ทาวน์เฮ้าส์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 27 Jul 2024 12:27:40 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “MJD” จับช่องว่างตลาด “ทาวน์เฮาส์หรู” เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” ลุยทำเลรามคำแหง https://positioningmag.com/1484353 Sat, 27 Jul 2024 12:27:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484353 โอกาสในตลาดอสังหาฯ กลุ่มลักชัวรียังมี! “MJD” งัดที่ดิน 12 ไร่ซอยรามคำแหง 53 เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” พัฒนาโปรดักส์ “ทาวน์เฮาส์หรู” ราคา 18-35 ล้านบาท จับกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมืองในแพ็กเกจราคาที่ต่ำกว่าบ้านเดี่ยว

บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัท “มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ระดับลักชัวรี ราคา 18-35 ล้านบาท จำนวน 84 ยูนิต บนที่ดิน 12 ไร่

ทำเลที่ตั้งในซอยรามคำแหง 53 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้ 3 เส้นทาง คือ ถ.รามคำแหง ถ.ลาดพร้าว และ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สะดวก รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งงานและแหล่งการศึกษาสำคัญ เช่น ทาวน์อินทาวน์, รร.บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี), ม.รามคำแหง

มิลฟอร์ด MJD
“Glass Sky Box”

โปรดักส์ออกแบบเป็นทาวน์เฮาส์ 3.5 ชั้นมีขนาดที่ดินตั้งแต่ 24.5 – 72 ตารางวา ห้องนอน 3-5 ห้อง ที่จอดรถ 3-6 คัน ดีไซน์แบบ “English Eclectic Design” กลิ่นอายอังกฤษ มีไฮไลต์ที่ดีไซน์เปลี่ยนระเบียงบางส่วนของตัวบ้านเป็น “Glass Sky Box” หน้ามุขกล่องกระจก เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเป็นที่นั่งชมวิว นั่งทำงาน หรือปลูกต้นไม้ในบ้าน

“นฑา กิตติอักษร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MJD กล่าวว่า “มิลฟอร์ด” เป็นโครงการแรกในรอบ 25 ปีที่บริษัทกลับมาพัฒนาโครงการที่เป็นทาวน์เฮาส์ทั้งโครงการ โดยกลับมาเพราะเห็นโอกาสในตลาดปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยในแพ็กเกจราคานี้ แต่ต้องการทำเลใกล้เมือง และมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับคนในครอบครัว ทำให้โปรดักส์ที่เหมาะสมจึงเป็น “ทาวน์เฮาส์” ซึ่งใช้ที่ดินน้อยกว่า ขยับมาใกล้เมืองได้มากกว่า

มิลฟอร์ด MJD
(ซ้าย) บรรยากาศห้องรับแขกและโต๊ะทานอาหารชั้น 1 (ขวา) มุมมองจาก Glass Sky Box หน้ามุขชมวิว

“คู่แข่งโดยตรงไม่มี เพราะไม่มีโครงการทาวน์เฮาส์บนถนนรามคำแหงช่วงต้น แต่จะมีโครงการบ้านเดี่ยวในละแวกใกล้เคียง ซึ่งแพ็กเกจราคาแพงกว่า ราคาอาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้” นฑากล่าว

ผู้สื่อข่าว Positioning สำรวจพื้นที่รอบๆ มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง พบว่าโครงการแนวราบที่ยังอยู่ระหว่างขายมักจะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี เช่น “ธารารมณ์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ รามคำแหง 9” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 44 ล้านบาท หรือ “โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 – เอกมัย” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท

ห้องนอนมาสเตอร์

นฑากล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มมีผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้ามาแล้วกว่า 100 ราย และจะเปิดขายแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 17-18 สิงหาคมนี้ วางเป้าหมายยอดขายของโครงการมิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหงแตะ 40-50% ภายในสิ้นปี 2567

ด้านโอกาสการขยายแบรนด์มิลฟอร์ดไปปักหมุดในทำเลอื่นๆ นฑาระบุว่า ในไตรมาส 4 จะมีอีกโครงการคือ “มิลฟอร์ด โฮม สตูดิโอ ลาดพร้าว” เป็นโครงการขนาดเล็กมูลค่า 100 ล้านบาท พัฒนาเป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 3 ยูนิตเท่านั้น ราคาประมาณ 30 ล้านบาทต่อหลัง

ห้องเล่นเด็ก

ขณะที่ทำเลอื่นๆ ที่อาจจะมีการจัดซื้อที่ดินในอนาคต จะมองหาที่ดินเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 6-7 ไร่ในทำเลใกล้เมือง เช่น โซนกาญจนาภิเษก ซึ่งนฑายอมรับว่าการหาที่ดินคืออุปสรรคสำคัญในการพัฒนาโครงการลักษณะนี้ เพราะที่ดินราคาเหมาะสมและมีเนื้อที่พอสมควรค่อนข้างหายากแล้วในทำเลใกล้เมือง

สำหรับภาพรวมยอดขายของ MJD ครึ่งปีแรก 2567 นฑาระบุว่าทำยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 7,000 ล้านบาท ถือว่าได้ยอดขายดีเกินคาด

ส่วนครึ่งปีหลังนี้นอกจาก “มิลฟอร์ด” ทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1-2 แห่ง และน่าจะทำให้ทั้งปีนี้ MJD สร้างยอดขายได้ตามเป้า ส่วนการเทิร์นอะราวด์กลับมาทำกำไร นฑายังไม่ยืนยันว่าจะเป็นไปได้ในปี 2567 แต่เชื่อว่าน่าจะเริ่มเห็นการกลับมาทำกำไรของ MJD ได้ภายในต้นปี 2568 เพราะโครงการคอนโดมิเนียมจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์

]]>
1484353
พาชม “คอนโดอารมณ์ทาวน์เฮาส์” ที่อยู่อาศัยฉีกแนวใหม่ในโครงการ “บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น – ซ.เวิร์คพอยท์” https://positioningmag.com/1475471 Tue, 28 May 2024 15:01:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475471 ราคาที่ดินที่แพงขึ้นทุกวันในกรุงเทพฯ ทำให้การหา “ทาวน์เฮาส์” มือหนึ่งในราคาล้านต้นๆ นั้นหาได้ยากมาก ทำให้ “พฤกษา” คิดหาทางออกเพื่อแก้โจทย์ “บ้านแพง” ด้วยโปรดักส์แนวคิดใหม่ “คอนโดอารมณ์ทาวน์เฮาส์” ลูกผสมของสองรูปแบบที่อยู่อาศัย พื้นที่ใช้สอยกว้างกว่าคอนโดฯ แต่ทำราคาต่ำกว่าทาวน์เฮาส์ในทำเลเดียวกัน 30% ! ประเดิมโครงการแรกที่ “บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น ซ.เวิร์คพอยท์”

Positioning มีโอกาสไปเยี่ยมชมโครงการ “บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น – ซ.เวิร์คพอยท์” ของค่ายพฤกษา ซึ่งเป็นโครงการทดลองที่น่าสนใจ เพราะพยายามจะแก้โจทย์ที่ดินแพง บ้านแพง ทำโปรดักส์แนวใหม่ออกมาเพื่อให้แพ็กเกจราคาอยู่ในช่วงที่คนไทยจับต้องได้ง่ายขึ้นคือกลุ่มราคา “ล้านต้นๆ” ขณะเดียวกันก็ยังได้พื้นที่ใช้สอยกว้างพอที่จะอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็กได้

โครงการนี้ทางพฤกษาคาดว่าน่าจะเป็น “ครั้งแรกในไทย” แต่เป็นแนวคิดเดียวกับที่เคยมีแล้วในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ สองประเทศที่ประสบปัญหาที่ดินแพงมาก่อนเมืองไทย โครงการ “คอนโดอารมณ์ทาวน์เฮาส์” จะเป็นอย่างไร เราจะพาไปเจาะลึกกันต่อด้านล่าง

 

“คอนโดฯ” ที่หน้าตาเหมือน “ทาวน์เฮาส์”

การจะแก้โจทย์นี้ต้องย้อนไปดูกฎหมายจัดสรรที่ดินของไทย เนื่องจากกฎหมายไทยกำหนดให้ “ทาวน์เฮาส์” ต้องมีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 ตารางวา ทำให้การลดขนาดทาวน์เฮาส์จนเหลือเล็กจิ๋วเพื่อทำราคานั้นเป็นไปไม่ได้

ทางออกของพฤกษาจึงเป็นการสร้าง “คอนโดฯ” ที่หน้าตาเหมือนทาวน์เฮาส์แทน

บ้านกรีนเฮ้าส์
ด้านหน้าทางเข้าห้องชุดแต่ละยูนิตจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน

เมื่อมองไปเผินๆ จึงทำให้โครงการบ้านกรีนเฮ้าส์หน้าตาเหมือนกับทาวน์เฮาส์ เพราะเป็นบ้านแถวเรียงเข้าไปในแนวลึก หันหน้าเข้าหากัน และแต่ละยูนิตมีชั้น 1 กับชั้น 2 ทุกครอบครัวจะได้อยู่ติดผืนดินทั้งหมด

แบบบ้านนั้นเท่ากันทั้งหมดคือเป็น ห้องชุดพื้นที่ใช้สอย 53 ตารางเมตร เป็นห้องชุด 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ลึก 6.5 เมตร ฟังก์ชันมี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น-ห้องทานอาหาร และ 1 ห้องครัว

