ลดราคา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 05 Dec 2023 12:55:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “MUJI” ต้องทลายภาพจำเรื่อง “ราคา” เพื่อเป็นแบรนด์ “สินค้าในชีวิตประจำวัน” ของคนไทยให้ได้ https://positioningmag.com/1454469 Tue, 05 Dec 2023 10:39:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454469 MUJI (มูจิ) อยู่ในไทยมา 17 ปีแล้ว ทำให้ “ภาพจำ” เรื่อง “ราคา” เป็นสิ่งที่ลบล้างยาก แต่แบรนด์ต้องทำให้ได้หากอยากจะขยายสาขาไปทั่วประเทศไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ และเป็นแบรนด์สินค้าของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปที่คนไทยเข้าถึงได้ง่าย

แบรนด์ MUJI ที่ญี่ปุ่นถือเป็นแบรนด์สินค้าที่เรียบง่าย ใช้ในชีวิตประจำวัน และราคาไม่แพง แต่ทันทีที่สินค้านำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 17 ปีก่อน กลับกลายเป็นแบรนด์ที่ถูกมองว่า ‘ดีไซน์มินิมอลแต่ราคาแม็กซิมัม’ คนทั่วไปไม่สามารถหยิบจับซื้อได้บ่อยๆ

จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อน ทางบริษัทแม่ในญี่ปุ่นมีเป้าหมายใหม่สำหรับ MUJI ประเทศไทยว่า “MUJI จะต้องเป็นแบรนด์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยให้ได้”

 

ปรับราคาลงให้ “เข้าถึงได้ง่าย”

เมื่อจะเป็นแบรนด์สำหรับ “คนไทย” หมายถึงแบรนด์จะต้อง “แมส” เรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องทำจึงเป็นการปรับราคาสินค้าให้ “เข้าถึงได้ง่าย”

ตั้งแต่นั้นมา MUJI จึงเริ่มทยอยปรับลดราคาสินค้าลงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันทางบริษัทประกาศว่า 52% ของรายการสินค้าทั้งหมดในร้านอยู่ในช่วงราคาต่ำกว่า 300 บาท

MUJI

“อกิฮิโร่ คาโมการิ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า ด้วยภาพจำที่ติดในใจคนไทยมานานทำให้ภารกิจนี้ไม่ง่ายเลย

“เรามาเปิดร้าน MUJI ในไทยได้เกือบ 17 ปีแล้ว ซึ่งมาใหม่ๆ ก็ราคาสูงจริง ก่อนที่เราจะพยายามเปลี่ยนมุมมองความคิดของคนไทยต่อ MUJI ด้วยการลดราคาเมื่อ 4 ปีก่อน” คาโมการิกล่าว “แน่นอนว่าเมื่อคนติดภาพมานานก็อาจจะเปลี่ยนมุมมองได้ยาก แต่ ณ วันนี้ สินค้าและโปรโมชันจะทำให้เข้าถึงคนไทยได้ง่ายมากขึ้น”

“นอกจากลดราคาแล้วเรามีการวางโซนสินค้าต่ำกว่า 300 บาทในหลายสาขา ส่วนใหญ่โซนนี้จะนำมาไว้หน้าร้านเลยเพื่อดึงลูกค้าเข้าร้าน ปรากฏว่าคนให้ความสนใจมาก”

“อกิฮิโร่ คาโมการิ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด

คาโมการิบอกด้วยว่า การปรับลดราคามาหลายรอบจนถึงปัจจุบันนี้ราคาน่าจะอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับตลาดและกลุ่มเป้าหมายแล้ว

แต่ถ้าถามว่าเมื่อไหร่ที่คนไทยจะรู้สึกว่า ‘MUJI ไม่แพง’ ก็อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเหมือนกัน

 

ครึ่งหนึ่งของการขยายสาขาจะออกสู่ “ต่างจังหวัด”

เมื่อจะเป็นแบรนด์ของคนไทยไม่ใช่แค่คนกรุงเทพฯ ทำให้ MUJI ต้องคิดขยายสาขาออก “ต่างจังหวัด” ให้มากขึ้น

ปัจจุบัน MUJI มีทั้งหมด 32 สาขา โดยมีเพียง 4 สาขาที่อยู่ในต่างจังหวัด คือ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัล ชลบุรี

MUJI
บรรยากาศในร้าน MUJI สาขาเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

คาโมการิเปิดแผนของ MUJI ในอนาคตจะเริ่มขยายสาขาให้มากขึ้นโดยจะขยายปีละ 8-10 สาขา เริ่มตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

“ครึ่งหนึ่ง” ของการขยายสาขาเหล่านี้จะเน้นที่ต่างจังหวัด รวมถึงตั้งเป้าจะให้มีสาขาระดับ “แฟลกชิปสโตร์” อย่างน้อย 1 สาขาในแต่ละภูมิภาคด้วย

 

“MUJI แฟลกชิปสโตร์” โชว์คอนเซ็ปต์แบรนด์

MUJI เพิ่งเปิด “แฟลกชิปสโตร์” แห่งแรกไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 สถานที่ตั้งไม่ใช่ในกรุงเทพฯ แต่เป็นที่ “เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต”

นิยามแฟลกชิปสโตร์ของ MUJI แน่นอนว่าต้องมีพื้นที่ใหญ่กว่าปกติ โดยสาขาเชียงใหม่ แอร์พอร์ตมีพื้นที่ถึง 3,000 ตร.ม. ใหญ่กว่าสาขามาตรฐานเป็นเท่าตัว

สินค้าเอ๊กซ์คลูซีฟในโครงการ Found MUJI Thailand

รวมถึงเป็นสาขาที่มีความร่วมมือและสนับสนุนท้องถิ่น มีการเปิดพื้นที่ “ตลาดนัดมูจิ” ให้ร้านค้าท้องถิ่นนำสินค้าพื้นเมืองเข้ามาขาย และมีสินค้าเอ๊กซ์คลูซีฟที่พัฒนาร่วมกันกับวิสาหกิจชุมชนเพื่อมาขายในร้าน

คาโมการิกล่าวว่า แฟลกชิปสโตร์ลักษณะนี้จะมีการขยายไปทุกภูมิภาค เริ่มจากปี 2567 จะมี 1 สาขาในกรุงเทพฯ และ 1 สาขาในภาคใต้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นจังหวัดภูเก็ต

รวมถึงมีแผนว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีแฟลกชิปสโตร์ในภาคอีสาน ขณะนี้กำลังชั่งน้ำหนักระหว่างจังหวัดขอนแก่นกับอุดรธานี

 

เบื้องหลังการบริหาร “แยกทีม” จากเซ็นทรัล

อีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า MUJI กำลังเอาจริงกับตลาดประเทศไทย คือการปรับเปลี่ยนการบริหารมาดำเนินการเองมากขึ้น

อย่างที่ทราบว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทร่วมทุนกับเครือเซ็นทรัล ในอดีตจึงมีการทำงานโดยใช้ทรัพยากรของเซ็นทรัล แต่เมื่อ 2 ปีก่อน คาโมการิกล่าวว่าบริษัทเริ่มแยกทีมเป็นเอกเทศมากขึ้น งานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาเป็นทีมของ MUJI โดยตรง เช่น การจัดการสาขาหน้าร้าน, ฝ่ายการตลาด, ทีมงานแอดมิน เหลือเพียงฝ่ายโลจิสติกส์และการเงินที่ยังใช้ทรัพยากรร่วมกับเซ็นทรัล

