ขยะพลาสติก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 22 Apr 2024 09:46:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เริ่มแล้ว! “ฮ่องกง” แบนช้อนส้อม “พลาสติก” ในร้านอาหาร กระตุ้นให้ลูกค้าพกมาใช้เอง https://positioningmag.com/1470573 Mon, 22 Apr 2024 09:11:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470573 ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2024 “ฮ่องกง” เริ่มแบนไม่ให้ร้านอาหารและโรงแรมใช้ช้อนส้อม กล่อง หลอด และอุปกรณ์การทานอาหารที่ทำจาก “พลาสติก” และบังคับให้ร้านเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ย่อยสลายได้ เช่น กล่องกระดาษ รวมถึงต้องคิดค่าอุปกรณ์เหล่านี้กับลูกค้าด้วย เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาพกอุปกรณ์ทานอาหารของตนเอง ลดปัญหาขยะ

ธุรกิจที่ยังฝ่าฝืนกฎหมายนี้มีบทลงโทษเป็นค่าปรับสูงสุด 100,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 472,000 บาท) แต่ขณะนี้รัฐบาลยังผ่อนผันให้เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้ธุรกิจได้มีโอกาสปรับตัวก่อน

กฎหมายนี้จะกระทบโดยตรงกับ “ร้านอาหาร” ที่มีตัวเลือกให้ลูกค้ารับกลับบ้านหรือส่งเดลิเวอรี เพราะธุรกิจลักษณะนี้ใช้หีบห่อและอุปกรณ์พลาสติกเป็นหลัก

Simon Wong Ka-Wo ประธานสมาพันธ์ร้านอาหารและธุรกิจเกี่ยวเนื่องแห่งฮ่องกง กล่าวว่า ประมาณ 70% ของร้านอาหาร 18,000 ร้านภายใต้เครือข่ายของเขายังไม่เริ่มเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์การทานที่ไม่ใช่พลาสติกกันเลย เพราะธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องเคลียร์สต๊อกอุปกรณ์พลาสติกที่ร้านมีอยู่ในคลังให้หมดก่อน ถึงจะเริ่มสั่งอุปกรณ์แบบใหม่ได้

แบน พลาสติก
(Photo: Mikhail Nilov / Pexels)

อย่างไรก็ตาม South China Morning Post (SCMP) ลงพื้นที่เขตช้อปปิ้งในฮ่องกงพบว่า ร้านอาหารหลายร้านเริ่มเปลี่ยนมาใช้กล่องกระดาษและช้อนส้อมทำจากไม้กันแล้ว และจะคิดเงินลูกค้าเพิ่มเซ็ตละ 1 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 4.72 บาท) หากลูกค้าต้องการอุปกรณ์การทาน โดยเฉพาะร้านเชนขนาดใหญ่ เช่น KFC และ McDonald’s เปลี่ยนมาใช้ช้อนส้อมไม้ทั้งการทานในร้านและซื้อกลับบ้าน

Joyce Chiu ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน Café de Coral Holdings บริษัทเจ้าของเชนร้านอาหารรายใหญ่ที่มีร้านอาหารในเครือรวมทุกแบรนด์กว่า 500 สาขา ระบุว่า บริษัทเริ่มเปลี่ยนมางดใช้อุปกรณ์พลาสติกตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อกลับบ้านน้อยลงมากหากร้านตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อยู่อาศัย จากเดิมสัดส่วนลูกค้าซื้อกลับบ้าน 40% ลดลงมาเหลือ 20% เท่านั้น

รวมถึงกลุ่มที่ซื้อกลับบ้านนั้นมีเพียง 1 ใน 4 ที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรับอุปกรณ์การทานที่ทำจากไม้และกระดาษไป

(Photo: ROMAN ODINTSOV / Pexels)

ในขณะเดียวกัน SCMP สอบถามลูกค้าร้านอาหารกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พบว่าพฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นมีหลายกลุ่มหลังกฎหมายบังคับใช้ โดยบางคนเลือกไม่จ่ายเงินเพิ่ม และหันมาใช้อุปกรณ์ส่วนตัวของตัวเองที่ล้างใช้ซ้ำได้

เหตุผลที่เลือกใช้อุปกรณ์ส่วนตัวไม่ใช่แค่เพราะต้องชำระเงินเพิ่ม แต่เพราะบางคนพบแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานรักษ์โลกหากใช้อุปกรณ์แบบใช้แล้วทิ้งให้เห็น และบางคนรู้สึกว่าอุปกรณ์บางอย่าง เช่น ช้อนส้อมไม้ ไม่สะดวกในการใช้งานจริง

แน่นอนว่ามีลูกค้าบางกลุ่มที่ ‘ลักไก่’ ลูกค้าบางคนยอมรับว่าพวกเขาใช้วิธีไปซื้อช้อนส้อมพลาสติกเหมาโหลมาเก็บไว้ในที่ทำงานเพื่อใช้ทานอาหาร ไม่ต้องการใช้ช้อนส้อมแบบล้างใช้ซ้ำเพราะไม่สะดวกต่อวิถีชีวิต แถมคิดราคาต่อชิ้นแล้วช้อนส้อมพลาสติกยังถูกกว่าช้อนส้อมไม้ที่ร้านชาร์จราคาเพิ่มด้วย

 

ลูกค้าเตรียมรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

Simon ประธานสมาพันธ์ฯ บอกด้วยว่า การเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์การทานอาหารจากไม้หรือกระดาษอาจจะกลายเป็นต้นทุนที่ถูกส่งผ่านไปยังลูกค้า เพราะราคาอุปกรณ์รักษ์โลกพวกนี้จะสูงกว่าพลาสติกถึง 30%

  • “โค้ก” เปลี่ยนมาใช้ “พลาสติกรีไซเคิล” (rPET) ผลิตขวด ประเดิมในกลุ่ม “1 ลิตร” วางจำหน่ายทั่วไทย
  • ‘LEGO’ ล้มแผนผลิตตัวต่อจาก ‘พลาสติกรีไซเคิล’ หลังพบกระบวนการผลิตก่อให้เกิด ‘มลพิษ’ มากกว่าการผลิตแบบเดิม

SCMP สัมภาษณ์ Yeung เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ในย่าน Wan Chai เขามองว่าการบังคับใช้กฎหมายในช่วงนี้ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอ และในอนาคตร้านคงจะต้องชาร์จราคาเพิ่มกับลูกค้าที่สั่งกลับบ้านถึง 2 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อออร์เดอร์ เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนที่แพงขึ้น

ไม่ใช่แค่ร้านอาหารที่ต้องปรับตัว ธุรกิจโรงแรมก็ถูกแบนการใช้พลาสติกด้วยเช่นกัน เช่น น้ำดื่มฟรีในห้องต้องไม่ใช้ขวดพลาสติก หรือเครื่องใช้ในห้องน้ำที่ให้ฟรีต้องไม่ใส่ในถุงที่ทำจากพลาสติกหรือวัสดุย่อยสลายยาก

นี่เป็นแค่เฟสแรกของกฎหมายแบนพลาสติกของฮ่องกง เฟสที่สองจะตามมาภายในปี 2025 ซึ่งจะแบน    อุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มอีก เช่น ถุงมือพลาสติก ผ้าปูโต๊ะพลาสติก

Source

]]>
1470573
“โค้ก” เปลี่ยนมาใช้ “พลาสติกรีไซเคิล” (rPET) ผลิตขวด ประเดิมในกลุ่ม “1 ลิตร” วางจำหน่ายทั่วไทย https://positioningmag.com/1448518 Wed, 18 Oct 2023 09:11:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448518 ตั้งแต่วันนี้ “โค้ก” ขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร จะเปลี่ยนมาใช้ขวด “rPET” หรือขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ทั้งหมด (*ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเฉพาะส่วนตัวขวด ไม่รวมฝาและฉลาก) วางจำหน่ายทั่วประเทศ

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศ ‘ก้าวแรก’ ของโคคา-โคล่าในไทยที่เปลี่ยนมาใช้ขวดทำจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ในบางไลน์ผลิตภัณฑ์

โดยก้าวแรกนี้จะเปลี่ยนมาใช้ขวด rPET ในไลน์ผลิตภัณฑ์ “โค้ก” รสออริจินอลและรสไม่มีน้ำตาล เฉพาะสินค้าขนาด “1 ลิตร” ก่อน แต่เป็นการเปลี่ยนทั้งไลน์การผลิตของขวด 1 ลิตร และส่งไปจำหน่ายทั่วประเทศ

rPET โค้ก
“โค้ก” ขวด 1 ลิตร ที่เปลี่ยนมาใช้ขวดผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล

