มีคนเคยสำรวจว่า การประชาสัมพันธ์และโฆษณาแบรนด์ของสถาบันการศึกษานั้น การบอกเล่าปากต่อปาก เป็นการตลาดที่ทรงอานุภาพมากที่สุด และถือเป็นความรู้ทางจารีตของวงการการศึกษามายาวนานหลายปี
เพิ่งจะมีช่วงหลัง 2-3 ปีนี่แหละที่โฆษณาทางหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ของสถาบันการศึกษาเริ่มโผล่มาให้เห็น แม้จะไม่บ่อย แต่ช่วงเข้าโค้งสุดท้ายเอนทรานซ์ และโหมโรงต้อนบรรดาว่าที่นักศึกษา (สอบตก)เข้าคอก สำหรับสถาบันการศึกษาสำหรับเด็กชนชั้นกลาง (เขตเมืองและชานเมือง) สมองนิ่ม (แต่จมไม่ลง) ที่มีพ่อแม่ (วางมาด) กระเป๋าตุงและหน้าใหญ่ ถือว่าเป็นจังหวะช่วงชิงโอกาสกันเลยทีเดียว
ปีนี้ ที่ตึงตังโครมครามมากว่าใคร หนีไม่พ้นโฆษณาแบรนดิ้งของ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ที่มีตึกสวยงามย่านคลองประปาแถวบางเขน จึงควักเงินนับสิบล้านบาทออกโฆษณาชิ้นนี้ ถือเป็น University Marketing ที่แรงพอสมควร
คงไม่ต้องเดาวัตถุประสงค์
ภาพยนตร์โฆษณาขึ้นต้นด้วยพิธีรับน้องใหม่ฝึกงาน
“อ๋อ เด็กฝึกงานเหรอ? จากไหนล่ะ” พนักงานลายคราม 2 คนวางมาดใหญ่ลองภูมิ วางอำนาจเหมือน ”ว้ากเกอร์”ในระบบโซตัสรุ่นไดโนเสาร์ทักทายน้องใหม่นักศึกษาฝึกงาน (สาว) ในมาดมั่น
“จาก มหา’ลัยธุรกิจบัณฑิตย์ค่ะ” ตอบฉะฉานเหมือนท่องบทมาดี
“…ทำอะไรได้มั่งล่ะ?”
“ได้หมดค่ะ” ตอบทันควัน
จากนั้นรายการลองของก็เริ่มต้นขึ้น พร้อมคำตอบ “ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…ทำได้ค่ะ…”
ฆ่าเวลาโฆษณาไปพอสมควรแล้ว พนักงานสาว (แก่) ซึ่งคงจะว่างงานมาก ก็ถามคำถามเด็ดว่า
“ชงกาแฟได้มั้ย?”
“ได้ค่ะ”…
ตบท้ายด้วยท่อนฮุกเด็ดแบบเพลงวัยรุ่นยุคโจ๋สมองนิ่มทั้งหลายว่า “เรียนรู้ทุกศาสตร์ พร้อมก้าวสู่โลกธุรกิจ….
ดูโฆษณาหลายรอบ จับใจความได้อย่างเดียวว่า มหา’ลัยแห่งนี้ ผลิตเป็ดแบบ best all round ได้มากมายในแต่ละปี !!!
ไม่ใช่ศาสตร์ของนักธุรกิจที่จะเป็นผู้ประกอบการเลย
ปรัชญาการศึกษาเรื่อง สหสาขาวิชา กับ ผลิตบัณฑิตเป็ด มันต่างกันแค่ไหนคงไม่ต้องบอก แต่สิ่งที่ธุรกิจไทยที่ก้าวทันยุคทุกวันนี้ ต้องการจากพนักงานในระดับ ”ปัญญาชน” นั้น เป็นความเชี่ยวชาญทีประกอบด้วยมันสมอง ไม่ว่าจะเป็น innovative skills และ improvised skills
ไล่เรี่ยกัน โฆษณาพรินต์แอดอีกชิ้นหนึ่งออกมาชนกัน (ด้วยงบที่ประหยัดกว่ากันเยอะ) ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เสนอจุดขายฮาร์ดเซลกันตรงๆ ไปเลย ว่า…ผลิตบัณฑิตได้งานสูงสุดอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยเอกชน และอันดับ 3 ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ 2 ปีซ้อน
เท่านี้ยังไม่พอ ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นนักแสดงพระเอกเรื่อง ”โหมโรง” มาเป็นแม่เหล็กดึงดูดพวกเห่อดารา ตามมาด้วยโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ด้วยการระบุว่า ผู้สมัครเข้าเรียนในจนถึง 8 เมษายน 2548 จะได้เข้าอบรมคอร์ส ”อินเทรนด์” ฟรี 1 ที่นั่ง
ถือเป็นสงครามการตลาดตามฤดูกาลที่น่าตื่นเต้น สอดคล้องกับหลักสูตรมหา’ลัยเอกชนและรัฐในระยะนี้ที่เร่งผลิตหลักสูตรแบบ pop curriculum กันออกมามากมาย
เมื่อผู้บริหารแข่งกันเป็น POP U กันหมดอย่างนี้ ก็ไม่น่าแปลกที่จะมีบัณฑิตแบบป๊อปๆ ออกมาเกลื่อนเมือง
หากไม่เป็นดารา ก็เป็น ”…ได้หมดค่ะ”
แล้วก็มีธุรกิจและการตลาดแบบ ”ป๊อป” ให้เห็นมากมาย
เออ…ให้มันได้ยังงี้สิ…
POP จงเจริญ!!!
ปล่อยให้ความรู้ที่ลึกซึ้งกลายเป็นความฟุ่มเฟือยไปก็แล้วกัน…เนาะ…