ประท้วง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 25 Sep 2023 13:12:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กลุ่ม “นักเขียนบท” จ่อบรรลุข้อตกลงแรงงานกับสตูดิโอฮอลลีวูด หลังหยุดงานประท้วงนานร่วม 5 เดือน https://positioningmag.com/1445433 Mon, 25 Sep 2023 12:05:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445433 The Writer Guild of America (WGA) สมาคม “นักเขียนบท” หนึ่งในสหภาพแรงงานที่ร่วมหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ในฮอลลีวูด จ่อจะได้เป็นแรงงานกลุ่มแรกที่บรรลุข้อตกลงค่าแรงที่เป็นธรรมกับบรรดาสตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การถ่ายทำและโปรดักชันต่างๆ จะยังไม่เดินกล้อง เพราะฝั่งสมาคม “นักแสดง” ยังไม่มีความคืบหน้า

Bob Hopkinson โฆษกของสมาคม WGA ตัวแทนสมาชิก “นักเขียนบท” กว่า 10,000 คน เปิดเผยผ่านทางอีเมลกับสำนักข่าว Insider ว่า WGA กำลังจะบรรลุข้อตกลงกับ AMPTP แล้ว หลังการประชุมต่อเนื่องนาน 5 วัน

AMPTP นั้นย่อมาจาก Alliance of Motion Picture and Television Producers หรือสมาพันธ์ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ ซึ่งประกอบด้วยบรรดาสตูดิโอและสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด เช่น Warner Bros. Discovery, Disney, Netflix เป็นต้น

“สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสมาชิก WGA และการสนับสนุนสุดพิเศษของพี่น้องสหภาพแรงงานอื่นๆ ของเรา ที่ได้ช่วยกันยืนหยัดมาได้นานถึง 146 วัน” Hopkinson ระบุในอีเมล

แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับนิตยสาร Variety ว่า ทาง AMPTP ส่งข้อเสนอ “สุดท้ายและดีที่สุดที่ให้ได้” กับทางสมาคม WGA เมื่อวันเสาร์ที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งทาง WGA มองว่าเป็นข้อเสนอที่ “ยอดเยี่ยม ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นชัดเจน และปกป้องนักเขียนในทุกภาคส่วนที่เป็นสมาชิกสมาคม” โดยไม่มีข้อมูลหลุดออกมาว่านักเขียนบทจะได้ค่าแรงเพิ่มมากแค่ไหน เพราะยังได้เซ็นข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Bloomberg สืบเสาะมาได้ว่า ดีลนี้กลุ่ม “นักเขียนบท” สามารถเรียกร้องให้สตูดิโอ “จ่ายเงินเดือนเพิ่ม แชร์ข้อมูลการเข้าชมจริงให้เห็นเพื่อจะได้จ่ายโบนัสให้พวกเขาถ้ารายการ/ซีรีส์/ภาพยนตร์นั้นๆ ทำผลงานได้ดี และต้องมีการันตีจำนวนนักเขียนบทขั้นต่ำให้กับแต่ละรายการด้วย”

WGA ที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 10,000 คน เป็นหนึ่งในสหภาพแรงงานในฮอลลีวูดที่ร่วมการ “สไตรค์” หรือนัดหยุดงานประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2023

ส่วนกลุ่มใหญ่กว่าที่เป็นเหมือนหน้าด่านของการหยุดงานประท้วงคือสมาคม “SAG-AFTRA” สมาคมที่ดูแลสมาชิกแรงงาน “นักแสดง” มากกว่า 160,000 คน พวกเขายืนหยัดหยุดงานจนทำให้โปรดักชันต่างๆ ไม่สามารถกลับมาถ่ายทำได้ และจะสไตรค์ต่อไปจนกว่า AMPTP จะหันมาทำข้อตกลงที่เป็นธรรม

SAG-AFTRA แสดงความยินดีกับฝั่งสมาคมนักเขียนบท และยืนยันว่าทางสมาคมนักแสดงเองก็จะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะได้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับสมาชิกของกลุ่มตัวเองเช่นกัน

นั่นแปลว่าโปรดักชันการผลิตต่างๆ จะยังไม่กลับไปเดินหน้ากันทันที ทาง WGA จะยังรอจนกว่าจะเซ็นสัญญากันเรียบร้อยก่อน และระหว่างนี้แนะนำให้สมาชิกไปช่วยทาง SAG-AFTRA เดินหน้าประท้วงต่อ

 

นายทุนคิดผิดว่าการสไตรค์จะจบไว

จากการสไตรค์ครั้งใหญ่นี้ ทำให้รายการโทรทัศน์รอบดึกหายไปจากหน้าจอตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ผังโทรทัศน์ต้องหันไปใช้บริการซีรีส์เรียลลิตี้โชว์ เพราะนักเขียนบทของรายการเหล่านี้ไม่ได้รวมตัวอยู่ใน WGA

ส่วนบริการสตรีมมิ่ง ซีรีส์และภาพยนตร์สำคัญหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างถ่ายทำก็ต้องค้างเติ่งไปก่อน เช่น Stranger Things ภาค 5 ของ Netflix หรือ Blade ของ Marvel

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 หลังประท้วงกันมานานกว่า 2 เดือน สำนักข่าว Deadline รายงานข้อความที่น่าตกใจว่า ผู้บริหารสตูดิโอรายหนึ่งวางกลยุทธ์ว่าจะปล่อยให้การสไตรค์ลากยาวไปหลายๆ เดือน “จนกว่าสมาชิกสหภาพแรงงานจะเริ่มสูญเสียบ้านและคอนโดฯ ของตัวเองไป” สะท้อนให้เห็นว่าแต่เดิมบอร์ดบริหารสตูดิโอไม่ต้องการจะเจรจาใดๆ

ด้านแรงสนับสนุนของคนนอกวงการก็สูงมากแม้ผู้ชมจะต้องอดดูรายการโปรด ยกตัวอย่างเช่น “Drew Barrymore” ดาราดังที่หันมาทำรายการทีวีของตัวเองในชื่อ The Drew Barrymore Show เธอได้รับผลกระทบจากการประท้วงหยุดงานของนักเขียนบท 3 คนในรายการ เมื่อต้นเดือนกันยายนนี้เธอประกาศจะกลับมาเดินหน้าถ่ายทำรายการโดยไม่รอให้นักเขียนบทของเธอบรรลุข้อตกลงจากการไปประท้วง ทำให้เธอถูก ‘ทัวร์ลง’ จนต้องเปลี่ยนการตัดสินใจ

สิ่งที่ทั้งนักเขียนบทและนักแสดงต้องการนั้นมีหลายประเด็นมาก หลักๆ คือเรื่องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เพราะตั้งแต่มีสตรีมมิ่งเข้ามาทำให้โครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนเปลี่ยนไปจ่ายน้อยลง

รวมถึงมีประเด็นการปกป้องอาชีพพวกเขาจาก “AI” ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นแล้วเมื่อบางสตูดิโอทดลองใช้ AI สร้างภาพเคลื่อนไหวของนักแสดงตัวประกอบ โดยอาศัยเก็บภาพเขาหรือเธอเพียงครั้งเดียว และแน่นอนว่าจ่ายค่าตอบแทนเพียงครั้งแรกครั้งเดียวที่นักแสดงมาถ่ายทำ แต่สตูดิโอจะเก็บภาพตัวประกอบไว้ใช้ตลอดกาล