ศรุตขอสงวนข้อมูลด้านจำนวนการจำหน่ายโค้กขวด 1 ลิตรในแต่ละปี และบอกกว้างๆ ว่าเหตุที่เลือกเริ่มต้นใช้ rPET ในกลุ่ม 1 ลิตรก่อน มาจากการพิจารณา ‘หลายด้าน’ ประกอบกัน

อย่างไรก็ตาม เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าขวด 1 ลิตรไม่ใช่ขนาดสินค้าที่ขายดีที่สุดของโค้ก การเลือกผลิตในกลุ่มนี้ก่อนจึงเป็นเหมือนการทดลองตลาดของโคคา-โคล่า เพราะต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังมีหลายคนไม่มั่นใจในขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลแบบผ่านการใช้งาน (post-consumer) มาแล้ว ด้วยความกังวลว่าขวดอาจไม่สะอาด ทำให้โคคา-โคล่าอาจจะต้องการเปลี่ยนในไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าก่อน

สำหรับการเปลี่ยนมาใช้งานขวด rPET ของโคคา-โคล่า ภาพรวมทั่วโลกมีการใช้งานจริงไปแล้วถึง 40 ประเทศ ส่วนในอาเซียนนั้นไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ต่อจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมา ที่มีการใช้งานขวดจากพลาสติกรีไซเคิล

การเปลี่ยนมาใช้ขวดจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นดีต่อโลกมากกว่าเพราะได้นำพลาสติกเก่ากลับมาใช้ใหม่ แต่ด้านต้นทุนนั้นยังสูงอยู่ โดยทีมงานโคคา-โคล่าแจ้งเป็นภาพกว้างๆ ว่า ต้นทุนการผลิตขวดด้วยเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นแพงกว่าพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) อย่างน้อย 10%

แต่ในอนาคต หากมีการใช้งานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลกันสูงขึ้น มีโรงงานผลิตได้จำนวนมากขึ้น โอกาสที่ต้นทุนจะลดลงมาเท่ากับเม็ดพลาสติกใหม่ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นไปตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย

 

“โค้ก” ผนึกพันธมิตร “เอ็นวิคโค”

ด้านซัพพลายการผลิตขวด rPET ของโคคา-โคล่า มาจากโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลรายแรกของไทยอย่าง บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (*บริษัทในกลุ่ม PTTGC)

“ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ชี้แจงถึงวิธีการแปรรูปขวด PET ที่ผ่านการใช้งานแล้วมาเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลว่า เริ่มจากการรับขวดพลาสติกที่ทำความสะอาดแล้วมาตัดเป็นเกล็ด แล้วผ่านกระบวนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติกโดยใช้ความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส จากนั้นเอ็นวิคโคจึงส่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้ลูกค้าไปขึ้นรูปเป็นขวดอีกครั้ง

ณัฐนันท์กล่าวว่า ด้วยความร้อนที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติก ทำให้เชื้อโรคและสิ่งเจือปนต่างๆ ถูกกำจัดออกหมด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ถึงความสะอาด

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด และ “ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด

ทั้งนี้ ณัฐนันท์ระบุว่า ปัจจุบันโรงงานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทยมีเพียง 3 แห่งเท่านั้น โดยเอ็นวิคโคเป็นรายใหญ่ที่สุด มีกำลังการผลิต 30,000 ตันต่อปี ขณะนี้เดินเครื่องที่อัตรา 70-80% ของกำลังการผลิตสูงสุด มีลูกค้าสั่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลแบ่งเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50%

 

โจทย์ใหญ่: ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจ “rPET”

ในตลาดเครื่องดื่มปัจจุบัน การที่ขวด rPET จะประสบความสำเร็จได้ ทางโคคา-โคล่ามองว่าการทำความเข้าใจเรื่องกระบวนการผลิตขวด rPET ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัจจุบันผู้บริโภคทั่วไปมักจะเข้าใจว่า การนำขวดพลาสติกใช้แล้วกลับมารีไซเคิลหมายถึงการนำขวดเดิมมาล้างทำความสะอาดแล้วเติมเครื่องดื่มเข้าไปใหม่ทันที ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดจากความจริงอย่างมาก

โคคา-โคล่าจึงต้องมีแคมเปญสร้างความเข้าใจถึงขวด rPET และรณรงค์เรื่องการรีไซเคิล ดึงซัพพลายขวด PET ใช้แล้วจากผู้บริโภคกลับมาเข้ามาในวงจรรีไซเคิล

โค้ก rPET
“ขวดโค้กยักษ์” ในอีเวนต์ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์

โดยบริษัทมีการจับมือกับ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” เปิดแคมเปญ “โค้ก คิดเพื่อโลก” จัดอีเวนต์วาง “ขวดโค้กยักษ์” ที่ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์ จัดนิทรรศการสร้างความเข้าใจเรื่องการผลิตขวด rPET พร้อมกับวางจุดรับคืนขวด PET แบบไม่จำกัดแบรนด์เพื่อนำมารีไซเคิล ผู้ร่วมคืนขวดจะได้ลุ้นรับสิทธิเป็นผู้โชคดี 30 คนที่ได้กระทบไหล่ “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ในมินิคอนเสิร์ต (*จะมีแคมเปญเดียวกันนี้อีกแห่งหนึ่งที่ “สยามเซ็นเตอร์” ด้วย)

รวมถึงโคคา-โคล่ายังมีแคมเปญกับ “Trash Lucky” สตาร์ทอัปด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อนหน้านี้ด้วย ภายใต้แคมเปญ “โค้กชวนแยก แลกลุ้นโชค” ซึ่งทาง Trash Lucky มีการวางจุดรับขวด PET ตามห้างฯ และปั๊มน้ำมัน 64 จุดทั่ว กทม. และ 5 จุดในจ.ภูเก็ต ผู้ที่สนใจสามารถหย่อนขวด PET ใช้แล้วได้ทุกแบรนด์ และรับโค้ดไปลุ้นของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท รางวัลใหญ่ที่สุดแจกรถยนต์ไฟฟ้า Neta V แคมเปญเปิดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566

นิทรรศการสร้างความเข้าใจด้านกระบวนการผลิตขวด rPET

ด้านการขยายไปใช้ rPET ในไลน์สินค้าชนิดอื่น “ศรุต” กล่าวว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยแผนได้อย่างชัดเจนและขอรอดูผลตอบรับจากลูกค้าก่อน แต่จะต้องมีการผลักดันอย่างแน่นอนเพราะเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ โดยโคคา-โคล่าระดับโลกมีเป้าที่จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลให้ได้ 50% ของสินค้าทั้งหมด ภายในปี ค.ศ.2030

  • ‘ญี่ปุ่น’ เตรียมรีไซเคิลรถไฟ ‘ชินคันเซ็น’ ผลิตเป็น ‘ไม้เบสบอล’ รุ่นลิมิเต็ดสำหรับเด็ก
  • KitKat ออสเตรเลีย จะเปลี่ยนมาใช้ซองทำจาก “พลาสติกรีไซเคิล” นำร่องขนมอื่น ๆ ของ Nestle

สำหรับการใช้งานขวด rPET ในไทย “โค้ก” ไม่ใช่รายแรก เพราะปี 2566 นี้มีหลายแบรนด์ที่ประกาศการใช้งานออกมาก่อนแล้ว เช่น  “เป๊ปซี่” ที่เริ่มใช้ในไลน์ผลิตภัณฑ์เป๊ปซี่สูตรปกติและสูตรไม่มีน้ำตาลขนาด 550 มล. และ “มิเนเร่” น้ำแร่จากเครือเนสท์เล่ ที่เริ่มใช้ในไลน์ขวดขนาด 750 มล.

