ธุรกิจท่องเที่ยว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Dec 2025 11:55:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
คุยกับ CEO วีรันดา ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ https://positioningmag.com/1548892 Wed, 26 Nov 2025 13:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548892 คุยกับ ‘ภวัฒภ์ องค์วาสิฏฐ์’ CEO บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ถึงมุมมอง ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ และอนาคตธุรกิจท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรในวันนี้ที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมถึงวิธีคิดการพาองค์กรเดินหน้าต่อบนเส้นทางที่มีหลายปัจจัยยังไม่แน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถือเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แต่ตอนนี้กำลังอ่อนกำลังลง จากความท้าทายหลายเรื่องทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวของดาราจีน และเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลงชัดเจน

 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่หายไปตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา จนปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นคืนมาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้มีกระแสพูดถึงในประเด็น ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ด้านการท่องเที่ยวให้กับ ‘เวียดนาม’

 

ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ถูกสั่นคลอน

CEO วีรันดา ยืนยันว่า เขายังเชื่อมั่นใน ‘ศักยภาพ’ ของธุรกิจนี้ในบ้านเรา พร้อมยืนยันไทยยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ และมี ‘จุดเด่น’ ที่หลากหลายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลงรักและกลับมาเที่ยวซ้ำ ขณะที่บางประเทศไปครั้งเดียว ไม่ไปซ้ำอีก

 

“แต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ต่างกัน ไทยมี Soft power แข็งแรงและหลากหลาย ทั้งอาหาร, วัฒนธรรม, สิ่งแวดล้อม, เสน่ห์ของคนไทย, Hospitality และช้อปปิ้งมอลล์ ผมไม่คิดว่า ไทยด้อยกว่าที่อื่นตรงไหน ส่วนการที่หลายคนมองไทยจะแพ้เวียดนามเรื่องท่องเที่ยว ผมว่าเป็นการมองที่ไกลไป ต้องมองในเชิงลึก เพราะเวียดนามใกล้กับจีน ทำให้ข้ามพรมแดนได้ง่าย ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น เหมือนกับคนมาเลเซียมาเที่ยวไทยเพิ่ม ก็มีผลมาจากคนข้ามดินแดน”

 

ในฐานะนักลงทุน เขาจึงมองธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยยังมีโอกาสอยู่ แค่ใครจะมองเห็นและจับมาเป็นจุดแข็ง เพื่อชิงโอกาสทางธุรกิจได้

 

‘Positioning’ และ ‘จุดแข็ง’ ต้องชัด

 

สำหรับวีรันดาเองวาง Positioning ชัดเจน นั่นคือ การเป็น Lifestyle Destination เน้นเรื่องดีไซน์ และ ‘Instagrammable’ การออกแบบและตกแต่งให้สามารถถ่ายลงอินสตาแกรมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบประสบการณ์ คุณค่า ในราคาเข้าถึงได้

 

นั่นจึงทำให้วีรันดาเติบโตได้ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 9 เดือน ปี 2568 ที่มีรายได้รวม 1,103 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ทาง CEO วีรันดาเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากรัฐบาลช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2568 จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ ‘เที่ยวดีมีคืน 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 2568 ให้นำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

 

นอกจากนี้ การที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’  มาทำหน้าที่ Amazing Thailand Ambassador จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้

 

และแม้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว ก็มีตลาดยุโรป อเมริกา และอินเดียที่โตต่อเนื่องโดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดแห่งความหวังในอนาคตของไทย เนื่องจากจำนวนประชากรกลุ่มระดับกลางมีการขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น บวกกับด้วยอินเดียใกล้ไทย เดินทางง่าย ถ้ามีบินไฟลต์ตรงยิ่งจะให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้นอีก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้าโต 20% อาจไม่ถึงเป้าเดิมที่วางไว้ 25% แต่ทั้งหมดผมมองเป็นภาพบวกนะ หลังจากนี้จะดีขึ้น”

 

AI อีกตัวแปรสำคัญของธุรกิจ

 

อีกส่วนที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ของธุรกิจโรงแรม หนีไม่พ้นเรื่อง AI จากเมื่อก่อนการเข้าถึงลูกค้าจะผ่าน Google search เป็นหลัก แต่ตอนนี้ AI และโซเชียล มีเดียอื่น อาทิ TikTok และ IG ฯลฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แถมมีให้เลือกใช้หลายตัว 

 

ดังนั้น จุดที่ต้องทำ คือ ต้องให้ชื่อและเรตติ้งของโรงแรมติดอันดับเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาผ่าน AI หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวีรันดาศึกษาและให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

 

“เรื่อง AI และโซเชียลอื่นสำคัญ เช่นเดียวกับการใช้อินฟลูฯ หลัง ๆ เองเราใช้อินฟลูฯ ที่เป็นต่างชาติเยอะขึ้น เพราะนอกจากคนไทยเห็น คนประเทศเขาก็เห็น และเราทำแล้วเวิร์คด้วย เพราะเน้นโรงแรมที่เป็นดีไซน์ เน้นรูปถ่าย สถานที่สวยคนชอบแชร์อยู่แล้ว

 

“ส่วนสงครามราคา เราเห็นมาตลอด แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้ให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น เช่น ภูเก็ต ไม่มีใครลงราคาให้นะ และเดี๋ยวนี้มี AI มาตั้งราคาให้ด้วย คือ จะเช็กราคาคู่แข่งในตลาดขึ้นราคาแล้ว ถ้าห้องเหลือน้อย AI จะเปลี่ยนราคาขึ้นให้เลย อันนี้เป็นเรื่องน่าจับตามอง”

 

‘มุ่งมั่นอย่ายอมแพ้’ คาถาฝ่าความท้าทาย

 

มาถึงช่วงท้ายของการพูดคุย เราถามภวัฒภ์ว่า มี ‘หลักคิด’ อะไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย ซึ่งเขาตอบว่า Perseverance ต้องพากเพียร มุมานะ และอย่ายอมแพ้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ปัญหามีเป็นปกติอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามีทางออก’ เพียงต้องพยายามและหาทางไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้ไปต่อไป อย่างช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหนัก

 

ช่วงนั้นทางวีรันดาหันมาโฟกัสตัวเอง ทำให้องค์กร Lean มีไขมันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายและโอกาสมา ทำให้วีรันดาสามารถวิ่งได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น