Source

]]>
1445433
เริ่มแล้ว! พนักงานธุรกิจขนส่งมวลชนทั่ว “เยอรมนี” รวมพลัง “สไตรค์” ขอขึ้นค่าแรงสู้เงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1424897 Mon, 27 Mar 2023 03:43:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424897 พนักงานธุรกิจ “ขนส่งมวลชน” ทั่วประเทศ “เยอรมนี” ไม่ว่าจะเป็นในสนามบิน รถไฟ รถบัส จะร่วมกัน “สไตรค์” นัดหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพื่อเรียกร้องขอขึ้นค่าแรงอย่างน้อย 10.5% สู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมาตั้งแต่ปีก่อน

หลังเข็มนาฬิกาล่วงเลยเข้าสู่เวลา 00:01 น. วันที่ 27 มีนาคม 2023 ในเยอรมนี การนัดหยุดงานของพนักงาน “ขนส่งมวลชน” เมืองเบียร์ก็เริ่มขึ้น โดยถือเป็นการสไตรค์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

การนัดหยุดงาน 1 วันเต็มในวันนี้ เป็นความร่วมมือของพนักงานขนส่งมวลชนรวมหลายแสนคน ภายใต้สหภาพแรงงานหลายแห่ง ซึ่งจะกระทบการขนส่งมวลชนหลายประเภท สนามบินทุกแห่งยกเว้นในเบอร์ลินจะไม่มีคนทำงานกราวด์และรักษาความปลอดภัย กระทบเที่ยวบินประมาณ 1,500 เที่ยวบิน ไปจนถึงพนักงานขนส่งมวลชนท้องถิ่นทั้ง 16 รัฐของเยอรมนี พนักงานบนทางด่วน พนักงานท่าเรือชายฝั่ง กระทั่งพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟทั่วประเทศ จะหยุดงานทั้งหมดในวันนี้

ข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม สหภาพแรงงาน Ver.di ซึ่งเป็นตัวแทนหลักของพนักงานด้านการบิน ยื่นข้อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงอย่างน้อย 10.5% หรือประมาณ 500 ยูโรต่อเดือน ขณะที่ EVG ซึ่งเป็นสหภาพพนักงานการรถไฟ ยื่นข้อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรง 12% หรือประมาณ 650 ยูโรต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้คำตอบของนายจ้างด้านธุรกิจการบินต้องการจะขึ้นค่าแรงให้ 5% เท่านั้น บวกกับโบนัสจ่ายครั้งเดียวอีก 2,500 ยูโร เช่นเดียวกันในกลุ่มนายจ้างธุรกิจรถไฟ ตอบว่าจะขึ้นค่าแรงให้ 5% และไม่มีโบนัสเพิ่มเติม

(Photo by FG/Bauer-Griffin/GC Images)

เมื่อการเจรจาไม่ได้ตามเป้าทำให้นำมาสู่การนัดหยุดงานพร้อมกันทั่วประเทศวันนี้ จากที่ก่อนหน้านี้พนักงานด้านขนส่งมวลชนมีการนัดสไตรค์กันมาเนืองๆ แต่ไม่เคยรวมตัวกันทั้งประเทศพร้อมกัน

เหตุที่พนักงานทนไม่ไหวต้องนัดหยุดงานประท้วง เพราะอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2022 จนปัจจุบันก็ยังไม่หยุด ยกตัวอย่างเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับขึ้นมาแล้ว 9.3% เทียบกับปีก่อน แม้ว่าธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะพยายามสกัดด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้ง

เยอรมนีเป็นประเทศที่เคยพึ่งพิงแก๊สจากรัสเซียอย่างมาก ก่อนที่จะเกิดสงครามยูเครนขึ้น ทำให้เยอรมนีได้รับผลกระทบหนักเพราะต้องดิ้นรนหาแหล่งพลังงานใหม่ ในระหว่างนั้นอัตราเงินเฟ้อจึงพุ่งขึ้นสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยในยุโรป

ผลร้ายจึงมาตกกับพนักงานทั่วไปที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ราคาเนยจนถึงค่าเช่าบ้าน ค่าครองชีพที่พุ่งสูงทำให้ทางสหภาพแรงงานมองว่าการขึ้นค่าแรงเป็นเรื่องของ “การเอาชีวิตรอด” ของพนักงาน

อย่างไรก็ตาม ฝั่งนายจ้าง เช่น Deutsche Bahn บริษัทผู้รับสัมปทานเดินรถไฟ ออกมาตอบโต้เมื่อวานนี้ว่า การนัดหยุดงานเป็นเรื่องที่ “เกินเหตุ ไม่มีเหตุผล และไม่จำเป็น” แถมเหล่านายจ้างทั้งหลายยังเตือนด้วยว่า หากขึ้นค่าแรงให้พนักงานขนส่งมวลชน บริษัทจะปรับค่าโดยสารและภาษีที่เก็บกับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับต้นทุนที่จ่ายค่าแรงเพิ่ม

ไม่เฉพาะในเยอรมนีที่พนักงานมีการประท้วง ในยุโรปอีกหลายประเทศก็มีการประท้วงเนืองๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่ประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาล จากการออกนโยบายยืดอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี เพราะรัฐต้องการจะลดภาระการจ่ายเงินบำนาญ ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ที่มา: Reuters, AP

]]>
1424897
“ตลาดหุ้นฮ่องกง” ร่วงจากสัญญาณลบ “ประท้วง” นโยบาย Zero-Covid ทั่วประเทศจีน https://positioningmag.com/1410155 Mon, 28 Nov 2022 03:49:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410155 เปิดตลาดวันจันทร์ ตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่แดนมังกร และค่าเงินหยวน ต่างร่วงลงถ้วนหน้า รับสัญญาณลบการ “ประท้วง” ในประเทศจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่พอใจต่อนโยบายล็อกดาวน์ Zero-Covid ของรัฐบาล

ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ดัชนีหลักทรัพย์ตัวแทนตลาดหุ้นฮ่องกง ตกลงทันที 4.2% หลังเปิดตลาดเช้าวันจันทร์นี้ (28 พ.ย. 2022) ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตในจีนแผ่นดินใหญ่ ร่วงลง 1.5% และดัชนีเสิ่นเจิ้นคอมโพเนนต์ซึ่งสะท้อนกลุ่มบริษัทเทคในจีน ก็ร่วงลง 1.6% เช่นกัน ด้านค่าเงินหยวนเทียบดอลลาร์สหรัฐเช้านี้ อัตราแลกเปลี่ยนตกลง 0.6% เหลือ 7.234 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

ตลาดทุนตลาดเงินในจีนสะดุดเป็นภาพสะท้อนของการ “ประท้วง” ทั่วประเทศจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในแดนมังกร การประท้วงรอบนี้เกิดจากความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบาย Zero-Covid อันเข้มงวด

การประท้วงในเมืองใหญ่ของจีน ตั้งแต่เมืองหลวงปักกิ่งจนถึงฮับเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้ มีประชาชนออกมาไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ที่มณฑลซินเจียง และประท้วงต่อต้านนโยบาย Zero-Covid เรียกร้องอิสรภาพและประชาธิปไตย