]]>
1448518
สู้โลกร้อน! “อังกฤษ” เตรียมแบนจาน-ช้อนส้อมพลาสติก เหตุสร้างขยะปีละกว่า 5 พันล้านชิ้น https://positioningmag.com/1414876 Mon, 09 Jan 2023 08:17:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414876 รัฐบาลอังกฤษยืนยัน เตรียมออกกฎหมาย “แบน” จานและอุปกรณ์การกินที่ทำจากพลาสติก ตัวการสร้างขยะพิษปีละมากกว่า 5 พันล้านชิ้น

อังกฤษถือเป็นประเทศที่สามในกลุ่มสหราชอาณาจักรต่อจากสก็อตแลนด์และเวลส์ ที่มีการ “แบน” จานและอุปกรณ์การกินทำจากพลาสติก โดยยังไม่ระบุแผนงานชัดเจนว่าจะเริ่มแบนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จะมีการประกาศข้อมูลเต็มในวันที่ 14 มกราคมนี้

รัฐบาลคาดว่า จานพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งในอังกฤษนั้นมีการใช้งานปีละกว่า 1.1 พันล้านชิ้น ส่วนอุปกรณ์ช้อน ส้อม มีดพลาสติกนั้นมีการใช้มากกว่าปีละ 4 พันล้านชิ้น

แม้ว่าพลาสติกจะเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร แต่พลาสติกเหล่านี้มักจะย่อยสลายไม่ได้ และจะถูกฝังกลบในดินไปอีกนานแสนนาน เป็นมลพิษต่อดินและน้ำ

ข้อมูลจากหน่วยงานด้านกิจการสิ่งแวดล้อม อาหาร และชนบท (Defra) ระบุว่า คนอังกฤษใช้จานพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเฉลี่ยปีละ 18 ชิ้น และใช้ช้อนส้อมมีดแบบใช้แล้วทิ้งเฉลี่ยปีละ 37 ชิ้น ในจำนวนนี้มีเพียง 10% ที่เข้าสู่ระบบรีไซเคิล

แบน พลาสติก
อีกไม่นาน การซื้ออาหารกลับบ้านที่อังกฤษจะไม่อนุญาตให้ใช้จานทำจากพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Photo: Loren Castillo / Pexels)

Therese Coffey เลขานุการรัฐด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าหมายจะแบนพลาสติกใช้แล้วทิ้งเหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาในธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่มแบบซื้อกลับบ้าน

“ฉันมุ่งมั่นที่จะสร้างการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ปัญหา เราผ่านการทำงานก้าวใหญ่ๆ มาแล้วหลายก้าวในช่วงหลายปีมานี้ แต่เราก็รู้ว่าเราต้องทำให้มากกว่าเดิม และเป็นอีกครั้งที่เรารับฟังเสียงเรียกร้องจากสาธารณะ” Coffey กล่าว

“การแบนครั้งใหม่นี้จะสร้างผลอย่างใหญ่หลวงเพื่อหยุดมลพิษจากพลาสติกได้หลายพันล้านชิ้นต่อปี และช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติให้กับลูกหลานเรา”

ก่อนหน้าที่จะมีการแบนจานพลาสติก อังกฤษเคยประกาศแบน “หลอด” พลาสติกใช้แล้วทิ้ง ไม้คนพลาสติก และคัตตอนบัดมาแล้วในปี 2020

ทั้งนี้ การแบนภาชนะและอุปกรณ์การกินจากพลาสติก จะไม่รวมสินค้าที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่รัฐบาลจะหาทางแก้ปัญหาพลาสติกในธุรกิจเหล่านั้นด้วยวิธีการอื่นแทน

  • KitKat ออสเตรเลีย จะเปลี่ยนมาใช้ซองทำจาก “พลาสติกรีไซเคิล” นำร่องขนมอื่น ๆ ของ Nestle
  • ‘โค้ก’ โดนสับเรื่องใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลแค่ 25% ทั้งที่เป็น ‘เบอร์ 1’ ผู้สร้างขยะพลาสติกโลก

นโยบายนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มรณรงค์ Greenpeace แต่ข้อปฏิบัติอื่นจะต้องมีเพิ่มเติมต่อไป “เรากำลังเผชิญปัญหา ‘ขยะไหลท่วม’ และมาตรการนี้ก็เหมือนหาไม้ม็อบมาถูพื้น แทนที่จะหาที่ปิดก๊อกน้ำ” Megan Randles จาก Greenpeace วิจารณ์

เธอยังเรียกร้องให้รัฐบาลมีกลยุทธ์ลดใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่ดีและมีความหมายกว่านี้ โดยรัฐควรมีเป้าหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงวางกลยุทธ์ให้มีการใช้ซ้ำ (reuse) และมีแนวทางการเติมสินค้า (refill) มากกว่าซื้อในแพ็กเกจใหม่

Source

]]>
1414876
จะหยุดวิกฤต ‘ขยะ’ อย่างไรในมุมมอง ‘สิงห์ วรรณสิงห์’ จากงาน Sustainability Expo 2022 https://positioningmag.com/1402733 Tue, 04 Oct 2022 10:00:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1402733

ถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วสำหรับ Sustainability Expo 2022 (SX2022) หรือมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่ได้ 5 องค์กรธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผนึกกำลังกันพัฒนา โดยภายในงานก็มีการจัดกิจกรรมมากมาย และหนึ่งในความน่าสนใจคือ การพูดคุยถึงแนวทางการสร้างความยั่งยืนจาก Speaker ที่มีชื่อเสียงในวงการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘สิงห์ วรรณสิงห์’


จากทำคลิปกำจัดขยะ สู่การศึกษาอย่างจริงจัง

เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จัก สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล จากรายการ เถื่อน Travel ที่พาไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่หลายคนอาจไม่คิดที่จะไป แต่หลังจากที่สิงห์ได้เดินทางไปทั่วโลกทำให้เขาได้เห็น ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม ทำให้เริ่มหันมันศึกษาอย่างจริงจัง

“ความตั้งใจตอนแรกคือ ว่าจะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อไปสร้างทำสารคดีเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนทุกมุมโลกเลย แต่โดน COVID-19 เบรกไว้ เลยหันมาดูว่าในไทยมีปัญหาวิกฤตอะไรบ้าง ซึ่งก็มีเยอะมาก เพราะมันแบ่งซอยย่อยเป็นหลายหัวข้อมาก” วรรณสิงห์ อธิบาย

วรรณสิงห์ เล่าว่า สาเหตุที่เขาหันมาศึกษาเรื่อง วิกฤตขยะ อย่างจริงจังเป็นเพราะเคยถูกจ้างให้ทำวิดีโอเกี่ยวกับการ สถานีการจัดการขยะอ่อนนุช ว่า แยกไปก็เทรวม มันจริงไหม จากนั้นก็มีโอกาสได้ทำสารคดีเกี่ยวกับขยะเรื่อยมา จนในที่สุดก็ตัดสินใจ เรียนปริญญาโทด้านการจัดการขยะพลาสติกทางทะเล


ไทยติด Top 10 ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล

ที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยติด อันดับ 6 ของโลก ที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล แม้ตอนนี้อันดับจะลดลงเป็นที่ 9-10 แต่ก็ยังถือว่าติด Top Ten ของโลกอยู่ดี ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากการ มีขยะพลาสติกเยอะกว่าประเทศอื่น แต่จัดการได้แย่กว่าประเทศอื่นมาก

“ปัญหาของไทยไม่ใช่การปล่อยคาร์บอน แต่เป็นปัญหาขยะทางทะเล เพราะมลพิษของมันกระจายไปทั่วโลก ซึ่งถ้าดูเฉพาะการปล่อยคาร์บอนของไทยจะประมาณ 3.7-3.8 ตันต่อหัวต่อปี จากค่าเฉลี่ยโลกที่ 4 ตันต่อคนต่อปี ส่วนประเทศที่ปล่อยเยอะ ๆ จะเป็นประเทศในตะวันออกกลางซึ่งปล่อยกันปีละ 20 ตันต่อคนต่อปี หรือ อเมริกาที่ปล่อยปีละ 16 ตันต่อคนต่อปี”


ขยะเป็นปัญหาปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่าพฤติกรรม

แน่นอนว่าเรื่อง ขยะ มีความละเอียดอ่อนในการในการจัดการดูแลเพราะมีแยกเยอะมาก ขณะที่หลายคนมองเป็น ปัญหาเชิงพฤติกรรม คือ คนไม่แยกขยะ, คนทิ้งไม่เป็นที่, คนไม่มีจิตสำนึก แต่จากข้อมูลที่ได้เห็นเรื่องขยะกลับเป็น ปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบ ไม่ว่าจะเรื่องการจัดการบริหารจัดการ, เรื่องของกฎหมายรองรับ, เรื่องของงบประมาณและเงินทุน และการนำเทคโนโลยีต่างประเทศที่นำมาประยุกต์ใช้