แน่นอนว่าการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังต้องตัดสินใจร่วมกันเพราะเป็นบริษัทร่วมทุน แต่การบริหารงานเริ่มคล่องตัวกว่า และทำให้ MUJI จะขยายสาขาได้ถึงปีละ 8-10 สาขา จากเดิมขยับปีละไม่เกิน 2-3 สาขา

ศักยภาพของประเทศไทยนั้นทำให้บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นยอมทุ่มทุน เพราะปัจจุบันไทยทำยอดขายให้ MUJI ได้เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และปี 2566 นี้คาโมการิคาดว่ายอดขายในไทยจะโตแบบ ‘ดับเบิลดิจิต’ เทียบกับปีก่อน (*MUJI มีขายอยู่ใน 6 ประเทศอาเซียน คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม)

“ยอดขายจากกรุงเทพฯ เติบโตได้ดี และมองว่าในต่างจังหวัดนั้นคนไทยก็มีกำลังซื้อเหมือนกัน” คาโมการิกล่าว “คนไทยชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นมาก และไปเที่ยวทั้งประเทศเลยไม่ใช่แค่ในโตเกียว เราจึงน่าจะมีโอกาสการขายสูง”

]]>
1454469
Traveloka งัดกลยุทธ์ ‘ลดราคา’ ครั้งใหญ่ กระตุ้นธุรกิจ รับกระเเสคนไทย ‘พร้อมไปเที่ยว’ https://positioningmag.com/1360391 Thu, 04 Nov 2021 10:51:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360391 Traveloka กระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวไทย ด้วยกลยุทธ์ ‘ลดราคา’ อัดเเคมเปญ EPIC Sale 2021 ร่วมพาร์ตเนอร์ 1,800 ราย รับกระเเสคนไทยเเพ็กกระเป๋าพร้อมไปเที่ยว

ภาคการท่องเที่ยว ส่งสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงปลายปี เห็นได้ชัดจากการที่คนไทยมากกว่า 65% ได้รับวัคซีนเเล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เเละการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งเมื่อ วันที่ 1 ..ที่ผ่านมา เเละฝั่งต่างประเทศก็เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากขึ้น โดย

นักท่องเที่ยวชาวไทย กว่า 66% วางเเผนท่องเที่ยวในอีก 3 เดือนข้างหน้า

จากผลสำรวจผู้บริโภคล่าสุดของ Traveloka ซูเปอร์เเอปด้านการท่องเที่ยวเเละไลฟ์สไตล์ พบว่า กิจกรรมยอดนิยมในช่วงปลายปี 64 ยังเป็นการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว (30%) ตามมาด้วยการเข้าพักโรงเเรม (26%) เเละการเดินทางโดยเครื่องบิน (22%)

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ส่วนใหญ่เป็นในเมือง (74%) เที่ยวทะเล (15%) เเละภูเขา (12%) เเละลักษณะการท่องเที่ยวจะเป็นเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกว่า 90% จองล่วงหน้าระยะ 7 วัน (52%) เข้าพักในโรงเเรมหรือรีสอร์ท (90%)

ด้วยสถาณการณ์ที่ดีขึ้น มีสัญญาณเชิงบวกก็คาดว่าตลาดการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนมีความอยากเดินทาง เเละเริ่มวางเเผนเดินทางกันล่วงหน้าเเล้ว ทิศทางธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงปีหน้าก็คงจะสดใสปณิชา ธนณาเคนทร์ ผู้จัดการฝ่ายขาย Traveloka ประจำประเทศไทย กล่าว

EPIC Sale ลดราคา กระตุ้นท่องเที่ยว 

ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน ทำให้ Traveloka สามารถโปรโมตการท่องเที่ยวในไทยได้อีกครั้งรวมถึงเป็นโอกาสของการนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการเเละฟีเจอร์ใหม่ๆ

เเละเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคัก Traveloka จึงออกเเคมเปญลดราคาครั้งใหญ่ที่สุดเเห่งปี กับ  ‘EPIC Sale 2021’ หวังช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้า เเละสนับสนุนผู้ประกอบการที่เป็นพาร์ตเนอร์ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

Traveloka EPIC Sale คือโปรโมชันการท่องเที่ยวเเละไลฟ์สไตล์ที่มอบส่วนลดสูงสุดถึง 80% ทำตลาดในประเทศต่างๆ ทั่วอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เเละไทย

แคมเปญ EPIC Sale เริ่มจัดครั้งแรกในไทยมาตั้งเเต่ปี 2019 เเละได้รับเสียงตอบรับที่ดี ช่วยให้ทราฟฟิกในการใช้แอปพลิเคชัน Traveloka เพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วงเวลา EPIC Hour และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 50 เท่า

สำหรับแคมเปญ EPIC Sale ในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 .. 2021 ด้วยการจับมือพันธมิตรกว่า 1,800 ราย พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีเน้นสร้างเอ็นเกจเมนต์ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม อย่างกิจกรรม EPIC Livestream Referral ชวนเพื่อน รับคูปองเพิ่ม ในวันที่ 5,6, และ 11 พฤศจิกายน ที่ลูกค้าจะได้รับคูปอง EPIC เพิ่มขึ้นพิเศษจากการชวนเพื่อให้มาร่วมชมไลฟ์สตรีม

นอกจากนี้ยังมี EPIC Game ที่ให้ลูกค้าได้ร่วมเล่นเกมสนุก ๆ ใน Game Farm เพื่อรับคูปองเพิ่ม รวมไปถึง EPIC Hour ในช่วงเวลา 11:00 – 12:00 . สำหรับตั๋วเครื่องบิน เวลา 13:00 – 20:00 . สำหรับกิจกรรม Xperience และเวลา 19:00 – 20:00 . ส่วนการจองที่โรงแรมที่พัก ลุ้นโชคได้ทุกวันบนแอปฯ Traveloka ในช่วงแคมเปญ EPIC Sale

ยอด Booking เพิ่มขึ้นช่วงปลายปี 

ฝั่งผู้ประกอบการที่ได้ร่วมเเคมเปญ EPIC Sale 2021 อย่าง Hotel Plus Asia มองว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ยอดจองที่พักสูงขึ้น หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เเละระยะเวลาจองล่วงหน้าก็นานมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนมีการวางเเผนท่องเที่ยว รวมไปถึง Booking จากต่างประเทศก็มีมากขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นตามหัวเมืองใหญ่ เข้าพักเเบบโรงเเรมเเละวิลล่า

ผู้ประกอบการก็มีการปรับตัว โดยเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปมากขึ้น ตามมาตรฐาน SHA+ โดยคาดว่า เเคมเปญ EPIC Sale 2021 จะช่วยกระตุ้นการจองที่พักเพิ่มสูงขึ้นจากปกติถึง 50-70%

Photo : Shutterstock

เเม้ทางทีมผู้บริหาร Traveloka จะไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่ตั้งเป้าไว้สำหรับเเคมเปญ EPIC Sale 2021 เเต่ก็ประเมินว่ากระเเสตอบรับจะดีเท่ากับปีก่อนๆ

โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทางเเพลตฟอร์มก็มีการปรับตัวเช่นกัน อย่างการหาโปรดักต์ใหม่ๆ ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เลื่อนได้ยกเลิกได้ เน้นไปที่ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการพัฒนาเเอปพลิเคชันให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พร้อมการกระตุ้นท่องเที่ยวในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เเละเชื่อว่าในตลาดไทยก็จะมีเสียงตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน

 

 

]]>
1360391
TikTok ต้อนรับเทศกาล Mega Sales อวดอินไซต์ผู้ใช้เพลินกับ ‘วิดีโอขายของ’ บนแพลตฟอร์ม https://positioningmag.com/1342526 Thu, 15 Jul 2021 10:46:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1342526 TikTok ปูพรมแดงต้อนรับเทศกาล Mega Sales ปลายปี อวดอินไซต์ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเพลินกับ ‘Shoppertainment’ นำไปสู่ยอดขายสินค้านอกลิสต์ที่ลูกค้าตั้งใจจะซื้อ และยินดีซื้อแบรนด์ที่ไม่เคยรู้จักมากขึ้น โดยชูจุดแข็งเป็น “แหล่งแรงบันดาลใจ” คนเข้ามาดูรีวิวและเทียบราคา แนะแบรนด์เร่งปลุกกระแสก่อนเริ่มเทศกาลลดราคา 1 เดือน

“สิรินิธิ์ วิรยศิริ” Head of Business Marketing – Thailandของโซเชียลมีเดีย TikTok ตีฆ้องเชิญชวนแบรนด์ทั้งใหญ่จนถึงเล็กเตรียมลงโฆษณาหรือทำแคมเปญใน TikTok ต้อนรับเทศกาล Mega Sales ปลายปี ไม่ว่าจะเป็น 9.9, 10.10, 11.11, 12.12 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงฤดูกาลขายประจำปีเสมอมา

จากกระแส Shoppertainment และความนิยมชมคลิปวิดีโอสั้นที่เกิดขึ้นในไทยมาระยะหนึ่ง ทำให้ TikTok ยืนยันว่า แพลตฟอร์มนี้มีประสิทธิภาพในการเรียกผู้ชมและเปลี่ยนเป็นยอดขาย โดยอ้างอิงข้อมูลจากนีลเส็นว่า 62% ของผู้ถูกสำรวจระบุว่า ตนตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์จากอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย โดยคลิปวิดีโอสั้นคือรูปแบบสื่อที่มีอิทธิพลที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจาก GWI สนับสนุนว่า ยุคนี้คนถึง 1 ใน 3 ต้องการจะซื้อสินค้าพร้อมกับมีความบันเทิงควบคู่ไปด้วย หรือก็คือ Shoppertainment นั่นเอง

“สิรินิธิ์ วิรยศิริ” Head of Business Marketing – Thailand ของโซเชียลมีเดีย TikTok

สิรินิธิ์ชี้ให้เห็นว่า TikTok วางตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับ Shoppertainment เพราะมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทั้ง 3 ด้านในการทำวิดีโอขายของ ได้แก่ 1.Discovery – ฟีดส์ของ TikTok ทำให้คนค้นพบสินค้าได้ง่ายและยิงตรงกลุ่มเป้าหมาย 2.Entertainment – เครื่องมือที่มีให้ช่วยสร้างคอนเทนต์ที่สนุกสนานได้ดีและง่าย 3.Community Commerce – แพลตฟอร์มช่วยสร้างไวรัลได้ ทั้งการติดแท็กและการชาเลนจ์ ทำให้สินค้าได้รับการบอกต่อ

 

เห็นแล้วอยากซื้อ + เปิดรับแบรนด์ใหม่

ในแง่ของการค้นพบสินค้าใหม่ๆ สิรินิธิ์อธิบายว่าแพลตฟอร์ม TikTok จะมี “For You Feed” คือหน้าฟีดส์ที่เลือกวิดีโอที่ผู้ใช้น่าจะชื่นชอบขึ้นมาแบบเฉพาะบุคคล ผู้ใช้จะได้เห็นสินค้าที่ตรงกับตัวเอง และผู้ใช้ TikTok ยังเปิดรับการดูคอนเทนต์ที่เป็นการโฆษณาด้วย โดยรอบเดือน ม.ค. 2563 – ม.ค. 2564 พบว่าผู้ใช้มี engagement กับคอนเทนต์โฆษณาที่ 10.3% สะท้อนว่าผู้ใช้พร้อมรับชมและไม่กด ‘ข้าม’ ทำให้สินค้าและแบรนด์มีโอกาสไปถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

หน้าฟีดส์ของแต่ละคนจะได้เห็นคลิปวิดีโอแตกต่างกัน

TikTok สำรวจจากผู้ใช้ 368 คนในแพลตฟอร์ม พบว่า 58% มีการซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มนอกเหนือจากที่ตั้งใจทำช้อปปิ้งลิสต์ไว้ และ 79% มีการเลือกซื้อแบรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่รู้จัก

 

คนสนใจซื้อสินค้าอะไรบน TikTok

ด้านประเภทสินค้าที่ผู้ใช้ TikTok ซื้อออนไลน์ในช่วง Mega Sales ปี 2563 ที่นิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ บิวตี้และของใช้ส่วนตัว, แฟชั่นและเครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

ส่วนหมวดสินค้ารองๆ ลงมา ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ในบ้าน สุขภาพและออกกำลังกาย ดิจิทัล หนังสือและเครื่องเขียน และกลุ่มสินค้าสำหรับทารก

แฟชั่นและเครื่องประดับ เป็นหนึ่งในสินค้า Top 3 ที่คนบน TikTok ซื้อในช่วง Mega Sales

 

แหล่งแรงบันดาลใจ ดูรีวิว เทียบราคา

ปัจจุบัน TikTok ยังไม่มี in-app purchase ดังนั้นการซื้อจะเป็นการดึงลูกค้าออกไปสู่ landing page ของร้านค้าในแอปพลิเคชันอื่น เช่น หน้าร้านในมาร์เก็ตเพลซอย่าง Lazada, Shopee หรือให้แอดไลน์ร้านค้าเพื่อสั่งสินค้า สิรินิธิ์จึงมองว่า จุดแข็งของ TikTok ขณะนี้คือการเป็น “แหล่งแรงบันดาลใจ” ทำให้ลูกค้าได้เห็นและต้องการสินค้านั้น

TikTok พบว่า ผู้ใช้แพลตฟอร์มนี้ 53% ต้องการจะดูรีวิวสินค้าก่อนซื้อ และ 68% มีการเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งนี้ สินค้าแต่ละประเภท ผู้ซื้อจะมีความต้องการแตกต่างกัน ดังนี้

  • สินค้าที่ผู้ซื้อสนใจราคาเป็นสำคัญ ได้แก่ สุขภาพและออกกำลังกาย ของใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์
  • สินค้าที่ผู้ซื้อสนใจทั้งราคาและรีวิว ได้แก่ แฟชั่นและเครื่องประดับ อาหารและเครื่องดื่ม บิวตี้และของใช้ส่วนตัว ดิจิทัล หนังสือและเครื่องเขียน และกลุ่มสินค้าสำหรับทารก
ผลิตภัณฑ์บิวตี้เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการแรงกระตุ้นทั้งราคาและรีวิว และรีวิวมีอิทธิพลมากกว่าเล็กน้อย

 

นักช้อปออนไลน์วางแผนล่วงหน้า 1 เดือน!