เหตุไฟไหม้ที่เป็นต้นเหตุความโกรธของประชาชนจีน มาจากอุบัติเหตุในเมืองอุรุมชี เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในอุรุมชีเกิดไฟไหม้ขึ้น แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างการล็อกดาวน์ ทำให้การดับเพลิงเป็นไปอย่างล่าช้า และชาวเมืองมีการให้สัมภาษณ์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่อนุญาตให้ออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ สุดท้ายจึงมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย

แม้เจ้าหน้าที่อุรุมชีจะกล่าวขอโทษอย่างไม่เป็นทางการ และกล่าวว่าการดับเพลิงล่าช้าเพราะมียานพาหนะจอดขวางทาง แต่ชาวเมืองก็ยังออกมาประท้วงตามท้องถนน และแม้ว่าทางการจีนจะปิดกั้นอินเทอร์เน็ตไม่ให้พูดถึงการประท้วงในซินเจียง แต่สุดท้ายแล้วการประท้วงก็ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ ของจีน

เหตุการณ์ประท้วงที่โกรธเกรี้ยวและมีการปะทะกันนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่ประเทศจีน และบางจุดการประท้วงยังมีอยู่ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันจันทร์นี้

นโยบาย Zero-Covid ของจีนนั้นหมายถึงวิสัยทัศน์การควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ให้เป็น “ศูนย์” ทำให้ถ้าหากมีการระบาดเกิดขึ้น ทางการจีนจะกลับไปล็อกดาวน์เมือง ให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่จำกัด และมีการปูพรมตรวจโควิด-19 ทันที

ก่อนหน้านี้เอง มีการประท้วงของกลุ่มคนงานโรงงาน Foxconn ที่เจิ้งโจวมาแล้ว โดยเหตุประท้วงส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องกับการล็อกดาวน์คนงานไว้ในโรงงาน และโรงงานไม่สามารถจัดการความเป็นอยู่ที่ดีได้ (อ่านเพิ่มเติมที่นี่)

Source: CNN

]]>
1410155
คนงานใน ‘สหราชอาณาจักร’ กว่า 1.5 แสนคน ประท้วง ‘หยุดงาน’ เพื่อขอขึ้นค่าแรง หลังเจอวิกฤตเงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1398665 Fri, 02 Sep 2022 10:06:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398665 พนักงานในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่พนักงานรถไฟ นักข่าว ทนายความ และพนักงานไปรษณีย์ หยุดงานประท้วงในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เพื่อเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

คนงานอย่างน้อย 155,000 คนกำลังประท้วงหยุดงาน ตั้งแต่พนักงานไปรษณีย์ของประเทศ วิศวกร พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และพนักงานรถไฟ นัดหยุดงาน และในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า มีแนวโน้มว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ อาทิ ครู แพทย์ และพยาบาล เตรียมลงมติหยุดงานประท้วงด้วยเช่นกัน

การประท้วงดังกล่าวถือเป็นการก่อความไม่สงบทางอุตสาหกรรมครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ปี 1970 ที่ปัญหาอัตราเงินเฟ้อทำให้แรงงานจำนวนมากหยุดงานประท้วง โดยปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้นถึง 10.1% ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และคาดว่าพุ่งทะลุ 18% ในช่วงต้นปีหน้า และ Goldman Sachs คาดว่าอาจถึง 22% หากราคาน้ำมันไม่ลดลง

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้สหราชอาณาจักรต้องเจอกับปัญหาเงินเฟ้อ มาจากค่าพลังงานในครัวเรือนที่สูงขึ้นถึง 54% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในเดือนตุลาคมที่จะถึง โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3,549 ปอนด์ต่อปี (ราว 150,000 บาท) ตามการประมาณการโดย Auxilione บริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง และจะขึ้นเป็ 7,700 ปอนด์ (ราว 326,000 บาท) ภายในเดือนเมษายนปีหน้า

Chiara Benassi รองศาสตราจารย์ด้านการจ้างงานที่ King’s College London มองว่า การหยุดงานของแรงงานในทุกภาคส่วน เป็นสิ่งที่สหราชอาณาจักรไม่เคยเจอมาก่อน เพราะการประท้วงนี้ไม่ได้มาจากแค่แรงงานที่มีรายได้น้อยที่ต้องสู้กับวิกฤตค่าครองชีพ แต่แพทย์และวิศวกรก็ร่วมประท้วงด้วย

Deepsha Agrawal แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวกับ CNN Business ว่า เพื่อนร่วมงานของเธอจะร่วมประทิ้งเพื่อผลักดันให้ขึ้นค่าแรงที่มากกว่า 2% ตามที่รัฐบาลเคยตกลงกันไว้ในปี 2019 ขณะที่สหภาพการแพทย์อังกฤษของเธอจะลงคะแนนเสียงให้สมาชิกในเร็ว ๆ นี้ว่าจะนัดหยุดงานหรือไม่

“มันค่อนข้างน่าเศร้า เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะสูงขึ้นมากในปีหน้า และเพื่อนร่วมงานของเธอหลายคนรู้สึกว่าไม่สามารถซื้อบ้านหรือมีลูกได้”

Source

]]>
1398665
สมาคมแอร์ฯ สหรัฐฯ กดดันทุกสายการบินจัดลิสต์ “แบน” ผู้ประท้วงกลุ่มทรัมป์ขึ้นเครื่อง https://positioningmag.com/1313786 Tue, 12 Jan 2021 10:53:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313786 วิกฤตการเมืองสหรัฐฯ ยังไม่จบง่ายๆ หลังสภาคองเกรสให้การรับรอง “โจ ไบเดน” เป็นประธานาธิบดี แต่ยังเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ “พิธีสาบานตน” ในวันที่ 20 ม.ค. 2021 ซึ่งมีข่าวหนาหูว่ากลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์จะจัดบุกทำลายพิธี ขณะที่การดำเนินการทางกฎหมายยังไม่ชัดเจน ฝั่งสมาคมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสหรัฐฯ จึงเป็นโต้โผขอร้องทุกสายการบินร่วมจัดลิสต์ “บัญชีดำ” ผู้โดยสารที่ร่วมประท้วงเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 ไม่ให้ขึ้นเครื่อง โดยอ้างกฎความปลอดภัยทางการบิน

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 ทั่วโลกตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์หลายพันคนบุกอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป้าหมายเพื่อหยุดยั้งไม่ให้สภาคองเกรสให้การรับรอง “โจ ไบเดน” เป็นประธานาธิบดีแทน “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่แพ้การเลือกตั้ง การบุกสภาคองเกรสในวันนั้นไม่สำเร็จ แต่มีรายงานข่าวต่อมาว่ากลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์จะไม่หยุดแค่นี้

อ้างอิงจากแถลงการณ์ของ Twitter ซึ่งในที่สุดตัดสินใจแบนทรัมป์ออกจากแพลตฟอร์มอย่าง “ถาวร” ระบุว่า กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ตั้งเป้าจะก่อความรุนแรงขึ้นอีก

“แผนการประท้วงแบบติดอาวุธมีปรากฏอย่างแพร่หลายบน Twitter รวมถึงแผนการโจมตีอาคารรัฐสภาอีกครั้งในวันที่ 17 ม.ค. 2021 รวมถึงมีรายงานจำนวนมากว่ากลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์กลุ่มใหญ่กำลังวางแผนก่อความรุนแรงในวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันที่ 20 ม.ค. 2021 ซึ่งเป็นวันทำพิธีสาบานตนขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี” เหล่านี้คือข้อมูลตามแถลงการณ์ของ Twitter เพื่อเตือนถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