“แน่นอนว่าในระบบจัดการขยะมันมีเรื่องพฤติกรรมมนุษย์รวมอยู่ในนั้น แต่มันไม่ใช่เป็นส่วนใหญ่อย่างที่เราเข้าใจกัน เรามักจะคิดว่าเราต้องแก้ที่พฤติกรรม แก้ที่จิตสำนึก ผมว่ามันเป็นส่วนที่น้อยมากในการแก้ปัญหาวิกฤตขยะ”

ปัจจุบัน การจัดการขยะทางอบต. อบจ. จัดการกันเอง ส่วนในแง่ของกฎหมายรองรับมีแค่ พ.ร.บ รักษาความสะอาดฯ พ.ร.บ.อนามัย ไม่ให้ไปปนเปื้อนในที่สาธารณะ แต่ไม่มีกฎหมายระดับชาติ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้มันไม่ได้มีมาตรฐานระดับชาติ แล้วไม่มีงบประมาณมากพอ ที่จะทำให้ทุกท้องถิ่นสามารถทำได้ระดับที่ดีเท่ากัน นอกจากนี้ ภาคธุรกิจก็ต้องรับผิดชอบด้วย ใครที่ผลิตอะไรก็ควรรับผิดชอบจัดการสิ่งเหล่านั้นให้จบสุดทาง

“พอจัดการขยะต้นทางไม่ดี สุดท้ายไปลงบ่อฝังกลบ หรือในบางจังหวัดไม่มีรถขยับไปเก็บด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ไม่รู้จะทำไง ก็เผาทิ้ง กลายเป็นเกิดมลพิษในบนดิน เป็นมลพิษในอากาศ หรือในกรุงเทพที่การจัดการขยะไปไม่ถึงเขาก็ทิ้งลงน้ำ จะเห็นว่ามีเตียงเต็มไปหมด”


ระบบดีจิตสำนึกจะตามมา

หากสามารถสร้างระบบที่ดี มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเหมือนที่ต่างประเทศมี ก็จะช่วย เปลี่ยนพฤติกรรม โดยคนไทยทุกคนรู้ว่าการแยกขยะนั้นดี แต่ 9 ใน 10 คน ไม่ศรัทธาเรื่องแยกขยะ เพราะยังคิดว่าแยกไปก็เทรวม ซึ่งตอนนี้มันมีแค่ระบบของเอกชน ไม่มีระบบของภาครัฐในการรับรอง ดังนั้น ไทยต้องมีโครงสร้างทางกฎหมายที่บังคับใช้ มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สร้างแรงจูงใจ นอกจากนี้ ต้องให้การศึกษาประชาชนในเรื่องเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่มีหลักสูตรในโรงเรียนเรื่องการแยกขยะ

“การแยกต้นทางจะนำไปสู่ต้นทุนปลายทางในการจัดการที่ต่ำลงอย่างมหาศาล ซึ่งจุดเริ่มต้นง่าย ๆ คือ แยกเศษอาหารออกจากขยะที่เหลือ การจัดการจะง่ายขึ้นเยอะมาก แต่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะการปรับระบบต่างหากที่เป็นสิ่งทำให้อิมแพ็คมากกว่า”


จัดการขยะดี ๆ สร้างรายได้กว่าที่คิด

วรรณสิงห์ ยกตัวอย่าง ประเทศสวีเดน มีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งได้ทั้งพลังงานและกำจัดขยะ และถ้าจัดการขี้เถ้าดี ๆก็ไม่ทำให้เกิดมลพิษลงสู่สิ่งแวดล้อม โดยทางสวีเดนมีขยะน้อยจนต้องนำเข้าขยะมาเผาเพราะทำกำไรได้ หรือที่เมือง คามิคาสึ ของญี่ปุ่นก็มีการแยกขยะเป็น 37 ประเภท โดยรีไซเคิลทุกอย่างเอากลับมาใช้ หรืออย่างกรุงเทพ ก็มีการนำเอาขยะเศษอาหารไปหมักเป็นปุ๋ย ซึ่งปัจจุบัน 15-50% ของขยะทั้งหมดในกรุงเทพเป็นขยะเศษอาหาร

“หลายคนก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วขยะเป็นเงินเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก อลูมีเนียม แก้ว มันกลับเข้ามาสู่ระบบได้ อย่างกระป๋องอลูมิเนียมก็ราคาดีมากกิโลกรัมละ 50-60 บาท แล้วก็ขยะรีไซเคิลที่ไม่ถูกนำมารีไซเคิลก็เป็นการสูญเสียเชิงทรัพยากร ตอนนี้คนเดียวที่เห็นคุณค่าเหล่านี้คือซาเล้ง”

วรรณสิงห์ ทิ้งท้ายว่า ปัญหาบนโลกนี้อีกมากมายที่มากกว่าขยะ โดยเฉพาะ เรื่องโลกรวน ซึ่งจะเห็นว่าหน้าฝนที่ยาว 6 เดือนนี้ พายุที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไทยจะไม่ได้มีผลเยอะนักในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโลก แต่สิ่งที่เมืองไทยควรจะทำคือ ลดขยะ และ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม กับสภาวะของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเรื่องการผลิตพลังงาน เรื่องของการผลิตอาหาร และเรื่องของโครงสร้างการคมนาคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกสูงมากในช่วง 10-20 ปีจากนี้ ซึ่งมันเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

]]>
1402733
Coca-Cola พลิกจากตัวปัญหาขยะพลาสติก สู่โซลูชั่น “ขวดจากพืช” https://positioningmag.com/1358683 Wed, 27 Oct 2021 07:42:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358683 แทนที่จะโฆษณาสีแดง แบรนด์น้ำอัดลมน้ำดำสุดซ่าอย่าง Coca-Cola เลือกใช้สีเขียวเป็นหลักในโฆษณาล่าสุด พร้อมประกาศความสำเร็จว่า Coca-Cola สามารถพัฒนาขวดพลาสติกจากพืชแบบ 100% สำเร็จแล้ว โดยมีแผนแบ่งปันเทคโนให้คู่แข่งรายอื่นด้วย

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะที่ผ่านมา Coca-Cola ถูกยกเป็นหนึ่งในต้นต่อขยะพลาสติกรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งจากการสำรวจของรายงาน Break Free from Plastic ประจำปี 2021 พบว่า Coca-Cola จำหน่ายขวดพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นขยะมากกว่า 1 แสนล้านขวดต่อปี

จากภาพตัวก่อปัญหา Coca-Cola ต้องการพลิกบทบาทมาเป็นผู้นำในการค้นพบทางแก้ไข หรือเป็นผู้พัฒนาโซลูชั่นเพื่อให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมน้ำหวานได้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน แต่คำถามคือ Coca-Cola จะทำได้ไหม? และจะทำได้ด้วยวิธีใด? 

จัดการปัญหาพลาสติกของตัวเอง

ที่ผ่านมา Coca-Cola หรือโค้กมีวิธีจัดการกับขวดด้วยระบบการคืนขวดแก้ว ซึ่งเมื่อลูกค้าดื่มน้ำหวานที่จำหน่ายไปพร้อมขวดแก้วหมดแล้ว ก็จะส่งคืนร้านค้าโดยที่ร้านจะได้รับเงินตอบแทนสำหรับขวดที่ส่งกลับมา ซึ่งที่สุดแล้ว ขวดเหล่านี้จะถูกส่งไปรียูสหรือใช้ซ้ำอีกครั้ง

ขวดแก้วลักษณะนี้ยังมีจำหน่ายในบางพื้นที่จนกระทั่งต้นปี 2021 สำนักข่าว BBC ยกตัวอย่างพื้นที่เกาะซามัว ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ อยู่กึ่งกลางระหว่างมลรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์ ซามัวเป็นเกาะที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหามลพิษขยะพลาสติกอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Coca-Cola ตัดสินใจเปลี่ยนขวดแก้วมาเป็นขวดพลาสติก แล้ววางจำหน่ายบนเกาะ ช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผู้ที่อาศัยในเกาะกลับพบกับขยะที่เป็นขวดสินค้า Coca-Cola มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขวดเหล่านี้ไม่ใช่แค่แบรนด์ Coca-Cola แต่ยังมีแบรนด์ในเครือเช่น Fanta และ Sprite รวมอยู่ด้วย กลายเป็นกระแสขึ้นมาทันทีว่าขวดพลาสติกเหล่านี้กำลังเป็นปัญหา ในพื้นที่ซึ่งไม่มีโรงงานรีไซเคิลอย่างเกาะซามัว 

