จับตากฎหมายจ่ายค่า “โอที” รปภ. “LPP” ชี้ลูกบ้าน “คอนโดฯ” เตรียมรับแรงกระแทก “ค่าใช้จ่ายพุ่ง”

รปภ. โอที
กฎหมายจ่ายค่า “โอที” ให้กลุ่มอาชีพ “รปภ.” จ่อเสนอเข้า ครม. ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต้องได้ค่าล่วงเวลา ด้านบริษัทบริหารอาคาร “LPP” ชี้กฎหมายนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการอาคารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม “คอนโดฯ” ค่าจ้าง รปภ. อาจขึ้นถึง 50%

จากกระแสข่าวที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เตรียมเสนอร่างกฎหมายใหม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 12 ธันวาคมนี้ โดยเป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองค่าล่วงเวลา หรือ “โอที” ของพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เพื่อดูแลสวัสดิการของผู้ประกอบอาชีพ รปภ. กว่า 400,000 คนทั่วประเทศ

กฎหมายนี้เกิดจากทางกระทรวงเล็งเห็นว่า รปภ. ส่วนใหญ่จะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง แต่ในส่วนที่เกิน 8 ชั่วโมงมานั้นจะไม่ได้ค่าโอทีเหมือนกับอาชีพอื่นๆ ทำให้ต้องการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองให้ รปภ. ได้ค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน

หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านมติ ครม. ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ กระทรวงแรงงานตั้งใจจะให้เป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้กับกลุ่ม รปภ. ทันที

LPP นิติบุคคล
“สุรวุฒิ สุขเจริญสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LPP

“สุรวุฒิ สุขเจริญสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP ซึ่งทำธุรกิจด้านบริหารจัดการอาคาร และมีบริการด้านการรักษาความปลอดภัย ให้ความเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ถือเป็นปัจจัยท้าทายของธุรกิจให้บริการ รปภ. เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนค่าจ้างพุ่งขึ้นอย่างมาก

โดยกฎหมายนี้ระบุให้ค่าจ้างในส่วนที่ล่วงเวลามา จะต้องจ่ายค่าแรงเป็น 1.5 เท่าของอัตราปกติ นั่นหมายความว่าค่าจ้างรปภ.จะสูงขึ้นมาก

ตัวอย่างเช่น ค่าจ้างปกติคิดเป็นชั่วโมงตกชั่วโมงละ 50 บาท ในส่วนที่เป็น “โอที” จะต้องเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 75 บาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รปภ. จะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง (ค่าจ้างปกติ 8 ชั่วโมง + โอที 4 ชั่วโมง) ทำให้ค่าจ้างจากเดิมสมมติว่าเคยจ่ายวันละ 600 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 700 บาท และหากมีการเพิ่มระยะเวลาทำงานในหนึ่งกะขึ้นไปมากกว่านั้น ก็จะต้องจ่ายเป็นอัตราล่วงเวลาทั้งหมด

สุรวุฒิกล่าวว่า จากกฎหมายนี้อาจทำให้ค่าจ้าง รปภ. ต่อคนเพิ่มขึ้นได้ถึง 50% เช่น จากจ่ายค่าจ้างเดือนละ 20,000 บาท ก็อาจจะขึ้นเป็น 30,000 บาทได้

 

ลูกบ้าน “คอนโดฯ” แบกภาระ – ต้องหาทางปรับตัว

หนึ่งในทรัพย์สินประเภทที่มีการจ้างงาน รปภ. จำนวนมากคือกลุ่มคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งค่าจ้าง รปภ. จะมาจากค่าส่วนกลางที่เก็บรวบรวมจากลูกบ้านทุกคน ดังนั้น สุรวุฒิมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงโอทีของ รปภ. จะมีผลต่อภาระค่าส่วนกลางของลูกบ้านในอนาคตอย่างแน่นอน

รปภ.
(photo by Jethro C. / Pexels)

ความเป็นไปได้ในการรับมือเพื่อทุ่นภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สุรวุฒิมองว่าหมู่บ้านและคอนโดฯ ต่างๆ อาจเริ่มพิจารณาเพื่อหาทางลดจำนวน รปภ. ลงเท่าที่เป็นไปได้ และหากเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่คุ้มค่าการลงทุน ก็อาจจะติดตั้งระบบเทคโนโลยีกล้องรักษาความปลอดภัยทดแทน

อีกแนวทางหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นคือ เนื่องจาก รปภ. เป็นอาชีพที่ต้องสอบรับใบอนุญาต ทำให้ค่าจ้างมักจะได้สูงกว่าแรงงานทั่วไป แต่เนื้องานจริงในบางคอนโดฯ หรือหมู่บ้านจะมีพื้นที่ทำงานที่ รปภ. ดูแลงานลักษณะที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย เช่น อำนวยความสะดวกการจอดรถ ช่วยยกของ ตำแหน่งหน้าที่ในส่วนนี้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปใช้แรงงานทั่วไปแทนการใช้ รปภ. ที่มีใบอนุญาต

สุรวุฒิกล่าวต่อว่า ไม่ใช่แค่ค่า “โอที” รปภ. เท่านั้นที่จะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับโครงการจัดสรร แต่การพิจารณาเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายของอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาคาร เช่น แม่บ้าน ช่างอาคาร นิติบุคคล ขยับขึ้นตามในไม่ช้าเช่นกัน