เทศกาล Mega Sales ยังเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ซื้อด้วย เพราะทุกคนทราบว่าจะมีมหกรรมลดราคา ทำให้ 51% ของผู้ใช้ TikTok จะเริ่มมองหาสินค้าและเทียบราคาล่วงหน้าก่อนเทศกาลลดราคา 3-4 สัปดาห์!

สิรินิธิ์จึงแนะนำแบรนด์ที่สนใจลงโฆษณาหรือทำแคมเปญกับ TikTok ควรเริ่มประกาศว่าจะมีการลดราคาล่วงหน้าก่อนวันขายจริง 10-30 วัน เพราะเป็นช่วงที่คนเริ่มเล็งสินค้าที่ชอบแล้ว จากนั้น 7-10 วันก่อนขาย ควรกระตุ้นให้ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงตะกร้าไว้ได้เลย จนถึง 1-2 วันก่อนขายและวันลดราคา ควรย้ำกระตุ้นการซื้ออีกครั้งเพื่อให้ลูกค้าคลิกซื้อจริง

สำหรับจำนวนผู้ใช้ในไทยและเวลาการใช้งานต่อวัน TikTok ประเทศไทยไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนกลุ่มอายุผู้ใช้นั้น เมื่อปีก่อน TikTok ระบุว่า 60% เป็นคนวัย 16-34 ปี รองลงมา 30% เป็นน้องๆ วัย 13-15 ปี และมี 10% เป็นผู้ใหญ่วัย 35 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม สิรินิธิ์บอกเป็นภาพกว้างว่าปีนี้กลุ่มอายุมีความหลากหลายกว่าเดิม พบคนวัยมากกว่า 40 ปีเข้ามาใช้แอปฯ มากขึ้นแล้ว แต่ไม่สามารถระบุสัดส่วนชัดเจนได้

TikTok ไทยเพิ่งจะรุกตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซเมื่อปี 2563 ถือเป็นน้องใหม่ในวงการ แต่กำลังลุยเต็มสูบเพื่อดึงโฆษณามาลง โดยปีนี้จะเน้นหนักในช่วง Mega Sales ปลายปีที่แบรนด์ต่างๆ น่าจะอัดงบทิ้งทวนช่วง 4 เดือนสุดท้าย

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1342526
“บิ๊กซี” ลุยหนักลดราคายาวถึงปีใหม่ ดึงร้านอาหาร-เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเข้าห้างฯ https://positioningmag.com/1299343 Wed, 30 Sep 2020 10:25:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299343 เศรษฐกิจตกสะเก็ดจาก COVID-19 ลูกค้าเข้าห้างฯ น้อยลงบวกสงครามราคา ทำให้ “บิ๊กซี” ต้องออกแคมเปญ “ถูกจริง ประหยัดจริง” ลดราคาสินค้าไปยาวๆ ถึง 4 มกราคม 2564 พร้อมปรับทัพพื้นที่เช่า ดึงร้านอาหารแนวใหม่-เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเข้าห้างฯ เพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้าอยากมาเดินเล่น ใช้บริการอื่นพ่วงด้วย

“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมด้วย “ปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มบีเจซี แถลงแคมเปญใหญ่โค้งท้ายปี “ถูกจริง ประหยัดจริงที่บิ๊กซี” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค

โดยจะนำสินค้ากว่า 5,000 รายการลดราคาตั้งแต่ 25 ก.ย. 63 – 4 ม.ค. 64 ยาวมากกว่า 3 เดือน ครอบคลุมทุกหมวดสินค้า ลดทุกวัน ทุกสาขา พร้อมส่วนลด on top เพิ่มอีกเมื่อซื้อถึงยอดที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันลดราคา 50% เมนูอาหารยอดฮิต 14 เมนูในศูนย์อาหาร Food Park ระหว่างวันที่ 1-31 ต.ค. 63

(ซ้าย) “ปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ (ขวา) “อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)

“จริงๆ บิ๊กซีเราถูกมาตลอด มีการทำ Price Index Survey เราจะเป็นอันดับ 1 เสมอว่าถูกที่สุด แต่เมื่อเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ คนอื่นก็เริ่มมีแคมเปญเรื่องราคาถูก ดังนั้นเราขอทำแคมเปญบ้างเหมือนกันว่าเราคือตัวจริงเรื่องถูก” ปฐพงศ์กล่าว

 

ความถี่ลูกค้าเดินห้างฯ น้อยลง

ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงชัดเจน และทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป โดยปฐพงศ์ระบุว่า หลังปลดล็อกดาวน์ ลูกค้ามาที่ศูนย์การค้าถี่น้อยลงกว่าเดิม จากเดิมมา 2.3 ครั้งต่อเดือน ลดเหลือราว 2 ครั้งต่อเดือน แต่ตะกร้าสินค้าจะใหญ่ขึ้น ใช้จ่ายต่อครั้งมากขึ้น 5-10%

แม้ยอดซื้อจะเพิ่ม แต่การที่ลูกค้ามาห้างฯ บ่อยน้อยลงจะไปกระทบกับร้านค้าในพื้นที่เช่าของห้างฯ ซึ่งสุดท้ายจะกระทบมาถึงบิ๊กซีเช่นกัน ทำให้ต้องหากลยุทธ์มาดึงลูกค้า

“3 เดือนต่อจากนี้จะท้าทายมาก เราเลยตรึงราคาให้ไปถึงต้นปี 2564 เลย” อัศวินกล่าว “เราต้องหาของถูกมาช่วยลดค่าครองชีพลูกค้า ถ้าลูกค้ามาที่บิ๊กซีเยอะ ร้านเช่าในห้างฯ เราก็อยู่ได้”

อัศวินเสริมว่า การให้ส่วนลดมากจะกระทบกับกำไรของบิ๊กซีที่น่าจะลดลงแต่ไม่ถึงขาดทุน บริษัทต้องยอมตัดกำไรตรงนี้เพื่อให้ระยะยาวยืนอยู่ได้ ถ้าหากมีกำไรเพียงระยะสั้น แต่ลูกค้าลดลง จะเกิดปัญหากับพื้นที่เช่าในอนาคตแน่นอน

 

ลงร้านอาหารใหม่-เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ

นอกจากของถูกในไฮเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ตัวพื้นที่เช่าเองก็ต้องมีการปรับให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย โดยอัศวินอธิบายว่า ปัจจุบันลูกค้าซื้อของกินของใช้เริ่มนิยมไปร้านขนาดเล็กใกล้บ้านมากขึ้น ถ้าหากจะมาเดินห้างฯ ใหญ่แบบไฮเปอร์มาร์เก็ตมักจะมีจุดประสงค์อื่นด้วย เช่น เสาร์-อาทิตย์พาครอบครัวมารับประทานอาหาร