ขณะนี้ มีการประเมินว่าขวด Coke เป็น 1 ใน 3 ขวดพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นขยะมากที่สุดบนเกาะซามัว ตัวเกาะมีประชากรอาศัยอยู่เพียง 2 แสนคน ทำให้ปริมาณขยะในเกาะไม่ได้มีมากพอที่จะต้องก่อตั้งโรงงานรีไซเคิลพลาสติกบนเกาะ ปัญหาคือโรงงานรีไซเคิลพลาสติกลักษณะนี้จะมีผลดีเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น แต่สำหรับพื้นที่เล็กๆอย่างซามัว ผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่าพยายามที่จะส่งออกขยะออกจากเกาะแทน แต่ค่าขนส่งนั้นแพงมาก ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าแม้จะมีการส่งออกขยะแบบเต็มคอนเทนเนอร์ก็ตาม รวมทั้งยังมีต้นทุนในการจัดหาแรงงานเพื่อทำความสะอาดขยะขวดพลาสติกเหล่านี้

กรณีนี้ Coca-Cola เคยพยายามรับผิดชอบด้วยการกำหนดค่าชดเชยให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อขยะขวดพลาสติก 1 กิโลกรัมที่รวบรวมได้ โดยให้เหตุผลสาเหตุที่ตัดสินใจยกเลิกขวดแก้ว ว่าเป็นเพราะปัญหาความยุ่งยากและการจัดการที่ซับซ้อนในห่วงโซ่การผลิตหรือ supply chain โดย Coca-Cola ยืนยันชัดเจนว่า บริษัทกำลังพยายามทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าของ Coca-Cola จะไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว BBC ย้ำว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำอัดลมถือเป็นแหล่งใหญ่ของการผลิตขวดพลาสติกมากกว่า 4.7 แสนล้านขวดต่อปี ทุกขวดถูกออกแบบเพื่อให้สามารถใช้งานครั้งเดียวแล้วทิ้ง และ 1 ใน 4 ของขวดใช้แล้วทิ้งถูกจำหน่ายไปโดย Coca-Cola 

เบื้องต้น นักสังเกตการณ์ชี้ว่าผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวหรือ single use plastic ถือเป็นช่องทางลดต้นทุนที่ดีที่สุดของบริษัทหลายแห่ง ไม่ใช่เพียง Coca-Cola แต่หลายบริษัทใช้พลาสติกที่มีราคาถูกอย่างเหลือเชื่อในการผลิตบรรจุภัณฑ์ เมื่อวางจำหน่ายในตลาดแล้ว บริษัทหลายแห่งถือว่าภารกิจตัวเองได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว จึงไม่ได้มีการดำเนินการใดๆต่อเพื่อรับผิดชอบ 

Coca-Cola ไม่นิ่งดูดาย

ในปี 2018 แบรนด์โคล่าอย่าง Coca-Cola ประกาศแผนโลกที่ไร้ขยะหรือ World Without Waste Plan เพื่อเก็บและรีไซเคิลขวดสำหรับขวดทุกขวดที่ Coca-Cola จำหน่ายภายในปี 203 เวลานั้น “เจมส์ ควินซ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท The Coca Cola Company ให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทจะเข้ามามีส่วนร่วมในการรวบรวม และจัดการขวดเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อรีไซเคิลและนำกลับมาผลิตขวดซ้ำใหม่อีกครั้ง 

นโยบายนี้ย้ำว่า Coca-Cola หวังที่จะเปลี่ยนทัศนคติจากภาพที่ถูกมองว่าเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหา มาเป็น Coca-Cola ที่ก้าวนำในด้านการค้นพบทางแก้ไขหรือโซลูชั่นของทั้งอุตสาหกรรม

ก้าวล่าสุดที่ Coca-Cola ทำคือการต่อยอดโครงการผลักดันความยั่งยืน จากช่วงต้นปีนี้ที่ได้เริ่มทดลองใช้ขวดต้นแบบที่ทำจากกระดาษ มาเป็นการสานต่อโครงการขวดพลาสติก PET แบบใหม่ซึ่งผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100% โดยไม่ใช่แค่ในขวดของตัวเอง Coca-Cola ยังประกาศจุดยืนว่าจะเผยแพร่เทคโนโลยีแก่ผู้เล่นทุกรายในอุตสาหกรรม เป็นการเต็มใจเปิดกว้างให้แบรนด์เครื่องดื่มที่เป็นคู่แข่งกัน

 

As part of our #WorldWithoutWaste innovations, meet our first-ever beverage bottle made from 100 percent plant-based plastic, manufactured using technologies ready to be commercially scaled.

Read the full story here: https://t.co/zjdWGbS464 pic.twitter.com/79Mhau40eR

— The Coca-Cola Co. (@CocaColaCo) October 21, 2021

Coca-Cola อธิบายว่าเป้าหมายของบริษัทคือการพัฒนาโซลูชั่นที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรม โดยย้ำว่าต้องการให้บริษัทอื่นเข้าร่วมและก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ด้วยการใช้ขวดใหม่ซึ่งใช้วัสดุจากพืชทั้งหมดโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในกระบวนการ ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถนำไปใช้กับการผลิตฝาปิดและฉลาก แต่ Coca-Cola ก็ย้ำว่านี่คือก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีขวดพลาสติกจากพืชไปใช้ในเชิงพาณิชย์

เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือวัสดุจากพืชที่เรียกว่าพาราไซลีน (bPX) ซึ่งทำจากข้าวโพด เมื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นกรดเทเรฟทาลิก (bPTA) และเข้าสู่การแปลงชีวมวลเป็นโมโนเอทิลีนไกลคอล สารพื้นฐานสำหรับผลิตเรซินหรือสีที่ได้จากพืช (bMEG) วิธีการนี้ลดการปล่อยมลพิษในสายการผลิต คาดว่าจะมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในโรงงานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบที่เยอรมนี และมีการใช้วัตถุดิบเศษไม้เหลือใช้จากอุตสาหกรรมไม้เพื่อสร้าง bMEG ให้มากขึ้น

เบื้องต้น Coca-Cola ตั้งใจจะกำจัดการใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติออกจากการผลิตขวดพลาสติกทั้งหมดภายในปี 2030 โดยมีแผนพร้อมใช้วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุหมุนเวียนเท่านั้นในตลาดยุโรปและญี่ปุ่น

ทั้งหมดนี้ Coca-Cola โพสต์บนทวิตเตอร์ว่าขวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม #WorldWithoutWaste โดยบอกว่านี่คือขวดเครื่องดื่มรุ่นแรกของ Coca-Cola ที่ทำจากพลาสติกจากพืช 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นขวดที่ผลิตโดยเทคโนโลยีซึ่งพร้อมจะนำไปเดินหน้าผลิตจำนวนมากในเชิงพาณิชย์แล้ว.

ที่มา :

  • https://designtaxi.com
  • https://twitter.com/CocaColaCo
  • https://www.bbc.com
  • https://www.bbc.co.uk
]]>
1358683
‘อินเดีย’ Go Green! เตรียมแบน ‘พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง’ ในปีหน้า หวังแก้ปัญหามลพิษ https://positioningmag.com/1356096 Mon, 11 Oct 2021 10:11:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356096 หลังจากมีมติในปี 2019 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกในประเทศ ในที่สุดรัฐบาลกลางของอินเดียก็เตรียมประกาศห้ามไม่ให้ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plasstic) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2022 โดยมาตรการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดมลภาวะ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าไม่ง่ายและอาจจะได้ผลมากพอ

อินเดียเตรียมแบนการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง อาทิ ถุงหูหิ้ว, ถุงบรรจุภัณฑ์อาหาร ขวดและหลอดที่ใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง แต่นักวิเคราะห์มองว่า การบังคับใช้ จะเป็นกุญแจสำคัญ และมองว่าอินเดียยังต้องแก้ไข ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น นโยบายในการควบคุมการใช้พลาสติกทางเลือก, การปรับปรุงการรีไซเคิล และการจัดการการแยกขยะที่ดีขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจจะได้ผลไม่ดีพอ

“พวกเขาต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบในพื้นที่เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการบังคับใช้การแจ้งเตือนนี้ทั่วทั้งอุตสาหกรรม” Swati Singh Sambyal ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะอิสระในนิวเดลีกล่าวกับ CNBC  

Anoop Srivastava ผู้อำนวยการ Foundation for Campaign Against Plastic Pollution องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อจัดการกับขยะพลาสติกในอินเดีย เปิดเผยว่า ขยะพลาสติกประมาณ 60% ในอินเดียถูกรวบรวมไปกำจัดหรือรีไซเคิล ส่วนอีก 40% หรือ 10,376 ตัน ยังคงไม่ถูกเก็บ