เหตุจลาจลยึดรัฐสภาโดยผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 (Photo by Tasos Katopodis/Getty Images)

จากแผนการโจมตีของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ทำให้ “ซาร่า เนลสัน” ประธาน สมาคมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (AFA) ในสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต-ต่อต้านทรัมป์อย่างชัดเจน ออกโรงกระทุ้งให้หน่วยงานด้านความปลอดภัยในการเดินทาง (TSA) และบรรดาสายการบิน เร่งหามาตรการป้องกันไม่ให้กลุ่ม “ผู้ก่อการร้ายในประเทศ” กลับไปที่วอชิงตัน ดี.ซี. อีกครั้ง

“เราสนับสนุนให้มีการปฏิบัติการโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มีกฎที่ชัดเจนและลำดับการทำงานที่ชัดเจนในการป้องกันไม่ให้กลุ่มคนเหล่านี้ขึ้นเครื่อง” เนลสันกล่าว โดยสมาคม AFA นี้เป็นสหภาพแรงงานที่มีสมาชิกกว่า 5 หมื่นคนจาก 17 สายการบิน

ก่อนหน้านี้ “เบนนี ทอมป์สัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดูแลงานในกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ออกมาเรียกร้องให้ใส่ชื่อกลุ่มคนที่ร่วมประท้วง ณ รัฐสภาสัปดาห์ก่อนเข้าไปใน ‘No-Fly List’ ของ TSA ซึ่งเป็นลิสต์บุคคลต้องห้ามขึ้นเครื่องเข้า ออก หรือภายในสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นผู้ก่อการร้าย แต่คาดกันว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนจะถึงพิธีสาบานตนรับรองให้ไบเดนเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

Photo : Shutterstock

ดังนั้น เนลสันจึงมองว่ากลุ่มสายการบินสามารถรวมตัวกันใช้วิธีการอื่นไปก่อน โดยแต่ละสายการบินควรทำบัญชีดำผู้โดยสารที่มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย จากนั้นสายการบินสามารถระบุว่า “เราแบนผู้โดยสารดังต่อไปนี้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย”

เธอยังขอให้แต่ละสายการบินนำบัญชีมาใช้ร่วมกันด้วย เพราะแม้ว่าปกติสายการบินจะประสานงานกันไม่ได้เนื่องจากเป็นการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เหตุผลครั้งนี้คือการประสานงานด้านความปลอดภัย สำหรับการแบนไม่จำเป็นต้องทำตลอดไป แต่สามารถแจ้งแบนผู้โดยสารเฉพาะบางสนามบินหรือบางช่วงเวลาก็ได้

“ปกติแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่สายการบินจะลุกขึ้นมาทำเอง แต่ขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ” เนลสันกล่าว “อย่างน้อยรายชื่อบุคคลเหล่านี้ควรจะต้องถูกแยกมาประเมินความเสี่ยงเชิงพฤติกรรมในสนามบิน ตามหลักเกณฑ์ที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติปกติ เพื่อประเมินว่าคนเหล่านี้จะเป็นความเสี่ยงบนไฟลต์บินหรือไม่”

donald trump
ทรัมป์ถูกแบนถาวรจาก Twitter และ Facebook และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนจะได้ลงจากตำแหน่งด้วย (Photo by Chip Somodevilla/Getty Images)

ความรุนแรงจากกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เพราะรอบหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า “ผู้ก่อการร้ายในประเทศ” คือภัยคุกคามที่สำคัญต่อประเทศชาติ และเมื่อ 3 เดือนก่อน กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเพิ่งจะออกรายงานประจำปีรายงานว่าความรุนแรงจากกลุ่ม “ลัทธิความเหนือกว่าของคนผิวขาว” (White Supremacy) จะเป็น “ภัยที่ถึงแก่ชีวิตและต่อเนื่องยาวนานมากที่สุดภายในประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้ว No-Fly List มักจะเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายต่างประเทศ จากรายงานเมื่อปี 2016 พบว่ามีบุคคลห้ามขึ้นเครื่องในสหรัฐฯ 8.1 หมื่นรายชื่อ โดยมีคนอเมริกันอยู่ในรายชื่อนั้นแค่ 1 พันคน หรือราว 1% กว่าเท่านั้น และยิ่งกลุ่มผู้ประท้วงเมื่อสัปดาห์ก่อนไม่ได้ถูกจับในข้อหาก่อการร้าย แต่เป็นข้อหาประเภทครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมายหรือบุกรุกสถานที่ ทำให้การใส่ชื่อไปในลิสต์ที่เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายเป็นเรื่องยาก

“เราในฐานะผู้อยู่ในอุตสาหกรรมการบิน มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการรักษาความปลอดภัยให้ประเทศชาติ สายการบินร่วมกับหน่วยงานรัฐและผู้บังคับใช้กฎหมายต้องใช้ทุกขั้นตอนให้มั่นใจว่า ความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือต้องมาก่อน โดยปัญหาทั้งหมดจะต้องถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน” เป็นเนื้อความในแถลงการณ์ของ AFA “การกระทำที่ต่อต้านประชาธิปไตยของเรา รัฐบาลของเรา และเสรีภาพที่เรามีในฐานะอเมริกันชน ต้องถูกนำมาเป็นข้อกำหนดมิให้บุคคลเหล่านี้มีอิสระในการโดยสารไฟลต์บิน”

Source

]]>
1313786
‘Facebook’ ประกาศ ‘แบน’ บัญชีทรัมป์ จนกว่าไบเดนจะรับตำแหน่ง ป้องกันการปลุกปั่น https://positioningmag.com/1313344 Fri, 08 Jan 2021 00:39:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313344 หลังจากที่เมื่อวันที่ 7 มกราคม (ตามเวลาไทย) เกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ทั้ง Facebook และ Twitter ต้องออกมาระงับการใช้งานบัญชีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรัมป์ได้ส่งข้อความให้ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านการลงมติรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ ในสภาคองเกรส

ผู้นำธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมใจ “จวกยับ” ม็อบทรัมป์จลาจลยึดรัฐสภา “น่าอับอาย”

แต่ล่าสุด ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Facebook ได้ออกมาระบุว่าจะ ‘บล็อก’ บัญชี Facebook และ Instagram ของทรัมป์ต่อไปจนกว่าไบเดนจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี หรือเหลือเวลาประมาณ 13 วัน หรืออาจจะแบนอย่างไม่มีกำหนด โดยที่ Facebook ได้ตัดสินใจออกมาบล็อกบัญชีของทรัมป์ก็เพราะพิจารณาจากโพสต์ล่าสุดของทรัมป์นั้น ‘มีแนวโน้ม’ ที่จะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่า

Facebook ได้พิจารณาแล้วว่าโพสต์ทรัมป์แสดงให้เห็นว่า เขาตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในที่ทำงานเพื่อบ่อนทำลายการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและชอบด้วยกฎหมายไปสู่ผู้สืบทอดตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของโจ ไบเดน”

“เราเชื่อว่าความเสี่ยงในการอนุญาตให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้บริการของเราต่อไปในช่วงเวลานี้นั้นเสี่ยงมากเกินไป ดังนั้นเราจึงขยายการบล็อกที่เราวางไว้ในบัญชี Facebook และ Instagram ของเขาไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยสองสัปดาห์ข้างหน้า จนกว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติจะเสร็จสิ้น” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ระบุ