บ้านกรีนเฮ้าส์
เข้าไปด้านในจะให้อารมณ์ทาวน์เฮาส์ มีโซนนั่งเล่น ทานข้าว และมีบันไดขึ้นชั้น 2

ที่ต่างจากทาวน์เฮาส์คือ ไม่มีรั้ว ไม่มีระยะร่นหน้าบ้านไว้สำหรับจอดรถ ประตูเข้าบ้านเป็นกระจกบานเลื่อน ไม่มีบริเวณซักล้างหลังบ้าน จึงไม่มีทางออกหลังบ้านเช่นกัน

ส่วนในบ้านให้อารมณ์ทาวน์เฮาส์จริง เพราะเปิดเข้ามาจะพบกับโซนห้องนั่งเล่น ถัดไปเป็นโต๊ะทานอาหาร แต่ห้องครัวจะมาอยู่ฝั่งหน้าบ้านแทน สามารถเปิดบานเกล็ดระบายอากาศระหว่างทำครัวได้

ห้องครัวจะอยู่ฝั่งหน้าบ้าน ติดทางเดินด้านนอก
บ้านกรีนเฮ้าส์
ห้องนอนมาสเตอร์บนชั้น 2 สังเกตว่าระยะมองเห็นจะใกล้กับฝั่งตรงข้ามบ้านพอสมควร

ขณะที่บนชั้น 2 จะเป็นห้องนอน 2 ห้อง ห้องมาสเตอร์วางเตียงควีนไซส์ได้ ห้องเล็กเหมาะเป็นห้องเด็กวางเตียง 3.5 ฟุต ห้องน้ำของบ้านหลังนี้จะไม่มีแยกโซนเปียก-แห้ง แต่อาจจะติดม่านกันน้ำทีหลัง

ห้องนอนรอง วางเตียง 3.5 ฟุตได้

 

ใช้ที่จอดรถรวมและส่วนกลางเหมือน “คอนโดฯ”

จุดสำคัญมากของโครงการบ้านกรีนเฮ้าส์คือใช้ระบบพื้นที่ส่วนกลางแบบเดียวกับคอนโดฯ นั่นหมายความว่า “ที่จอดรถ” ถูกนำไปรวมกันที่ลานจอดรถส่วนกลาง ทุกยูนิตจะได้สิทธิจอดรถ 1 คัน (*ที่จอดรถพอดีจำนวนยูนิต สัดส่วน 100%)

ที่จอดรถ จะอยู่แยกออกมาเป็นลานจอดรวม มีสิทธิจอดยูนิตละ 1 คัน

ส่วนหน้าบ้านจะเห็นว่าถนนไม่ใช่ถนนรถวิ่ง แต่เป็นทางเดินกว้างประมาณ 4 เมตร ทางเดินตรงนี้ถือว่าเป็น “พื้นที่ส่วนกลาง” ที่นิติบุคคลจะคอยดูแลกฎและความสะอาดให้ โดยห้ามไม่ให้นำรถทุกชนิดเข้ามา (รวมถึงมอเตอร์ไซค์และจักรยาน) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สังเกตว่าทางเดินนี้มีการปลูกต้นไม้ไว้ตรงกลาง และมีกระบะปลูกต้นไม้หน้าบ้านทุกหลัง ซึ่งถือเป็นส่วนกลางเช่นกัน โดยนิติบุคคลจะสนับสนุนการปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อให้ลูกบ้านสามารถใช้สอยประโยชน์ร่วมกัน เก็บพืชผักไปทำอาหารได้

ตรงกลางระหว่างแถวห้องชุด จะเป็นทางเดินคนเท่านั้น ห้ามรถทุกชนิดเข้า

นอกจากนี้ การรักษาความปลอดภัยจะใช้แนวคิดเดียวกับคอนโดฯ คือกรณีไรเดอร์ส่งอาหารหรือขนส่งพัสดุ จะต้องจอดส่งไว้ด้านหน้าประตูรั้วโครงการ ไม่สามารถเข้าไปส่งถึงหน้าบ้านได้ เสมือนคอนโดฯ ทั่วไปที่ต้องฝากไว้กับห้องนิติบุคคลหรือจุดที่จัดไว้เฉพาะ

ทางเข้าโครงการ กรณีไรเดอร์มาส่งอาหารหรือพัสดุต้องฝากไว้ที่ป้อมนิติบุคคลด้านซ้ายมือ

 

ลดราคาได้ต่ำกว่าทาวน์เฮาส์ปกติ 30%

รวมทั้งโครงการ “บ้านกรีนเฮ้าส์ รังสิต สเตชั่น – ซ.เวิร์คพอยท์” เฟสแรกมี 48 ยูนิต ราคาเริ่ม 1.39 ล้านบาทต่อยูนิต

หากเทียบกับโครงการทาวน์เฮาส์ปกติที่อยู่ติดกันของพฤกษาคือ “พฤกษาวิลล์ รังสิต สเตชั่น – ซ.เวิร์คพอยท์” ซึ่งปัจจุบันขายในราคาเริ่ม 2 ล้านบาท เท่ากับโมเดลแบบบ้านกรีนเฮ้าส์สามารถลดราคาลงมาได้ 30%

บ้านกรีนเฮ้าส์

ทางเซลส์ดูแลโครงการของพฤกษาให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นหลังจากเปิดขายได้รับการตอบรับดี มียอดจองไปแล้ว 40 ยูนิต ส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ 2 คน และมองว่าที่อยู่อาศัยลักษณะนี้ตอบโจทย์กว่าทาวน์เฮาส์เพราะพื้นที่ใช้สอยกำลังพอดี ใช้เวลาทำความสะอาดน้อยลง แต่ก็ยังกว้างพอที่จะมีสเปซในการใช้ชีวิต

ขณะนี้พฤกษายังไม่มีแผนจะขยายไปยังทำเลอื่น แต่ในทำเลเดียวกันนี้ยังมีพื้นที่ที่จะขยายเฟส 2-3 ได้อีกประมาณ 80 ยูนิต หากผลตอบรับเฟสแรกขายหมด

ถือเป็นโมเดลโครงการที่อยู่อาศัยโปรดักส์ใหม่ที่ทำให้ราคาลดลงจากทาวน์เฮาส์ปกติ แต่ยังได้พื้นที่ใช้สอยกว้างพอสมควรสำหรับคน 2-3 คน เหลือเพียงใช้เวลาศึกษาเมื่อลูกบ้านเริ่มย้ายเข้าอยู่จริงว่าวิธีอยู่อาศัยแบบนี้คนไทยจะเข้าใจหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นไปด้วยดี เราอาจจะได้เห็นโมเดลแบบนี้แพร่หลายมากขึ้นก็เป็นได้

]]>
1475471
อสังหาฯ ปี’65 ต่างสุดขั้ว: “คอนโดฯ-ทาวน์เฮาส์” ขอไม่เกิน 3 ล้าน แต่ “บ้านเดี่ยว” ลักชัวรีขายดี https://positioningmag.com/1413588 Thu, 22 Dec 2022 11:49:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413588 “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” สำรวจการค้นหาบนแพลตฟอร์มเพื่อซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2565 พบว่าแต่ละกลุ่มสินค้ามีความต้องการต่างกันชัดเจน โดยประเภท “คอนโดฯ” และ “ทาวน์เฮาส์” นั้นคนส่วนใหญ่ต้องการในราคา 1-3 ล้านบาท แต่กลับกัน “บ้านเดี่ยว” ส่วนใหญ่จะค้นหาในราคามากกว่า 10 ล้านบาท สะท้อนภาพความแตกต่างของกำลังซื้อชาวกรุง

เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสอสังหาริมทรัพย์ “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” เก็บข้อมูลผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของบริษัท ระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565 พบข้อมูลที่น่าสนใจในแง่ของ “ดีมานด์” การซื้อและเช่าอสังหาฯ ซึ่งสะท้อนว่า คนไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีกำลังซื้อที่แตกต่าง

โดยหากแบ่งตามประเภทสินค้า การค้นหาส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยแนวสูง เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่ดึงดูดทั้งผู้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน ดังนี้

  • คอนโดฯ 55%
  • บ้านเดี่ยว 28%
  • ทาวน์เฮาส์ 17%
ศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง

เมื่อแบ่งตามประเภทสินค้าและระดับราคาของแต่ละประเภท จะเห็นความต้องการที่ต่างกัน ดังนี้

“คอนโดฯ”
ดีมานด์มาจากลูกค้าตลาดกลางล่างเป็นหลัก แล้วกระโดดขึ้นไปเป็นกลุ่มตลาดกลางบน
  • 1-3 ล้านบาท 42%
  • 3-5 ล้านบาท 16%
  • 5-10 ล้านบาท 18%
“บ้านเดี่ยว”
ดีมานด์มาจากลูกค้ามีรายได้สูง มีเงินเก็บ ต้องการเป็นเจ้าของบ้านหรู
  • 3-5 ล้านบาท 20%
  • 5-10 ล้านบาท 30%
  • 10 ล้านบาทขึ้นไป 36%
“ทาวน์เฮาส์”
ดีมานด์คล้ายกับคอนโดฯ คือส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มจับต้องได้ง่าย
  • 1-3 ล้านบาท 48%
  • 3-5 ล้านบาท 27%
  • 5-10 ล้านบาท 15%
บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 หนึ่งในโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนของเอสซีฯ

 

ระดับราคาเช่า ใกล้เคียงกับการซื้อ

สำหรับตลาดเช่านั้น ความต้องการในแง่ของเซกเมนต์มีความใกล้เคียงกับตลาดซื้อขาด คือคอนโดฯ และทาวน์เฮาส์นั้นจะต้องการราคาเช่ากลางๆ ส่วนบ้านเดี่ยวผู้เช่ามีกำลังเช่าค่อนข้างสูง โดยรายละเอียดของแต่ละสินค้ามีดังนี้

“คอนโดฯ”
กลุ่มที่ต้องการมากที่สุดเป็นคอนโดฯ ระดับกลาง
    • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38%
    • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า ไม่เกิน 10,000 บาท สัดส่วน 36%
    • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 15%
“บ้านเดี่ยว”
กลุ่มผู้เช่าต้องการบ้านเดี่ยวในทำเลทองซึ่งมักจะหาซื้อได้ยาก จึงตัดสินใจเช่าในราคาสูง
    • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 59%
    • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 19%
    • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 16%
“ทาวน์เฮาส์”
ผู้เช่าต้องการพื้นที่มากขึ้นจากคอนโดฯ หรือสามารถทำธุรกิจได้ด้วย
    • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38%
    • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 27%
    • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 20%

 

“สวนหลวง” ทำเลมาแรงจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

สำหรับ “ทำเล” ที่มาแรงมากวัดจากการค้นหาบนแพลตฟอร์มของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พบว่าเป็นเขต “สวนหลวง” ซึ่งคาดว่าเกิดจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสำโรง-ลาดพร้าว ที่ใกล้จะเปิดใช้บริการ ลักษณะย่านยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนระดับกลางถึงระดับบน มีสิ่งอำนวยความสะดวก และเส้นทางคมนาคมที่ดี

ในแง่ของการหาซื้ออสังหาฯ สวนหลวงเป็นเขตอันดับ 1 ที่มีการค้นหามากที่สุด
ส่วนในแง่การหาเช่า สวนหลวงก็ติดอันดับ 6 โดยถ้าแบ่งตามประเภทสินค้าด้วยแล้ว สวนหลวงเป็นเขตที่คนหาเช่าบ้านเดี่ยวละเช่าทาวน์เฮาส์สูงที่สุดในปีนี้

คอนโด ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว

คอนโด ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว

ต้องติดตามกันต่อในปี 2566 ว่าความต้องการและกำลังซื้อจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร โดยล่าสุดศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ปรับตัวมาอยู่ที่ 47.9 ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นสัญญานบวกที่ดีต่อผู้ประกอบการ

]]>
1413588
ทาวน์เฮาส์ “บ้านกลางเมือง” ปรับทำเลใหม่ หาแลนด์แบงก์ที่กลับมาอยู่ “กลางเมือง” จริงๆ https://positioningmag.com/1406682 Thu, 03 Nov 2022 11:22:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1406682 ทาวน์เฮาส์ “บ้านกลางเมือง” จากค่าย “เอพี” ฉลองครบรอบ 20 ปี ปรับกลยุทธ์ครั้งใหม่ เปลี่ยนวิธีหาแลนด์แบงก์มาอยู่ “กลางเมือง” สมชื่อ เจาะตลาดไลฟ์สไตล์คนเมืองแต่ไม่ต้องการอยู่บนคอนโดฯ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ เลือก “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก ทุ่มงบมิวสิกมาร์เก็ตติ้งมูลค่า 20 ล้านบาท

“บ้านกลางเมือง” เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ยืนยงในตลาด หลังเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2545 จนถึงปัจจุบัน เอพี ไทยแลนด์ ก็ยังคงเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเอกลักษณ์แบรนด์คือเป็น ทาวน์โฮม 3 ชั้น ทำเลในเมือง ส่วนรูปลักษณ์การออกแบบก็ปรับไปตามยุคสมัย จากเดิมเป็นทาวน์โฮมสไตล์คลาสสิก-ยุโรเปียน มาสู่สไตล์โมเดิร์นทาวน์โฮม

หลังอยู่ในตลาดมา 20 ปี แบรนด์บ้านกลางเมืองมีการแตกเซ็กเมนต์ออกมาเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • บ้านกลางเมือง ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5-8 เมตร ราคา 4-8 ล้านบาท
  • บ้านกลางเมือง THE EDITION บ้านแฝด 3 ชั้น หน้ากว้าง 11 เมตร ราคา 8-14 ล้านบาท
  • บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ทาวน์โฮม 3-3.5 ชั้น หน้ากว้าง 6-8 เมตร ราคา 15-25 ล้านบาท

แม้ว่าแบรนด์จะแข็งแกร่ง โดยเอพีระบุว่าบ้านกลางเมืองถือเป็นผู้นำในตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น แต่ก็ต้องมีการปรับตัวให้ยึดหัวหาดได้ต่อเนื่อง

“เมธา รักธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)

เรามีโอกาสได้คุยกับ “เมธา รักธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี ไทยแลนด์ เกี่ยวกับการปรับกลยุทธ์ใหม่ของแบรนด์บ้านกลางเมืองที่เริ่มขึ้นแล้ว และจะมีต่อเนื่องในปีหน้า ดังนี้

1.ทำเลที่จะกลับสู่ “กลางเมือง” จริงๆ

ปีนี้เอพีมีการจัดซื้อที่ดินของกลุ่มบ้านกลางเมืองให้เหมาะกับแบรนด์มากขึ้น กล่าวคือมีการจัดให้ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ต้องเป็นทาวน์โฮมที่อยู่ในเขตซีบีดี ขณะที่ บ้านกลางเมือง THE EDITION จะอยู่ในเขตรอบๆ ซีบีดี และ บ้านกลางเมือง ดั้งเดิมจะต้องยังอยู่ในเมือง ไม่ไกลห่างออกไปในเขตชานเมือง

“เรามามองผู้ซื้อของแบรนด์นี้ เขาเลือกอยู่ทาวน์โฮมบ้านกลางเมืองเพราะเขายังต้องการจะอยู่ในเมือง แต่ไม่ต้องการอยู่คอนโดฯ ทำให้การที่เราเคยเลือกทำเลทำโครงการไปในเขตชานเมืองนั้นจะไม่ตอบโจทย์” เมธากล่าว “เมื่อก่อนเราอาจจะดูจากรถไฟฟ้าเป็นหลัก คือหาที่ดินที่เกาะแนวรถไฟฟ้า แต่ปัจจุบันรถไฟฟ้าขยายไปไกลมาก ยกตัวอย่างสายสีม่วงไปสิ้นสุดที่บางใหญ่ ซึ่งจริงๆ เป็นชานเมืองแล้ว ดังนั้น อาจจะไม่ใช่ทำเลของบ้านกลางเมือง”

บ้านกลางเมือง
แบรนด์บ้านกลางเมืองทั้ง 3 เซ็กเมนต์

2.โครงการแบบมิกซ์โปรดักส์ และการหลุดกรอบ ‘3 ชั้น‘

อีกหนึ่งสิ่งที่จะได้เห็นมากขึ้นกับแบรนด์นี้ คือการทำโครงการแบบมิกซ์โปรดักส์ มีหลายแบบบ้านในโครงการเดียว เช่น มีทั้งทาวน์โฮมและบ้านแฝด

รวมถึงปีหน้าอาจจะได้เห็น “บ้านแฝด 2 ชั้นในทำเลกลางเมือง” ด้วย จากเดิมโปรดักส์นี้จะอยู่กับแบรนด์ “แกรนด์ พลีโน่” ในเครือเอพี แต่เมธามองว่าการแบ่งแบรนด์ตามลักษณะสินค้า คือ พลีโน่/แกรนด์ พลีโน่ เป็นที่อยู่ 2 ชั้น และบ้านกลางเมืองต้องเป็น 3 ชั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นกับยุคนี้แล้ว

3.ยืดหยุ่นกับผู้ซื้อ มีสารพัดแบบบ้าน และเลือกได้เอง

เมธากล่าวว่า ปีนี้คือปีที่บ้านกลางเมืองมีแบบบ้านรวมมากที่สุดที่เคยทำมา คือมีถึง 10 แบบด้วยกัน (รวม 3 เซ็กเมนต์) เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง มีสไตล์หลากหลายมากขึ้น

ปี 2566 ก็จะมีซีรีส์ใหม่ออกมาเพิ่มอีก โดยเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นที่ยก Living Area พื้นที่ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ขึ้นไปไว้ชั้น 2 แทนที่จะอยู่ชั้นล่างอย่างเคย ส่วนชั้น 3 สามารถปรับได้ตามใจว่าจะเป็นมาสเตอร์เบดรูมขนาดใหญ่หรือแบ่งเป็น 2 ห้องนอน ขณะที่ชั้นล่าง ก็เลือกสั่งกั้นห้องได้ว่าต้องการให้เป็นห้องทำงาน หรือห้องนอนผู้สูงอายุ หรือปรับแต่งตามใจชอบ ถือเป็นซีรีส์ที่มีความยืดหยุ่นให้ลูกค้าเลือก จะได้เห็นครั้งแรกในทำเลสุขุมวิท 101

4.แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก “ก้อง-สหรัถ”