ประเทศต่าง ๆ รวมถึงอินเดียกำลังดำเนินการเพื่อลดการใช้พลาสติก โดยส่งเสริมการใช้วัสดุทางเลือกที่ย่อยสลายได้ทางธรรมชาติ อาทิ ผู้ขายอาหาร เครือร้านอาหาร และธุรกิจในท้องถิ่นบางแห่งเริ่มนำ ช้อนส้อมที่ย่อยสลายได้ทางธรรมชาติ มาใช้งาน หรือนำ ถุงผ้า มาใช้ แต่ในอินเดีย ยังไม่มีแนวทางสำหรับการใช้พลาสติกทดแทน และนั่นอาจเป็นปัญหาเมื่อการห้ามใช้พลาสติกมีผล

ดังนั้น อินเดียจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมทางเลือกอื่น นอกจากนี้ กฎระเบียบใหม่ยังขาดแนวทางในการรีไซเคิล แม้ว่าขยะพลาสติกในอินเดียประมาณ 60% จะถูกนำไปรีไซเคิล แต่ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าขยะพลาสติกที่มากเกินไปนั้นเกิดจากการ ‘ดาวน์ไซเคิล’ ซึ่งหมายถึง กระบวนการที่พลาสติกคุณภาพสูง ถูกรีไซเคิลเป็นพลาสติกใหม่ที่มีคุณภาพต่ำกว่าเดิม เช่น การเปลี่ยนขวดพลาสติกเป็นโพลีเอสเตอร์สำหรับเสื้อผ้า

“ตามปกติแล้ว พลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 7-8 ครั้งก่อนที่จะส่งไปยังโรงเผาขยะ แต่ถ้าคุณดาวน์ไซเคิล พลาสติกที่ได้จะใช้ได้ 1-2 ครั้งก็ต้องกำจัดทิ้ง นอกจากนี้ การแยกขยะก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน”

นักสิ่งแวดล้อมมักเห็นพ้องกันว่าการห้ามใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งนั้นไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากความคิดริเริ่มอื่น ๆ ขณะที่ข้อบังคับของรัฐบาลจำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดการรวบรวมและรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น เช่น การควบคุมผู้ผลิตและขอให้พวกเขาทำเครื่องหมายประเภทของพลาสติกที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถรีไซเคิลได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาทางเลือกที่ใช้แทนพลาสติกด้วย

“อินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่อ่อนไหวต่อราคา ซึ่งพลาสติกทางเลือกสามารถผลิตได้จำนวนมากและขายได้ในราคาที่เหมาะสม ในอดีตรัฐต่าง ๆ ของอินเดียได้ออกข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับถุงพลาสติกและช้อนส้อม แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับใช้อย่างเคร่งครัด”

อย่างไรก็ตาม การสั่งห้ามครั้งล่าสุดถือเป็นก้าวสำคัญสู่การต่อสู้ของอินเดียในการลดขยะทางทะเล และช่วยฟื้นฟูสภาพอากาศ และสอดคล้องกับวาระด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยอินเดียกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามข้อตกลงของปารีส และเสริมว่ามีความมุ่งมั่นที่จะลดระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 33% เป็น 35% ภายในปี 2030

Source

]]>
1356096
‘ญี่ปุ่น’ ออกกฎบังคับร้านค้าลด ‘พลาสติกใช้แล้วทิ้ง’ 12 ชนิด เพื่อส่งเสริมการรีไซเคิล https://positioningmag.com/1349042 Sun, 29 Aug 2021 06:10:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349042 กระทรวงสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายให้บรรดาร้านขายปลีกและร้านอาหารในญี่ปุ่น จะต้องลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งจำนวน 12 ชนิด โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เพื่อลดขยะพลาสติกในทะเล และส่งเสริมการรีไซเคิล

ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม ร้านซักแห้ง ร้านอาหาร และกลุ่มธุรกิจที่ใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ปีละ 5 ตัน หรือมากกว่า 5 ตันขึ้นไป ต้องลดการใช้ดังกล่าว โดยพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้ง 12 ชิ้น เช่น ช้อน, หลอด, มีด, หวี, แปรงสีฟัน, หมวกอาบน้ำ และไม้แขวนเสื้อ

ทั้งนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมจะร่างกฎหมายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ หลังจากรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว โดยผู้ประกอบการจะถูกขอให้นำแนวทางปฏิบัติใหม่ ๆ มาใช้ เช่น ให้คะแนนกับลูกค้าที่ปฏิเสธที่จะรับสินค้า แนะนำผลิตภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และทำให้การปฏิบัติตามมาตรฐานในการถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการสินค้าพลาสติกหรือไม่

ธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่จะได้รับคำแนะนำหรือสั่งให้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติของตน โดยคาดว่าธุรกิจที่จัดหาสิ่งของเหล่านี้ในปริมาณมาก เช่น ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม ร้านซักรีด และบริษัทจัดส่งพิซซ่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้

Source

]]>
1349042
‘The Body Shop’ เตรียมซื้อขยะพลาสติก ‘600 ตัน’ ไว้ทำบรรจุภัณฑ์ หวังแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม https://positioningmag.com/1299237 Tue, 29 Sep 2020 11:28:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299237 มลพิษจากพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งขยะพลาสติกมากกว่าพันล้านตันจะลงเอยในมหาสมุทรหรือฝังกลบภายในปี 2583 ขณะที่อุตสาหกรรมความงามเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนทำให้ขยะพลาสติกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่มีทางแก้ไขง่าย ๆ แต่ทางเลือกหนึ่งคือ การใช้ขยะพลาสติกเป็นวัตถุดิบ

Mark Davis ผู้ดำเนินโครงการ Community Fair Trade ของบริษัท The Body Shop บริษัทความงามสัญชาติอังกฤษ ระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้เริ่มจัดหา ขยะพลาสติกจากคนเก็บขยะในเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย เพื่อใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Community Fair Trade เพื่อช่วยจัดหาพลาสติกมารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์

“เราต้องการขวดที่มีคุณภาพดีที่สุด เราต้องการในเวลาที่เหมาะสมในสถานที่ที่เหมาะสม และ … นี่ก็เหมือนกับวิธีที่เราทำงานกับการจัดหาวัตถุดิบอื่น ๆ”

ความคิดริเริ่มนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจ แต่ซัพพลายเออร์วัตถุดิบจำเป็นต้องขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้ซื้อรายเดียว ส่งผลให้ The Body Shop นั้นพร้อมที่จะ สนับสนุนให้คู่แข่งจัดหาพลาสติกด้วยวิธีนี้ เพื่อให้ซัพพลายเออร์สามารถทำงานร่วมกับลูกค้าหลายรายผ่านองค์กร Plastics For Change

เบื้องต้น The Body Shop รับประกันว่าจะซื้อพลาสติกจำนวนหนึ่งในปีแรกที่ 500 ตัน และภายในปี 2564 ตัวเลขดังกล่าวจะถึง 600 ตัน

“การจัดหาพลาสติกนี้จะต้องใช้เวลากว่าจะบรรลุผล โดยบริษัทคาดว่าอาจต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการสร้างห่วงโซ่อุปทานและไปถึงจุดที่หาวัตถุดิบตรงตามความต้องการของ The Body Shop ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเม็ดพลาสติกและทำเป็นบรรจุภัณฑ์”

Source

]]>
1299237
เจาะลึกพฤติกรรม “ผู้บริโภครักษ์โลก” เพิ่มขึ้นเป็น 20% ยังมีช่องว่างให้แบรนด์ทำตลาด https://positioningmag.com/1297515 Thu, 17 Sep 2020 12:14:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297515 เทรนด์สิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่มีผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหนที่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมจริงๆ จนนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นปัจจัยเลือกซื้อสินค้า รวมถึงโปรไฟล์ของ “ผู้บริโภครักษ์โลก” เป็นคนกลุ่มไหน ได้รับอิทธิพลความใส่ใจสิ่งแวดล้อมจากแหล่งใด และพวกเขามีแบรนด์ในใจหรือยัง ไปศึกษาข้อสรุปจากงานวิจัยของ “คันทาร์” ได้ที่นี่