 

ส่วนผู้นำที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

 

ทาง CEO วีรันดา ไม่ได้จำกัดความไว้ แต่มองว่าผู้นำที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้วีรันดาผ่านวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง 

 

“แต่ละวิกฤตสอนไม่เหมือนกัน แต่บทเรียนที่ได้เรียนรู้หลัก ๆ คือ มาแบบไหนก็ต้องอยู่ได้ ต้องปรับตัวให้เร็ว และทันสถานการณ์ คนต้องรู้จักยืดหยุ่น ทำให้ได้หลายหน้าที่ อีกอย่างที่ผมพยายามถ่ายทอดให้ทีม คือ ความคิดแบบเจ้าของ หรือ Entrepreneur เพราะเมื่อมีจะทำให้เราทุ่มเท มองรอบด้าน และเป็นนักสู้มากขึ้น

 

“อย่างช่วงโควิดผมลงมาดูรายละเอียดทุกอย่างอย่างใกล้ชิด ทั้งค่าใช้จ่าย การจัดการหารายได้ และกลยุทธ์การตลาดหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือ เราต้องเน้นลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ทำ แพ็กเกจโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำไลฟ์ขายวอเชอร์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆ และปรับรูปแบบการทำงานของทีมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเพื่อความรวดเร็วในการทำงานและผ่านช่วงที่ท้าทายนี้ไปได้”

]]>
1548892
Jurassic World ใหญ่สุดในโลก เตรียมเผยโฉมใน ‘ไทย’ ครั้งแรก 8 ส.ค. นี้ https://positioningmag.com/1531374 Fri, 25 Jul 2025 08:34:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531374 ก่อนหน้านี้เราคงได้ยินข่าวการลงทุน 1,400 ล้านบาท เพื่อเปิด Jurassic World : The Experience ในไทย ณ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ซึ่งเป็น Jurassic World : The Experience ใหญ่สุดของโลก โดยมีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 8 ส.ค. 2568 นี้

 

ในงานเสวนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 17 ในหัวข้อ “Family Tourism Economy: ปลุกพลังเศรษฐกิจครอบครัวผ่านการท่องเที่ยวไทย” ซึ่งจัดโดย เคทีซี ทาง ‘อานนท์ วิทยะสิรินันท์’ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในกลุ่ม บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บอกถึงความพิเศษของที่นี้ว่า

 

1.มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่การพัฒนารวมทั้งหมดกว่า 10,000 ตร.ม. เฉพาะส่วนของ Jurassic World ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม. มีขนาดใหญ่กว่าที่อื่นถึง 3 เท่า

2.Jurassic World : The Experience ในไทย จะเป็นแห่งแรกของโลกที่เปิดระยะยาว ขณะที่ในประเทศอื่นจะเปิดอยู่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น

3.ที่ไทยจะมีมีร้านอาหาร Fossil & Flame Restaurant ห้องอาหารธีม Jurassic แห่งแรกของโลกซึ่งอยู่นอกสวนสนุก

4.ภายใน Jurassic World : The Experience ของไทย จะมี ‘ตัวละคร’ ที่ถูกสร้างสรรค์มาเฉพาะและไม่เคยโชว์ที่ไหนมาก่อน  

5.ลูกค้าที่เข้าชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ เหมือนเป็นหนึ่งในตัวละครของหนังที่ได้ท่องเที่ยวในโลก Jurassic World ด้วยกัน

สำหรับการวางราคาบัตร อานนท์บอกว่า ดีไซน์ให้เหมาะกับลูกค้าในยุคปัจจุบันที่คำนึงถึง Value of Money มากขึ้น โดยเฉพาะ ‘คนไทย’ กลุ่มเป้าหมายของ Jurassic World : The Experience ในบ้านเรา โดยบัตรราคาแพงสุดอยู่ที่ 989 บาทต่อคน  ขณะที่ในสิงคโปร์ราคาเข้าชมจะอยู่ราว ๆ 1,200-1,400 บาทต่อคน

 

หลังจากเปิด Waitlist และ Pre-sale ขายบัตรเข้าชม ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่เฉพาะคนไทย ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาจากหลากหลายมุมโลก และคาดว่า จากการเปิดตัวของ Jurassic World : The Experience จะทำให้มีผู้เข้ามาในพื้นที่โครงการเอเชียทีคแบบ All Day Every Day ตั้งแต่ช่วงเปิด 11.00 น. ไปจนถึงช่วงปิดบริการ จากเดิมจะมีช่วงพีคเฉพาะช่วงเย็นไปถึงค่ำเท่านั้น

 

นอกจากนี้ Jurassic World : The Experience แล้ว ทาง AWC ยังลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างเช่น พื้นที่การเรียนรู้ Hatch Dome และนิทรรศการ Better World, Better Future ที่นำเสนอเรื่องสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้เอเชียทีคเป็นพื้นที่ที่ครอบครัว และเมืองสามารถเติบโตไปด้วยกันได้ในทุกช่วงเวลา ซึ่งเป็นการลงทุนในความสัมพันธ์และอนาคตอย่างยั่งยืน

 

สำหรับ Jurassic World: The Experience เป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุน 1,400 ล้านบาท ตั้งอยู่ในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เป็นความร่วมมือระหว่าง AWC, NEON ผู้นำในการสร้างประสบการณ์แบบ อิมเมอร์ซีฟและเครื่องเล่นระดับโลก และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ผู้ออกแบบสวนสนุกระดับโลก โรงแรมและรีสอร์ต เกม อาหาร และความบันเทิง

]]>
1531374
‘ท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักกำลังดับ? ต่างชาติเที่ยวไทยติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี https://positioningmag.com/1523093 Sat, 24 May 2025 08:02:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523093 เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน? เมื่อ ‘ธุรกิจท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์ตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดูจะอ่อนกำลังลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน  2.8% ขณะที่รายได้ลดลง 3% เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี 

 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 11 พฤษภาคม 2568 จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยมีจำนวน 12.9 ล้านคน ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ลดลง 2% หรือมีมูลค่าประมาณ 613,168 ล้านบาท 

 

สัญญาณการลดลงดังกล่าว เห็นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัยลบ ได้แก่

-ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาราจีน

-ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทำให้ทางการมาเลเซียออกประกาศเตือนชาวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ของไทย

-แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเลื่อนการเดินทางมาไทย

-สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ชาติที่มีแผนเดินทางมาเที่ยวไทย

-ปัจจัยด้านเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยว

 

นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาว เวียดนาม ฮ่องกง ปรับตัวลดลงเช่นกัน

 

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ ยังมี 4 ปัจจัยลบสำคัญ ที่คาดว่า จะส่งผลให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มที่อาจลดลงต่อเนื่อง ได้แก่

 

1.เศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวลง กระทบต่อแผนการเดินทางและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจะมองหาจุดหมายปลายทางที่สอดคล้องกับงบประมาณและความคุ้มค่า 

 

2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศกระทบการเดินทาง ยิ่งหากมีการปิดน่านฟ้าอีก แม้เหตุการณ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานจะยุติ และสายการบินกลับมาเปิดเส้นทางการบินได้ตามปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติ ทำให้ประเด็นนี้ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นและแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่อง

 

3.ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวไทยลดลง สะท้อนจากจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวที่ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘เวียดนาม’ โตมากกว่าเดิม โดย 2 ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทย ได้แก่

– ภาพลักษณ์ความปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยวบางกลุ่มลดลง 

ตั้งแต่ต้นปี 2568 หลายเหตุการณ์ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยและยังมีผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน จากผลสำรวจ ของ Dragon Trail ณ เดือนเมษายน 2568 พบว่า ชาวจีนมีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 19% ขณะที่ 51% มองว่าประเทศไทยมีความไม่ปลอดภัย 

–  ราคาสินค้าบริการท่องเที่ยวไทยปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับหลายประเทศ 

สะท้อนจากเครื่องชี้ราคาเฉลี่ยห้องพักต่อวันในไทย (Average Daily Rate) ในปี 2567 ปรับตัวสูงขึ้นถึง 34% เทียบกับในปี 2562 หรือก่อนโควิด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มตัวอย่างที่ขยายตัวเพียง 28.3% อีกทั้งราคาสินค้าและบริการอย่างในร้านอาหารก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นตามสภาวะต้นทุน

เมื่อหักค่าเดินทาง ค่าที่พักและการใช้จ่ายสินค้าและบริการแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเหลืองบประมาณในการท่องเที่ยวที่ไม่มากแล้ว ยิ่งหากพิจารณาค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 ดอลลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศด้วย อาทิ ‘ญี่ปุ่น’ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 ดอลลลาร์สหรัฐ และ ‘สิงคโปร์’ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,700 ดอลลลาร์สหรัฐ ทำให้การมาเที่ยวไทยเริ่มมีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งมากขึ้น

 

4.การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง ทางการในหลายประเทศมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ เกาหลีใต้ เตรียมเสนอมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว (Group Tour) ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย ขณะที่ เวียดนามเตรียมออกมาตรการวีซ่าระยะยาว 10 ปี (10-year Golden Visa) ดึงดูดชาวต่างชาติและกระตุ้นการท่องเที่ยว

 

ขณะเดียวกัน แผนการจัดเที่ยวบินของสายการบินไปข้างหน้า ก็สะท้อนสัญญาณที่ตอบรับความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ของนักท่องเที่ยว จากการเปิดเผยเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินที่มีกำหนดการล่วงหน้าไปถึงเดือนกันยายน 2568 บ่งชี้ว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปลายทางสู่จีน เติบโต 18% (9 เดือนแรกปี 2568 เทียบ 9 เดือนแรกปี 2567) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทย เพิ่มขึ้นเพียง 8% 

 

จากปัจจัยทั้งหมด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปีโดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่หดตัว อาทิ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียน่าจะยังขยายตัวได้ กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดขึ้นอีก)

 

สำหรับตลาดที่มองว่ายังเติบโต หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อาทิ รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้

 

รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติกระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป หดตัวเล็กน้อยที่ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด) เนื่องจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young Traveler และกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง 

 

รวมถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นอย่างการปรับลดการซื้อของที่ระลึก การใช้บริการร้านอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่างการเลือกร้านอาหาร Street food

]]>
1523093
เช็กก่อนจัดทริปปี 2023! 5 สถานที่ท่องเที่ยวดังที่ “ปิดตัว” หรือ “ปิดปรับปรุง” หลังโควิด-19 https://positioningmag.com/1413145 Tue, 20 Dec 2022 05:42:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413145 แม้เศรษฐกิจจะไม่เป็นใจ แต่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกเชื่อว่าปี 2023 ก็จะยังคงเป็นปีแห่ง ‘revenge travel’ ผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อเที่ยวล้างแค้นตลอด 2-3 ปีที่ไม่ได้เที่ยวสมใจอยาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้หลายสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต้อง “ปิดตัว” หรืออาจใช้โอกาสไร้นักท่องเที่ยว “ปิดปรับปรุง” ดังนี้

 

1.Train Street เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม

Train Street ฮานอย (Photo by gokudo/Pexels)

สถานที่ท่องเที่ยวที่คล้ายตลาดร่มหุบบ้านเรา Train Street ในเมืองฮานอยเป็นถนนที่มีรถไฟผ่ากลาง โดยเมื่อรถไฟวิ่งมา ตัวขบวนรถจะห่างจากบ้านเรือนและร้านค้าเพียงไม่กี่นิ้ว ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมากเพราะจะได้โพสท่ากับรางรถไฟโดยมีบ้านและร้านค้าเป็นฉากหลัง รวมถึงความตื่นเต้นของการนั่งจิบกาแฟพลางชมขบวนรถไฟผ่านหน้าไปแบบเฉียดฉิว

อย่างไรก็ตาม สภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกิน (Overtourism) บนถนน Train Street ก็ทำให้รัฐบาลเวียดนามมองถึงความปลอดภัยมากขึ้น โดยปี 2022 นี้เอง รัฐบาลเริ่มยกเลิกใบอนุญาตให้ร้านค้าต่างๆ บนถนนเส้นนี้ทำการค้าแล้ว และจะเริ่มนำแผงกั้นมาวางข้างรางรถไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปบนรางโดยเสรีเหมือนก่อน

 

2.สวนนกจูร่ง ประเทศสิงคโปร์

สวนนกจูร่ง (Photo: Shutterstock)