(Photo by Tobias Hase/picture alliance via Getty Images)

ทั้งนี้ Facebook อาจเป็นแพลตฟอร์มหลักรายแรกที่ลบทรัมป์อย่างถาวร ขณะที่ฝั่งของ Twitter ที่แบนบัญชีของทรัมป์ไปชั่วคราวก็ออกมาบอกว่า “หากทรัมป์ยังโพสต์ข้อความที่ละเมิดในอนาคต … จะส่งผลให้มีการระงับบัญชี @realDonaldTrump อย่างถาวร”

Source

]]>
1313344
ผู้นำธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมใจ “จวกยับ” ม็อบทรัมป์จลาจลยึดรัฐสภา “น่าอับอาย” https://positioningmag.com/1313210 Thu, 07 Jan 2021 05:09:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313210 ผู้นำธุรกิจของสหรัฐฯ พร้อมใจกันออกแถลงการณ์ประณามการบุกยึดรัฐสภาของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ทั้งบริษัท Apple, Facebook, Google และธุรกิจอีกจำนวนมาก ต่างแสดงออกเชิงลบต่อการจลาจลที่เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย ในฐานะเหตุการณ์ “ดำมืด” ที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ถึงกับชี้ช่องให้รองประธานาธิบดีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญขึ้นรักษาการแทนทรัมป์

เย็นวันที่ 6 ม.ค. 2021 (หรือช่วงเช้ามืดวันที่ 7 ม.ค. 2021 ตามเวลาประเทศไทย) กลุ่มผู้สนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จำนวนหลายพันคน ก่อจลาจลเข้าบุกยึดรัฐสภา (The Capitol) เป้าหมายเพื่อขัดขวางไม่ให้สภาคองเกรสให้การรับรอง “โจ ไบเดน” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทนทรัมป์ จนทำให้เกิดผู้เสียชีวิต 1 ราย ต่อมาพบระเบิดหลายลูกถูกซุกซ่อนอยู่รอบรัฐสภา

ก่อนหน้านั้นในช่วงเที่ยงของวันที่ 6 ม.ค. 2021 ทรัมป์เพิ่งขึ้นปราศรัย (ตามด้วยการทวีตข้อความบน Twitter) ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ว่าเขาคือผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แบบถล่มทลาย และการเลือกตั้งไม่โปร่งใส ท่ามกลางกองเชียร์ผู้สนับสนุนจำนวนมาก

หน้าไทม์ไลน์ Twitter ของทรัมป์ก่อนเกิดจลาจล ยังคงปลุกปั่นเรื่องการโกงเลือกตั้ง โดย Twitter ขึ้นข้อความเตือนว่าข้อมูลการโกงเลือกตั้งที่ทรัมป์ทวีตยังไม่มีการยืนยัน หลังจากนั้นทวีตทรัมป์ถูกลบ 3 ข้อความ และถูกแบนใช้งาน Twitter เป็นเวลา 12 ชม. หลังจากการจลาจลยึดรัฐสภาสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสภาคองเกรสขัดขวางไว้ที่หน้าประตูสภา ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธปืน ในที่สุด ทรัมป์อัดวิดีโอคลิปลงโซเชียลมีเดียเพื่อขอให้ผู้ชุมนุม “กลับบ้าน” และกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าสู่พื้นที่ พร้อมกับการประกาศเคอร์ฟิวในกรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างเวลา 18.00 น.ของวันที่ 6 ม.ค. 2021 จนถึง 06.00 น. วันที่ 7 ม.ค. 2021 สถานการณ์ในวอชิงตันยังปั่นป่วน เนื่องจากผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่งยังไม่ยอมกลับบ้าน

 

ผู้นำธุรกิจจวกยับ “การกระทำน่าอับอาย”

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการบุกยึดรัฐสภา ผู้นำธุรกิจหลายรายต่างออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ “ทิม คุก” ซีอีโอ Apple กล่าวผ่าน Twitter ว่า การก่อจลาจลของผู้สนับสนุนทรัมป์เป็นสิ่งที่ “น่าเศร้าและน่าอับอาย”

“วันนี้เป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ชาติของเราที่น่าเศร้าและน่าอับอาย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการจลาจลครั้งนี้ควรจะถูกเอาผิด และเราต้องส่งต่อการบริหารให้กับไบเดน ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้ง ให้เสร็จสมบูรณ์” คุกกล่าว

ด้าน “มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก” ซีอีโอ Facebook ออกอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานบริษัทว่าเขารู้สึก “เสียใจเป็นการส่วนตัว” ต่อเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

“นี่เป็นห้วงเวลามืดดำในประวัติศาสตร์ชาติของเรา และผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนหวั่นกลัวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวอชิงตัน ดีซี ผมเองรู้สึกเสียใจเป็นการส่วนตัวต่อความรุนแรงจากการชุมนุมครั้งนี้ — และความรุนแรงคือสิ่งที่ม็อบนี้เป็นโดยแท้” ซักเกอร์เบิร์กระบุในอีเมล “การเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสงบเป็นเรื่องสำคัญต่อการทำงานของระบอบประชาธิปไตย และเราจำเป็นต้องมีผู้นำการเมืองที่ทำตนให้เป็นตัวอย่าง และยึดประเทศชาติเป็นหลัก”

ขณะที่ “ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอ Google มีอีเมลส่งต่อให้กับพนักงานเช่นกันว่า เหตุการณ์วันนี้เป็นเรื่อง “น่าตกใจและน่าหวาดหวั่น” และเน้นย้ำให้พนักงานทราบว่า บริษัทคอยติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยของพนักงาน Google ในเขตวอชิงตัน ดีซีอยู่ตลอด รวมถึงกล่าวประณามการโจมตีรัฐสภาด้วย

“การจัดการเลือกตั้งที่ปลอดภัยและเสรี และคลี่คลายความแตกต่างของกลุ่มคนอย่างสันติคือพื้นฐานของประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกามีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ยาวนานของการปฏิบัติเช่นนั้น แต่ความรุนแรงและไร้กฎหมายที่เกิดขึ้นบน Capitol Hill เป็นการกระทำที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย และเราขอประณามการกระทำนี้อย่างหนักแน่น” พิชัยเขียนลงในอีเมลซึ่งเปิดเผยโดยหัวหน้าข่าวด้านเทคโนโลยี Axios

 

แม้แต่พันธมิตรทรัมป์ยังหวั่นกลัว

แม้แต่ “สตีเฟ่น ชวาร์ซแมน” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Blackstone บริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่ พันธมิตรยาวนานของทรัมป์และเคยออกโรงปกป้องทรัมป์มาแล้ว ครั้งนี้เขากลับแสดงออกว่ารู้สึก “ตกใจและหวาดผวา” กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“การจลาจลที่ตามมาจากคำกล่าวปราศรัยของทรัมป์วันนี้เป็นที่น่าตกใจ และเป็นการดูหมิ่นคุณค่าของประชาธิปไตยที่เรายึดมั่นไว้ในฐานะชาวอเมริกัน ผมรู้สึกตกใจและหวาดผวากับความพยายามของผู้ชุมนุมที่ต้องการบั่นทอนรัฐธรรมนูญของประเทศ ดังที่ผมกล่าวไว้ในเดือนพฤศจิกายน ผลของการเลือกตั้งนั้นชัดเจนยิ่งและต้องมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสันติ” ชวาร์ซแมนกล่าวในแถลงการณ์ที่ส่งให้กับสำนักข่าว Business Insider