คันทาร์ บริษัทวิจัยการตลาด ทำการสำรวจร่วมกับ GfK และ Europanel ศึกษาผู้บริโภคใน 19 ประเทศ จำนวน 80,000 คน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2020 ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรป อเมริกา ละตินอเมริกา และเอเชีย (ในเอเชียสำรวจ 3 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย) มีข้อสรุปเกี่ยวกับกลุ่ม “ผู้บริโภครักษ์โลก” ดังนี้

ผู้บริโภครักษ์โลก เพิ่มขึ้นเป็น 20%

คันทาร์แบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกออกเป็น 3 กลุ่ม และพบว่าปี 2020 นี้ ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม กลุ่ม Eco-Actives คือคนที่ใส่ใจและปฏิบัติตัวเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมเป็นประจำ มีสัดส่วน 20% กลุ่ม Eco-Considerers คือคนที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตัวเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมเป็นบางครั้ง มีสัดส่วน 39% ส่วนกลุ่ม Eco-Dismissers คือคนทียังไม่ตระหนักและไม่มีการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม มีสัดส่วน 41%

ถ้าเทียบกับปี 2019 กลุ่ม Eco-Actives เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 16% และกลุ่ม Eco-Considerers เคยมีอยู่ 35% ทำให้เห็นได้ว่าเทรนด์ระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้บริโภครักษ์โลกที่ลงมือปฏิบัติจริงเป็นประจำเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของทั้งหมด แต่ในทวีปเอเชียมีเพียง 10% เท่านั้น (photo : Shutterstock)

อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชียของเรานั้นเป็นทวีปที่มีกลุ่ม Eco-Actives น้อยที่สุด คือมีเพียง 10% และไม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่กลุ่ม Eco-Considerers มี 32% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 27%

ส่วนภูมิภาคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่สุดคือทวีปยุโรปตะวันตก โดยมี Eco-Actives ถึง 25% มากที่สุดคือในประเทศเยอรมนี มีผู้บริโภคกลุ่มนี้สูงถึง 38%

 

ได้อิทธิพลจาก “ลูก” แต่คนลงมือทำคือ “พ่อแม่”

สิ่งหนึ่งที่่น่าสนใจของงานวิจัยนี้คือพบว่า กลุ่ม Eco-Actives มักจะเป็นกลุ่มคนวัย 35 ปีขึ้นไปจากชนชั้นกลางถึงบน
ยกเว้นบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล อินโดนีเซีย ที่ผู้บริโภครักษ์โลกจะเป็นคนวัยต่ำกว่า 35 ปีเป็นหลัก

เมื่อเจาะลึกไปที่เรื่อง “อิทธิพล” ต่อความคิดที่ทำให้เขาหรือเธอใส่ใจสิ่งแวดล้อม แม้เราจะคิดว่าคงมาจากสื่อหรือคนดัง แต่จริงๆ แล้วผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่ตอบว่ามาจาก “ลูกๆ” ของตนเองเป็นคนชักชวน รองลงมาจึงเป็นกลุ่มเพื่อนและตามด้วยพ่อแม่ จึงอาจจะกล่าวได้ว่าลูกๆ มักจะเป็นผู้นำไอเดียรักษ์โลกในบ้าน แต่คนลงมือปฏิบัติจริงกลับกลายเป็นกลุ่มพ่อแม่วัยมากกว่า 35 ปีนี่เอง

 

ใส่ใจโลกร้อน-ขยะพลาสติก

ด้านประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภครักษ์โลกใส่ใจมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่

1) โลกร้อน 16.9%
2) ขยะพลาสติก 14.8%
3) มลพิษทางน้ำ 9.7%
4) ภาวะขาดแคลนแหล่งน้ำ 8.5%
5) มลพิษทางอากาศ 8.4%

กลุ่ม Eco-Actives มักจะทำอาหารทานเอง และเลือกผลิตภัณฑ์ออร์กานิกมากกว่าคนทั่วไป (Photo by August de Richelieu from Pexels)

ด้วยความใส่ใจเหล่านี้ ทำให้กลุ่ม Eco-Actives มักจะมี “พฤติกรรมการบริโภค” ร่วมกันที่น่าสนใจ เช่น

  • ทำอาหารเอง : ทำให้สินค้าที่เลือกซื้อมักจะเป็นของสด ของแห้ง วัตถุดิบทำอาหาร และมักจะเลือกของเหล่านี้ที่เป็นผลิตภัณฑ์ออร์กานิก เฉพาะปี 2020 คนกลุ่มนี้เลือกซื้อของออร์กานิกเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าตัว
  • ใส่ใจสุขภาพ : พฤติกรรมคนกลุ่มนี้มักจะเลือกอาหารเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ มักอ่านฉลากก่อนซื้อ และจะเลือกซื้ออาหารเครื่องดื่มที่เสริมประโยชน์เชิงสุขภาพ เช่น เติมวิตามิน
  • เลือกสิ่งแวดล้อมมาก่อนตนเอง : เนื่องจากงานวิจัยนี้เกิดขึ้นในช่วงโรคระบาด COVID-19 คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคจะยังเลือกซื้อเนื้อสดและผักผลไม้สดที่ ‘ไม่’ บรรจุในแพ็กเกจพลาสติกหรือไม่ ผลปรากฏว่ามีเพียงกลุ่ม Eco-Actives ที่ยังซื้อเนื้อสดและผักผลไม้สดแบบไม่ห่อพลาสติกเช่นเดิม ส่วนกลุ่มอื่นๆ เลือกแบบห่อแพ็กเกจพลาสติกมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย

 

“ผู้ผลิต” ควรเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

คันทาร์ยังเจาะลึกว่าผู้บริโภคมองว่าภาคส่วนใดที่ควรเป็นผู้นำรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พบว่ากลุ่มใหญ่ที่สุดชี้เป้าไปที่ “ผู้ผลิต” 37.3% รองมาคือ “รัฐบาล” 31.7% ตามด้วย “ผู้บริโภค” 21.5% ปิดท้ายคือ “ห้างค้าปลีก” 4.2% เท่านั้น

เห็นได้ว่าผู้บริโภคคิดว่าผู้ผลิตสินค้าต้องรับผิดชอบมากที่สุด แต่เมื่อถามว่ามีแบรนด์ใดบ้างที่ทำได้ดีในประเด็นนี้ มีผู้บริโภคเพียง 22% ที่สามารถยกตัวอย่างชื่อแบรนด์ได้ น่าสนใจว่าในเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม อาจยังไม่มีแบรนด์แข่งขันกันมาก และไม่มีภาพที่ชัดเจนในใจผู้บริโภค เป็นโอกาสการวางนโยบายผลิตสินค้าและการตลาดของทุกคน

  • วิถีรักษ์โลก! “นีเวีย” เปิดตัว “เครื่องรีฟิล” สบู่อาบน้ำในเยอรมนี ช่วยลดใช้พลาสติก
  • ‘LEGO’ ก็รักษ์โลก ประกาศทุ่ม ‘400 ล้านเหรียญ’ เลิกใช้บรรจุภัณฑ์แบบครั้งเดียวทิ้ง

 

การจัดการ “ขยะพลาสติก” คือสิ่งที่ทำได้

แล้วผู้บริโภคอยากเห็นผู้ผลิตหรือภาคส่วนต่างๆ ใช้โซลูชันแบบไหนช่วยโลก นี่คือ 5 อันดับแรกที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นทางเลือกที่ใช้ได้จริง

1) แพ็กเกจจิ้งที่รีไซเคิลได้ 100% (52.2%)
2) แพ็กเกจจิ้งผลิตจากพลาสติก bio-degradable (46.2%)
3) ใช้วัสดุแพ็กเกจจิ้งอื่นที่ไม่ใช่พลาสติก (40.5%)
4) ระบบ “รีฟิล” สินค้าหรืออนุญาตให้นำบรรจุภัณฑ์มาเอง (37.3%)
5) ระบบคืนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หมดแล้ว (30.5%)

ตัวอย่างแก้วใช้ซ้ำ (Reuse) ของ McDonald’s อังกฤษ ร่วมกับ Loop เป็นระบบมัดจำเงินเพื่อให้นำแก้วมาคืน และตัวแก้วสามารถรีไซเคิลได้ 100%