ดังนั้น ร้านค้าที่ลงในบิ๊กซีก็จะมีการปรับให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ยกตัวอย่าง “ร้านอาหาร” จะมีร้านใหม่ๆ เข้ามา เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ ร้านสุกี้ อาหารเกาหลี โดยถ้าหากเชนร้านอาหารรายใหญ่ไม่สนใจเช่าพัฒนาร้าน ทางบริษัทหรือในเครือจะพัฒนาร้านเองในพื้นที่

นอกจากนี้ ในบิ๊กซีสาขาใกล้คอนโดมิเนียม จะมีการลง “เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ” ไว้บริการ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าในย่านใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้มีจุดประสงค์เพิ่มขึ้นในการเลือกแวะมาห้างฯ บิ๊กซี

 

ไตรมาสสุดท้าย ลงทุน “มินิ บิ๊กซี” ภาคตะวันออก

ด้านการลงทุนเปิดสาขาใหม่ อัศวินกล่าวว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ยังมีการลงทุน เพียงแต่อาจจะปรับแผนเรื่องรูปแบบร้านที่จะลงทุน

“มินิ บิ๊กซี” ณ สิ้นเดือนกันยายน 63 เปิดไปแล้วทั้งหมด 1,157 สาขา

โดยไตรมาส 4 นี้จะเน้นเปิด “มินิ บิ๊กซี” เป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นสาขาในภาคตะวันออกแถบพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกมีเครือข่ายสาขาขนาดใหญ่เต็มทุกพื้นที่ ทำให้เหมาะกับการแทรกร้านขนาดเล็กอย่างมินิ บิ๊กซีเข้าไปในโครงข่าย เป็นผลดีต่อการกระจายสินค้าจะคุ้มค่ามากขึ้น ส่วนการลงทุนอื่นๆ จะมีการรีโนเวตสาขาเก่าในเมือง เช่น เอกมัย รัชดาภิเษก พระราม 2

อัศวินยังประเมินด้วยว่า จากการพบปะพูดคุยกับบรรดาผู้บริหารต่างประเทศ ดูเหมือนเศรษฐกิจคงไม่กลับมาดีในเร็วๆ นี้ คาดว่าต้องใช้เวลาค่อยๆ ฟื้นตัวอีกถึง 3 ปีกว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาเท่ากับปี 2562 โดยกลุ่มบีเจซีเองยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างที่สินค้าและบริการเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขวดแก้ว กระดาษ และมีบิ๊กซีเป็นรีเทลที่ช่วยหมุนกระแสเงินสด แต่การลงทุนต่างๆ ก็จะระมัดระวังมากขึ้น

]]>
1299343
“ศุภาลัย” รื้อแบบที่ดิน ถ.สี่พระยา ขึ้นคอนโดฯ ใหม่ถูกกว่าเดิม 5% – ปรับลุคให้เด็กลง https://positioningmag.com/1296245 Thu, 10 Sep 2020 07:45:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1296245 ศุภาลัยปรับโฉมใหม่ขึ้นคอนโดฯ “ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน” บนที่ดินเดิมที่เกิดข้อพิพาทมานานกว่า 3 ปี เปลี่ยนแบรนด์และออกแบบตกแต่งวัสดุใหม่ให้ลุคเด็กลง ปรับราคาเฉลี่ยลง 5% หลังต้นทุนค่าก่อสร้างลดลง คาดกระแสตอบรับยอดขายแตะ 80% ภายในสิ้นปี ชี้การขายคอนโดฯ ใหม่ปีนี้ดีกว่าคาด อาจเกิดจากซัพพลายเพิ่มในตลาดน้อยและทำราคาถูกกว่าปกติ ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ดีขึ้น

ศุภาลัยปัดฝุ่นที่ดินเดิมบน ถ.สี่พระยา แก้แบบโครงสร้างตึกบางส่วนและปรับเปลี่ยนวัสดุตกแต่ง เปิดตัวใหม่ในชื่อโครงการ “ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท อาคารสูง 36 ชั้น จำนวนห้องชุด 384 ยูนิต เปิดราคาขายเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 99,000 บาทต่อตร.ม. ห้องชุดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 41 ตร.ม.

โครงการนี้แต่เดิมเคยเป็นโครงการศุภาลัย เอลีท สี่พระยา ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2559 แต่หลังจากนั้นเกิดปัญหาข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดินเดิม ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้ “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย กล่าวว่า ในที่สุดหลังจากจบข้อพิพาทได้แล้ว เวลาผ่านไปมากกว่า 3 ปี ทำให้แบบห้องชุดเดิมเริ่มล้าสมัย และมีข้อคิดเห็นจากผู้ซื้อเดิมว่าควรปรับปรุงแบบบางส่วน บริษัทจึงตัดสินใจแก้แบบ เช่น เพิ่มทางเชื่อมระหว่างตึกที่พักอาศัยกับตึกจอดรถ ปรับหน้าตาและวัสดุภายในตึกและห้องชุด

แบบตึกแยก 2 อาคารเช่นเดิม แต่ปรับรูปแบบภายใน

เมื่อมีการปรับหน้าตาใหม่ ทำให้บริษัทเปลี่ยนแบรนด์เพื่อป้องกันความสับสนด้วย จึงใช้แบรนด์ “พรีเมียร์” เข้ามาแทนแบรนด์เอลีท ให้ลุคที่ทันสมัย เด็กลง เหมาะกับการอยู่ในย่านการศึกษา แต่ยังมีจุดเด่นในทำเลที่เปิดขายห้องชุดขนาดใหญ่ เริ่มต้น 41 ตร.ม. เหมือนเดิม ขณะที่คู่แข่งที่เปิดตัวก่อนหน้านี้มักจะทำห้องขนาดเล็ก เริ่มต้นต่ำกว่า 30 ตร.ม.

ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายของคอนโดฯ โครงการนี้จะไม่ใช่นักลงทุน แต่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มครอบครัวที่ต้องการแยกบ้าน หรือซื้อให้ลูกหลานอยู่อาศัย

คอนโดมิเนียมทำเลสี่พระยา-สามย่าน ทำยอดขายไปแล้ว 70% ขึ้นไป

นอกจากนี้ บริษัทยังปรับราคาเฉลี่ยลงประมาณ 5% จากเดิมเมื่อ 4 ปีก่อน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 104,000 บาทต่อตร.ม. ปัจจุบันเหลือเฉลี่ย 99,000 บาทต่อตร.ม. และราคาเริ่มต้นจาก 4.1 ล้านบาทต่อยูนิต เหลือ 3.69 ล้านบาทต่อยูนิต โดยเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาในทำเลมาก เนื่องจากคู่แข่งราว 6-7 โครงการรอบๆ (เฉพาะที่เป็นคอนโดฯ ฟรีโฮลด์) ราคาจะอยู่ที่ 130,000-140,000 บาทต่อตร.ม. และบางโครงการดันราคาขึ้นไปสูงถึง 180,000-200,000 บาทต่อตร.ม.แล้ว

ไตรเตชะกล่าวว่า สาเหตุที่ดึงราคาลงมาถูกกว่า 3 ปีก่อนได้ เนื่องจากขณะนี้ราคาวัสดุก่อสร้างเฉลี่ยลดลง 3-5% ตามดีมานด์ในตลาดที่ต่ำลง หลังสถานการณ์ธุรกิจชะลอตัว ไซต์ก่อสร้างเปิดน้อยลง และมองว่าเป็นราคาสมเหตุสมผลเพราะตัวโครงการนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT สามย่าน 750 เมตร เทียบกับโครงการอื่นที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากกว่า