สวนนกที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ประกาศปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 หลังจากทำการมานานกว่า 50 ปี

แต่สวนนกนี้ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง เพราะจะไปรวมกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ ในบริเวณภาคเหนือของสิงคโปร์ เกิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมสัตว์และธรรมชาติใหม่คือ Mandai Rejuvenation Project ซึ่งจะเปิดเฟสแรกปี 2023 ก่อนจะทยอยเฟสต่อๆ ไปในปี 2024 และ 2025

 

3.ภัตตาคารลอยน้ำ Jumbo Kingdom เกาะฮ่องกง

ภัตตาคารลอยน้ำ Jumbo ฮ่องกง (Photo: Shutterstock)

เป็นข่าวดังไปตั้งแต่กลางปี เมื่อภัตตาคารลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก Jumbo Kingdom เกาะฮ่องกง จะปิดกิจการถาวร

ภัตตาคารลอยน้ำนี้ไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์และรายการทีวีระดับโลกมากมาย รวมถึงเคยได้ต้อนรับคนดังต่างๆ เช่น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แต่ด้วยความใหญ่โตของมัน กับสถานการณ์ปิดตายของเกาะเพราะโควิด-19 ทำให้เจ้าของไม่สามารถจะยื้อกิจการไว้ได้ไหว

เจ้าของพยายามแล้วที่จะขายกิจการออกไป แต่เมื่อไม่มีผู้ซื้อ จึงต้องลากจูงไปหาที่เก็บเรือในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เรือก็กลับจบไปกลางทางเมื่อแล่นผ่านทะเลจีนใต้

 

4.TeamLab Borderless กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

TeamLab Borderless (Photo: Shutterstock)

มิวเซียมเพื่อรับประสบการณ์แสงสี “ดิจิทัล” เต็มรูปแบบ โด่งดังในระดับโลกจนเคยได้รับตำแหน่งมิวเซียมที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์จากกินเนสบุ๊ก TeamLab Borderless จะมีการย้ายทำเลจากเดิมที่โอไดบะ ไปยังทำเลใหม่ที่โครงการชื่อ “Azabudai Hills” ซึ่งตัวโครงการจะสร้างเสร็จภายในปี 2023 แต่ TeamLab จะกลับมาเปิดจริงๆ เมื่อไหร่นั้นยังไม่มีประกาศแน่ชัด

 

5.พิพิธภัณฑ์รำลึก 9/11 เมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ

พิพิธภัณฑ์รำลึก 9/11

ก่อนที่พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานแห่งชาติ วันที่ 11 กันยายน จะเปิดอย่างเป็นทางการ ณ Ground Zero ก่อนหน้านั้นเคยมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์รำลึก 9/11 ขึ้นมาก่อน

พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวเป็นสถานที่ที่จัดขึ้นโดยญาติมิตรของเหยื่อที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 โดยเปิดตัวเมื่อปี 2006 เป็นมิวเซียมเล็กๆ เงียบๆ ในแมนฮัตตันที่จัดแสดงสิ่งของส่วนตัวของผู้จากไป รวมถึงเป็นสถานที่รวมตัวของญาติมิตรของเหยื่อในวาระต่างๆ

เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มิวเซียมนี้ขาดทุนจนต้องปิดตัวไปในปี 2022 โปรแกรม Tribute Walking Tours ซึ่งปกติจัดโดยผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11 ก็ปิดการดำเนินการไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้มิวเซียมนี้จะปิดตัวลงแต่สิ่งของต่างๆ ที่เคยจัดแสดงได้ถูกส่งไปแสดงต่อที่ New York State Museum ในเมืองออลบานี ทางเหนือของเมืองนิวยอร์กซิตี้

Source

]]>
1413145
“ฮ่องกง” เตรียมแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1403535 Thu, 06 Oct 2022 16:42:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403535 เกาะฮ่องกงจะแจกตั๋วเครื่องบิน 500,000 ใบ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 9,500 ล้านบาท) เพื่อกู้เศรษฐกิจท่องเที่ยวคืนมาหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19

ฮ่องกงเริ่มปลดล็อกมาตรการโควิด-19 แล้วเมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักเดินทางเข้าสู่ประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวในโรงแรม แต่จะยังไม่สามารถเข้าร้านอาหารและบาร์ได้ใน 3 วันแรก

กระนั้นก็ตาม Dane Cheng ผู้อำนวยการบริหารคณะกรรมการการท่องเที่ยวฮ่องกง ประกาศแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลยกเลิกมาตรการเกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งหมดเกี่ยวกับผู้โดยสารขาเข้า คณะกรรมการฯ จะเริ่มประชาสัมพันธ์แคมเปญตั๋วเครื่องบินฟรีทันที

Cheng กล่าวว่า นโยบายแจกตั๋วเครื่องบินเหล่านี้จุดประสงค์หลักมีขึ้นเพื่อช่วยเหลือสายการบินในฮ่องกง คาดว่าจะได้เริ่มแจกจริงในปี 2023 และให้ทั้งตั๋วขาเข้าและออกฮ่องกง

 

สายการบินหลักหลายแห่งในฮ่องกงยังไม่ฟื้น

อย่างไรก็ตาม สายการบินหลักยังไม่สามารถกลับมาทำการบินได้เต็มที่เหมือนกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด บางสายประกาศหยุดบินเข้าออกฮ่องกงไปแล้ว เช่น Virgin Atlantic สายการบินสัญชาติอังกฤษที่หยุดบินถาวรหลังจากที่ทำการบินเส้นทางลอนดอน-ฮ่องกงมานานถึง 30 ปี

เหตุที่ต้องหยุดบินถาวรเพราะมีปัญหาความซับซ้อนเรื่องน่านฟ้ารัสเซียหลังเกิดสงครามยูเครน สุดท้ายจึงยกเลิกการกลับมาบินใหม่ในเดือนมีนาคม 2023 ที่เคยวางแผนกันไว้ ทั้งนี้ Virgin Atlantic หยุดบินไปฮ่องกงชั่วคราวมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021

 

นักท่องเที่ยวจีน ปัจจัยสำคัญฟื้นเกาะฮ่องกง

Photo : Shutterstock

ก่อนหน้านี้ฮ่องกงใช้กฎการป้องกันโรคระบาดแบบเดียวกับจีน ทำให้ทุกคนที่เข้าสู่ฮ่องกงจะต้องกักตัวในโรงแรม แต่เมื่อฮ่องกงประกาศยกเลิกการกักตัว ทำให้อัตราการจองตั๋วเข้าออกฮ่องกงพุ่งขึ้นทันที

