นิวซีเเลนด์ มุ่งฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนครบโดส เเตะ 90% ก่อน ถึงจะยกเลิกล็อกดาวน์

Jacinda Ardern new zealand
(Photo by Mark Tantrum/Getty Images)
นายกฯ นิวซีแลนด์ ประกาศเป้าหมายฉีดวัคซีนครบโดสให้ได้ 90% ก่อน ถึงจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบ

นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ระบุว่า เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนโควิดครบสองเข็ม ครอบคลุมประชากรอายุ 12 ปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่า 90% เเล้ว นิวซีเเลนด์จะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหมด รวมถึงเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงต้นปี 2022 นี้ด้วย

โดยรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือภาคธุรกิจกิจการต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากการล็อกดาวน์ พร้อมเร่งสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้ชนเผ่าพื้นเมืองที่ขณะนี้มีอัตราการฉีดน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ในประเทศ

ปัจจุบัน นิวซีแลนด์มีประชากรทั้งหมดราว 4.8 ล้านคน ระดมฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้วกว่า 68% ขณะที่ประชากรราว 86% ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว โดยนิวซีแลนด์เลือกใช้วัคซีนของ Pfizer–BioNTech เพียงยี่ห้อเดียว

ก่อนหน้านี้ นิวซีเเลนด์ ได้ล้มเลิกกลยุทธ์ ‘Zero-Covid’ พร้อมกับยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ยอดผู้ป่วยโควิดเป็นศูนย์ได้ ท่ามกลางความไม่เเน่นอนของไวรัสกลายพันธุ์ โดยจะหันมาใช้แนวทางอยู่ร่วมกันกับโควิดเเทน และจะผ่อนคลายมาตรการเป็นระยะๆ เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น

ดังนั้น หลังจากเปลี่ยนแนวทาง’ การควบคุมโรคที่ดำเนินมายาวนาน นิวซีเเลนด์จะใช้ ‘วัคซีน’ ป้องกันโควิดมาเป็นตัวสนับสนุนแนวทางใหม่ 

เมื่อเเต่ละพื้นที่มีการฉีดวัคซีนเข็มที่สองทะลุ 90% เเล้ว ผู้คนก็ยังจำเป็นต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน เพื่อเข้าใช้บริการและสถานที่ชุมนุมต่างๆ อย่าง บาร์ ร้านอาหาร และสถานที่ออกกำลังกาย

ทั้งนี้ ความเข้มงวดในประกาศใช้มาตรการต่างๆ จะเเบ่งตามพื้นที่เป็นสีๆ คือ เขียว ส้มและแดง โดยในพื้นที่สีเขียวบรรดาร้านค้าส่วนใหญ่ จะสามารถเปิดทำการได้ตามปกติ ส่วนพื้นที่สีส้ม ประชาชนอาจจะต้องสวมหน้ากากอนามัยเเละมีการเว้นระยะห่างทางสังคม เเละพื้นที่สีแดงจะมีการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น เช่นจำกัดการชุมนุม กำหนดเวลาเปิด-ปิดร้าน ฯลฯ

เเละแน่นอนว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว จะมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวันน้อยกว่ากลุ่มคนที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบโดส เพราะจะต้องเจอเงื่อนไขทางสังคมต่างๆ ในการใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ในช่วงวิกฤตโควิด

สำหรับสถานการณ์โควิดในนิวซีเเลนด์ ล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อสะสมราว 5,450 ราย เสียชีวิตแล้ว 28 ราย 

 

ที่มา : Reuters , AFP , ABC News