ห้องตัวอย่างแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 55 ตร.ม. โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน

อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่ถูกกว่ามาก ซัพพลายในทำเลสี่พระยา-สามย่านเหลือไม่เกิน 300 ยูนิต และเป็นห้องไซส์ใหญ่ มองว่าทำให้ผลตอบรับดี รวมยอดขายทั้งลูกค้าเก่าจากโครงการเดิมและลูกค้าใหม่ที่เข้ามาหลังเปิดตัว 2 สัปดาห์ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% และคาดว่าน่าจะทำยอดขายได้ถึง 80% ภายในสิ้นปีนี้

เอ็มดีศุภาลัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ คือ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท จรัญฯ 91, ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ และโครงการแห่งนี้ พบว่าผลตอบรับดีกว่าคาดทุกแห่งที่เปิดใหม่ อาจเป็นเพราะยังมีลูกค้าพนักงานออฟฟิศและเจ้าของกิจการบางส่วนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจหรือกระทบน้อย ทำให้ยังมีกำลังซื้อ ขณะที่คอนโดฯ เปิดใหม่มีน้อย และบริษัททำราคาดี ช่วยเร่งการตัดสินใจ

“คิดว่าเพราะซัพพลายน้อย ไม่ค่อยมีคนเปิดใหม่ และราคาที่ลูกค้าได้ดีจริง พูดตรงๆ ว่าถ้าเศรษฐกิจดีกว่านี้ ปกติเราคงตั้งราคาได้สูงกว่านี้” ไตรเตชะกล่าวด้วยว่าปีนี้จะยังเดินหน้าเปิดคอนโดฯ เพิ่มอีก 1 โครงการปลายปี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นทำเลไหน

]]>
1296245
Tesla หั่นราคารถยนต์ไฟฟ้า Model Y เพื่อรักษายอดขายในช่วง COVID-19 https://positioningmag.com/1287401 Sun, 12 Jul 2020 09:02:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1287401 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นดาวรุ่งอย่าง Tesla ประกาศลดราคารถยนต์ครอสโอเวอร์ไฟฟ้า รุ่น Model Y ลง 3,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 9.4 หมื่นบาท) หลังเพิ่งเปิดตัวเพียง 4 เดือน เพื่อรักษายอดขายรถยนต์ที่มีเเนวโน้มจะลดลง เนื่องจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ยังดำเนินต่อเนื่อง

Tesla ประกาศปรับลดราคา Model Y ผ่านเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้า โดยหลังจากปรับราคาแล้ว ราคาต่ำสุดจะเหลือ 49,990 เหรียญสหรัฐ (ราว 1.56 ล้านบาท) ก่อนหักภาษีและมาตรการจูงใจอื่นๆ ขณะที่ราคาเดิมอยู่ที่ 52,990 เหรียญสหรัฐ (ราว 1.65 ล้านบาท)

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพ..ที่ผ่านมา Tesla ได้ปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Model S และ Model X ไปเเล้ว ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้คนที่มีกำลังซื้อยอมจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อให้ได้รถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงกว่า

Elon Musk ซีอีโอของ Tesla เปิดเผยว่า การส่งมอบรถยนต์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 กระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก

สำหรับการส่งมอบรถยนต์รุ่น Model Y ในช่วงเดือนมี..-เม..ที่ผ่านมา เริ่มทำกำไรให้กับ Tesla เเล้ว ถือเป็นครั้งเเรกนับตั้งเเต่ก่อตั้งบริษัทมา 17 ปีที่รถยนต์สามารถทำกำไรได้ภายในช่วง 3 เดือนแรกของการจัดจำหน่าย อย่างไรก็ตาม เเม้จะมีการปรับราคาลงเเล้วในช่วงนี้ เเต่คาดว่ายอดขายของ Model Y ก็จะยังคงลดลง เนื่องจากผลกระทบจากโรคระบาดยังคงดำเนินต่อไป

 

ที่มา : Engadget

 

]]>
1287401
พลิกสูตร “สหพัฒน์” จัดงานเเฟร์ออนไลน์ ครั้งเเรกรอบ 24 ปี “เอาเงินค่าเช่าที่ มาอัดโปรโมชั่น” https://positioningmag.com/1284615 Mon, 22 Jun 2020 15:42:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284615 ก่อนจะเกิดการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เชื่อว่าหลายคนตั้งตารอจะไปเดินงานเเฟร์เพื่อเลือกซื้อสินค้าลดราคาและหาดีลพิเศษมากมาย โดยเฉพาะงานใหญ่ประจำปีอย่างสหกรุ๊ปแฟร์ซึ่งจัดขึ้นมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษเเล้ว

แต่ในปีนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น การจัดงานที่มีผู้คนนับหมื่นไปรวมตัวกัน เป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง เเบรนด์ต่างๆ เเละฝ่ายผู้จัดต้องสรรหาหนทางใหม่ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เมื่อการซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็น New Normal แห่งวงการค้าปลีก

COVID-19 จึงเป็นเหมือนตัวเร่งให้เครือสหพัฒน์ต้องปรับตัวมาจัดสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ครั้งแรกในปีที่ 24 ด้วยเเคมเปญ #ช้อปหยุดโลก

ด้วยจุดเด่นของงานแฟร์ คือการได้ลองของจริง มีให้เลือกหลากหลายและราคาถูก รวมถึงเป็นเเหล่งการเกิดดีลธุรกิจต่างๆ การจัดสหกรุ๊ปแฟร์แบบออนไลน์ครั้งนี้ จึงไม่ง่ายนักและมีความท้าทายอยู่มาก แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ครั้งนี้ จะเป็นโมเดลการทดลองขายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านทางออนไลน์ของเรา

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์กล่าว

เอาเงินค่าเช่าที่…มาอัดโปรโมชั่น

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำห้เครือสหพัฒน์ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานในปีนี้มาเป็นสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2563 จับมือกับ 3 แพลตฟอร์ม

E-Marketplace รายใหญ่อย่าง Lazada , Shopee เเละ JD Central นำสินค้ากว่า 100 แบรนด์ รวม 2 หมื่นรายการ พร้อมมีเว็บไซต์ sahagroupfair.com เป็นเว็บที่รวบรวมโปรโมชั่น ถ่ายทอดสดกิจกรรมต่างๆ และเชื่อมไปยังแพลตฟอร์มนั้นๆ

การจัดงานเเฟร์ปกติกับการจัดทางออนไลน์ สเกลมันไม่เท่ากันอยู่เเล้ว เราต้องยอมรับสถานการณ์ โดยปีนี้วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 100 ล้านบาท ถือว่าลดลง 50% เมื่อเทียบกับการจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์เเบบปกติในปีท่ี่ผ่านมา ที่สร้างรายได้สะพัดราว 200 ล้านบาท

ธรรมรัตน์ ไม่ได้เปิดเผยถึงงบประมาณในการจัดงานครั้งนี้ แต่ระบุว่า การจัดงานในรูปออนไลน์ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่” และทางสหพัฒน์ก็มีการพัฒนาด้านออนไลน์ตลอด ดังนั้นต้นทุนจึงน้อยกว่าการจัดงานเเฟร์ปกติ อีกทั้งยังมีการขายเเบบ 24 ชั่วโมงซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มยอดขายได้

โดยจะมีการนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้ในการอัดโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้สั่งของออนไลน์มากขึ้น รวมถึงให้เปอร์เซ็นต์ส่วนเเบ่งกับแพลตฟอร์ม E-Marketplace ที่เข้าร่วมทั้ง 3 เจ้าให้มีการเสนอดีลพิเศษต่างๆ ให้กับลูกค้าด้วย อย่างการส่งฟรี ให้คูปองส่วนลด มี Flash Sale เป็นต้น

ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของเครือสหพัฒน์ มีอัตราการเติบโตถึง 300% แต่เมื่อเทียบกับยอดขายทางออฟไลน์แล้ว ก็ยังคงมีสัดส่วนน้อย โดยปัจจุบันการขายออนไลน์มีสัดส่วนในยอดขายทั้งหมดที่ 20% อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในอนาคต  ดังนั้นสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์จึงเป็นก้าวเเรกที่สำคัญในการต่อยอดเเละปรับตัวครั้งนี้

ภาพบรรยากาศงานสหกรุ๊ป เเฟร์ ครั้งที่ 23 ในปี 2019 ก่อนที่ปีนี้จะมีการปรับมาจัดทางออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19

ให้ส่วนลดเเลกกับการรอคอย

คอนเซ็ปต์หลักๆ ของสหกรุ๊ปแฟร์ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ผู้คนเปลี่ยนจากการเดินดูซื้อของ ไปเป็นการใช้นิ้วคลิกเลือกซื้อแล้วรอรับที่บ้าน

ด้วยเหตุนี้ ไฮไลต์สำคัญจึงเป็นการให้ส่วนลดที่มากกว่าปกติ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มกับการรอคอยเเละคุ้มกับค่าจัดส่ง 

สำหรับสินค้าในสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ จะเเบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้เเก่ Fashion, Lingerie, Health & Beauty, Baby & Toddler, Household, Grocery และ Services & Education โดยมีสินค้ามาจำหน่ายกว่า 100 แบรนด์ กว่า 20,000 SKU อย่าง วาโก้ บีเอสซี แอร์โรว์ ลาคอสท์ แอล (ELLE) เอราวอน กี ลาโรช อองฟองต์ แอ็บซอร์บา ฟาร์มเฮ้าส์ มาม่า มองต์เฟลอ ริชเชส ซื่อสัตย์ เอสเซ้นต์ เปา ซิสเท็มมา คิเรอิคิเรอิ โชกุบุสซึ วาเซดะบุนกะ ซึ่งสินค้า 7 หมวดนี้ จะมีทั้งสินค้านวัตกรรม สินค้าใหม่ สินค้าขายดี และสินค้า Clearance ที่นำมาลดพิเศษสูงสุดถึง 80% ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากการจำหน่ายสินค้าแบบ B2C ให้กับผู้สนใจทั่วไปแล้ว จะมีการจำหน่ายแบบ B2B ให้กับร้านค้าทั่วไป ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และผู้ที่ซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อในราคาพิเศษ 

ในเว็บจะมีการไลฟ์สดช่วง Flash Sale และการแจกคูปองส่วนลดเพื่อนำไปลดเพิ่มใน LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL ซึ่งทุกบิลที่ซื้อสามารถนำมากรอกข้อมูลชิงรางวัลในเว็บ กว่า 3,000 รางวัล รวมกว่า 9 แสนบาท สำหรับผู้ที่ต้องการสั่งซื้อล่วงหน้าจะเปิดให้มีพรีออเดอร์ (PRE SALES) สินค้าใหม่ในวันที่ 27 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2020 เฉพาะที่ LAZADA พร้อมทั้งจะมีการรับสมัครสมาชิกและสะสมคะแนน His & Her ด้วย 

“ในทุกปีๆ สิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจะมาดูในสหกรุ๊ปแฟร์ คือกิจกรรมเเละนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งในเว็บจะยังคงมีกิจกรรมที่สร้างสีสัน เเต่เราจะทำให้พิเศษกว่าเดิม เพราะเป็นการเเสดงทางออนไลน์ โดยจะมีการจัดแฟชั่นโชว์ เวิร์กช็อปเเต่งหน้า กิจกรรมจากดาราและเซเลบริตี้ รวมไปถึงการรับสมัครงาน” 

ส่วนสินค้าไฮไลต์ที่จะมาเปิดตัวในปีนี้ จะเน้นไปด้าน Wealthness การดูเเลสุขภาพและนวัตกรรมใหม่ อย่าง นวัตกรรมผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส ที่ได้ทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ซึ่งสามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมไปถึงกางเกงในอนามัยรุ่นใหม่จากวาโก้ หน้ากากจากแอร์โรว์

ด้านเครื่องสำอางจะมีการเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ arty professional x snoopy ส่วนโรงเรียนสอนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ จะมีการจัดคอร์สสอนออนไลน์เต็มรูปแบบ ขณะที่เเบรนด์ “มาม่า” จะมีการเปิดตัวข้าวต้มคัพ รสปลาทรงเครื่อง และเเบรนด์ฟาร์มเฮ้าส์จะมีโปรโมชั่นพิเศษเเละการจัดส่งให้ถึงบ้าน

อีกหนึ่งจุดเด่นของ “สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์” คือการ “Cash Back เเละสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ” จากสถาบันการเงินและกองทุน 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพื่อให้ส่วนลดเงินสดและเครดิตเงินคืนสำหรับการซื้อแบบ B2C และให้สินเชื่อพิเศษสำหรับการซื้อแบบ B2B ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

โดยมีดีลที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น เสนอวงเงินกู้ตั้งเเต่ 2 เเสน- 20 ล้านบาทเพื่อซื้อของในงานด้วยดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนนาน 7-10 ปี การใช้บัตรเครดิตเพื่อรับ Cash Back สูงสุด 30% หรือการสะสมเเต้ม ใช้คะเเนนทำยอดซื้อ เเละรับ E-coupon เป็นต้น (โดยรายละเอียดจะเเตกต่างไปตามเงื่อนไขของธนาคารที่เข้าร่วม)

โจทย์ยากของ “สหพัฒน์” 

ธุรกิจยามนี้ ทุกเเบรนด์ต่างหันมาขายออนไลน์กันอย่างเต็มที่ ปรับรับ New Normal ของผู้บริโภค แต่ความท้าทายของแบรนด์ในเครือสหพัฒน์ คือ ยังมีสินค้าจำนวนมากที่ยังไม่เหมาะกับขายผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างพวกสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีขนาดใหญ่ ค่าขนส่งเเพง หรือสินค้าประเภทที่ซื้อเเล้วต้องใช้ทันที สินค้าที่ลูกค้าอยากไปเดินช้อปปิ้งเเล้วได้กลับบ้านเลย

“มันเป็นโจทย์ยากในการปรับตัวมาขายออนไลน์ของเรา แต่สหพัฒน์ก็พยายามทำให้ดีขึ้น อย่างเรื่องการจัดส่งเราจะพยายามพัฒนาไปสู่การส่งเเบบวันเดียวถึง เสื้อผ้าก็ต้องทำให้มีไซส์มาตรฐาน มั่นใจว่ากดสั่งได้แม้ไม่ได้ลอง”

