ขณะที่ความท้าทายเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ต้นทุนพุ่งที่สูงขึ้น และการแข่งขันดุเดือด จะกดดันให้ภาพรวมตลาดธุรกิจ ‘ร้านอาหาร’ ดูซบเซา แต่ไม่ใช่กับ ‘ตลาดหม้อร้อน’ ที่มีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งเรียกได้ว่า ปีนี้การแข่งขันดุเดือดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาท
นำขบวนโดย 3 ผู้เล่นรายหลัก ได้แก่ พี่ใหญ่ของวงการหม้อร้อน ‘MK’ ที่ตอนนี้ได้แบรนด์น้องใหม่ ‘โบนัส สุกี้’ มาเสริมกำลัง, ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผู้เขย่าบัลลังก์ของพี่ใหญ่ และ ‘ลัคกี้ สุกกี้’ แบรนด์อายุ 3 ปี ทว่าทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท ที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่มีใครยอมใคร เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจ ทั้งจัดโปรโมชั่น เสิร์ฟและเพิ่มความหลากหลายเมนู รวมถึงเร่งขยายสาขา
MK ยักษ์ใหญ่ที่ขอทวงบัลลังก์ผู้นำ
เริ่มจาก MK แบรนด์อายุกว่า 40 ปี หลังจากผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรลดลงต่อเนื่อง เมื่อเปิดปี 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการทวงบัลลังก์ผู้นำในตลาดหม้อร้อนคืน ด้วยการสร้างไวรัลจากการประกาศเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจมาเป็น MongKol
จากนั้นได้เปิดโมเดล ‘บุฟเฟ่ต์’ เพื่อแก้เกมอย่างจริงจัง ผ่านแบรนด์ ‘MK BUFFET’ มีให้เลือกหลายระดับราคา ได้แก่ 499,699 และ 899 บาท ขณะเดียวกันก็ได้มีการจัดโปรฯ ‘MK คุ้มเกินคุ้ม 299’ ภายในร้าน MK เดิม
แต่ที่น่าสนใจ คือ การตั้งบริษัท ‘คุ้มคุ้ม’ ขึ้นมาลุยธุรกิจที่เน้น ‘ความคุ้มค่า’ เป็นหลัก ซึ่งเปิดตัวธุรกิจแรกมาก็ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก นั่นคือ ‘โบนัส สุกี้’ เพื่อลุยตลาดสุกี้ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาทแบบเต็มกำลัง
ที่มาของแบรนด์ใหม่นี้ ‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า จะมาเสริมพอร์ตสุกี้ของ MK ให้แข็งแรงมากขึ้น โดยนอกจากความคุ้มค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความหลากหลาย และประสบการณ์ที่ดีในมื้ออาหาร
และทั้งคู่ยืนยันว่า การที่ MK เพิ่งมาบุกโมเดลบุฟเฟ่ต์ไม่ได้เป็นการขยับตัวที่ ‘ช้าไป’ เนื่องจาก MK ให้ความสนใจและศึกษาตลาดบุฟเฟ่ต์มานานพอสมควร เพราะมีการเติบโตน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือ ต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า ซึ่งผู้เล่นแต่ละรายมี ‘จุดเด่น’ และ ‘จุดด้อย’ แตกต่างกัน
สำหรับ MK จะใช้ศักยภาพของกรุ๊ปทั้งหมดที่มี อาทิ เครือข่ายร้านอาหารกว่า 600 สาขาในเครือ, ซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 ราย,คลังสินค้าและครัวกลางรองรับได้ 1,000 สาขา,ระบบโลจิสติกส์พร้อมรถขนส่งกว่า 500 คัน ส่งของได้ทุกวันทั่วไทย
ที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อให้โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต โดยล่าสุดทาง MK ได้โชว์ฟอร์มของโบนัส สุกี้ว่า เปิดมา 6 เดือน ทำยอดขายไป 200 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้เชื่อมั่นในแนวทางที่เดินมาและเตรียมเดินหน้าต่อเนื่อง
ตามแผนที่วางไว้โบนัส สุกี้ จะมีสาขา 16 แห่งในปี 2568 และในปี 2569 จะเพิ่มเป็นมากกว่า 70 แห่งในปี 2569 มียอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 สาขาทั่วประเทศในปี 2570
ตี๋น้อยจัดโปรฯ-เร่งเปิดสาขาต่อเนื่อง
ด้าน ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ในปี 2568 ก็มีการขยับและเปิดเกมรุกต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของปีนี้ที่ ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ซีอีโอ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ตั้งรายได้ไว้ 9,000 ล้านบาท หลักๆ มาจาก
1.‘การขยายสาขาใหม่’ โดยในปีนี้เราได้เห็นการขยายสาขาผ่านการหาพื้นที่ด้วยรูปแบบใหม่ นั่นคือ การเช่าพื้นที่เก่าของโชว์รูมรถมาเปิดเป็นสาขาของสุกี้ตี๋น้อย