เห็นได้ชัดว่าประเด็นแพ็กเกจจิ้งพลาสติกเด่นชัดในใจผู้บริโภคมากที่สุด แต่วิธีแก้ปัญหาในแต่ละทวีปอาจต่างกันบ้าง ยกตัวอย่างทวีปเอเชียเป็นภูมิภาคที่ผู้บริโภคตอบว่าควรใช้พลาสติกไบโอฯ มากกว่ารีไซเคิล เพราะผู้บริโภครู้สึกว่าระบบจัดการขยะยังไม่มีประสิทธิภาพ และสุดท้ายพลาสติกนั้นจะไม่ได้รีไซเคิลแต่ถูกนำไปฝังกลบ จึงเหมาะกับการใช้ไบโอพลาสติกที่ย่อยสลายง่ายมากกว่า

 

“ราคา” คือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกไปไม่รอด

สรุปทั้งหมดที่กล่าวมา เมื่อมาถึงเคสปฏิบัติจริงของหลายๆ แบรนด์ ทั้งที่ผลิตสินค้ารักษ์โลกออกมาตอบสนองเทรนด์นี้แล้ว แต่ทำไมจึงไม่ได้รับความนิยม

คันทาร์ยกตัวอย่างเคสของ Colgate ในอังกฤษ มีการออกจำหน่ายแปรงสีฟันทำจากไม้ไผ่ แต่กลับทำยอดขายได้แค่ 1 ล้านปอนด์เท่านั้น เพราะราคาที่สูงกว่าแปรงสีฟันทั่วไปถึง 4 เท่า แม้ว่ากลุ่ม Eco-Actives มีแนวโน้มจะยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อสินค้ารักษาสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าสูงกว่ามากก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แปรงสีฟัน Colgate ทำจากไม้ไผ่ bio-degradable และไม่มีการใช้พลาสติกเลยแม้แต่ในแพ็กเกจจิ้ง อย่างไรก็ตาม ราคาที่แพงกว่าแปรงสีฟันทั่วไป 4 เท่า ทำให้ยอดขายในอังกฤษไม่ดีเท่าที่ควร

นอกจากนี้ยังมีประเด็น “ช่องทางจำหน่าย” ด้วย ยกตัวอย่างผงซักฟอก Fab ในโคลัมเบีย วางตำแหน่งการตลาดว่าเป็น “ผงซักฟอกที่ดีต่อโลก” แต่แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้แค่ 0.2% เพราะมีขายในโมเดิร์นเทรดแค่บางแห่ง และราคาก็สูงเกินไปเช่นกัน

ตลาดผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมีมูลค่าถึง 3.82 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และดูจากเทรนด์การเติบโตแล้วก็มีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก ขณะที่ตลาดยังไม่มีผู้นำที่ชัดเจน จึงเป็นโอกาสที่แบรนด์จะออกสินค้าให้ตรงใจ สื่อสารการตลาดให้ตรงกลุ่ม ทำราคาและช่องทางจำหน่ายให้เหมาะสม เพื่อมัดใจกลุ่มคนที่ทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างตั้งใจจนแม้แต่ COVID-19 ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้แบบนี้

]]>
1297515
สวยด้วย ได้ช่วยโลกด้วย! Google ดีไซน์ “เคสมือถือ” จากขวดพลาสติกรีไซเคิล https://positioningmag.com/1291465 Thu, 06 Aug 2020 17:47:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291465 Google ออกผลิตภัณฑ์ล่าสุดในธีมการใช้พลาสติกรีไซเคิลในสินค้า เป็นผลิตภัณฑ์ “เคสมือถือ” สำหรับโทรศัพท์รุ่น Pixel โดยผลิตจากขวดพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลเป็นเส้นใยผ้า ช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกที่ (กำลังจะ) ล้นโลกในไม่ช้า

แม้ว่าเราจะพยายามใช้ซ้ำถุงพลาสติกเมื่อไปซูเปอร์มาร์เก็ต บางคนอาจจะพยายามรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์จากการทานอาหารแบบซื้อกลับบ้าน แต่พลาสติกก็ยังซ่อนตัวอย่างโจ่งแจ้งในสายตาเรา ตั้งแต่สายชาร์จคอมพิวเตอร์ไปจนถึงรีโมตของสารพัดอุปกรณ์ ทุกๆ ปี ขยะพลาสติกปริมาณ 10 ล้านตันจะเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ และมีสัดส่วนน้อยมากที่ไปสู่วงจรการรีไซเคิล

เหตุผลนี้ทำให้ดีไซเนอร์ผลิตภัณฑ์ที่ Google พยายามจะสวนกระแสการใช้พลาสติกในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการหลอมรวมพลาสติกที่ได้จากการรีไซเคิลไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ Nest ลำโพงขนาดเล็ก จนถึงตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ Pixel ขณะที่สัปดาห์นี้ Google เปิดตัว “เคสมือถือ” สำหรับใช้กับเครื่อง Pixel ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 70%

เคสมือถือผิวสัมผ้าทวีด แต่แท้จริงแล้วทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล (Photo : Google)

มิเกล แฮร์รี่ หัวหน้าทีมดีไซเนอร์เคสมือถือชิ้นนี้กล่าวว่า ขวดพลาสติก 2 ขวดสามารถผลิตเป็นเคสพลาสติกรีไซเคิลได้ถึง 5 ชิ้น โดยทีมของเขาเลือกที่จะแปลงขวดพลาสติกออกมาเป็นเส้นใย ก่อนนำมาทำเป็นเคสผิวสัมผัสผ้าอย่างที่เห็น

ลักษณะของเคสแทบนึกไม่ถึงเลยว่าทำมาจากพลาสติก เพราะเหมือนกับได้จับผ้าทวีดหรือไหมพรมมากกว่า ภาพรวมดูสวยงามสบายตา ลบภาพจำเดิมๆ ว่าของรีไซเคิลจะดูไม่งาม ตัวเคสผลิตออกมา 3 สีคือ ดำ เทา และแดง โดยมีสีอื่นแทรกเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับผ้าทวีดนั่นเอง

“เราออกแบบให้เคสสร้างอารมณ์สบายๆ” แฮร์รี่กล่าว “เหมือนกับสินค้าทำมือที่จะมีจุดที่ไม่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะผลิตด้วยเครื่องจักรอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม”

(Photo : Google)

 

หลายแบรนด์เร่งนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ผลิตสินค้า

ขยะที่ถูกทิ้งในบ่อขยะโดยไม่ได้นำไปรีไซเคิลนั้นเติบโตรวดเร็วเท่าๆ กับที่เราเปลี่ยนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นใหม่ มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ขยะทั้งหมดบนโลกจะไปแตะ 110 ล้านตัน และ 20% ของจำนวนนี้จะเป็นขยะพลาสติก

ปัจจุบันนี้มีโครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิลพลาสติกน้อยมาก รวมถึงการผลิตสินค้าพลาสติกพร้อมนำไปรีไซเคิลก็น้อยเช่นกัน โดยมีแบรนด์บางส่วนเท่านั้นที่เพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลได้ เช่น Samsung, Whirlpool หรือ Philips สำหรับ Google นั้น แฮร์รี่กล่าวว่า ทีมนักออกแบบกำลังเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์รีไซเคิลได้อยู่เช่นกัน และหวังว่าจะได้ออกจำหน่ายจริงเร็วๆ นี้

  • “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” เปิดตัวโครงการรีไซเคิลขวด PET ที่ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่
  • ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-Waste) อาจล้นโลก! มีการนำไปรีไซเคิลเพียง 17% ของทั้งหมด

กว่าที่ผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลได้จะเป็นมาตรฐานหลักของสังคม กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

เมื่อปีที่แล้ว สหประชาชาติ (UN) และ คณะกรรมการยุโรป ได้ออกแคมเปญกระตุ้นความตระหนักรู้ของสังคมระยะ 2 ปี ชื่อว่าแคมเปญ PolyCE ย่อมาจาก Post-Consumer High-tech Recycled Polymers for Circular Economy = โพลีเมอร์รีไซเคิลระดับไฮเทคหลังผ่านการใช้งานของผู้บริโภคเพื่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้แบรนด์ต่างๆ ผลิตสินค้าจากพลาสติกรีไซเคิล และสร้างแรงบันดาลใจฝั่งผู้บริโภคให้อยากจะซื้อสินค้าเหล่านั้น

แฮร์รี่กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้บริโภคต้องตระหนักทราบว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนนั้นสามารถออกแบบให้ดู “สวยงาม” ได้ด้วย “เราอยากให้ทุกคนรู้ว่า คุณไม่ต้องยอมหยวนๆ ให้กับเรื่องงานดีไซน์เมื่อออกแบบผลิตภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล” แฮร์รี่กล่าว

Source

]]>
1291465