Blackstone Group (Photo : Shutterstock)

นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจจำนวนมากพาเหรดกันออกมาทวีตหรือออกแถลงการณ์ผ่าน Twitter หรือแสดงความเห็นในโปรไฟล์ LinkedIn ส่วนตัว ดังนี้

  • “มาร์ค เบนิออฟ” ซีอีโอ Salesforce : ไม่มีที่ว่างให้กับความรุนแรงในประชาธิปไตยของเรา
  • “แดน ชูลแมน” ซีอีโอ Paypal : ความรุนแรงที่เมืองหลวงของเรานั้นน่าตกใจและรบกวนใจ
  • “อเล็กซิส โอฮาเนียน” ผู้ก่อตั้ง Reddit : กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ
  • “คริส ซัคคา” นักลงทุนชื่อดังจากรายการ Shark Tank : Twitter และ Facebook มือเปื้อนเลือด คุณปล่อยให้เรื่องน่ากลัวนี้ดูมีเหตุผลมาถึงสี่ปี
  • “เจมี่ ไดมอน” ซีอีโอ JPMorgan Chase : นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราหรือประเทศของเราเป็น เราเป็นคนที่ดีกว่านี้
  • “อัลเฟร็ด เคลลี่” ซีอีโอ Visa : การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในจุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ 245 ปีของประเทศเรา
  • “ไมเคิล คอร์แบท” ซีอีโอ Citi : ผมรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำของกลุ่มคนที่บุกยึด The Capitol
  • “อาร์วิน คริชน่า” ซีอีโอ IBM : IBM ขอประณามการกระทำไร้กฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเราขอให้หยุดโดยทันที

ปิดท้ายที่ “เจย์ ทิมมอนส์” ซีอีโอและประธานสมาคมผู้ประกอบการโรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมฯ ว่า “ประธานาธิบดีที่กำลังจะลงจากตำแหน่งได้ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เป็นความพยายามเพื่อรักษาอำนาจ ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งคนใดที่ยังปกป้องเขาอยู่ถือว่าเป็นการละเมิดคำสาบานต่อรัฐธรรมนูญ”

“นี่ไม่ใช่การกระทำตามกฎหมาย นี่คือการจลาจล นี่คือการใช้กฎหมู่ นี่คือความอันตราย นี่คือการก่อความไม่สงบให้บ้านเมืองและควรจะถูกจัดการอย่างที่มันเป็น” แถลงการณ์กล่าวประณามอย่างรุนแรง “ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี ควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะร่วมงานกับคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาตรา 25 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้เพื่อธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย”

มาตรา 25 ดังกล่าว คือการให้สิทธิรองประธานาธิบดีรวบรวมเสียงข้างมากของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหาร แจ้งต่อประธานชั่วคราววุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว และให้รองประธานาธิบดีขึ้นรักษาการแทน (กรณีนี้คือการลงความเห็นว่าประธานาธิบดีเป็นบุคคลไร้ความสามารถทางจิตหรือทางกาย)

เรียกได้ว่า เจย์ ทิมมอนส์ ชี้ช่องให้เห็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ‘เสียสติ’ ไปแล้วที่ปลุกม็อบขึ้นมาก่อจลาจล และต้องการให้กลไกรัฐหาทางนำทรัมป์ออกจากวงการเมืองไปให้เร็วที่สุด

Source: Business Insider, The Washington Post

]]>
1313210
จับกระเเส “ด้อมศิลปิน” เเฟนคลับเปย์หนัก เตรียมเท “ป้าย HBD” ตามสถานีรถไฟฟ้า https://positioningmag.com/1302178 Mon, 19 Oct 2020 10:44:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302178 อย่างที่ทราบกันดีว่า เเฟนคลับศิลปินเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงเป็นผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ไม่ได้จำกัดเเค่ในวัยรุ่นวัยเรียนเท่านั้น เเต่ยังครอบคลุมไปยังผู้คนทุกเจเนอเรชั่น หลากอาชีพ หลายรสนิยม

กลุ่มเเฟนคลับในไทยนั้น ช่วงเเรกๆ คนมักจะคิดถึงเเฟนคลับผู้ชื่นชอบศิลปินหรือไอดอลเกาหลีเป็นหลัก เเต่ทุกวันนี้ได้ขยายไปยังกลุ่มเเฟนคลับศิลปินจีน ญี่ปุ่น อาเซียน ศิลปินฝั่งตะวันตก เเละศิลปินไทยเองก็เริ่มมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่เหนียวเเน่นเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

โดยแต่ศิลปินนั้นก็จะมีการตั้งชื่อกลุ่มแฟนคลับหรือที่เรียกกันว่า ด้อม ย่อมาจาก แฟนด้อม (Fandom) เป็นชื่อเฉพาะที่เเตกต่างกันไป เพื่อการสื่อสารเเละรวมกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวกัน

ลงลึกไปกว่านั้นในด้อมต่างๆ ก็จะมีกลุ่มที่เรียกว่าบ้านเบสเป็นศัพท์ในทวิตเตอร์ หมายถึงกลุ่มเเฟนคลับที่รวมตัวกันขึ้นมาของศิลปินนั้นๆ ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์กิจกรรม เผยเเพร่ผลงาน รูปถ่าย-คลิปวิดีโอ ขายของที่ระลึก เเปลซับไตเติล ฯลฯ

โดยบ้านเบส จะเป็นเเกนนำในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เวลาศิลปินมีผลงานใหม่ ก็จะมีการเปิดโดเนท” (Donate) ให้เเฟนคลับร่วมบริจาคซื้ออัลบั้ม โดเนทขึ้นป้ายบิลบอร์ดตามสถานีรถไฟฟ้า หรือร่วมกันโหวตรางวัลต่างๆ ไปจนถึงรวมเงินกันไปทำบุญ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม 

หากติดตามวงการนี้สักพัก จะเห็นว่าเเต่ละครั้งที่มีการเปิดโดเนท เเต่ละด้อมจะสามารถระดมทุน” ได้ยอดเงินบริจาคที่สูงมาก ตั้งเเต่ “หลักหมื่นยันหลักล้าน” ในเวลาที่รวดเร็ว” เรียกได้ว่าเปิดโดเนทไม่กี่ชั่วโมง ก็ทะลุหลักเเสนบาทไปเเล้วในด้อมใหญ่ๆ ที่มีเเฟนคลับจำนวนมาก

ล่าสุดกับกระเเสใหม่ เมื่อกลุ่มเเฟนคลับศิลปินได้เเสดงถึงพลังเปย์หนักมากอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้เป็นการเปย์เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวการชุมนุมที่กำลังเกิดขึ้นในไทย อยู่ ณ ขณะนี้

จากการสังเกตพบว่า การระดมทุนเมื่อช่วงวันที่ 16-17 ตุลาคม ของเหล่าด้อมต่างๆ ในเวลาเพียง 2 วันสามารถดันยอดบริจาครวมกันได้ถึง 2.7 ล้านบาท