2 ทศวรรษที่ผ่านมา บ้านกลางเมืองไม่เคยมีแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เกิดขึ้นเพราะวิธีคิดด้านการตลาดที่เปลี่ยนไป จากเดิมคิดเฉพาะโปรโมชันแคมเปญตามรอบ แต่ขณะนี้ต้องแข่งกันด้วย “แบรนดิ้ง” แม้ว่าบ้านกลางเมืองยังขายได้วันนี้ แต่ต้องสร้างความแข็งแกร่งเพื่ออนาคต

เป็นที่มาของความร่วมมือกับแกรมมี่และ “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกในฐานะ “ตำนาน” ของวงการ พร้อมสร้างมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง นำเพลงดังมาเรียบเรียงใหม่สำหรับบ้านกลางเมืองโดยเฉพาะ เช่น สุดๆ ไปเลย, เธอสวย, ลึกสุดใจ แพ็กเกจสัญญาระยะ 1 ปี เอพีทุ่มทุนไป 20 ล้านบาท ปั้นให้แบรนด์ยังครองใจผู้บริโภค

บ้านกลางเมือง ก้อง สหรัถ
“ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของบ้านกลางเมือง

สำหรับแบรนด์บ้านกลางเมืองปี 2565 มีการระดมเปิดโครงการไปถึง 29 โครงการ มูลค่ารวม 26,600 ล้านบาท มากที่สุดที่เอพีเคยเปิดในปีเดียว และปี 2566 จะได้เห็นโครงการใหม่ๆ ในแบรนด์นี้อีกหลายทำเล โดยเฉพาะ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” ที่จะเปิดอย่างน้อย 1-2 โครงการ หลังจากบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ สุขุมวิท 77 ที่เปิดตัวปีนี้ทำยอดขายได้ดี สะท้อนดีมานด์ผู้บริโภคเซ็กเมนต์บนมีความต้องการทาวน์โฮมกลางเมืองสูง

]]>
1406682
อสังหาฯ แนวราบ “บริทาเนีย” (BRI) เตรียมเปิด IPO แข็งแกร่งด้วยนวัตกรรม-การออกแบบตอบโจทย์ “ชีวิตยุคใหม่” https://positioningmag.com/1364350 Tue, 30 Nov 2021 10:00:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364350

“บริทาเนีย” (BRI) บริษัทเรือธงของ “ออริจิ้น” เตรียมเปิด IPO โดยเป็นบริษัทเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ ชูความแข็งแกร่ง การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ ฟังก์ชันตอบโจทย์ “ชีวิตยุคใหม่” มีแบรนด์ครบทุกเซ็กเมนต์สนองตลาด เลือกทำเลเกาะแหล่งงาน “นิคม” ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและ EEC

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลัง COVID-19 สะท้อนให้เห็นทิศทางอนาคตที่จะมา ‘เข้ามือ’ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น โดยข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) พบว่า เมื่อปี 2563 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบทั่วประเทศอยู่ที่ 6.17 แสนล้านบาท เติบโต 2.15% เทียบกับทั้งตลาดที่ติดลบไป -0.3% สะท้อนให้เห็นว่าโครงการแนวราบมีความแข็งแกร่ง

สาเหตุเนื่องจาก COVID-19 ทำให้วิถีชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ผู้อยู่อาศัยต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นเพื่อทำงานจากที่บ้าน หรือเรียนจากที่บ้าน โครงการประเภททาวน์เฮาส์ บ้านแฝด หรือบ้านเดี่ยวจึงตอบโจทย์กว่า

ปัจจัยบวกนี้เป็นแรงหนุนให้กับ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ

ผ่านมา 5 ปีนับจากปีก่อตั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 “บริทาเนีย” เปิดขายโครงการสะสม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,028 ล้านบาท และโครงการอยู่ระหว่างขาย 13 โครงการ มูลค่ารวม 17,550 ล้านบาท

อนาคตมีโครงการอยู่ระหว่างพัฒนาเตรียมเปิดขาย 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,300 ล้านบาท และโครงการรอพัฒนาอีก 9 โครงการ มูลค่ารวม 10,800 ล้านบาท

เมื่อปี 2563 บริษัทบริทาเนียทำรายได้รวมไป 2,342 ล้านบาท และงวดเก้าเดือนแรกของปี 2564 ทำรายได้รวมไป 2,809 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือ ปี 2563 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิถึง 14.89% ขณะที่งวดเก้าเดือนแรกของปี 2564 อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 16.10% สะท้อนความแข็งแกร่งในธุรกิจที่สามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้แบบ ‘ดับเบิล ดิจิต’


มีครบทุกเซ็กเมนต์ ตอบรับทุกตลาด

แม้จะเป็นน้องใหม่ในตลาด แต่บริทาเนียขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีแบรนด์ครบทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนองลูกค้าได้ทุกตลาด โดยมีแบรนด์และกลุ่มราคา ดังนี้

1.ไบรตัน (Brighton)

โครงการทาวน์โฮม-บ้านแฝด ในพื้นที่ปริมณฑลของกรุงเทพฯ และจังหวัดโดยรอบ เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 25-35 ปีที่มีความทันสมัย เข้าใจเทคโนโลยี รายได้ต่อเดือนประมาณ 30,000-50,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 2.5-4 ล้านบาทต่อหลัง

ตัวอย่างโครงการ: ไบรตัน คูคต สเตชั่น

2.บริทาเนีย (Britania)

โครงการทาวน์โฮม บ้านแฝด หรือบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วน เน้นกลุ่มคนวัยเริ่มต้นครอบครัวหรือครอบครัวขนาดเล็ก อายุ 25-40 ปี เป็นพนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ SMEs รายได้ต่อเดือน 50,000-130,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 4-8 ล้านบาทต่อหลัง

ตัวอย่างโครงการ: บริทาเนีย บางนา สุวรรณภูมิ

3.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania)

โครงการบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ติดกับถนนสายหลัก เน้นกลุ่มครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ อายุ 35-50 ปี เป็นพนักงานบริษัทระดับบริหาร หรือเจ้าของกิจการขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีรายได้ต่อเดือน 130,000-500,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 8-20 ล้านบาทต่อหลัง

ตัวอย่างโครงการ: แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์ พระราม 5

4.เบลกราเวีย (Belgravia)

โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ตั้งในกรุงเทพฯ ติดถนนสายหลัก กลุ่มเป้าหมายคนวัย 35-50 ปีที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ใช้ชีวิตทันสมัย ฐานะมั่นคง รายได้ต่อเดือน 500,000 บาทขึ้นไป กลุ่มราคาเฉลี่ย 20-50 ล้านบาทต่อหลัง

ตัวอย่างโครงการ: เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา พระราม 9


เจาะแหล่งงาน “นิคม” กำลังซื้อสูง

ไฮไลต์ของบริษัทบริทาเนียคือมุมมองการหาทำเลเจาะตลาด โดยบริษัทจะเลือกทำเลที่คมนาคมสะดวกเป็นหลัก และพื้นที่ที่เมืองกำลังขยายตัว มีอุปสงค์สูง เช่น บางนา ราชพฤกษ์ คูคต รวมถึงรอบนอกกรุงเทพฯ ที่เป็นจังหวัดศักยภาพ เช่น ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ระยอง อยุธยา นครปฐม สมุทรสงคราม เป็นต้น

รวมถึงบริทาเนียยังให้ความสำคัญกับ “นิคม” อุตสาหกรรมทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด เช่น เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งงานด้านการส่งออกที่ทำรายได้ให้กับประเทศ และจะมีดีมานด์ที่อยู่อาศัยสูงตามมา

ปัจจุบันโครงการของบริทาเนียที่มีการเปิดขายไปแล้ว 15 โครงการ มีถึง 10 โครงการที่ตั้งอยู่ใกล้นิคม เช่น ไบรตัน บางนา กม.26 อยู่ใกล้กับนิคมฯ บางพลีและเวลโกร์ว, บริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น อยู่ใกล้กับนิคมฯ บางปูและแพรกษา, แกรนด์ บริทาเนีย สุวรรณภูมิ อยู่ใกล้กับนิคมฯ อัญธานี เจมโมโปลิส เป็นต้น

บริทาเนียยังเล็งเห็นพื้นที่ “บลูโอเชียน” ตามการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐซึ่งบริษัทจะมองหาโอกาสเข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยในอนาคตด้วย เช่น โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช เป็นต้น


ใส่ใจการออกแบบ “ฟังก์ชันบ้าน” ยึด Human Centric

แบบสถาปัตยกรรมของบ้านในเครือบริทาเนียจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการ และฟังก์ชันที่ให้ในตัวบ้านและโครงการยังออกแบบจากแนวคิด Human Centric ทำให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ แก้ปัญหาการใช้ชีวิต เช่น ก่อสร้าง “ครัวไทย” ภายนอกบ้านให้เรียบร้อย ลูกค้าไม่ต้องห่วงเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ และไม่ต้องดูแลงานก่อสร้างเพิ่มเติมในภายหลัง หรือ ชั้น 1 จะมี “ห้องนอนผู้สูงอายุ” ซึ่งดัดแปลงเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ และมี “ที่นั่งอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ” ช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น

รวมถึงในโครงการเบลกราเวียซึ่งมี “สระว่ายน้ำ” ส่วนตัว จะเป็นสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานที่ออกกำลังกายได้จริง ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้นในยุคนี้

บริทาเนียยังนำ “นวัตกรรม” มาใช้ในโครงการภายใต้แนวคิด Living Solution ด้วย โดยเป็นการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้โจทย์ให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ามีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น เช่น ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านเมื่อไม่มีคนอยู่บ้านและส่งสัญญาณแจ้งเตือน ระบบเครื่องฟอกอากาศแบบฝังฝ้าบริเวณห้องนั่งเล่น ชั้น 1 เป็นต้น

นอกจากนี้ การเป็นหนึ่งในบริษัทในกลุ่มออริจิ้นยังเสริมความได้เปรียบด้านต้นทุนก่อสร้าง เพราะสามารถประหยัดต้นทุนได้จากการสั่งซื้อวัสดุร่วมกับบริษัทแม่ และยังดึงดูดทาเลนต์ให้เข้ามาร่วมงานได้ง่ายขึ้นจากการอยู่ภายใต้เครือออริจิ้น

จากปัจจัยทั้งหมด “บริทาเนีย” (BRI) จึงเติบโตได้รวดเร็ว และพร้อมที่จะเปิดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดขายหุ้น IPO จำนวน 252.65 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 29.6% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยจะนำเงินระดมทุนใช้เพื่อเป็นทุนพัฒนาโครงการและขยายธุรกิจ เพื่อชำระเงินกู้ยืม และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลของ BRI ได้จากสำนักงาน ก.ล.ต.

