบาท (งบสำหรับรอบ 3 ปี) ใช้เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ The 1 Biz สำหรับให้ร้านค้าใช้งาน และเป็นงบการตลาดเมื่อจะจัดโปรโมชันสนับสนุนร้านค้าในระบบ
โดยตั้งเป้าหมายเบื้องต้น 240 แบรนด์ รวม 1,000 ร้านค้าภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามีผู้เช่ารวม 15,000 ร้านทั่วประเทศ ขณะนี้มีแบรนด์ตอบรับแล้ว เช่น CHAMPION, HOKA, REV RUNNR, SLAMMERS, TEVA, UNDER ARMOUR, BEAUTRIUM, CLARINS, THE BODY SHOP, THREE, CALVIN KLEIN, CLARKS, FITFLOP, GUESS, NAUTICA, POLO RALPH LAUREN, TOMMY HILFIGER, G2000, HUSH PUPPIES, JOHN HENRY, LEE, DYSON, MISTER DONUT, KFC, AUNTIE ANNE’S, PEPPER LUNCH, CHABUTON, OOTOYA, YOSHINOYA
ร้านเล็กยิ่งได้เปรียบ
ระวี ผู้บริหารจาก The 1 ระบุว่า ปัจจุบัน The 1 มีสมาชิก 18 ล้านราย มีสมาชิก active อยู่ที่ 8.4 ล้านรายต่อปี (เฉพาะสมาชิกบนแอปฯ The 1 มีอยู่ 4 ล้านดาวน์โหลด และ active อยู่ 9 แสนรายต่อเดือน) มีร้านค้าที่เข้าร่วมอยู่แล้ว 2,000 กว่าร้าน
สถิติจากร้านค้าที่เข้าร่วมเป็นจุดทัชพอยต์แลกแต้มกับ The 1 พบว่าสามารถผลักดันให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกใช้จ่ายได้มากกว่าลูกค้าทั่วไป 3.6 เท่า และมีโอกาสดึงลูกค้ากลับมาใช้จ่ายซ้ำได้ 98% จากการใช้ดาต้าเพื่อทำประโยชน์ เช่น
- ค้นหาลูกค้าใหม่ นำโปรไฟล์ลูกค้าเป้าหมายของร้านมาเปรียบเทียบและดึงดาต้าลูกค้าที่มีลักษณะตรงกันบนฐานข้อมูล The 1 เพื่อทำการตลาดหาลูกค้าใหม่ได้ตรงจุด
- ดึงลูกค้าเก่ากลับมา เมื่อมีดาต้าจาก The 1 ทำให้ดึงลูกค้าเก่ากลับมาได้ ส่งโปรโมชันได้ถูกคน
- สร้างพริวิลเลจให้ลูกค้าใช้จ่ายสูง สามารถทำโปรไฟล์ลูกค้าที่เป็น ‘Top Spender’ ของร้าน เพื่อให้สิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่ม สร้างลอยัลตี้กับลูกค้า
โดยโปรแกรมนี้ไม่ได้จำกัดขนาดร้านค้าที่เข้าร่วม เงื่อนไขมีเพียงร้านค้าจะต้องเปิดให้ลูกค้าสะสมแต้ม The 1 จากการใช้จ่ายกับร้าน ซึ่งระวีกล่าวว่า คิดแล้วเป็นต้นทุนเสมือนลดราคาให้ 0.5% เท่านั้น แต่มีโอกาสเข้าถึงดาต้า และลูกค้ามาแลกแต้มที่ร้านได้ด้วย เป็นการเพิ่มยอดขายของร้าน ส่วนการใช้จ่ายอื่นๆ จะเป็นการลงทุนฮาร์ดแวร์ เช่น แท็บเล็ต ของร้านเองเพื่อให้ทำระบบได้
“ยิ่งร้านเล็กยิ่งได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เพราะคุณจะได้เข้ามาอยู่ใน ecosystem ขนาดใหญ่ ลูกค้ามักจะได้แต้มสะสมมาจากรายใหญ่ แต่อาจจะมาแลกแต้มที่ร้านของคุณ” ระวีกล่าว “ดาต้าคือสิ่งสำคัญมาก คุณจะได้รู้จักลูกค้าว่าเป็นใคร เมื่ออยู่ใน ecosystem คุณจะได้รู้ลึกขึ้น เช่น ลูกค้า A อาจจะใช้จ่ายกับคุณไม่มาก แต่โปรไฟล์บอกว่าเขาเป็นผู้มีกำลังซื้อ คุณจะทราบว่ามีโอกาสดึงลูกค้ารายนี้ให้ซื้อสินค้าเพิ่มได้”