2.‘การเปิดแบรนด์ใหม่’ จับกลุ่มเซ็กเมนต์พรีเมียม กับแบรนด์ Teenoi Gold ให้บริการบุฟเฟ่ต์พรีเมียม ราคาเริ่มต้นที่ 599 บาท ปัจจุบันมี 1 สาขา ได้แก่ เมเจอร์รัชโยธิน ชั้น2 โซนอเวนิว และมีแผนขยายสาขาอีกหลายแห่ง อาทิ Index Living Mall บางใหญ่ และชลบุรี, โลตัส นครปฐม, ธัญญาพาร์ค ฯลฯ
3.‘จัดโปรฯ’ ต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความหลากหลายของเมนู
นอกจากนี้เรายังได้เห็นการใช้ช่องทางโซเชียล มีเดีย เข้ามาสื่อสารและสร้างเอนเกจกับลูกค้า รวมถึงดึง ‘เฟิร์น-นัทธมน’ มาทำ CEO Branding มากขึ้นด้วย
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางเพจสุกี้ตี๋น้อย โพสต์ข้อความว่า ตอนนี้สุกี้ตี๋น้อยบรรลุเป้าหมายยอดขาย 9,000 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนเป้าหมายในปี 2569 ทางเฟิร์น-นัทธมนประกาศจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 32 สาขา เป็นจำนวนสูงที่สุดเท่าที่ทำมา ขณะที่รายได้ตั้งเป้าจะทะลุ 10,000 ล้านบาทให้ได้
ลัคกี้ สุกี้ ผนึกกำลัง CRG ท้าชิงผู้นำตลาด
ขณะที่น้องใหม่มาแรงอย่างบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ ซึ่งเปิดมา 3 ปีทำยอดขายไป 2,000 ล้านบาท โดยหลังจาก CRG เข้ามาถือหุ้น 40% ด้วยมูลค่าลงทุน 940 ล้านบาท ก็ทำให้ชื่อของลัคกี้ สุกี้ ถูกจับตามองมากขึ้นอีกครั้ง
การร่วมทุนที่เกิดขึ้น ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ กรรมการบริหาร มิราเคิล แพลนเนท บอกว่า สิ่งที่มองหาไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวในระยะยาว ซึ่ง CRG และ มิราเคิล แพลนเนท มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับธุรกิจอาหารไทยให้แข็งแกร่ง
แน่นอนเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง ก็คือ การทำให้ลัคกี้ สุกี้ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้ และบาร์บีคิวของไทยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
โดยหลังจากได้ CRG มาเป็นพาร์ทเนอร์แล้ว จะมีขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ปีละ 20 – 25 สาขา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง และมีจำนวนสาขา 100 – 120 สาขาทั่วประเทศ
เปิดปี 2569 เราน่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนของการผนึกกำลังครั้งนี้ ซึ่งน่าจับตามอง
ยอดขายโตแต่กำไรลดปัจจัยท้าทายของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม การทำศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จะปลุกให้ตลาดหม้อร้อนคึกคักและเติบโตสวนกระแสภาพรวมของธุรกิจร้านอาหาร ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ นั่นคือ การรักษาสมดุลระหว่าง ‘วอลุ่ม’ กับ ‘มาร์จิน’
เพราะแม้โมเดลบุฟเฟ่ต์จะดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้เติบโต แต่ฉุด ‘กำไร’ ให้ลดลง ซึ่งประเด็นนี้ชัดเจนจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ของทั้ง‘บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)’ เจ้าของ ‘MK’ และ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ‘สุกี้ตี๋น้อย’
โดย เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป มีรายได้รวม 3,884 ล้านบาท เติบโต 5.5% กำไรสุทธิไป 226 ล้านบาท ลดลง -33.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วน บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป ในไตรมาส 3 ปี 2568 ทำกำไร221 ล้านบาท ลดลง 21% ขณะที่ ไตรมาส 1 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท ลดลง 2.1% ไตรมาส 2 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท ลดลง 6.7%
ดังนั้น จึงน่าสนใจว่า ศึกบุฟเฟ่ต์หม้อร้อนต่อจากนี้จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด แต่เชื่อว่า ดีกรีความร้อนแรงคงไม่ลดลงอย่างแน่นอน
เพราะแม้กำไรจะลดลง ทั้ง MK และ สุกี้ตี๋น้อย ยังยืนยันจะเพิ่มโปรโมชั่นใหม่และขยายโมเดลบุฟเฟ่ต์ต่อเนื่อง ส่วนลัคกี้ สุกี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ประกาศชัดไม่เล่น ‘สงครามราคา’ แต่เมื่อรายอื่นพร้อมใจกันเล่น จะเปลี่ยนใจกระโดดเข้าสู่สมรภูมินี้หรือไม่