]]>
1364350
เก็บที่ดินเล็กพัฒนา “บ้านไฮเอนด์กลางเมือง” แผนรับมือปี 2564 ของ “อัลติจูด” https://positioningmag.com/1331573 Tue, 11 May 2021 08:23:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331573 ยังเป็นอีกปีซึมๆ ของตลาดอสังหาฯ “อัลติจูด” จัดสรรรายกลางเลือกขึ้นโครงการ “บ้านไฮเอนด์กลางเมือง” บนที่ดินขนาดเล็ก ยูนิตน้อย เปิดภายใต้แบรนด์ใหม่ “อัลติจูด ฟอเรสต์” 2 ทำเล อนุสาวรีย์ชัยฯ และ รัชดา เลื่อนแผน IPO เป็นปีหน้า หลังตลาดไม่เอื้อ คาดอสังหาฯ ปีนี้โตไม่ถึง 10%

“ชยพล หรรรุ่งโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนของบริษัทปี 2564 เตรียมเปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ และเป็นแบรนด์ใหม่คือ “อัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์” (ทำเลอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) และ “อัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดา” มูลค่ารวม 2 โครงการ 998 ล้านบาท

คอนเซ็ปต์แบรนด์ฟอเรสต์จะเป็นโครงการแนวราบในทำเลกลางเมือง ขนาดเริ่มต้น 4 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 200-300 ตร.ม. จำนวนยูนิตไม่มาก เพราะเป็นการจับช่องว่างตลาด หาที่ดินขนาดไม่ใหญ่ในทำเลที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่มักขึ้นโครงการคอนโดมิเนียมมากกว่า แต่ที่จริงแล้ว ตลาดยังมีดีมานด์บ้านแนวราบในทำเลกลางเมือง หากทำโครงการไซส์เล็กยังมีโอกาสขายได้และปิดโครงการเร็ว

โดยบริษัทเคยมีประสบการณ์มาแล้วจากการทำแบรนด์อัลติจูด มาสเตอร์รี บ้านเดี่ยวโครงการขนาดเล็กในเมือง แต่ครั้งนี้จะปรับขนาดบ้านให้เล็กลง และเน้นที่ความร่มรื่นของโครงการ

อัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์ จะเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 10 ยูนิต ราคาเริ่ม 28 ล้านบาท ส่วนอัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดา เป็นทาวน์โฮม จำนวน 39 ยูนิต ราคาเริ่ม 15 ล้านบาท

ส่วนการเปิดตัวคอนโดฯ ที่อัลติจูดมักจะมีออกมาเสมอๆ ปีนี้จะไม่มีการขึ้นโครงการคอนโดฯ ใหม่ เพราะตลาดยังไม่ใช่จังหวะเหมาะ แต่มีที่ดินเตรียมไว้รอดูสถานการณ์ปี 2565 อาจเปิดตัวได้

คราฟ บางนา โครงการทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 3 ล้านกว่าบาท อัลติจูดเปิดตัวจับตลาดกลางเมื่อปลายปีก่อน

ด้านแบ็กล็อกสร้างเสร็จเตรียมโอนปีนี้ของอัลติจูดมีทั้งหมด 5 โครงการ เป้ารับรู้รายได้ 2,015 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดฯ อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ (ยอดขาย 60%), คอนโดฯ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง (ยอดขาย 60%), โฮมออฟฟิศ อัลติจูด พรูฟ สาทร, บ้านเดี่ยว อัลติจูด มาสเตอรี่ สุขุมวิท และทาวน์โฮม คราฟ บางนา

 

เลื่อนแผน IPO ตลาดไม่เอื้อ

ประเด็นความเคลื่อนไหวด้านการเข้าตลาดหุ้นของอัลติจูด “ขวัญชัย เจริญยิ่งถาวรชัย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่ามีการเลื่อน IPO จากเดิมภายในปี 2564 เป็นปี 2565 เพราะสภาวะทั้งตลาดอสังหาฯ และตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทมีการปรับจากเดิมจะเข้าตลาด mai เป็นตลาด SET

“สถานการณ์ตลาดตอนแรกเราคิดว่าปี 2564 จะต้องโตกว่าปี 2563 มาก แต่มาพลิกล็อกจากการระบาดรอบ 3 เรามองว่าจะทำให้ทั้งปีโตไม่ถึงสองดิจิต คือโตไม่ถึง 10% ยกเว้นว่าถ้ารัฐบาลผลักดันเรื่องปลดล็อกให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดินได้จริง ก็อาจจะทำให้ตลาดโตได้มากกว่านั้น” ขวัญชัยกล่าว

ผู้บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด : “ชยพล หรรรุ่งโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ขวัญชัย เจริญยิ่งถาวรชัย” กรรมการผู้จัดการ

ทั้งนี้ อัลติจูดสร้างยอดขายไตรมาส 1/64 ไปทั้งหมด 200 ล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามเป้า แต่ไตรมาส 2/64 ซึ่งมีปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 แล้ว ยอมรับว่าทำให้ตกเป้าไป

 

ธุรกิจ “Turnkey” ยังเป็นที่สนใจ

สำหรับโครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดาที่จะเปิดตัวปีนี้ เป็นหนึ่งใน โมเดลธุรกิจ Turnkey ตามที่บริษัทเปิดตัวเมื่อปีก่อน นั่นคือโมเดลรับจ้างบริหารโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ และใช้แบรนด์ของบริษัท แต่ที่ดินและเงินทุนเป็นของลูกค้า เหมาะกับแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินในมือ แต่ไม่มีองค์ความรู้หรือไม่มีเวลาพัฒนาโครงการ

ชยพลมองว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ยิ่งเป็นประโยชน์กับบริษัท เพราะนักสะสมที่ดินที่ต้องการจะพัฒนาโครงการเอง เป็นหน้าใหม่ในวงการ มักจะกู้สินเชื่อธุรกิจจากธนาคารได้ยากในสภาวะนี้ แต่เมื่อร่วมธุรกิจกับบริษัท จะทำให้ขอสินเชื่อง่ายขึ้น เนื่องจากโครงการเปิดในแบรนด์ของบริษัทที่มีฐานตลาดอยู่บ้างแล้ว

ปัจจุบันอัลติจูดรับพัฒนาโครงการแบบ Turnkey ใน 6 เซ็กเมนต์สินค้า ได้แก่ คอนโดฯ ระดับกลาง, คอนโดฯ ระดับลักชัวรี, โฮมออฟฟิศกลางเมือง, บ้านระดับลักชัวรี 30 ล้านบาทขึ้นไป, บ้านระดับพรีเมียม 20-30 ล้านบาท และทาวน์โฮมราคาประมาณ 3 ล้านบาท โดยมูลค่าโครงการที่รับพิจารณาคือ 300 ล้านบาทขึ้นไป (มูลค่าที่ดินประมาณ 60 ล้านบาทขึ้นไป)

]]>
1331573
รีวิวโครงการ : “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” ทาวน์เฮาส์ที่มี “สวน” ไว้กลางบ้าน https://positioningmag.com/1303557 Thu, 29 Oct 2020 09:51:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303557 ปกติทาวน์เฮาส์ที่เราคุ้นเคยมักจะมีเลย์เอาต์ที่ใกล้เคียงกัน คือเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแนวยาวซอยเป็นห้องต่างๆ มักจะรับแดดได้ไม่มากและมีพื้นที่สวนเฉพาะด้านหลัง ทำให้สถาปนิกโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” ต้องการแก้โจทย์นี้ ด้วยการออกแบบทาวน์เฮาส์เล่นระดับที่มี “สวน” อยู่กลางบ้าน ทำให้แดดและพื้นที่สีเขียวถูกเข้าถึงได้จากทุกห้อง