Prudence Lai นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Euromonitor International บริษัทวิจัยตลาด คาดว่า การให้ตั๋วเครื่องบินฟรีจะช่วยเร่งสปีดชื่อเสียงของฮ่องกงให้กลับมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง

“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาได้เมื่อไหร่ เพราะชาวจีนแผ่นดินใหญ่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่เข้าออกฮ่องกง รวมถึงยอดใช้จ่ายบนเกาะด้วย” Lai กล่าว

8 เดือนแรกของปีนี้ ฮ่องกงมีคนเดินทางเข้าเพียงแค่ 184,000 คนเท่านั้น เทียบกับเมื่อปี 2019 (ก่อนโรคระบาด) เกาะฮ่องกงได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวถึง 56 ล้านคนในปีเดียว

Source

]]>
1403535
กลุ่มพราวพร้อมเปิด “สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต” เบนเข็มดึง “อินเดีย” ทดแทนตลาดจีน https://positioningmag.com/1384633 Tue, 10 May 2022 09:15:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384633 กลุ่มบริษัท พราว พร้อมเปิดตัว “สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต” วันที่ 21 พ.ค. 65 หลังดีเลย์มากว่า 1 ปีจากโควิด-19 ปีแรกคาดหวังนักท่องเที่ยว 4 แสนคน และหลังการท่องเที่ยวไทยฟื้นเต็มที่ วางเป้าเป็นแหล่งท่องเที่ยว ‘man-made’ หลักของภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวเข้าปีละ 1 ล้านคน ระยะแรกหันดึงชาว “อินเดีย” เป็นตลาดทดแทนจีนที่ยังออกนอกประเทศไม่ได้

หลังประสบความสำเร็จกับ “สวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน” กลุ่มบริษัท พราว เริ่มเปิดโปรเจ็กต์ต่อไป “สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต” ต่อเนื่องเมื่อปี 2562 ตามกำหนดการเดิมจะต้องเปิดบริการปี 2564 แต่โครงการต้องดีเลย์ไปกว่า 1 ปี เพราะเผชิญสถานการณ์โควิด-19 จนการก่อสร้างล่าช้า

ในที่สุดบริษัทพร้อมเปิดตัวสวนน้ำ อันดามันดาแล้วในวันที่ 21 พ.ค. 65 ท่ามกลางบรรยากาศการท่องเที่ยวที่เริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง

“พราวพุธ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว เปิดเผยถึงโครงการนี้ว่า ใช้งบลงทุนรวม 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น เฟส 1 สวนน้ำ 50 ไร่ งบลงทุน 3,000 ล้านบาท เฟส 2 โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท จำนวน 300 ห้อง และส่วนรีเทล รวม 8 ไร่ ลงทุน 1,500 ล้านบาท (เฟส 2 เริ่มก่อสร้างแล้ว คาดเปิดบริการปี 2567)

สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต

กลุ่มบริษัท พราวเริ่มลงทุนสวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต จากการมองเห็นช่องว่างในตลาดภูเก็ตที่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made attraction) ไม่มากนัก การท่องเที่ยวส่วนใหญ่เน้นไปในด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ด้วยขนาดตลาดของภูเก็ต มีศักยภาพพอที่จะสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ประเภท man-made บริษัทจึงเลือกเปิดสวนน้ำที่ใหญ่กว่าในหัวหินเกือบ 3 เท่า

ไฮไลต์เด่นของสวนน้ำอันดามันดาที่กำลังจะเปิดบริการ มีรายละเอียด เช่น

  • รวมเครื่องเล่นและจุดสนใจ 25 จุด
  • สไลเดอร์ยักษ์ 36 เลน
  • ทะเลจำลอง 10,000 ตร.ม.ที่สามารถสร้างคลื่นได้สูงสุด 3 เมตรสำหรับนักเซิร์ฟ
  • หาดเทียม 300 เมตรสำหรับนอนเล่นพักผ่อน
  • จุดเช็กอิน เขาตะปูจำลอง และตลาดน้ำ
สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต
คลื่นเทียมเพื่อนักเซิร์ฟ
สวนน้ำ อันดามันดา ภูเก็ต
เขาตะปูจำลอง
  • Wave Bar และ Sand Bar ระบบแสงสีเสียง พร้อมจัดอีเวนต์และมิวสิก ปาร์ตี้
  • เทคโนโลยีสายข้อมือ RFID และระบบ Gamification ทำกิจกรรมด้วยเทคโนโลยี AR ได้ในโครงการ
  • เครื่องเล่นทั้งหมดออกแบบและติดตั้งโดย WhiteWater ประเทศแคนาดา ซึ่งมีประสบการณ์อุปกรณ์เครื่องเล่นทางน้ำมากว่า 40 ปี
  • ไลฟ์การ์ดที่ได้รับการฝึกในระดับสากล 200 คน
  • ระบบหมุนเวียนน้ำใช้ในโครงการ และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

พราวพุธกล่าวว่า ฟังก์ชันในโครงการจะเห็นว่าสวนน้ำต้องการดึงดูดลูกค้าทุกกลุ่ม วางเป้าหมายสัดส่วนกลุ่มครอบครัว 40% กลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ 40-50% และกลุ่มผู้เข้าร่วมงานอีเวนต์ 10-20%

 

ระยะสั้นเร่งดึง “อินเดีย” เข้าไทย

ด้านเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว ข้อมูลจาก “ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เมื่อปี 2562 ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวมาเยือนถึง 14 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 4 ล้านคน และต่างชาติ 10 ล้านคน

ในช่วงที่ไทยเริ่มเปิดระบบ Test & Go ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ย 2,500 คนต่อวัน และเชื่อว่าเดือนพฤษภาคมนี้ซึ่งไทยปลดล็อกการตรวจหาเชื้อเหลือเพียง Antigen Test Kit (ATK) ไม่ต้องตรวจ RT-PCR จะทำให้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้าภูเก็ตเฉลี่ย 9,000 คนต่อวัน พร้อมวางเป้าตลอดปี 2565 นี้น่าจะมีชาวต่างชาติเข้าภูเก็ตรวม 4 ล้านคน

