กระบวนการ ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ที่ล่าช้า เเละการรุกตรวจโควิดที่จำกัด เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเปิดประเทศของญี่ปุ่นในช่วงสิ้นปีนี้ ผู้ประกอบการเผชิญความไม่เเน่นอน ไม่กล้าสต็อกของ-จ้างงานเพิ่ม
รายได้ยังไม่เพียงพอ บรรดาร้านต่างๆ จึงไม่สามารถจ้างพนักงานที่เคยถูกเลิกจ้างไปเเล้ว เเละไม่สั่งซื้อสต็อกของเพิ่ม จนกว่าพวกเขาจะทราบข้อมูลเเละระยะเวลาที่เเน่ชัด เกี่ยวกับแผนการเปิดประเทศ รวมไปถึงความกังวลว่าโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้
บทวิเคราะห์ของ Reuters ระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงไฮซีชั่น ที่จะมีเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังประเทศสูญเงินไปเป็นจำนวนมากด้วยวิกฤตโควิด
การเปิดประเทศของญี่ปุ่น จึงเป็นเหมือนเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ขึ้นมาดำรงตำเเหน่งต่อจากอดีตนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ที่อำลาตำแหน่งไป พร้อมกับคะแนนนิยมที่ลดลงอย่างมาก เพราะไม่สามารถรับมือกับปัญหาการระบาดใหญ่ครั้งนี้ได้
ความกังวล ‘ช่วงสิ้นปี’
‘ช่วงสิ้นปี’ เป็นโอกาสวำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว บาร์และร้านอาหารในญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทต่างๆ มักจะจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ให้กับพนักงานตามธรรมเนียมปฏิบัติ หรือจะมีการนัดสังสรรค์กันระหว่างเพื่อนฝูงเเละญาติมิตร
“ร้านของฉันจะจัดอีเวนต์พิเศษในช่วงสิ้นปีมาตลอด แต่ปีนี้กำลังคิดว่าจะยกเลิกหรือไม่ เพราะผู้เชี่ยวชาญบอกว่าไวรัสโคโรน่าระลอกที่ 6 จะต้องมาแน่นอน” มายูมิ ไซโจ เจ้าของร้าน Beer Bar Bitter ในกรุงโตเกียวกล่าว
การล็อกดาวน์เมื่อปีที่เเล้ว ทำให้ร้านของเธอต้องจำใจทิ้งเบียร์ มูลค่ากว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐที่สั่งซื้อมาจากสาธารณรัฐเช็ก ดังนั้นปีนี้เธอจึงต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในทุกกรณี เพราะสิ่งที่เธอเตรียมไว้มันต้องเสียค่าใช้จ่าย
ตามข้อมูลของบริษัทสินเชื่อเอกชน Teikoku Databank เผยว่า ร้านอาหารในญี่ปุ่น 780 กว่าแห่ง ยื่นขอล้มละลายในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนเมษายนปีนี้ และยังมีอีก 298 แห่งนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
“ร้านอาหารจะได้รับอนุญาตให้เปิดได้จนถึงกี่โมง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรื่องนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การสั่งสต็อกของ”
วัคซีนพาสปอร์ตที่ล่าช้า
ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้า ทำให้ต้องเจอผลกระทบจากสายพันธุ์เดลตาอย่างหนักหน่วง
เเต่ในช่วงหลังๆ ญี่ปุ่นเริ่มมีอัตราฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการที่จะเปิดประเทศได้อีกครั้ง ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องใช้ใบรับรองการฉีดวัคซีนและผลการทดสอบโควิด-19
ปัญหาเกี่ยวกับวัคซีนพาสปอร์ตของญี่ปุ่น คือนอกเหนือจากข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ยังไม่ได้แก้ไขแล้ว หน่วยงานท้องถิ่นที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ยังไม่มีฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
เทศบาลบางแห่งถึงกับต้องเริ่มดำเนินการเอง อย่างพื้นที่เกาะอิชิงากิ ใช้แอปพลิเคชันมือถือที่ใช้จองวัคซีนเป็นบันทึกการฉีดวัคซีนด้วย นักท่องเที่ยวจึงสามารถแสดงหลักฐานการรับวัคซีน เพื่อที่จะได้ส่วนลดร้านค้าและร้านอาหาร
“ถ้าเราสามารถขยายการใช้งานเพื่อให้เกิดความสบายระหว่างทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า เศรษฐกิจของอิชิงากิก็จะฟื้นตัวได้” เทรุยูกิ ทานาฮาระ เจ้าหน้าที่ของเมืองอิชิงากิกล่าว
อีกปัญหาหนึ่งคือ ญี่ปุ่นไม่ได้ทำการรุกตรวจโควิด-19 มากนัก โดยมีอัตราการทดสอบต่อคนน้อยกว่าสหรัฐฯ ถึง 9 เท่า ในช่วงการระบาดใหญ่
ด้านเจ้าหน้าที่คณะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่รับมือการระบาดใหญ่ บอกกับ Reuters ว่า รัฐบาลกำลังทดลองใช้แพ็กเกจที่เหมาะสมที่สุดในสถานที่ที่มีการชุมนุมของคนจำนวนมากอย่างสนามฟุตบอล สนามกีฬา ร้านอาหารหรือผับบาร์
“เราจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ทั้งธุรกิจส่วนตัวและรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อคิดแผนปฏิบัติการที่เฉพาะเจาะจง และเรากำลังพยายามเร่งให้เร็วขึ้น”
ความคิดเห็นของเจ้าของร้านพิซซ่าและคราฟต์เบียร์ DevilCraft ที่มีพนักงาน 20 คน บอกว่า “โครงการใดๆ ก็ตามที่รัฐบาลจะออกมา อย่างน้อยๆ ควรมีกฎบังคับใช้ที่ชัดเจน”
สถานการณ์การระบาดในญี่ปุ่น เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มียอดผู้ติดเชื้อหลักหมื่นคนต่อวัน เเต่ตอนนี้เริ่มเหลือหลักร้อย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ค่อนข้างเป็นปกติ เเต่ก็ยังคงต้องเตรียมพร้อมกับแพร่ระบาดระลอกใหม่ ที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจจะกลับมาอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว