“เกาะไห่หนาน” เกาะขนาดใหญ่เท่ากับขนาดประเทศเบลเยียมที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีน และมีประชากรบนเกาะกว่า 10 ล้านคน มีแผนที่จะหยุดจำหน่ายรถยนต์สันดาปบนเกาะภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้ปีนั้นรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดจะคิดเป็นสัดส่วน 45% ของรถยนต์ทั้งหมดบนเกาะ
แผนของรัฐบาลท้องถิ่นเกาะไห่หนานนี้ถือเป็นท้องถิ่นแรกของ “จีน” ที่ตั้งเป้าหมายสูงในระดับนี้ และจะกลายเป็นแม่พิมพ์ของท้องถิ่นอื่นในประเทศต่อไป
การเริ่มต้นที่ไห่หนานนับเป็นโมเดลนำร่องที่ดี เพราะโครงสร้างพื้นฐานของท้องที่เป็นเกาะและมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ทำให้คนส่วนมากจะเดินทางไม่ไกลต่อหนึ่งเที่ยวเดินทาง รวมถึงมีภูมิอากาศที่ไม่หนาวจัดหรือร้อนจัดซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีรถ ไม่เหมือนกับเมืองหลวงอย่างปักกิ่งที่ในฤดูหนาวมักจะหนาวถึงติดลบ
แผนการของรัฐบาลท้องถิ่นที่ช่วยสนับสนุนให้เป็นเกาะแห่งอีวีนั้นมีหลายนโยบาย เช่น สนับสนุนเงินช่วยเหลือในการซื้อรถอีวี เปลี่ยนรถแท็กซี่และรถเมล์เป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
ในแง่โครงสร้างพื้นฐานก็สนับสนุนให้มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 75,000 จุดทั่วเกาะ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เข้าถึงจุดชาร์จได้เฉลี่ยทุกๆ 2 กิโลเมตร จึงไม่ต้องกังวลเรื่อง ‘แบตหมด’ อีกต่อไป
ปัจจุบันในเมืองไหโข่ว เมืองเอกของเกาะไห่หนาน ถือว่ามีจุดชาร์จรถอีวีกระจายอยู่ทั่ว และในกรณีของรถยี่ห้อ Nio มีการสร้างสถานีสลับแบตเตอรีตามกลยุทธ์ของแบรนด์ด้วย โดยแบรนด์มีแผนจะสร้างสถานีสลับแบตเตอรีในจีนเพิ่มอีก 1,000 จุด พร้อมกับสถานีชาร์จอีก 10,000 จุด
การจะยกเลิกขายรถยนต์สันดาปในปี 2030 มีแรงกดดันต่อผู้บริโภคหรือไม่? สำนักข่าว Bloomberg สัมภาษณ์คนจีนท้องถิ่นบนเกาะแล้วพบว่า คนจำนวนมากเริ่มตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่เป็นรถอีวีอยู่แล้ว แม้แต่บริษัท BYD เองก็เลิกผลิตรถยนต์สันดาปไปตั้งแต่ปี 2022 ทำให้เป้าหมายของรัฐที่จะให้เลิกขายรถสันดาปจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในกลุ่มผู้บริโภค
เจมส์ เฉา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการวางแผนกลยุทธ์ IScann Group บริษัทที่ปรึกษา มองว่า ไห่หนานยังได้รับอานิสงส์อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เป้าปี 2030 เป็นจริงง่ายขึ้น นั่นคือราคาของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนต่ำกว่าประเทศอื่นในโลกค่อนข้างมาก
“การเข้าถึงรถอีวีในยุโรปและสหรัฐฯ ยังเป็นประเด็นสำคัญ แต่ในจีนนั้นมีกำแพงเรื่องนี้น้อยกว่า ทำให้เป้าหมายการแบนรถยนต์สันดาปในไห่หนานมีโอกาสสำเร็จได้มากกว่าประเทศอื่นในโลก” เฉากล่าว
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายต่อไปที่ค่อนข้างจะยากกว่าคือ การรณรงค์ให้กลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าบ้าง เพราะรถกลุ่มนี้เมื่อเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้ากลับไม่ได้มีปัจจัยบวกเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้มากเท่ากับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
]]>เว็บไซต์ Archy.com จัดทำโพลสำรวจ “อาคารที่น่าเกลียดที่สุด” ในประเทศจีน ประจำปี 2022 และผลโหวตที่กำลังมาอันดับ 1 ขณะนี้ ตกเป็นของ “อาคารพิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ CORPUS” ในมณฑลอันฮุย ซึ่งต้นแบบของพิพิธภัณฑ์มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ที่เนเธอร์แลนด์ออกแบบให้มีรูปปั้นมนุษย์ครึ่งซีกนั่งอยู่ติดกับอาคารกรุกระจกทรงทันสมัย ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้พิพิธภัณฑ์ที่จีนออกแบบแบบเดียวกันด้วย แต่ดูเหมือนจะสร้างมาได้ไม่เหมือนแบบเท่าไหร่ และผลตอบรับของชาวจีนไม่ค่อยดีนัก ส่วนใหญ่มองว่าอาคารแบบนี้ “แปลกประหลาด” จนถึงระดับ “น่ากลัว”
ผู้จัดโพลชิ้นนี้มีตัวเลือกเหตุผลที่นิยามคำว่า “น่าเกลียด” ของอาคารไว้หลายประการ เช่น รูปร่างประหลาดพิกล, การออกแบบไม่เข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ, เลียนแบบสถาปัตยกรรมต่างประเทศจนเกินเหตุ, ลอกเลียนแบบอาคารอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว, ฟังก์ชันออกแบบการใช้งานไม่มีเหตุผลจำเป็น เป็นต้น
อาคารที่เข้ากับนิยามคำว่าน่าเกลียดจึงเรียกได้ว่ามีอยู่มากมายในประเทศจีน เป็นเหตุให้โพลนี้จัดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีที่ 13 ที่ผ่านมามีตึกติดอันดับต้นๆ ในโพลมากมาย เช่น อาคารราชการในเมืองฟู่หยาง มณฑลอันฮุย ที่ลอกเลียนแบบทำเนียบขาวและอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ มาทั้งดุ้น, อาคารรูปร่างเหมือนกางเกงของสำนักข่าว CCTV ในกรุงปักกิ่ง, อาคาร Raffles City ในเมืองฉงชิ่ง ที่ดูแล้วเหมือนลอกเลียน Marina Bay Sands ในสิงคโปร์มา หรืออาคารหน้าตาเหมือนเหรียญสีทองในเมืองกวางโจว เป็นต้น
ทำไมอาคารหน้าตาน่าเกลียดจึงผุดขึ้นในจีนเต็มไปหมด? “โจว ร่ง” หนึ่งในผู้ก่อตั้งโพลนี้และเป็นศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยชิงหัว เคยเขียนบทความไว้เมื่อปี 2020 อธิบายว่า เป็นเพราะการพัฒนาความเป็นเมืองที่รวดเร็วอย่างยิ่งใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดการก่อสร้างตึกจำนวนมากจนเกินจำเป็น ในระหว่างนั้นการออกกฎหมายควบคุมก็ยังหละหลวม ไม่สนใจความยินยอมพร้อมใจของประชาคม จนทำให้กระบวนการออกแบบและการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมจีนล่มสลาย
ผลก็คือ เกิดอาคารที่ลอกเลียนแบบอาคารในต่างประเทศ อาคารที่จงใจแสดงออกถึงความร่ำรวย อาคารที่เน้นความแปลกเพื่อให้โด่งดังดึงดูดนักท่องเที่ยว อาคารเหล่านี้เบ่งบานไปทั่วจีนก่อนจะควบคุมได้ทัน
หนำซ้ำ เมื่อประเทศจีนพัฒนากฎมาควบคุมอาคารแปลกๆ ไม่ทัน ที่นี่จึงเป็นสวรรค์ของสถาปนิกทั่วโลกในการทดลองไอเดียพิลึกพิลั่นต่างๆ และบางโครงการสถาปนิกต่างชาติก็มักจะลืมนึกถึงกรอบวัฒนธรรมจีน จนได้อาคารที่อาจจะสวยที่อื่นแต่แปลกที่นี่ออกมา เช่น ศูนย์การค้า Tian An 1,000 Trees ในเซี่ยงไฮ้ คอนเซปต์ของผู้ออกแบบต้องการจะให้เป็นเหมือนภูเขาที่มีต้นไม้ขึ้นบนเขา สร้างธรรมชาติในเมือง แต่ผลที่ได้นั้นดูคล้าย “ฮวงซุ้ย” สุสานของคนจีนแทน
เมื่อเริ่มมีเสียงต้านจากประชาชนมากขึ้น แม้แต่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ก็ยังต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้าง โดยในปี 2014 สีจิ้นผิงร้องขอให้ “เลิกสร้างอาคารประหลาด” ในประเทศเสียที
จนกระทั่งเมื่อปี 2022 นักวางแผนทางเศรษฐกิจเริ่มปล่อยแผนการออกแบบการขยายตัวของเมือง โดยต้องการให้เมืองในจีนสะท้อนความเป็นจีน ดังนั้น คาดว่าอาจจะมีการแบนอาคารประเภทที่ “ใหญ่เกินจำเป็น แปลก และรับวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้”
แต่ในระหว่างที่รัฐบาลจีนวางแผนเรื่องนี้ เทรนด์การออกแบบอาคารแปลกๆ ในประเทศก็ดูจะยังไม่หยุด
“ตอนที่เริ่มตั้งโพลครั้งแรก เราคิดว่าโพลของเราคงไม่ค่อยมีอะไรมาให้โหวตหลังผ่านไปสัก 2 ปี แต่จนถึงขณะนี้อาคารน่าเกลียดก็ยังโผล่ขึ้นมาไม่หยุดเลย” โจว ร่ง กล่าว “สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่ความน่าเกลียดมันเปลี่ยนหน้าตาไปเท่านั้น”
ต้องติดตามต่อไปว่า แนวทางการบริหารของจีนที่จะควบคุมไม่ให้มีตึกที่อวดร่ำอวดรวยเกินไป และรับวัฒนธรรมต่างชาติมามากเกิน เพื่อกรุยทางไปสู่การสร้างอาคารที่มีความงามด้วยสัญลักษณ์วัฒนธรรมในแบบจีน จะเป็นไปได้เร็วแค่ไหน
]]>หลังจากจีนประกาศยกเลิกหลายมาตรการที่ใช้ในการควบคุมโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวจีนเริ่มมีความหวังว่าจะได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่เส้นทางการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจีนดูจะยังอีกยาวไกล
จากช่วงเทศกาลปีใหม่ 2023 ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวภายในประเทศมีการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย โดยมีการเดินทางทั้งหมด 52.7 ล้านครั้งทั่วประเทศ ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2022 อ้างอิงข้อมูลโดย กระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของประเทศจีน
จำนวนการท่องเที่ยวในประเทศนี้คิดเป็นเพียงสัดส่วน 42.8% เมื่อเทียบกับปีใหม่ปี 2019 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ และหากคิดเป็นมูลค่า จะลดเหลือเพียง 35.1% ของปี 2019 ด้วย
ที่จริงการฟื้นตัวในเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาควรทำได้ดีกว่านี้ แต่เพราะเกิดอัตราติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงในประเทศทำให้หลายคนต้องล้มเลิกแผนท่องเที่ยวไป
ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา โรงแรมต่างๆ พยายามเอาตัวรอดด้วยการโปรโมตแพ็กเกจการจัดปาร์ตี้รับปีใหม่และ ‘staycation’ สำหรับคนท้องถิ่นทดแทน เนื่องจากยอดจองห้องจากต่างประเทศยังต่ำอยู่
ส่วนปี 2023 นี้ การคลายล็อกมาตรการคุมโควิด-19 น่าจะทำให้คนจีนเกิดความกระตือรือร้นที่จะท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญและเอเจนซี่ทัวร์หลายแห่งมองตรงกันว่า คนจีนน่าจะเลือกจองทริปเที่ยวสั้นลงและถูกลง เพราะการต่อสู้กับโรคระบาดมาตลอดทำให้เศรษฐกิจจีนฝืดเคือง และเกิดอัตราว่างงานสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่เน้นทริปที่มีระยะสั้นไม่เกิน 3 วัน
หาก ‘จีนเที่ยวจีน’ นับว่าฟื้นตัวช้าแล้ว การท่องเที่ยวขาเข้าจากต่างประเทศเข้ามายังแดนมังกรยิ่งฟื้นตัวช้ากว่า โดยบริษัทบริหารโรงแรมหลายรายมองตรงกันว่า การคลายเข้มงวดในการควบคุมโควิด-19 ทำให้ยอดจองห้องพักในจีนดีขึ้นบ้าง แต่การที่ยังมีข่าวการระบาดในเมืองต่างๆ ทั่วแดนมังกรก็ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงลังเลที่จะเข้ามาเยือน
ผู้บริหารโรงแรมระดับ 5 ดาวรายหนึ่งในกรุงปักกิ่งกล่าวว่า โรงแรมของตนค่อนข้างมองบวกกับการคลายล็อกการเข้าประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมนี้ เพราะปกติปักกิ่งเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เชื่อว่ายอดจองจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วนัก ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกหลังคลายล็อกน่าจะยังไม่มียอดจองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รายงานจากสมาคมการท่องเที่ยวประเทศจีนที่ออกมาเมื่อเดือนธันวาคม 2022 เชื่อว่า จีนจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 20 ล้านคนภายในปี 2023 เทียบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 145 ล้านคนที่เดินทางเข้าจีนในปี 2019 ปีนี้การท่องเที่ยวขาเข้าของจีนน่าจะยังซบเซาอยู่มาก
จุดหมายปลายทางในจีนในระยะนี้ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมสูง คือมณฑลที่อยู่ทางใต้ซึ่งอากาศอบอุ่นกว่า เช่น ยูนนาน ไห่หนาน น่าจะเป็นจุดหมายของทั้งต่างชาติและคนจีนจากเมืองใหญ่เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ นานจิง เทียนจิน ที่อยากออกท่องเที่ยวกันแล้ว
]]>การตัดสินใจเปิดประเทศของจีน ผ่อนคลายกฎการเดินทางเข้าและออกจากประเทศ ทำให้นักวิเคราะห์มีความหวังขึ้นมาว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยถึงจังหวะชะลอตัวลงบ้าง หลังจากช่วงที่ผ่านมาหลายประเทศมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ รวมถึงจะเป็นปลดล็อกคอขวดในซัพพลายเชนการผลิตโลก เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้กับเศรษฐกิจปี 2023
จีนประกาศเปิดประเทศเริ่มตั้งแต่ 8 มกราคม 2023 โดยผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่จำเป็นต้องกักตัวอีกต่อไป (จากเดิมต้องกักตัว 8 วัน) ถือเป็นก้าวใหญ่ในการเปิดประเทศจีน แหล่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ศูนย์รวมการผลิตสินค้า และมีจำนวนประชากรถึง 1,400 ล้านคน
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs วาณิชธนกิจสัญชาติอเมริกัน เชื่อว่า แม้ว่าการเปิดประเทศจะยิ่งทำให้ระบบสาธารณสุขจีนตึงเครียดยิ่งขึ้นจากปัจจุบันที่มีจำนวนเคสผู้ป่วยโควิด-19 พุ่งสูงอยู่แล้ว แต่โดยภาพรวมแล้วการเปิดประเทศจะเป็นผลบวกกับเศรษฐกิจจีน
การผ่อนคลายให้ชาวจีนเดินทางภายในประเทศได้อิสระ และการท่องเที่ยวขาเข้าเมืองจีนที่จะขยับดีขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า จีดีพีจีนจะโตได้มากกว่า 5% ในปี 2023
กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ก่อนทันทีคือ สนามบินเซี่ยงไฮ้ คาสิโนในมาเก๊า และ สายการบินสัญชาติจีน ไม่ว่าจะทำการบินในประเทศหรือต่างประเทศ
รวมถึงเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เช่น “ประเทศไทย” จะเป็นผู้ชนะตัวจริงในการเปิดประเทศจีน เพราะไทยเป็นส่วนสำคัญในซัพพลายเชนการผลิตโลกซึ่งเชื่อมต่อกับจีน รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
ข้อมูลจาก Ctrip แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวของจีนระบุว่า ทันทีที่รัฐบาลจีนประกาศเปิดประเทศ การค้นหาทริปเดินทางต่างประเทศก็พุ่งขึ้นทันที 10 เท่าภายในเวลาครึ่งชั่วโมง และประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ที่คนจีนสนใจเดินทางมา รองจากประเทศญี่ปุ่น
ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นระบุแล้วว่า จะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากนักท่องเที่ยวจีนก่อนเข้าประเทศ และหากพบเชื้อเป็นบวกจะต้องกักตัวไว้ก่อน มาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวจีนของญี่ปุ่นนี้น่าจะเป็นบวกต่อไทย เพราะรัฐไทยยืนยันว่าจะใช้มาตรการต่อนักท่องเที่ยวจีนแบบเดียวกับทุกชาติที่เดินทางเข้ามา คือไม่มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือขอเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ในแง่ของซัพพลายเชนโลกที่เคยปั่นป่วนมาตลอดเพราะมาตรการจัดการโควิด-19 ของจีน ทำให้การส่งมอบสินค้าตั้งแต่ iPhone ไปจนถึงรถยนต์ดีเลย์ไปมาก เมื่อจีนจะผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้แล้ว ทำให้มุมมองต่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้นไปด้วย
จากการสำรวจกลุ่มผู้จัดการกองทุน สำรวจโดย Bank of America (BofA) พบว่า ผู้จัดการกองทุนเริ่มจะมองเศรษฐกิจโลกดีขึ้นเพราะข่าวนี้ จากเมื่อเดือนก่อนมีถึง 73% ที่คิดว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะย่ำแย่ลง ขณะนี้ลดเหลือ 69% ที่ยังคิดแบบเดิม
“การประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะดีขึ้นกว่าที่คาดนั้น น่าจะเกิดจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ดูจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว” BofA กล่าว
ข่าวดีของจีนส่งผลดีกับตลาดทุนแล้ว โดยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ขยับขึ้นมา 1% ส่วนดัชนี CSI 300 ดัชนีรวมหุ้นบริษัทใหญ่ที่สุดของจีน 300 แห่ง ปรับขึ้นมาแล้ว 1.15%
]]>ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ดัชนีหลักทรัพย์ตัวแทนตลาดหุ้นฮ่องกง ตกลงทันที 4.2% หลังเปิดตลาดเช้าวันจันทร์นี้ (28 พ.ย. 2022) ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตในจีนแผ่นดินใหญ่ ร่วงลง 1.5% และดัชนีเสิ่นเจิ้นคอมโพเนนต์ซึ่งสะท้อนกลุ่มบริษัทเทคในจีน ก็ร่วงลง 1.6% เช่นกัน ด้านค่าเงินหยวนเทียบดอลลาร์สหรัฐเช้านี้ อัตราแลกเปลี่ยนตกลง 0.6% เหลือ 7.234 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดทุนตลาดเงินในจีนสะดุดเป็นภาพสะท้อนของการ “ประท้วง” ทั่วประเทศจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในแดนมังกร การประท้วงรอบนี้เกิดจากความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบาย Zero-Covid อันเข้มงวด
การประท้วงในเมืองใหญ่ของจีน ตั้งแต่เมืองหลวงปักกิ่งจนถึงฮับเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้ มีประชาชนออกมาไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ที่มณฑลซินเจียง และประท้วงต่อต้านนโยบาย Zero-Covid เรียกร้องอิสรภาพและประชาธิปไตย
เหตุไฟไหม้ที่เป็นต้นเหตุความโกรธของประชาชนจีน มาจากอุบัติเหตุในเมืองอุรุมชี เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในอุรุมชีเกิดไฟไหม้ขึ้น แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างการล็อกดาวน์ ทำให้การดับเพลิงเป็นไปอย่างล่าช้า และชาวเมืองมีการให้สัมภาษณ์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่อนุญาตให้ออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ สุดท้ายจึงมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย
แม้เจ้าหน้าที่อุรุมชีจะกล่าวขอโทษอย่างไม่เป็นทางการ และกล่าวว่าการดับเพลิงล่าช้าเพราะมียานพาหนะจอดขวางทาง แต่ชาวเมืองก็ยังออกมาประท้วงตามท้องถนน และแม้ว่าทางการจีนจะปิดกั้นอินเทอร์เน็ตไม่ให้พูดถึงการประท้วงในซินเจียง แต่สุดท้ายแล้วการประท้วงก็ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ ของจีน
เหตุการณ์ประท้วงที่โกรธเกรี้ยวและมีการปะทะกันนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่ประเทศจีน และบางจุดการประท้วงยังมีอยู่ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันจันทร์นี้
นโยบาย Zero-Covid ของจีนนั้นหมายถึงวิสัยทัศน์การควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ให้เป็น “ศูนย์” ทำให้ถ้าหากมีการระบาดเกิดขึ้น ทางการจีนจะกลับไปล็อกดาวน์เมือง ให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่จำกัด และมีการปูพรมตรวจโควิด-19 ทันที
ก่อนหน้านี้เอง มีการประท้วงของกลุ่มคนงานโรงงาน Foxconn ที่เจิ้งโจวมาแล้ว โดยเหตุประท้วงส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องกับการล็อกดาวน์คนงานไว้ในโรงงาน และโรงงานไม่สามารถจัดการความเป็นอยู่ที่ดีได้ (อ่านเพิ่มเติมที่นี่)
]]>1) จีนเคยมีนโยบาย “ลูกคนเดียว” คืออนุญาตให้คู่สามีภรรยามีลูกได้แค่คนเดียว เพื่อลดจำนวนประชากรที่มากเกินไป จนกระทั่งปี 2016 จึงผ่อนผันให้มีลูกได้สองคน
2) ณ ปี 2020 จีนมีประชากรทั้งหมด 1,412 ล้านคน แต่ประชากรที่เพิ่มขึ้นในปี 2020 มีเพียง 12 ล้านคน ต่ำที่สุดที่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งเป็นปีที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหารในจีนจนประชากรเกิดใหม่ลดฮวบ และเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปี 2019 ที่มีเด็กเกิดใหม่ 14.65 ล้านคน
3) ถ้าคิดเป็นอัตราส่วนต่อจำนวนประชากรหญิง เท่ากับค่าเฉลี่ยผู้หญิงจีนวัยเจริญพันธุ์ 1 คนจะมีลูกเพียง 1.3 คนเท่านั้นเมื่อปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีรายงานวิจัยความต้องการของผู้หญิงจีนโดยเฉลี่ยแล้วต้องการมีลูกเพียง 1.8 คน น้อยกว่าอัตราที่ควรจะเป็นคือมีลูก 2.1 คน เพื่อจะทำให้อัตราประชากรของจีนเหมาะสม
4) เมื่อประชากรเกิดน้อยลง ขณะที่ผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นเป็น 264.02 ล้านคน ทำให้ปี 2020 จีนมีอัตราส่วนผู้สูงวัยเพิ่มเป็น 18.7% เพิ่มขึ้นมา 5.44% เทียบกับปี 2010 ทั้งนี้ สมาคมธุรกิจประกันของจีนประมาณการณ์ว่า ประชากรผู้สูงอายุจะขึ้นแตะ 300 ล้านคนภายในปี 2025
5) ในทำนองเดียวกัน ประชากรวัยทำงานจึงลดลงด้วย โดยปี 2020 จีนมีประชากรวัย 15-59 ปี จำนวน 894.38 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 63.35% ลดลง 6.79% จากปี 2010
6) จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น แต่คนทำงานน้อยลงเป็นปัญหาสำคัญ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนเคยประมาณการณ์ไว้ตั้งแต่ปี 2019 ว่า กองทุนบำนาญของรัฐจะเริ่มขาดเงินสะสมในปี 2035 หากว่าจำนวนผู้เกษียณอายุยังคงเพิ่มขึ้น และคนทำงานที่จะส่งเงินให้กับกองทุนลดลง
7) รัฐบาลจีนตระหนักถึงปัญหานี้ โดยเคยคำนวณไว้ว่า ภายในปี 2050 เงินบำนาญของผู้สูงวัย 1 คนจะมาจากการทำงานของคนวัยทำงานเพียง 1 คน จากปัจจุบันมาจากคนวัยทำงาน 2 คน ซึ่งนั่นแปลว่า เงินบำนาญจะไม่เพียงพอ
8) ความกังวลเกี่ยวกับอัตราประชากรนี้นำไปสู่การเปลี่ยนนโยบายให้มีลูกเพิ่มได้เป็น 2 คนเมื่อปี 2016 โดยหวังว่าจะทำให้คนจีนมีลูกเพิ่ม แต่ก็เพิ่มไม่มากเท่าที่รัฐบาลคาดหวัง โดยปี 2016 ซึ่งเป็นปีแรกที่ให้มีลูกได้ 2 คน มีเด็กเกิดใหม่ 17.86 ล้านคน เพิ่มจากปี 2015 ที่มีเด็กเกิดใหม่ 16.55 ล้านคน และในปี 2017 จำนวนเด็กเกิดใหม่ก็ตกลงอีกเหลือ 17.23 ล้านคน จากนั้นก็ยังคงลดลงต่อเนื่องทุกปี แม้ว่ารัฐจะให้นโยบายเงินอุดหนุนสำหรับการมีลูกคนที่สองแล้วก็ตาม
9) การมีลูกน้อยลงของคนจีนมาจากหลายสาเหตุ ทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการเลี้ยงลูก แนวคิดทางสังคมของผู้หญิงที่ต้องการเรียนสูง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงไม่ต้องการมีครอบครัว รวมถึงการย้ายจากชนบทมาอยู่ในเมืองใหญ่ก็ทำให้การมีลูกและเลี้ยงลูกยากขึ้น
10) ต้องติดตามต่อว่าจากนี้จีนจะออกนโยบายอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประชากร ก่อนที่จำนวนผู้เสียชีวิตจะสูงกว่าเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปี และจะทำให้จีนประสบปัญหาแบบเดียวกับประเทศใกล้เคียงอย่าง ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้
]]>ล่าสุด หม่า ฮั่วเถิง หรือ โพนี หม่า ซีอีโอ Tencent ได้รับการประเมินสินทรัพย์ไว้ที่ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้า แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba ซึ่งมีสินทรัพย์ 4.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ฝั่งเจ้าของบริษัทอินเทอร์เน็ตกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนแทนที่แชมป์เก่า
สาเหตุที่สินทรัพย์ของหม่า ฮั่วเถิงพุ่งสูง เกิดจาก ราคาหุ้นของ Tencent ที่ทะยานขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังจากที่เคยหล่นไปสู่ราคาต่ำสุดเมื่อปี 2018 จากวันนั้นถึงวันนี้หุ้นของ Tencent ขยับขึ้นมาเกือบ 2 เท่า เฉพาะปี 2020 หุ้นของบริษัทนี้ปรับขึ้นถึง 31% เทียบกับ Alibaba ที่ขึ้นมาเพียง 6.9% อย่างไรก็ตาม บริษัท Pinduoduo ของ โคลิน หวง เศรษฐีอันดับ 3 ของจีนก็มาแรงไม่แพ้กัน โดยหุ้นของ Pinduoduo ปรับขึ้นไปแล้วเท่าตัวในปีนี้
หม่า ฮั่วเถิงนั้นยังคงถือหุ้น 7% ในบริษัท ดังนั้นเมื่อหุ้น Tencent ทะยาน มูลค่าสินทรัพย์ของเขาก็ทะยานตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทเพิ่งจะรายงานเมื่อเดือนก่อนว่า รายได้ไตรมาสแรกของ Tencent สูงขึ้น 26% เทียบกับปีก่อน โดย Bloomberg Intelligence วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะโรคระบาด COVID-19 ไม่กระเทือนรายได้ของ Tencent และยังส่งให้ธุรกิจเกมของบริษัทเติบโตแข็งแรงขึ้น
ประวัติของมหาเศรษฐี หม่า ฮั่วเถิง ก่อนหน้าที่จะก่อตั้งบริษัท Tencent ขึ้นในปี 1998 เขาเรียนจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมประยุกต์ จากมหาวิทยาลัยเสิ่นเจิ้น และเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับระบบเพจจิ้งของบริษัท China Motion Telecom Development Limited ซึ่งให้บริการโทรคมนาคมและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องในประเทศจีน
สำหรับ Tencent นั้น มีบริการที่เป็นแกนหลักและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือแอปพลิเคชันแชท WeChat จากนั้นจึงขยายอาณาจักรไปสู่สินค้า “ดิจิทัล คอนเทนต์” อื่นๆ เช่น เกมออนไลน์ สตรีมมิ่งวิดีโอ ไลฟ์สตรีมมิ่ง ข่าว สตรีมมิ่งดนตรี ฯลฯ ในกลุ่มเกมอออนไลน์นั้น Tencent มีเกมดังๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, League of Legends หรือ Honour of Kings
Source: Business Insider, Times of India
]]>ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะถอนหุ้น Luckin Coffee ออกจากตลาด ทั้งที่เพิ่งเปิด IPO ไปเมื่อปีก่อน เนื่องจาก Luckin Coffee ถูกตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลทางการเงิน
โดยบริษัทได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากตลาดหุ้น NASDAQ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2020 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีความประสงค์ที่จะถอนหุ้นของบริษัทออกจากตลาด”
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจากตลาดหุ้นกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะเกิด “ผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ” หลังช่วงที่ผ่านมา บริษัท Luckin Coffee ถูกเปิดโปงการปลอมแปลงข้อมูลธุรกรรมทางการเงินจากพนักงานภายในของบริษัทเอง รวมกับความผิดพลาดในอดีตที่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลการดำเนินงานที่เพียงพอแก่สาธารณชน
ฟากบริษัท Luckin Coffee ยังคงต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นบริษัทมหาชนต่อไป โดยยื่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้ว และระหว่างนี้บริษัทจะยังคงสถานะอยู่ในตลาดหุ้น แต่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้มาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2020 ส่วนขั้นตอนการรับฟังคำอุทธรณ์ ปกติมักจะนัดไต่สวนภายใน 45 วันหลังยื่นเรื่อง
ราคาหุ้นของบริษัทร่วงหนัก 83% เหลือเพียง 4.39 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ในวันที่ 2 เมษายน 2020 หลังบริษัทประกาศปลด หลิว เจียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ออกจากตำแหน่ง เซ่นข่าวการปลอมแปลงข้อมูลที่หลุดออกมา
ข้อมูลปลอมที่เกิดขึ้น มาจากการรายงานยอดขายเกินจริงไป 310 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ปี 2019 ซึ่งเป็นตัวเลขถึงครึ่งหนึ่งจากเป้าหมายยอดขาย 732 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่บริษัทประกาศเมื่อช่วงต้นปี 2019 โดยเริ่มมีข่าวหลุดออกมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 บริษัทได้ปฏิเสธข่าวไปก่อน แต่เมื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทแล้วพบว่ามีการปลอมแปลงจริง นำมาสู่การปลดซีโอโอและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา
Luckin Coffee เป็นปรากฏการณ์สตาร์ทอัพที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะเพิ่งก่อตั้งในปี 2017 และเติบโตอย่างรวดเร็วขยายไปถึง 3,500 สาขาทั่วโลก (พร้อมมีข่าวว่าจะเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วย) ในที่สุดบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2019 ก่อนจะถูกตรวจพบกลโกงในเวลาไม่ถึงปี
Source: SCMP, Business Insider
]]>Bilibili ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 ในฐานะสตาร์ทอัพ และเติบโตจนปัจจุบันเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ที่สหรัฐฯ พร้อมรับเงินลงทุนทั้งจากฝั่ง Tencent และ Alibaba ซึ่งมีสตาร์ทอัพน้อยรายที่จะได้เงินลงทุนจากทั้งสองฝ่ายอันเป็นคู่แข่งกันเช่นนี้
การเติบโตของ Bilibili เรียกได้ว่าเป็น ‘YouTube แห่งแดนมังกร’ เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นคลิปวิดีโอ UGC (User-Generated Content) และเข้าชมได้ฟรี จะต่างจากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งคู่แข่งอย่าง Tencent Video และ iQiyi ซึ่งเป็นสตรีมมิ่งสไตล์เดียวกับ Netflix คือเป็นแหล่งคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ และต้องชำระเงินสมัครสมาชิก
จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้โด่งดังในกลุ่มเยาวชนก่อน และเริ่มติดตลาดด้วยคอนเทนต์เฉพาะทางประเภทอะนิเมชั่น การ์ตูน เกม โดยทำเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ ก่อนจะเริ่ม “แมส” ในยุค COVID-19 พร้อมกับการผลักดันของแพลตฟอร์มให้มีการทำคลิปที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น ขนาดยาวขึ้น มีคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น ภาพยนตร์ สารคดี เติมเข้ามา
ล่าสุด Bilibili รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 พบว่าจำนวนผู้ใช้ active users พุ่งสูงถึง 70% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีผู้ใช้ถึง 172 ล้านคนต่อเดือน แซงหน้า Tencent Video ที่มีผู้ใช้ 112 ล้านคนต่อเดือน และ iQiyi ที่มีผู้ใช้ 118.9 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่ระยะเวลาการใช้งานต่อครั้งก็เพิ่มขึ้นไปแตะ 87 นาที
ด้านจำนวน “ครีเอเตอร์” บนแพลตฟอร์มยิ่งเติบโตมากกว่า โดยมีช่องให้เลือกชม 1.8 ล้านช่อง เติบโต 146% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการเติบโตทั้งหมดคาดว่าเกิดจากการกักตัวในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด ทำให้ประชาชนไม่มีกิจกรรมทำมากนัก โดยเฉพาะนักเรียนที่ไม่ได้ไปโรงเรียน