จากตัวเลขนี้ พราวพุธมองว่า สวนน้ำ อันดามันดา จะดึงนักท่องเที่ยวได้ราว 10% ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภูเก็ตทั้งหมด จึงตั้งเป้าทราฟฟิกชาวต่างชาติปี 2565 ไว้ที่ 4 แสนคน ยังไม่นับรวมนักท่องเที่ยวไทยที่จะเข้ามา

เป้าหมายคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยว และกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก

สำหรับชาวต่างชาติที่จะดึงมาท่องเที่ยวสวนน้ำ มีการปรับตัวตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยน จากช่วงเริ่มโครงการยังเป็นยุคของ ‘นักท่องเที่ยวจีน’ แต่วันนี้จีนยังไม่เปิดประเทศ ทำให้เป้าหมายหลักทั้งของภูเก็ตและสวนน้ำ อันดามันดา ต้องเบนเข็มไปหาชาวออสเตรเลีย, อินเดีย, ยุโรป, อิสราเอล, UAE

โดยเฉพาะ “อินเดีย” นั้น ภูมิกิตติ์กล่าวว่านิยมเที่ยวไทยมาก ปัจจุบันมีการเดินทางเข้ามาเฉลี่ย 1,000 คนต่อวัน มีไฟลท์บินตรงเข้าภูเก็ตจากหลายเมืองของอินเดีย

 

เป้าระยะยาว 1 ล้านคนต่อปี “สวนน้ำ” คือจุดหมายยอดฮิต

ส่วนเป้าหมายระยะยาว พราวพุธมองว่า ถ้าหากการท่องเที่ยวประเทศไทยและภูเก็ตฟื้นตัวเต็มที่ได้เท่าปี 2562 เชื่อว่าจะมีทราฟฟิกเข้าสวนน้ำปีละ 1 ล้านคน แบ่งสัดส่วน 70% เป็นชาวต่างชาติ และ 30% เป็นคนไทย โดยกลุ่มคนไทยจะเป็นกลุ่มสำคัญ เพราะเห็นบทเรียนจากช่วงโควิด-19 ไม่ควรพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งทั้งหมด

“พราวพุธ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว

พราวพุธมองกระแส “สวนน้ำ” ยังคงมีเสน่ห์ทางการท่องเที่ยว เพราะเป็นกิจกรรมที่นิยมของชาวตะวันตกอยู่แล้ว ขณะที่กลุ่มเอเชียก็เริ่มชื่นชอบมากขึ้น เพราะเป็นสถานที่ที่เหมาะกับครอบครัว สอดรับกับกระแสที่สำรวจโดยบัตร American Express พบว่า 79% ของนักท่องเที่ยวหลังผ่านโรคระบาด ต้องการจะท่องเที่ยวกับ “ครอบครัว” ก่อนเป็นอันดับแรก

ผลลัพธ์ของจริงอาจจะไม่ต้องสำรวจที่ไหนไกล พราวพุธระบุว่า สวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน วันนี้มีทราฟฟิกกลับมาแล้ว 70-80% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาพักผ่อน เหลือเพียงการจัดงานอีเวนต์ปาร์ตี้ที่ถ้าหากฟื้นกลับมาเต็มสูบ เชื่อว่ากิจกรรมสวนน้ำจะกลับมาบูมเหมือนเก่าได้ไม่ยาก

]]>
1384633
“ไทย” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ประเทศที่คน “มาเลย์-สิงคโปร์-เกาหลี” อยากมาเที่ยวมากที่สุด https://positioningmag.com/1383553 Sat, 30 Apr 2022 05:42:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383553 Agoda สำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อมาพักผ่อนในเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ค้นหาการมาเที่ยว “ไทย” เป็นอันดับ 1 สะท้อนแรงดึงดูดของไทยหลังจากผ่อนคลายขั้นตอนการเข้าเมือง ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 พ.ค. นี้

การสำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกโดย Agoda พบว่า “ไทย” เป็นจุดหมายอันดับ 1 ที่คนหลายประเทศค้นหามากที่สุด ดังนี้

  • มาเลเซีย – 1) ไทย  2) สิงคโปร์ 3) อังกฤษ
  • สิงคโปร์ – 1) ไทย 2) สิงคโปร์ 3) อินโดนีเซีย
  • เกาหลีใต้ – 1) ไทย 2) สหรัฐอเมริกา 3) เวียดนาม
  • ฟิลิปปินส์ – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) ไทย
  • อินโดนีเซีย – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) มาเลเซีย

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมในแถบนี้ มีเพียงชาวอินโดนีเซียที่ประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้

หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต วันที่ 16 พ.ย. 2564

นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในไทยแล้ว การผ่อนคลายวิธีการเข้าเมืองให้ง่ายขึ้นของไทยน่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 ประเทศไทยจะลดขั้นตอนสำหรับผู้เดินทางเข้าเมืองที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เพียงลงทะเบียนข้อมูลใน Thailand Pass และเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึง มีเพียงข้อแนะนำให้ตรวจ ATK เท่านั้น

 

คนไทยอยากไป “สิงคโปร์” มากที่สุด

สำหรับนักท่องเที่ยวไทย หากไม่นับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังครองใจมากที่สุดในระยะนี้ การเดินทางต่างประเทศ 5 อันดับแรกที่คนไทยต้องการไปมากที่สุด ได้แก่

  1. สิงคโปร์
  2. เกาหลีใต้
  3. ญี่ปุ่น
  4. สหรัฐอเมริกา
  5. อังกฤษ
“เกาหลีใต้” กำลังมาแรงในหมู่คนไทยที่ต้องการเที่ยวต่างประเทศ

ที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนยังอยู่ในอันดับ 6 แต่ล่าสุดพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 หลังจากผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้คนไทยเริ่มค้นหาและวางแผนการท่องเที่ยวกันทันที

 

“ทะเล” บูมสุดขีด

ช่วงเดือนพฤษภาคม “ทะเล” ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนิยม โดยสองอันดับแรกคือพัทยาและหัวหิน ยังคงครองใจคนไทยสูงสุดเมื่อคิดจะไปท่องเที่ยว โดย 10 อันดับแรกเมืองที่คนไทยค้นหามากที่สุด ได้แก่