หนึ่งในเเฟนคลับที่ร่วมบริจาคบอกกับ Positioning ว่า…นี่เป็นเพียงการโดเนทเเบบชิลๆกันเท่านั้น พร้อมให้เหตุผลถึงยอดบริจาคที่มักจะระดุมทุนได้เยอะว่า ผู้คนที่เป็นสมาชิกในเเต่ละด้อมนั้น มีฐานะทางการเงินเเละอาชีพที่หลากหลายมาก อยู่ในทุกเเวดวงของธุรกิจไทย เรียกได้ว่าทุกอาชีพต้องเป็นเเฟนคลับ บางคนมีกำลังทรัพย์ก็บริจาคเยอะ คนมีน้อยก็บริจาคน้อยตามกำลัง เป็นการร่วมใจกันจากการสื่อสารผ่านโซเชียล

“ตามปกติด้อมที่อยู่ในวัยทำงาน จะเน้นทุ่มบริจาคมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีเวลา ส่วนเเฟนคลับวัยเรียนจะเชี่ยวชาญด้านการใช้โซเชียลมีเดีย เช่นการปั่นยอดวิว การกระจายข่าว” 

จากสถานการณ์การชุมนุม ที่มีการปิดให้บริการชั่วคราวของสถานีรถไฟฟ้าในไทยทั้ง BTS เเละ MRT ซึ่งทางบริษัท ชี้เเจงว่าเป็นมาตรการป้องกันความปลอดภัยและกฏหมายที่บังคับใช้นั้น ทำให้เกิด “กระแสทางลบ” ตามมา เมื่อด้อมศิลปินต่างๆ รวมตัวกันเพื่อ ต่อต้านการซื้อสื่อโฆษณาในสถานี เเม้จะเป็นโปรเจกต์ที่เหล่าเเฟนคลับทำกันมาช้านานก็ตาม

สำหรับตลาดป้ายศิลปินนั้น เติบโตต่อเนื่องทุกปี เเม้ในยามเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของเหล่าเเฟนคลับก็ไม่มีลดลงเลยในวิกฤต COVID-19

ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร BMN บริษัทผู้พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ใน MRT บอกกับ Positioning ว่า บริษัทมีการตั้งทีมงานเพื่อดูเเลลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพราะต้องการเข้าใจถึงสิ่งที่เเฟนคลับตั้งใจเเละอยากจะสื่อสารออกไป โดยความต้องการที่ลูกค้าขอมาในช่วงนี้ ส่วนใหญ่อยากให้เปิดพื้นที่จัด Meet and Greet เเละกิจกรรมเเบบเอ็กซ์คูลซีฟ เอาโปสเตอร์มาตกเเต่งได้ในช็อป ฯลฯ

ตัวอย่างป้ายอวยพรศิลปิน ในสถานีรถไฟฟ้า MRT

เเม้ช่วงวิกฤต COVID-19 เศรษฐกิจจะค่อนข้างฝืดเคือง เเต่ป้าย MRT ของเเฟนคลับไม่ได้รับผลกระทบ เเละไม่ลดลงเลย

เมื่อมองจากสัดส่วนรายได้ พบว่า รายได้รวมจากป้าย HBD ศิลปินจากกลุ่มเเฟนคลับถือเป็นส่วนเล็กๆ ของสื่อโฆษณาทั้งหมดของ BMN คิดเป็นเเค่ 2 – 3% เพราะส่วนใหญ่เป็นเเบรนด์สินค้าถึง 97%

ถึงจะน้อยเเต่เราไม่ละทิ้ง เราจะดูเเลกับลูกค้ากลุ่มเเฟนคลับเป็นพิเศษ เพราะต้องทำความเข้าใจพวกเขาด้วย ด้วยการที่เขาทำด้วยความชื่นชอบ เราจึงไม่ได้มองว่าต้องเอากำไรมากหรือเป็นการค้าจ๋าขนาดนั้น รวมถึงเป็นการสร้างสีสันเเละความหลากหลายให้สถานีด้วย คนเเวะมาถ่ายรูป ก็เป็นการเพิ่มทราฟฟิกเเละการจับจ่ายใช้สอยไปในตัว ผู้บริหาร BMN ให้สัมภาษณ์ เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

อ่านต่อ : เศรษฐกิจฝืด เเต่เเฟนคลับยัง “จ่ายหนัก” ป้ายศิลปินใน MRT เติบโต ขยายเรทราคา-ปรับไซส์ตามงบ

ด้านความคิดเห็นของกลุ่มเเฟนคลับต่อกรณีนี้ พบว่า มีการเสนอให้นำโปรเจกต์ศิลปินต่างๆ ย้ายไปซื้อสื่อโฆษณาในขนส่งมวลชนท้องถิ่นมากขึ้น เช่น บิลบอร์ดรถสองเเถว รถเเดง ป้ายในเรือ หรือป้ายในย่านชุมชนต่างๆ เเทน

ในการทำป้าย HBD ศิลปินต้องใช้เงินตั้งเเต่ “หลักพันปลายๆ ไปจนถึงหลักเเสน” โดยค่าใช้จ่ายของการติดตั้งป้ายนั้น รวมค่าพื้นที่มีเดีย สถานี ภาษีมูลค่าเพิ่มและระยะเวลาที่ต้องการติดตั้งไปด้วย ส่วนใหญ่จะจองขึ้นป้าย 15 วัน – 1 เดือน เป็นธีมอวยพรวันเกิด เเสดงความยินดีในโอกาสพิเศษ ออกเพลง-ละคร หรือออกอัลบั้มใหม่

สำหรับภาพรวมสื่ออุตสาหกรรมโฆษณาในเมืองไทย ในช่วง 7 เดือนเเรกของปี 2563 ตัวเลขเม็ดเงินสื่อโฆษณาที่เป็นตัวสะท้อนตลาดได้ดี ติดลบไปกว่า 20% เเละคาดว่าทั้งปีนี้ เงินโฆษณาจะสะพัดอยู่ที่ 7.1 หมื่นล้าน เเตะจุด “New Low” ต่ำสุดรอบ 20 ปี ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง

โดยสื่อทีวีและสื่อนอกบ้าน ที่เคยมีเม็ดเงินมากที่สุดยัง “ติดลบหนัก” ส่วนดาวรุ่งอย่างสื่อดิจิทัลที่เคยเติบโต 20-30% ต่อเนื่องมาทุกปี ต้องสะดุดเเละอาจเติบโตได้เพียง 0.5% เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่า เเม้ “ป้าย HBD ศิลปิน” จะไม่ใช่รายได้หลักๆ ของโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้า เเต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการบริหาร ต้องจับตาดูว่ากระเเส #เเบน นี้ จะต่อเนื่องไปยาวหรือไม่ เเละมีเอฟเฟกต์ต่อไปอย่างไรบ้าง

 

 

 

 

 

]]>
1302178
สหรัฐฯ คาด อาจมีร้านค้ากว่า 25,000 แห่งต้อง ‘ปิดตัว’ ในปีนี้ เพราะทนพิษ COVID-19 ไม่ไหว https://positioningmag.com/1282889 Wed, 10 Jun 2020 07:19:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282889 สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาดูเหมือนจะยังน่าเป็นห่วง เพราะปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อกว่า 2.02 ล้านราย เสียชีวิตรวมกว่า 1.14 แสนราย รักษาหาย 6.02 แสนราย ซ้ำร้ายยังมีชาวอเมริกันที่ออกชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงของตำรวจ และหนึ่งในผลกระทบที่ตามมานั้น อาจทำให้ร้านค้ารายย่อยมากถึง 25,000 ร้านค้า อาจต้องปิดตัวลง เนื่องจากร้านค้าต่าง ๆ อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่จะ ‘ล้มละลาย’