ที่น่าสนใจคือ ครีเอเตอร์ท็อปฮิตที่สุดของแพลตฟอร์มนี้ ได้แก่ Communist Youth League of China หรือกลุ่มยุวชนคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน! โดยเป็นช่องที่จัดอยู่ในหมวด “รัฐบาล” มีผู้ติดตาม 96.1 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีช่องของรัฐบาลที่ติด Top 10 อีก 2 ช่อง คือ Guancha.cn ในหมวด สื่อของรัฐ อยู่ในอันดับ 2 มีผู้ติดตาม 60.4 ล้านคน และช่อง China Central Television (CCTV) เป็นสื่อของรัฐเช่นกัน อยู่ในอันดับ 6 มีผู้ติดตาม 35.6 ล้านคน
Bilibili ไม่ได้ทำรายได้จากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพียงอย่างเดียว บริษัทนี้ยังเป็นผู้จัดจำหน่าย เกมมือถือ ควบคู่ไปด้วย เพื่อเสริมประโยชน์ซึ่งกันและกันจากฐานผู้ใช้ที่เป็นเด็กเสียส่วนมาก โดยมีวิธีหารายได้ เช่น ครีเอเตอร์สามารถเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มเพื่อขายไอเทมในเกมไปจนถึงสินค้าเมอร์ชานไดซ์สำหรับแฟนๆ รับโฆษณาทั้งในคลิปแบบอัปโหลดหรือการไลฟ์สตรีมมิ่งการเล่นเกม จากนั้นแบ่งรายได้ให้กับ Bilibili ด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทนี้ยังเป็นสตาร์ทอัพที่ใช้กระแสเงินสดทุ่มตลาดอยู่ เพราะแม้ว่าผู้ใช้จะมีจำนวนสูงขึ้นมากแต่บริษัทยังไม่ทำกำไร โดยบริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 538.6 ล้านหยวนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา อ้างถึงสาเหตุการขาดทุนว่ามาจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้การขนส่งสินค้าเมอร์ชานไดซ์ต่างๆ ถูกชะลอการจัดส่ง นำมาสู่รายได้ที่ไม่เข้าเป้า
แต่หลายองค์กรยักษ์อาจเล็งเห็นว่า Bilibili จะทำกำไรได้ในอนาคต เพราะล่าสุด Sony เพิ่งจะเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแพลตฟอร์มนี้ด้วยเงินลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (ถือหุ้นไม่เกิน 5%) และเป็นพันธมิตรผลิตอะนิเมชันและเกมร่วมกัน
จากการลงทุนของ Sony ประเมินว่า Bilibili มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ น่าสนใจว่าการเติบโตของแพลตฟอร์มนี้จะเป็นไปอย่างไร จะโด่งดังจากจีนสู่ทั่วโลกจนกลายเป็นโซเชียลมีเดียสุดฮิตรายต่อไปเหมือนอย่าง TikTok หรือไม่
Source: TechCrunch, Variety
]]>ตามรายงานนี้ นับเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันของการเติบโตระดับตัวเลข 2 หลักของหัวเว่ย
นิโคล เผิง รองประธานฝ่ายการเคลื่อนไหวธุรกิจของ Canalys กล่าวว่า “หัวเว่ยทิ้งช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตัวเองและผู้จำหน่ายรายอื่น มีส่วนแบ่งสูงกว่าอันดับสองอย่าง Vivo ถึง 25%”
“สถานะที่โดดเด่นทำให้หัวเว่ยมีอำนาจมากในการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเชน ช่องทางของหัวเว่ยอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการรวมอำนาจเหนือกว่าท่ามกลางเครือข่าย 5G ที่เปิดตัว และควบคุมส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น เครือข่ายท้องถิ่นชิปเซ็ต 5G เมื่อเปรียบเทียบกับเครือข่ายท้องถิ่นรายอื่น”
หลุย หลิว นักวิเคราะห์จาก บริษัทวิจัยที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้กล่าวเสริมว่า “การเติบโตของหัวเว่ยสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อ OPPO, Vivo และ Xiaomi ซึ่งการจัดส่งอยู่ในภาวะตกต่ำ แม้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
“รายงานแสดงให้เห็นว่า Apple ยังคงครองตำแหน่งที่ 5 ด้วยการเปิดตัว iPhone 11 ในเดือนกันยายนซึ่งคิดเป็น 40% ของการจัดส่งในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้”
“แอปเปิ้ลเตรียมตัวมากขึ้น” หลิวกล่าวและว่า “iPhone 11 รุ่นนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกล้องซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวจีน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ราคาเปิดตัวที่ลดลง และโครงสร้างช่องสัญญาณที่ยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับการจัดจำหน่ายในท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งกระตุ้นตลาดที่สำคัญสำหรับ แอปเปิล”
]]>