  1. พัทยา
  2. หัวหิน
  3. ภูเก็ต
  4. กรุงเทพฯ
  5. เขาใหญ่
  6. เชียงใหม่
  7. กระบี่
  8. กาญจนบุรี
  9. ชลบุรี
  10. เกาะช้าง
]]>
1383553
ท่องเที่ยวทั่วโลก จะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2023 จ้างงานสู่ระดับปกติ เอเชียยังฟื้นช้ากว่ายุโรป https://positioningmag.com/1382310 Thu, 21 Apr 2022 09:58:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382310 WTTC ประเมินการเดินทางเเละการท่องเที่ยวทั่วโลก จะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้อย่างเต็มที่ ในปี 2023

สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) เผยแพร่รายงานล่าสุด ระบุว่า อุตสาหกรรมนี้น่าจะขยายตัวเฉลี่ยราว 5.8% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปี 2032 เเซงการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ทั่วโลก ที่น่าจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.7% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน และจะสร้างงานใหม่ราว 126 ล้านตำแหน่ง

ในปี 2019 ธุรกิจท่องเที่ยวคิดเป็น 1 ใน 10 ของ GDP และการจ้างงานทั่วโลก แต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรม ซึ่งมีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง และมีผู้ว่างงานถึง 62 ล้านคน

Julia Simpson ประธาน WTTC กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวเเละการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพเเต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเปิดประเทศอีกครั้งของประเทศใหญ่อย่างจีน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศเปิดพรมแดน

โดยนโยบาย “zero COVID” ของจีนและการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง เป็นอุปสรรคของการค้าโลกและการเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ

WTTC คาดว่า ในปีนี้การเดินทางและการท่องเที่ยวจะมีมูลค่า 8.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 ซึ่งเป็นระดับก่อนการระบาดใหญ่ ขณะที่การจ้างงานจะกลับมาอยู่ที่ 300 ล้านคนในปีนี้ และ 324 ล้านคนในปีหน้า ใกล้เคียงกับ 333 ล้านคนในปี 2019

โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวสูง คาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าแตะ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ในปี 2023 ซึ่งสูงกว่าระดับ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการเดินทางในเอเชียแปซิฟิก ยังถือว่าฟื้นตัวช้า เมื่อเทียบกับโซนอเมริกาเหนือและยุโรป เนื่องจากหลายประเทศยังคงใช้มาตรการควบคุมพรมแดนเข้มงวด ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยอดผู้โดยสารทางเครื่องบินเริ่มกลับมาแล้ว หลังมีการยกเลิกระเบียบเข้าประเทศและการกักกันโรค แต่โดยรวมเเล้วการฟื้นตัวอย่างเต็มที่จะยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1382310
ททท. วางเป้า 2565 “ต่างชาติ” เข้าไทย 7 ล้านคน โรงแรมเครือ AWC คาดอัตราเข้าพักแตะ 50% https://positioningmag.com/1381190 Sun, 10 Apr 2022 11:51:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381190 อัปเดตสถานการณ์ “ท่องเที่ยว” ประเทศไทย อนาคตดูจะสดใสขึ้นแม้ยังห่างไกลกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 โดย ททท. วางเป้าปี 2565 ดึงนักท่องเที่ยว “ต่างชาติ” เข้าไทย 7 ล้านคน ธุรกิจท่องเที่ยวยังต้องพึ่งชาวไทยเป็นหลัก ด้านเครือโรงแรม AWC คาดอัตราเข้าพักปีนี้จะอยู่ระหว่าง 30-50% พร้อมเปิดโรงแรมแห่งล่าสุด “มีเลีย เชียงใหม่” รับลูกค้าคนรุ่นใหม่และธุรกิจ MICE

ปี 2565 เป็นปีแห่งความหวังของธุรกิจท่องเที่ยวไทย หลังจากเริ่มทยอยคลายล็อกเปิดประเทศมาตั้งแต่ปลายปีก่อน โดยเมื่อช่วงต้นปี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์แบบกว้างๆ ว่านักท่องเที่ยว “ต่างชาติ” จะเข้าไทยประมาณ 5-15 ล้านคน ก่อนที่จะเกิดปัจจัยลบเพิ่มขึ้นอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน

“สมฤดี จิตรจง” รองผู้ว่าการด้านการบริหาร ททท. เปิดเผยว่าปี 2565 ททท.วางเป้าดึงเม็ดเงินการท่องเที่ยวทั้งหมด 1.07 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวรวม 17.5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40% คือ 7 ล้านคน เห็นได้ว่าปีนี้ภาคท่องเที่ยวไทยจะยังต้องพึ่งพิงชาวไทยเที่ยวในประเทศเสียส่วนใหญ่

ปัจจัยลบอย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงคือ “สงครามรัสเซียยูเครน” เนื่องจากปกตินักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ในกลุ่ม Top 5 ของไทย และสงครามยังมีผลต่อราคาน้ำมันที่กระทบโดยอ้อมต่อนักท่องเที่ยวยุโรปด้วย

รัสเซีย
(Photo: Shutterstock)

“กลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซียนั้นตอนแรกเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้เริ่มมีแล้ว เพราะมีการปิดช่องทางชำระเงินสากล และสายการบินที่บินตรงกรุงเทพฯ-มอสโกตอนนี้เหลือแค่การบินไทย” สมฤดีกล่าว “อีกส่วนหนึ่งที่กระทบคือราคาน้ำมันสูง ทำให้ตั๋วเครื่องบินแพง จนนักท่องเที่ยวตลาดยุโรปจะเบนเข็มไปที่ที่ใกล้กว่า เช่น ตุรกี แต่เราก็มีตลาดอื่นทดแทน เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง มีความต้องการเข้าไทยมาก และเป็นกลุ่มที่พร้อมด้านการเงิน”

 

รอปลดล็อกยกเลิกการตรวจ COVID-19

อีกประเด็นที่ยังเป็นข้อติดขัดทำให้ประเทศไทยยังแข่งขันยากในตลาดโลก คือ ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อโรค COVID-19 ก่อนเข้าประเทศ ในขณะที่บางประเทศปลดล็อกไปแล้ว เช่น มัลดีฟส์ , ดูไบ (UAE) โดยวันที่ 1 เมษายน 2565 ไทยเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นโดยยกเลิกการตรวจ RT-PCR จากประเทศต้นทาง แต่ยังต้องตรวจเมื่อเดินทางมาถึง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ต่างชาติยังไม่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย เพราะยังต้องเสียเวลาการรอคอยผลตรวจในโรงแรมที่พัก รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

(ซ้าย) “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC (ขวา) “สมฤดี จิตรจง” รองผู้ว่าการด้านการบริหาร ททท.