แบรนด์บ้านภูริปุรีนั้นเกิดจากกลุ่มสถาปนิกที่รวมตัวกันออกแบบแก้โจทย์ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโจทย์ของ “ทาวน์เฮาส์” ตัวเลือกการอยู่ในเมืองในราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่ภายในบ้านกลับยังไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะแสงแดดจะเข้าได้เฉพาะด้านหน้ากับหลังบ้านเท่านั้น และจุดที่เห็นพื้นที่สีเขียวมีเพียงแค่สวนหลังบ้าน ซึ่งมักจะต้องนำไปทำเป็นลานซักล้าง หรือต้องปลูกไม้ประดับบนระเบียงบ้านแทน

สำหรับโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” เป็นโครงการที่ 5 ของแบรนด์ พัฒนาผ่านการร่วมทุนของ บริษัท ภูริปุรี จำกัด และ บมจ.แอสเซทไวส์ เอกลักษณ์ของโครงการนี้คือการแก้โจทย์ข้างต้น ด้วยการปรับให้ทาวน์เฮาส์มีคอร์ทยาร์ด หรือ “สวน” ไว้ตรงกลางบ้าน

บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

ดีไซน์ใหม่ของที่นี่ จะใช้ที่ดินต่อแปลง 32-48 ตร.ว. แบ่งแปลง หน้ากว้าง 5.35 เมตร และเป็นแนวยาวเข้าไป ลึก 18-22 เมตร ส่วนบ้านตัวอย่างหลังที่เราได้ชมจะเป็นไซส์ L คือลึก 20 เมตร ดังนั้น ถือว่าเป็นทาวน์เฮาส์ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าปกติเป็นฐานในการดีไซน์

ด้านหน้าบ้านจะเป็นลานจอดรถตามปกติ สามารถจอดได้ 4 คัน (แบบซ้อนคัน) เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นบันไดไปพบกับสวนกลางบ้านก่อน สวนนี้จะเล่นระดับอยู่ตรงกลางระหว่างพื้นที่ห้องทานอาหารชั้น 1 กับห้องนั่งเล่นบนชั้น 2 และพื้นที่สวนจะเปิดโล่งขึ้นไปจนถึงชั้น 3 ของบ้าน ต้นไม้สามารถรับแดดรับลมได้เต็มที่ แต่มีการติดตั้งหลังคาเลื่อนสั่งการด้วยรีโมต สามารถเลื่อนปิดได้เมื่อฝนตกหรือเวลาที่ต้องการ

เมื่อเข้าประตูบ้านทางขวา เดินขึ้นบันไดมาจะเจอกับสวนกลางบ้านเป็นอย่างแรก

เมื่อมีสวนอยู่กลางบ้าน ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะการใช้พื้นที่ไม่เหมือนกับทาวน์เฮาส์ปกติ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเดี่ยวขนาดเล็กที่มีสวนกลางบ้าน เป็นโอเอซิสพักสายตาและอารมณ์ให้กับผู้อยู่อาศัย

สำหรับการใช้พื้นที่ชั้น 1 ด้านหลังสวนจะเป็น “ห้องทานอาหาร” และ “ครัวแบบไอส์แลนด์” สามารถเปิดบานเลื่อนกระจกเชื่อมต่อกับสวนได้เป็นเนื้อเดียว ถัดจากห้องอาหารจะเป็นมุมห้องทำงาน และหลังบ้านยังเหลือที่เล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติมได้

ห้องทานอาหารและครัวแบบไอส์แลนด์ เชื่อมต่อกับสวนผ่านประตูกระจกบานเลื่อน

ส่วนชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับหน้าสวน จะเป็น “ห้องนั่งเล่น” เพดานสูงดับเบิลวอลุ่ม ตรงจุดนี้ไม่เพียงแต่ได้สีเขียวจากสวนกลางบ้าน แต่ระเบียงด้านหน้ายังมีการปลูกต้นลีลาวดีและเหลืองชัชวาลซึ่งเป็นไม้เลื้อยให้ด้วย พร้อมฝังระบบรดน้ำอัตโนมัติ เจ้าของบ้านเพียงแต่เปิดวาล์วน้ำรดน้ำ ไม่ต้องยุ่งยากในการดูแลรักษา เมื่อเหลืองชัชวาลเลื้อยเต็มตะแกรงหน้า facade จะทำให้ทาวน์เฮาส์เขียวชอุ่มสวยงาม

ห้องนั่งเล่นเพดานสูง มองไปทางหน้าบ้านจะเป็นระเบียงปลูกต้นลีลาวดี

จากสวนกลางบ้านมีบันไดเดินต่อไปที่ชั้น 2 ฝั่งหลังบ้าน ส่วนนี้จะเป็น “มาสเตอร์เบดรูม” ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับ walk-in closet อ่างอาบน้ำ และห้องน้ำ จุดที่น่าสนใจคือบริเวณเตียงนอนจะรับแดดอ่อนๆ ได้จากสวนกลางบ้าน เปิดม่านนอนได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

ห้องนอนมาสเตอร์ วิวสวนส่วนตัว

ขึ้นบันไดต่อเนื่องถึงชั้น 3 ส่วนนี้จะเป็น “ห้องนอนเล็ก” วางเตียง 3.5 ฟุตได้สบายๆ และ “ห้องเล่นเด็ก” อีกห้องหนึ่ง ซึ่งจะปรับไปเป็นห้องอเนกประสงค์ใช้งานอื่นๆ ก็ได้ และมีอีกจุดไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ “ห้องซักรีดและระเบียงตากผ้า” ที่นำมาไว้บนชั้น 3 แทน เพราะผู้ออกแบบมองว่าปกติเสื้อผ้าที่ซักรีดมักจะมาและไปจากห้องนอนของเรา ดังนั้นห้องซักรีดที่อยู่บนชั้น 3 น่าจะตอบโจทย์กว่าเพราะอยู่ใกล้ห้องนอนมากกว่า

 

สวนที่เป็นหัวใจของบ้าน

กลับมาที่การใช้งานสวนกลางบ้าน จุดที่น่าสนใจคือการมีหลังคาเปิดปิดได้ โดยเป็นหลังคาแบบโปร่งแสง จึงไม่ต้องกลัวว่าเมื่อปิดลงแล้วจะทึบทึมไปหมด

และเมื่อปิดหลังคาสวนแล้ว สามารถเปิดหน้าต่าง ประตูเลื่อน และเปิดแอร์ทั้งบ้านเพื่อให้ความเย็นมาถึงสวนได้ ในกรณีที่เจ้าของบ้านจะจัดปาร์ตี้รับแขก แต่ไม่ต้องการความร้อน

วิวสวนมองจากห้องนอนมาสเตอร์ จะเห็นว่าด้านบนเป็นหลังคาเลื่อนแบบโปร่งแสง สั่งการได้ด้วยรีโมต และฝั่งตรงข้ามคือห้องนั่งเล่นของบ้าน

ส่วนตัวสวนนั้นออกแบบไม่ให้เป็นสวนลงดิน แต่เป็นกระบะขนาดใหญ่รองรับการปลูกต้นไม้ ซึ่งสถาปนิกได้คำนวณขนาดกระบะแล้วว่าเมื่อลงดินปริมาณเท่ากับกระบะ จะทำให้ต้นไม้ไม่สามารถเติบโตเกิน 3 ชั้นและทะลุหลังคาออกไป ส่วนพื้นที่ที่เหลือสามารถจัดสวนลงไม้กระถางต่างๆ ตามรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เลย

 

จ่ายสูงกว่าเพื่อดีไซน์

ว่ากันที่ทำเลโครงการบ้าง “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” อยู่ในซอยพัฒนาการ 32 ถือว่าเป็นย่านที่ยังค่อนข้างใกล้เมืองอยู่ และเป็นย่านที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ จนถึงคอนโดมิเนียมอยู่ในละแวกเดียวกัน

ตัวโครงการนี้เป็นโครงการเล็กๆ ตั้งอยู่บนที่ดิน 5 ไร่ แบ่งแปลง 37 ยูนิต เนื้อที่ดินแปลงละ 32-48 ตร.ว. เป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาขายเริ่มต้น 14.2 ล้านบาท สูงสุด 22 ล้านบาท

walk-in closet และอ่างอาบน้ำ

เมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงกัน จะมีโครงการ Shizen พัฒนาการ 32 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้นครึ่ง พื้นที่ใช้สอย 210 ตร.ม. เปิดขายราคา 7.7 ล้านบาทในขณะนี้

เห็นได้ว่าถ้าเทียบกับโปรดักต์เดียวกันในทำเล ถ้าคิดเป็นราคาต่อยูนิตบ้านภูริปุรีจะราคาสูงกว่าเกือบเท่าตัว หรือถ้าเทียบเป็นราคาต่อตร.ม. ราคาสูงกว่าประมาณ 60%

อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าจองซื้อไปแล้วถึง 14 ยูนิต แม้ว่าจะแพงกว่ามาก ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ทำให้ลูกค้าที่มีงบในระดับ 15-20 ล้านบาท มีสิทธิ์เปลี่ยนใจจากบ้านเดี่ยวในโซนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า-กรุงเทพกรีฑา มาเป็นโครงการนี้แทนเพื่อให้ใกล้เมืองขึ้น โดยยังได้ที่อยู่อาศัยในอารมณ์บ้านเดี่ยวและมีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกันนั่นเอง

 