จากการติดตามของ Coresight Research ที่ติดตามร้านค้าปลีกประมาณ 55% ถึง 60% ของร้านที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในอเมริกา Coresight คาดว่าช่วงต้นปีนี้อาจมีร้านค้าปิดมากกว่า 15,000 แห่ง เฉพาะร้านค้าปลีกที่ได้รับการเปิดเผย ยังไม่รวมร้านที่ไม่เปิดเผยซึ่งอาจจะมีจำนวนมากถึง 20,000-25,000 ร้านค้าที่ต้องปิดตัวลงในปี 2563 โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาการล้มละลายในธุรกิจค้าปลีกเริ่มขึ้น อย่างห้างสรรพสินค้าในเครือ Neiman Marcus, Stage Stores และ J.C. Penney ก็ได้ยื่นฟ้องล้มละลายไปแล้วเรียบร้อย

“เราคาดว่าการที่มูลค่าตลาดค้าปลีกจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตอาจต้องใช้เวลา เนื่องจากในช่วงนี้ ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นและความต้องการใช้จ่าย” Deborah Weinswig ผู้ก่อตั้ง Coresight และซีอีโอ กล่าว

อ่าน >>> วิเคราะห์ 4 เหตุผลที่ ‘ค้าปลีก’ ใน ‘อเมริกา’ จะไม่กลับมาสดใสเหมือน ‘จีน’

รายงานแยกต่างหากโดย eMarketer ระบุว่า ยอดขายสินค้าทุกหมวดหมู่ลดลงหมดเพราะ COVID-19 ยกเว้นอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกรวมในสหรัฐฯ จะลดลงมากกว่า -10% ในปี 2020 และมูลค่าจะไม่กลับไปที่ระดับก่อนเกิด COVID-19 จนถึง 2022 ในขณะเดียวกันยอดขายอีคอมเมิร์ซกลับเพิ่มขึ้น 18%

“นี่คือ ภาพการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ชัดที่สุดในหลายทศวรรษของสหรัฐอเมริกา” ซินดี้ หลิว นักวิเคราะห์อาวุโสของ eMarketer กล่าว

Source

]]>
1282889
Apple-Amazon-Target บรรดาห้างใหญ่ในสหรัฐฯ สั่งปิดร้านชั่วคราว หลังเหตุประท้วงลุกลาม https://positioningmag.com/1281483 Mon, 01 Jun 2020 07:18:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281483 ส่องสถานการณ์ ห้างค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ สั่งปิดร้านชั่วคราวในบางพื้นที่ หลังได้รับผลกระทบจากเหตุประท้วงในหลายเมือง รวมเกิดจลาจลเเละการปล้นร้านค้า โดย Amazon, Target เเละ Apple ประกาศว่าจะมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจในช่วงนี้

Apple ได้เริ่มปิด Apple Store หลายเเห่งในเขตเมือง Minneapolis ในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเมืองเริ่มต้นของการประท้วงจากการเสียชีวิตของ George Floyd ชายผิวสีที่เสียชีวิตจากการกระทำรุนเเรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนปลุกกระเเสเรียกร้อง #blacklivesmatter ไปทั่วอเมริกา

ในสหรัฐฯ มี Apple Store ทั้งหมด 271 สาขาเเละเพิ่งมี 140 สาขาที่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งหลังการผ่อนคลายของการเเพร่ระบาด COVID-19 เเต่ในช่วงการประท้วงทำให้เกิดจลาจลภายในเมืองเเละ Apple Store บางเเห่งถูกทำลายเเละถูกปล้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน ทางบริษัทจึงต้องประกาศปิดร้านในพื้นที่เสี่ยง เช่นในพอร์ตแลนด์ ฟิลาเดล บรูคลิน ซอลต์เลกซิตี้ ลอสแองเจลิส ชาร์ลสตัน วอชิงตัน ดี.ซี. สกอตต์เดล และซานฟรานซิสโก โดยล่าสุดมีการเผยภาพของ Apple Store ในเมือง Minneaqpolis ว่ามีการนำเเผ่นไม้มาป้องกันหน้าร้านทั้งหมดเเล้ว

ด้านห้าง Whole Foods ที่ Amazon ซื้อกิจการมาด้วยมูลค่า 1.37 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2017 ได้ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าจะทำการปิดให้บริการชั่วคราวเเละจะปรับเวลาทำการในหลายสาขาทั่วประเทศ โดยร้านค้าของ Whole Foods ในพื้นที่ Minneapolis ลอสแองเจลิส เเละชิคาโก จะปิดให้บริการทั้งหมด ขณะที่สาขาที่เหลือจะมีการปิดทำการร้านเร็วขึ้นเพื่อให้ลูกค้าเเละพนักงานกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย

Amazon เผยกับ Bloomberg ว่า บริษัทจะมีการลดการทำงานเเละปรับเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งพัสดุเดลิเวอรี่ ในเมืองที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน โดยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พนักงานส่งของในชิคาโกและลอสแองเจลิสได้รับคำสั่งให้หยุดส่งพัสดุเเละให้กลับบ้านทันที

ด้านห้างสรรพสินค้ารายใหญ่อย่าง Target ประกาศว่ามีการปิดสาขาชั่วคราวมีการปิดสาขาชั่วคราว 175 แห่งทั่วประเทศ อันเป็นผลมาจากการประท้วงอย่างต่อเนื่อง โดย Target มีการเปิดให้บริการกว่า 1,900 สาขาทั่วสหรัฐฯ ส่วนพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดร้านครั้งนี้จะได้รับค่าตอบเเทนปกติในช่วง 14 วันทำงาน รวมถึงการจ่ายค่าจ้างพิเศษในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ด้วย

เช่นเดียวกันกับ Walmart ห้างค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับความเสียหายเเละถูกปล้นในช่วงจลาจลก็ประกาศจะปิดร้านในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ โดยกำลังพิจารณาการชดเชยให้พนักงานเเละจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายชั่วโมง หากสาขาใดไม่ได้รับผลกระทบเเละมีความปลอดภัยเเล้ว ก็จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งโดยเร็วที่สุด

ฝั่ง Nike เเบรนด์กีฬาชั้นนำได้ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน #BlackLivesMatter ด้วยเเคมเปญ For once, Don’t Do It โดยบริษัทระบุในเเถลงการณ์ว่า “Nike สนับสนุนการประท้วงอย่างเสรีและสันติ” พร้อมจะมีการติดตามการประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งตอนนี้มีการปิดสาขาไปเเล้วบางเเห่ง หลังมีคนบุกเข้าไปในร้านระหว่างการประท้วง

ด้าน Adidas มีรายงานว่าอาจจะสั่งปิดทำการสาขาชั่วคราวทั่วสหรัฐฯ หลังมีการบุกเข้าไปในร้านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามรายงานของ The Wall Street Journal อย่างไรก็ตาม ตัวเเทนของ Adidas ยังไม่ได้เเสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้

 

ที่มา : CNBC , theverge , bloomberg

]]>
1281483