“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ยังต้องรอมาตรการที่พร้อมต้อนรับ

“นักท่องเที่ยวต่างชาติรอเข้ามาอีกเยอะ เพียงแต่ว่านักท่องเที่ยวก็ต้องการประสบการณ์โดยรวมที่ดีที่สุดจากประเทศที่เขาเลือกไป เวลาทุกนาทีที่เข้ามาท่องเที่ยว เขาต้องการให้เป็นเวลาที่มีคุณค่า ถ้าหากเราพร้อมเมื่อไหร่จะมีดีมานด์ขนาดใหญ่รออยู่แน่นอน” วัลลภากล่าว

ทั้งนี้ สมฤดีระบุว่า ททท. ได้ยื่นข้อเสนอให้ ศบค. ยกเลิกทั้งระบบ Thailand Pass, Test & Go และ Sandbox ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศสามารถเข้าประเทศได้ในแบบเดียวกับช่วงก่อนปี 2563 โดยเสนอให้ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 หาก ศบค. ตอบรับข้อเสนอนี้ก็จะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวอย่างชัดเจน

 

AWC คาดอัตราเข้าพักขึ้นไปแตะ 50%

ด้านการดำเนินการของเครือโรงแรม AWC ซึ่งมีพอร์ตโรงแรม 19 แห่ง รวมห้องพัก 5,201 ห้อง ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน เชียงใหม่ มองเช่นกันว่าปีนี้จะเป็นปีที่กระเตื้องขึ้นของบริษัท

วัลลภาฉายภาพย้อนหลังว่า ตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เครือโรงแรม AWC มีอัตราเข้าพักที่ดีขึ้น โดยขึ้นไปพีคที่เดือนธันวาคม 2564 มีอัตราเข้าพัก 38% ก่อนจะกระทบจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้เดือนมกราคม 2565 ลดลงมาบ้างที่ 30% แต่จากนั้นปรับเป็นขาขึ้นมาตลอด

โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาคีส์ ควีนส์ปาร์ค หนึ่งในพอร์ตโรงแรมของ AWC

คาดการณ์ว่าตลอดปี 2565 อัตราเข้าพักจะอยู่ระหว่าง 30-50% แต่เชื่อว่าปี 2566 น่าจะเป็นปีที่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนกว่าของธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้ อัตราเข้าพักของโรงแรมเครือ AWC เมื่อเดือนมกราคม 2563 ก่อนเกิดโรคระบาด เคยสูงถึง 78%

ด้านการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเครือ AWC วัดจากช่วงไตรมาส 4/64 ตลาดคีย์หลักอย่าง “ภูเก็ต” มีต่างชาติเข้าพักเพิ่ม 8 เท่า โดยเพิ่มสัดส่วนจาก 8% ในปีก่อนหน้าเป็น 66% ด้านตลาด “กรุงเทพฯ” ก็ปรับเพิ่ม 1.8 เท่า เช่นเดียวกับ “เชียงใหม่” มีต่างชาติพักเพิ่ม 1.8 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าการเปิดประเทศสามารถดึงชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้

 

“มีเลีย เชียงใหม่” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่-ธุรกิจ MICE

วัลลภากล่าวต่อถึงโรงแรมล่าสุดในเครือ AWC ที่เปิดบริการได้แก่ “มีเลีย เชียงใหม่” เริ่มแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 10 เมษายน 2565 โดยเป็นการรีโนเวตจากโรงแรมเดิม มีห้องพักทั้งหมด 260 ห้อง ใช้เชนโรงแรมมีเลียจากสเปนเป็นผู้บริการ เนื่องจากเชนนี้มีความเชี่ยวชาญด้าน Leisure และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ใช้วัตถุดิบอาหารจากท้องถิ่นจากฟาร์มออร์แกนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการหลวงหรือ Ori9in Farm

มีเลีย เชียงใหม่ AWC
โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่

โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 1 ใน 3 แห่งที่ AWC มีในเชียงใหม่ โดยมีเลีย เชียงใหม่จะเน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความเรียบง่าย แต่ยังแฝงด้วยความสนุกจากรูฟท็อปบาร์ที่สูงที่สุดของเมือง รวมถึงตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจ MICE จากห้องประชุมที่สามารถปรับเป็นแบบกึ่งกลางแจ้งได้

มีเลีย เชียงใหม่
พบกับรูฟท็อปบาร์ที่สูงที่สุดของเมืองเชียงใหม่ได้ที่ มีเลีย เชียงใหม่

อีก 2 แห่งในเชียงใหม่ ได้แก่ เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ จะมีการปรับเปลี่ยนแบรนด์เป็นแมริออทในช่วงปลายปีนี้ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กร ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ซึ่งอยู่ระหว่างรีโนเวตจากโรงแรมแห่งเดิม แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ดั้งเดิมที่สื่อถึงมาตรฐานและความละเอียดในงานบริการ จะดึงดูดทั้งกลุ่มท่องเที่ยวและลูกค้าองค์กรได้

สมฤดีกล่าวถึงจังหวัดเชียงใหม่ว่า ปีนี้ ททท. คาดว่าเชียงใหม่จะดึงเม็ดเงินธุรกิจท่องเที่ยวได้ราว 5.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นครึ่งหนึ่งของที่ทำได้ในปี 2562

โดยขณะนี้ ททท. กำลังมุ่งต่อยอดชื่อเสียงของเชียงใหม่ในกลุ่ม “ดิจิทัล โนแมด” ซึ่งยกให้เชียงใหม่เป็นจุดหมายอันดับ 25 ของโลกที่ดิจิทัล โนแมดชื่นชอบ และมองว่าจะเลือกดึงดิจิทัล โนแมดจากสหรัฐฯ เข้ามาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มีกำลังซื้อ นอกจากนี้ การเจาะกลุ่มโนแมดยังทำให้ได้นักท่องเที่ยวกลุ่มลองสเตย์เพิ่มขึ้นด้วย

]]>
1381190