Facts โครงการ บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

ผู้พัฒนา: บริษัท ภูริปุรี จำกัด ร่วมกับ บมจ.แอสเซทไวส์
มูลค่าโครงการ: 530 ล้านบาท
ที่ดิน: 5 ไร่
ทำเล: ซอยพัฒนาการ 32
จำนวนแปลง: 37 ยูนิต
แบบบ้าน: ทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ
– เนื้อที่ดิน 32-48 ตร.ว.
– พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม.
ราคาเริ่มต้น: 14.2 ล้านบาท
ก่อสร้างเสร็จ: ส่งมอบยูนิตแรก ไตรมาส 4/63

]]>
1303557
“แอสเซทไวส์” เก็บที่ดินเล็กย่านขอบเมืองจุดกระแส “บูทีคทาวน์เฮาส์” เรือธงตลาดแนวราบ https://positioningmag.com/1303017 Mon, 26 Oct 2020 09:22:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303017
  • แอสเซทไวส์ร่วมทุนกลุ่มสถาปนิก เปิดตัวโครงการล่าสุด “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” ทาวน์เฮาส์สไตล์บูทีค ออกแบบด้วยแนวคิดใหม่ เก็บสวนไว้กลางบ้าน ราคาเริ่มต้น 14.2 ล้านบาท สะท้อนคอนเซ็ปต์ศิลปะการออกแบบอสังหาฯ ที่ขายได้จริง
  • ปี 2564 เปิดบ้านภูริปุรีต่อเนื่องย่านซอยภาวนา พร้อมมองหาที่ดินเพิ่มตามย่านขอบเมือง เชื่อมีดีมานด์สูง แต่ติดปัญหาหาซัพพลายที่ดินที่เหมาะสมได้ยาก
  • แผนแนวราบแอสเซทไวส์ปีหน้า หลังระดมทุนจากการเปิด IPO จะเริ่มลุยตลาดแนวราบในระดับแมส เล็งเปิดโครงการบ้านเดี่ยวราคา 6-12 ล้าน หรือทาวน์เฮาส์ราคา 4-6 ล้านบาท
  • ท่ามกลางเศรษฐกิจฝืด ยังมีบางเซ็กเมนต์ที่ขายได้ “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการใหม่ซึ่งร่วมทุนกับบ้านภูริปุรี คือโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” บนที่ดินขนาด 5 ไร่ ทำเล ซ.พัฒนาการ 32 ออกแบบเป็นทาวน์เฮาส์จำนวน 37 ยูนิต มูลค่าโครงการ 530 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 14.2 ล้านบาท

    โดยลักษณะเด่นของโครงการของภูริปุรีคือเป็นทาวน์เฮาส์แบบ “บูทีค” จำนวนยูนิตในโครงการน้อย แต่ออกแบบพิเศษให้มีเอกลักษณ์ ตัวอย่างโครงการที่พัฒนาการ เป็นทาวน์เฮาส์ที่ออกแบบให้มี “คอร์ทยาร์ด” คือสวนเล่นระดับตรงกลางบ้าน เปลี่ยนจากการมีสวนหลังบ้านตามปกติของทาวน์เฮาส์ทั่วไป ซึ่งทำให้ผู้อาศัยมองเห็นพื้นที่สีเขียวเต็มตาได้จากทุกห้องในบ้าน

    บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

    กรมเชษฐ์เล่าความเป็นมาของการร่วมทุนนี้ว่า เดิมผู้พัฒนาบ้านภูริปุรีคือกลุ่มสถาปนิกที่ทำงานร่วมกับแอสเซทไวส์อยู่แล้ว แต่กลุ่มสถาปนิกเหล่านี้พัฒนาโครงการส่วนตัวในนาม “บ้านภูริปุรี” เริ่มโครงการแรกย่านโชคชัย 4 เมื่อปี 2558 หลังจากนั้น แอสเซทไวส์ได้ตกลงเข้าร่วมทุนตั้งแต่โครงการที่ 3-5 โดยลงทุนสัดส่วน 51% กลุ่มสถาปนิกลงทุน 49% ทำให้โครงการมีขนาดใหญ่ขึ้น และช่วยให้คำปรึกษาด้านการตลาดและบริการหลังขาย

    “บ้านภูริปุรีเกิดจากการรวมกลุ่มของสถาปนิก ซึ่งเราเห็นโจทย์ร่วมกันว่า ‘ทาวน์เฮาส์’ เป็นที่อยู่อาศัยที่พัฒนาให้ดีกว่านี้ได้ เพราะเมื่อก่อนทาวน์เฮาส์จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมน่าเบื่อ ไม่เหมาะกับการพักผ่อน เราจึงต้องการพัฒนาให้ทาวน์เฮาส์เหมาะกับชีวิตความเป็นอยู่มากขึ้น” ขจร จรูญวาณิชย์ กรรมการ บริษัท ภูริปุรี จำกัด กล่าว

     

    ดีมานด์สูงแต่ที่ดินหายาก

    ซีอีโอแอสเซทไวส์เสริมว่า เขามองว่าโครงการบ้านภูริปุรีเป็น “Commercial Art” งานศิลปะออกแบบที่ฟังก์ชันใช้งานได้จริง ขายได้จริงในราคาเหมาะสม

    ยกตัวอย่างโครงการที่พัฒนาการนี้ตั้งอยู่บนที่ดินเริ่มต้น 32 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 241 ตร.ม. ราคาขาย 14.2 ล้านบาท เทียบกับคู่แข่งในทำเลเดียวกันจะใหญ่กว่าทาวน์เฮาส์ปกติซึ่งมีเนื้อที่ดิน 20 ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท แต่เล็กกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลซึ่งมีเนื้อที่ดิน 60 ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท ดังนั้นจึงเป็นโปรดักต์ระหว่างกลางที่เหมาะกับคนที่มีงบ 10-20 ล้านบาท ต้องการอยู่ใกล้เมือง โดยมีพื้นที่ใช้สอยในที่อยู่อาศัยใหญ่เพียงพอ

    คอร์ทยาร์ดกลางบ้าน เมื่อมองจากห้องนั่งเล่น โครงการบ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

    ดีมานด์ในตลาดมีสูงพอสมควร โดย 4 โครงการแรกที่บ้านภูริปุรีเปิดขาย ขณะนี้เหลือขายยูนิตเดียวที่ลาดพร้าว 41 ส่วนโครงการนี้เปิดขายรอบ VVIP ขายไปแล้ว 14 ยูนิต เชื่อว่าจะปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในกลางปี 2564

    อย่างไรก็ตาม กรมเชษฐ์กล่าวว่า โจทย์ยากของการทำโครงการลักษณะนี้ไม่ใช่ดีมานด์แต่เป็นซัพพลายที่ดิน เนื่องจากต้องหาที่ดินย่านใกล้เมือง เช่น พระราม 9, พัฒนาการ, ฝั่งธนบุรี ที่ดินผืนใหญ่ราว 3 ไร่ ในราคาไม่เกิน 1 แสนบาทต่อตร.ว. จึงจะสามารถพัฒนาสินค้าออกมาในช่วงราคาไม่เกิน 20 ล้านบาทได้ บริษัทยังคงมองหาที่ดินอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะฝั่งธนบุรีซึ่งมีลูกค้ารออยู่จำนวนมาก

    สำหรับปี 2564 มีที่ดินขึ้นโครงการต่อไปแล้วย่าน ซอยภาวนา แต่ครั้งนี้คอนเซ็ปต์จะเป็นโฮมออฟฟิศ เหมาะเป็นสำนักงาน ทำการค้า มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท

     

    ปีหน้าบุกแนวราบตลาดแมส

    ด้านภาพรวมธุรกิจของแอสเซทไวส์หลังมีการปรับแผนรับมือ COVID-19 ไปตั้งแต่ครึ่งปีแรก กรมเชษฐ์อัปเดตยอดขายคอนโดมิเนียมที่เปิดขายปีนี้ โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง มูลค่าโครงการ 1,790 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 52% และ โมดิซ ลอนช์ ทียู มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ปิดการขายทั้งโครงการอย่างรวดเร็ว ขณะที่ยอดรับรู้รายได้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 3.5 พันล้านบาท

    (จากซ้าย) ปจิตพงษ์ พงษ์ศิวาภัย กรรมการและสถาปนิก บริษัท บ้านภูริปุรี จำกัด, ขจร จรูญวาณิชย์ กรรมการ บริษัท ภูริปุรี จำกัด และ กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

    “สภาวะแบบนี้ คิดในแง่ดีคือคนที่มาดูบ้านคือคนที่ต้องการจริงๆ ดีมานด์จริง” กรมเชษฐ์กล่าว “เมื่อเราทำราคาที่ถูกมาตั้งแต่ต้น จึงไม่ต้องจัดโปรโมชันมาก และขายได้ดี”

    ปีนี้ยังเป็นปีที่สำคัญของแอสเซทไวส์เพราะจะเปิด IPO หลังระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะนำทุนไปแข่งขันซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดโครงการแนวราบระดับแมสซึ่งต้องมีเนื้อที่ต่อโครงการไม่ต่ำกว่า 10 ไร่ ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเพื่อซื้อที่ดิน

    กรมเชษฐ์กล่าวว่าปี 2564-65 จะเริ่มลุยตลาดแนวราบ มองว่าจะเจาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับ 6-12 ล้านบาท หรือทาวน์เฮาส์ระดับ 4-6 ล้านบาทก่อน ควบคู่ไปกับคอนโดฯ ราคา 1.5-3 ล้านบาท ที่ปีหน้าจะได้เห็นในพอร์ตแอสเซทไวส์ต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มราคาที่ตลาดมีความต้องการสูง

