ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวี ของไทยกำลังเดือดสุด ๆ เมื่อเหล่าแบรนด์จากแดนมังกรต่างตบเท้าเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็เป็นคิวของ BYD รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่เป็นรองเพียง Tesla และ Toyota เท่านั้น โดยได้ เรเว่ ออโตเมทีฟ จำกัด (RÊVER AUTOMOTIVE) เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
BYD รถไฟฟ้าเบอร์ 1 ของจีน
ย้อนไปปี 1995 ที่แบรนด์ BYD ที่ย่อมาจาก Build Your Dream ได้ก่อตั้งขึ้น ในฐานะบริษัท ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จากนั้นก็กลายเป็น ผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ กินส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% และในปี 2002 BYD ก็เข้าสู่ตลาดรถยนต์โดยเข้าซื้อบริษัท Tsinchuan Automobile และเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Auto และได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2008 หลังจากที่เปิดตัว รถพลังไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก
ปัจจุบัน BYD มียอดขายกว่า 6.5 ล้านคัน ขึ้นเป็น แบรนด์รถไฟฟ้าอันดับ 1 ในจีน 9 ปีซ้อน และขยายตลาดไปใน 6 ทวีปทั่วโลก ซึ่ง BYD ก็เป็นรองเพียง Tesla และ Toyota เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากการเข้ามาทำตลาดในไทยครั้งนี้จะเป็นที่น่าจับตา
พี่น้อง พรประภา ผู้พา BYD เข้าไทย
จริง ๆ แบรนด์ BYD เข้ามาทำตลาดในไทยนานแล้ว แต่เป็นลักษณะของ คอมเมอร์เชียล หรือ ตลาดเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคล ได้แก่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2558 และ อีกครั้ง เมื่อปี 2561 จับมือกับ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และบริษัท ชาริช โฮลดิ้ง จำกัด
จนในปี 2561 บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี และ กลุ่มสยามกลการ ที่มีเจ้าของคือตระกูล พรประภา ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถเชิงพาณิชย์และสินค้าอุตสาหกรรมด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น โฟล์คลิฟและระบบสำรองจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ทำธุรกิจในชื่อ บริษัท สยาม แอดวานซ์ เทคโนโลยี่ รีเลชั่นชิป จำกัด และใช้ชื่อทางการค้าว่า BYD Thailand
จนในที่สุดแบรนด์ BYD ก็เข้ามาทำตลาดกลุ่มรถยนต์นั่ง ผ่านการนำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวโดย บริษัท เรเว่ ออโตเมทีฟ จำกัด (RÊVER AUTOMOTIVE) บริษัทที่กลุ่มโพเอ็ม ซึ่งมี นายประธานวงศ์ และ น.ส.ประธานพร พรประภา ถือหุ้นและลงทุน 100%
“การลงทุนมาจากบริษัทเรเว่โดยตรง ไม่มีการร่วมทุนกับ BYD และในส่วนของบริษัทบีวายดี ออโต้ อินดัสทรีที่จัดตั้งในไทยจะมาช่วยในส่วนของ Technical Support และ Training ช่วยให้เราดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้น ไม่ได้มีสิทธิ์ขาย เรเว่มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว” ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เร-เว่ ออโตเมทีฟ จำกัด ย้ำ
2 ปีแรกลงทุน 3,000 ล้าน
ประธานวงศ์ระบุว่า ใน 2 ปีแรกบริษัทวางงบลงทุนไว้ 3,000 ล้านบาท โดยงบ 450 ล้านบาทจะใช้ในส่วนของงานการตลาด อีก 150 ล้านบาทใช้ในงานไอทีเพื่อพัฒนา Super App และที่เหลือใช้สำหรับสต็อกสินค้า โดยภายในปีนี้จะมีการเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการ 31 แห่ง และปีหน้าจะเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 60-70 แห่ง ส่วนของสถานีชาร์จปัจจุบันมีที่ร่วมกับพันธมิตรแล้วกว่า 1,000 หัวชาร์จ
โดยในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะนำเข้ารถยนต์มาก่อน 1 รุ่น โดยจะเป็นรุ่นที่อยู่ในกลุ่ม Ocean series ซึ่งในซีรีส์ดังกล่าวมีทั้งหมด 3 รุ่น โดยจะเป็นการ นำเข้า 100% แต่จะได้รับการซัพพอร์ตส่วนลดและภาษีจากภาครัฐบาล โดยบริษัทมีแผนที่จะ ลงทุนสร้างโรงงานประกอบ ในอนาคต แต่จะเป็นการลงทุนจากไหนบ้างยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดอีวีไทยใน 5 ปี
เบื้องต้น เรเว่วางเป้ายอดขายปีแรก (2566) ไว้ที่แตะหลัก หมื่นคัน และเป้าหมายภายใน 5 ปี ต้องมียอดขายราว 5-6 หมื่นคันต่อปี หรือขึ้นเป็น เบอร์ 1 ตลาดรถอีวี และ Top5 ของตลาดรถยนต์ไทย โดยเรเว่เชื่อมั่นใจ เทคโนโลยี ของ BYD และอีกจุดแข็งก็คือ การพัฒนา Super App ที่จะทำการ API ไปในรถทุกรุ่นของ BYD เพื่อสร้างจุดแตกต่าง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยถึงราคาเริ่มต้นของรถที่จะนำมาจำหน่ายได้ แต่ย้ำว่ามีความ แตกต่าง จากคู่แข่งแต่มั่นใจว่าลูกค้าจะรู้สึก คุ้มค่า และจะ ครีเอทเซ็กเมนต์ใหม่ให้ตลาด
“จุดแข็งของ BYD คือ เทคโนโลยี ดีไซน์ ที่พัฒนาภายในทั้งหมด แม้กระทั่งชิป ดังนั้น เรื่องซัพพลายไม่มีปัญหา และเราตั้งใจจะใช้เทคโนโลยีเป็นตัวชูโรง ดังนั้น เราจะไม่ตัดฟีเจอร์อะไรออกเพื่อขายให้ได้ถูก ๆ ราคาเราอาจตั้งมาประหลาดกว่าชาวบ้าน แต่ลูกค้าจะรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้ และในอนาคตเราตั้งใจจะนำเข้ารถที่จะครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ในตลาด” น.ส.ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว
มีการคาดการณ์ว่าตลาด รถ xEV คาดว่าจะมียอดขายที่ราว 8.2 หมื่นคัน หรือ 10% ของตลาดรวม และยอดขาย รถไฟฟ้า 100% คาดว่าจะอยู่ที่ราว 12,000 คัน หรือราว 15% ของตลาด xEV ซึ่ง ประธานวงศ์ ย้ำว่า ตลาดที่ยังเติบโตน้อยเพราะมีตัวเลือกน้อย ซึ่ง BYD จะเข้ามาดันให้ตลาดอีวีไทยยิ่งเติบโต
ดังนั้น จากคงต้องจับตาดูว่าตลาดในปีหน้าจะดุเดือดแค่ไหน เพราะตอนนี้แบรนด์จีนตบเท้าเข้ามาเพียบแถมเบอร์ 1 ก็เข้ามาแล้วด้วย แต่ต้องอย่าลืมว่าเป็นที่ 1 ของจีนแต่ไม่ได้แปลว่าจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดไทยก็คงไม่ได้ง่าย