    ]]>
    1303017
    แสนสิริ ลุยที่อยู่อาศัยทุกมิติ ทาวน์เฮ้าส์ ตลาดต่างประเทศ เคาะบิ๊กโปรเจกต์ร่วม The Standard และ Monocle ลุยคอนโด https://positioningmag.com/1154947 Mon, 29 Jan 2018 13:38:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154947 ธุรกิจหากย่ำอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลัง ยิ่งยุคนี้ “โลกดิจิทัล” Disrupt หลายอย่างให้เปลี่ยนแปลงไป ทั้ง Speed การทำธุรกิจ เทคโนโลยีใหม่ๆ มีบทบาทมากขึ้น ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน การทำตลาดเหมือนเดิมไม่ได้ เหล่านี้เป็นเหตุให้ “แสนสิริ” หนึ่งในยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยมีการ “ปรับเปลี่ยน” องค์กร การบริหารจัดการ กลยุทธ์ รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

    Positioning พาผู้อ่านไปเจาะแผนการขับเคลื่อนธุรกิจของแสนสิริ การพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเป็นอย่างไร

    ++ทุบสถิติเปิดโครงการมากสุด   

    การเปิดโครงการใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ท่ามกลางคู่แข่งทั้งรายเล็กรายใหญ่ ประกาศโครมๆ ทุ่มงบพันล้านหมื่นล้าน ผุดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียมหลายโครงการ “แสนสิริ” จึงต้องเปิดเกมรุกใส่เช่นกัน ประกอบกับ “ยอดขายที่รอรับรู้รายได้” หรือแบ็กล็อกเริ่มร่อยหรอ ถ้าไม่เพิ่มสต๊อกที่อยู่อาศัย อาจกระเทือนรายได้ในปีนี้ ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าเปิด 31 โครงการใหม่ มูลค่า 63,200 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท

    โดยโครงการใหม่จะแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 21,300 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 11 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 12 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท

    ปีนี้ยังเป็นการกับมาบุกตลาดทาวน์เฮ้าส์ และต่างจังหวัดอีกครั้ง เหตุผลเพราะ ทาวน์เฮ้าส์เป็นตลาดที่มี “ดีมานด์” หรือความต้องการจากผู้บริโภคอยู่มาก และถ้าบริษัทต้องการเร่งเพิ่มยอดขาย การทำที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคา 1.9 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็น Real Demand ก็จูงใจลูกค้าได้ ที่สำคัญ ตลาดต้องการอะไร ก็ทำโปรดักต์ที่โดนใจตอบสนองให้ตรงจุด

    ขณะที่การบุกตลาดต่างจังหวัด เพราะมองว่ามีโอกาสและความต้องการ อีกทั้ง “สต๊อกเก่า” ที่มี 13 โครงการ ก็ขายเกลี้ยงพอร์ตแล้ว ดังนั้นต้องติดเกียร์เร่งเหมือนกับทาวน์เฮ้าส์ เพื่อปั๊มยอดขายนั่นเอง

    ปี 2556 บริษัทเคยบุกไปตลาดต่างจังหวัด แต่ตอนนั้นอสังหาฯ ภูธรซัพพลาย “ล้นตลาด” จนผู้ประกอบการเล็กใหญ่เจ็บตัวกันระนาว แต่รอบนี้แสนสิริย้ำว่ามีข้อมูลปึ้ก การกลับไปบุกตลาดอีกครั้งน่าจะไปได้ดี โดยทำเลที่เลือกจะมีเมืองหลักได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต หาดใหญ่ และเมืองรอง หัวหิน พัทยา 

    นอกจากนี้ บริษัทยังให้น้ำหนักในการเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เตรียมตั้งสำนักงานขายแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพราะปัจจุบันตลาดฮ่องกง และจีนเป็นตลาดใหญ่โกยยอดขาย 7,000 ล้านบาท จากยอดต่างประเทศทั้งหมดกว่า 9,000 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายต่างแดนเติบโตถึง 40%  

    ++ผนึก The Standard และ Monocle ผุด Branded Residence

    ปี 2560 แสนสิริทุ่มงบ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนใน 6 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ The Standard, One Night, JustCo, Hostmaker, Monocle และ Farmshelf ผู้บริโภคและตลาดคงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมเร็วๆ และปีนี้ที่จะได้เห็นเป็นลำดับแรกๆ คือการนำ Farmshelf หรือนวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย เข้าไปอยู่ในโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท แต่ไม่ได้มีทั่วไป เพราะจะทำแค่บริเวณ “ส่วนกลาง” ของโครงการเท่านั้น แต่ถ้าลูกบ้านสนใจ ก็สามารถติดต่อนำไปต่อยอดที่บ้านของตัวเองได้

    ส่วน JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซ ก็จะมาเปิด 4 สาขาที่ประเทศไทย โดย 2 สาขาแรกประเดิมที่อาคาร AIA สาทร เปิดให้บริการเดือนพฤษภาคมนี้ อีกสาขาที่อาคาร All Season Place เปิดให้บริการเดือนสิงหาคม ส่วนอีก 2 สาขา ผู้บริหารขออุบไว้เป็นความลับ

    แล้วลูกบ้านแสนสิริจะได้สิทธิประโยชน์ในการใช้ JustCo หรือไม่ คำตอบคือ 3 เดือนแรกที่เปิดสาขาในไทย ลูกบ้านไปใช้ฟรีได้ แต่หลังจากนั้นจะต้องสมัครสมาชิก ซึ่งจะได้รับค่าบริการพิเศษกว่าลูกค้าทั่วไปแน่นอน

    ส่วน Hostmaker ในอนาคต ก็อาจนำมาใช้ช่วยบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้าของบริษัท เช่น การ Re-sale การปล่อยเช่าเป็นห้องพัก เป็นต้น แต่ต้องรอให้กฎหมายไทยเปิดกว้างเสียก่อน

    และที่รอคอยกันคือบิ๊กโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกัย The Standard และ Monocle ซึ่ง “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ทั้ง 2 โปรเจกต์อาจไม่ได้เห็นภายในปีนี้ เพราะหาที่ดินไม่ทัน!

    แต่เบื้องต้นให้รายละเอียดเกี่ยวกับทั้ง 2 โครงการจะพัฒนาเป็น “ที่อยู่อาศัย” (Residence) โดย The Standard จะเป็นโครงการในรูปแบบ Branded Residence Condominiums ซึ่งเป็นเทรนด์ของที่อยู่อาศัยสุดฮอตทั่วโลกในเวลานี้ เพราะ Bulgary และ Amarni ก็มีแล้ว จุดเด่นคือการมี “แบรนด์ดัง” มาบริหาร และมีบริการเหมือนกับโรงแรม เพื่อให้เห็นภาพลองนึกถึง The Rizt Carlton ซึ่งข้อจำกัดของ The Standard คือต้องหา “พันธมิตร” ผู้ที่จะมาลงทุนพัฒนาโรงแรมก่อน และหาที่ดินที่ใช้เพื่อกันส่วนหนึ่งของที่ไว้สร้างคอนโด และลูกบ้านก็จะสามารถไปใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคร่วมกับโรงแรมได้

    ส่วนโครงการกับ Monocle ก็อยู่ระหว่างหาที่ดินที่ใช่ โจทย์คือทำเลต้องชิคๆ เช่น ย่านทองหล่อ เพื่อให้สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังต้องหารือกันในเรื่องการออกแบบ ดีไซน์โครงการด้วย

    “The Standard และ Monocle อาจเปิดตัวไม่ทันปีนี้เพราะการทำ Branded Residence ต้องหาที่ดินที่ใช่อย่างในย่านใจกลางธุรกิจ ย่านสุขุมวิท อย่าง The Standard เราต้องมีคนทำโรงแรมก่อนจึงจะขึ้นที่อยู่อาศัยได้ และตอนนี้ก็มีหลายคนอยากทำโรงแรมและมาคุยกับเราแล้ว”  

    ++ดึง Agile มาพิ่ม Speed การบริหารจัดการ

    โลกธุรกิจยุคปัจจุบันแข่งกันที่ Speed ใครเร็วกว่า กวาดลูกค้าได้ก่อน ก็ชนะคู่แข่งได้ และเพื่อให้การบริการจัดการมีประสิทธิภาพ แสนสิรินำแนวคิดการบริหารงาน “Agile” มาใช้ในส่วนงานพัฒนาโครงการ ซึ่งครอบคลุมทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด จุดเด่นของแนวคิดดังกล่าวคือการให้ “อำนาจในการตัดสินใจ” แก่คนทำงานมากขึ้น จากเดิมระบบการทำงานของบริษัทเป็นแมทริก เป็นไซโลแต่ละฝ่ายจะมีหัวหน้างาน เมื่อคนทำงานเกิดปัญหาก็จะนำไปรายงานหัวหน้า หัวประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาอีกขั้น ทำให้งานค่อนข้างล่าช้า แต่แนวคิดใหม่ จะลดขั้นตอนการทำงาน และทำงานเร็วขึ้น ส่วนการเลือกใช้กับส่วนพัฒนาโครงการเพราะทำเงินให้บริษัทมากสุด

    จากแผนดังกล่าว แสนสิริหวังว่าจะโกยยอดขายปีนี้ 45,000 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2560 มียอดขาย 38,600 ล้านบาท.

    ]]>
    1154947