ขณะที่สิ่งที่ยังน่ากังวลคือ “กำลังซื้อ” ที่เพิ่งจะฟิ้นตัวอย่างช้าๆ เเม้จะมียอดขายทางออนไลน์จะมาช่วยบ้างเเต่ยังมีสัดส่วนน้อย โดยหลังจากปลดล็อกเเล้วกำลังซื้อก็เริ่มดีขึ้น โดยคาดว่าจะกลับมาได้เท่าช่วงก่อน COVID-19 ได้ภายในปีนี้

“ผมมองว่าคนไทยยังระมัดระวังในการจับจ่ายอยู่ และสิ่งที่น่าห่วงคือต้องรอดูภาวะการว่างงานหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อ และจะฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจหดตัวลากยาวต่อไปอีก” ธรรมรัตน์กล่าว

โดยคาดว่ายอดขายในส่วนของ ไอ.ซี.ซี.ฯ ปีนี้น่าจะติดลบ 10% จากเดิมตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 5% เนื่องจากในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์กำลังซื้อลดลงไปถึง 90% ซ้ำเติมจากก่อนล็อกดาวน์ที่ลดลงไป 10% แล้ว แม้ในช่วงคลายล็อกกำลังซื้อจะกลับมา 90% แล้วก็ตาม

ด้านการลงทุนกับพาร์ตเนอร์ต่างชาตินั้น ตามที่เคยมีการจับมือกับค้าปลีกญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง “ดอง กิโฮเต้” (Don Quijote) และร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง “Komehyo” ในช่วงที่ผ่านมา ปีนี้จะมีโอกาสจับมือกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ หรือไม่นั้น

พิภพ โชควัฒนา กรรมการบริษัทและกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ตอบว่า แบรนด์ในเครือยังมีการพิจารณาการลงทุนอยู่ แต่ด้วยความสะไม่ดวกในการประสานงานช่วงนี้ ทำให้การเซ็นสัญญาใหม่อาจจะน้อยลง เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมองว่าหากสถานการณ์คลี่คลาย ปีหน้าก็เป็นโอกาสอันดี

“เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะกลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ กลุ่มเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตในประจำวันยังขายได้ เเต่กลุ่มเสื้อผ้าเเฟชั่นน้อยลง จึงต้องทำธุรกิจเเบบตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ในช่วงนี้ธุรกิจด้านอาหารก็น่าสนใจ ซึ่งเราก็กำลังดูๆ ไว้อยู่”

เเบรนด์วาโก้ หันมาผลิตหน้ากากาอนามัย ในช่วง COVID-19

สำหรับนโยบายของ “เครือสหพัฒน์” ในช่วงเวลานี้ ธรรมรัตน์บอกว่าหลักๆ จะเเบ่งได้ดังนี้

  • การออกสินค้าใหม่ ต้องทบทวนใหม่ เช่นปกติเคยออก 3-4 คอลเลกชั่นต่อไตรมาส ก็จะมีการปรับลดลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ให้เเย่งยอดขายกันเอง
  • ช่องทางการขาย ดูว่าเหมาะกับการขายออนไลน์หรือออฟไลน์ เจาะตลาดที่มีความต้องการจริงๆ
  • ระบายสต็อกสินค้า ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะสินค้าเเฟชั่นที่ยังมีค้างสต็อกอยู่ จากเดิมที่เคยคาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี ตอนนี้อาจจะต้องใช้เวลาระบายสต็อกถึง 2 ปี
  • บุกตลาดออนไลน์ เป็นหนึ่งในนโยบายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นของบริษัท ซึ่งการจัดสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์จะเป็นการเปิดทางสู่การพัฒนาในยุค E-commerce เเม้ว่าตอนนี้สัดส่วนขายออนไลน์ของสหพัฒน์ยังอยู่ที่ 20% แต่เป้าหมายเพิ่มยอดขายออนไลน์ใน 5 ปี (2019-2023) ตั้งใจว่าทำรายได้ให้ถึง 5,000 ล้านบาท

 

]]>
1284615
AWC ประกาศลดค่าเช่า 50% ทุกห้าง ช่วยผู้เช่าผ่านวิกฤตไวรัส https://positioningmag.com/1268815 Wed, 18 Mar 2020 10:42:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268815 แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น (AWC) และธุรกิจในเครือ ประกาศช่วยเหลือผู้เช่า ซัพพลายเออร์ และพนักงาน ลดค่าเช่าที่รีเทลทุกแห่งในเครือ 50% จนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมทำประกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้พนักงานทั้งหมด 6,000 คน

“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ประกาศยกระดับมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระของคู่ค้า ผู้เช่าโครงการ และเพิ่มสวัสดิการคุ้มครองพนักงาน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  • ทรัพยากรบุคคลทำประกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้พนักงานทั้งหมด 6,000 คน ทั้งพนักงานของบริษัทและพนักงานโรงแรมในกลุ่ม AWC พร้อมให้ทำงานจากที่บ้านตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2563 งดประชุมสัมมนา งดเดินทางต่างประเทศ
  • พันธมิตรธุรกิจกลุ่มผู้เช่าในโครงการรีเทล – มอบส่วนลดค่าเช่ารายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 ให้กับผู้เช่าทุกราย ในทุกโครงการ งดทำกิจกรรมรวมคนจำนวนมากในโครงการ
  • พันธมิตรธุรกิจกลุ่มผู้เช่าอาคารสำนักงาน – มอบส่วนลด 20% ผู้เช่าเดิมที่มองหาสำนักงานสำรองในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ของ AWC เพิ่มเติม
  • พันธมิตรซัพพลายเออร์ – ขยายเวลารับส่งมอบงานให้แก่พันธมิตรและคู่ค้าทุกรายที่ได้รับผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
  • พันธมิตรกลุ่มโรงแรมและบริการ – AWC ร่วมกับพันธมิตรเครือโรงแรมระดับโลกทั้ง 6 รายได้แก่ แมริออท, ฮิลตัน, อินเตอร์คอนติเนนตัล, บันยันทรี, มีเลีย และโอกุระ ดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย จัดทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) และยกเว้นค่าธรรมเนียมการยกเลิกเข้าพักและการเลื่อนจัดประชุมสัมมนาให้กับลูกค้า
  • กลุ่มลูกค้า – AWC พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในลิฟต์ทุก 30 นาที ติดตั้งเจลทำความสะอาดมือ และจัด Big Cleaning ทุกๆ 30 วัน ตรวจวัดอุณหภูมิทุกคนก่อนเข้าโครงการ
วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC

“AWC ตระหนักดีว่าสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมที่จะดูแลผู้มีส่วนได้เสียของเราในทุกมิติ เพื่อร่วมฝ่าฟันและผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด“ วัลลภากล่าว

]]>
1268815
คาดคริสต์มาสปีนี้ ค้าปลีก “อังกฤษ” ลดกระหน่ำ 50% ราคาต่ำสุดในรอบ 10 ปี https://positioningmag.com/1257718 Thu, 19 Dec 2019 07:24:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257718 สายช้อปตั้งตารอ หลังเผยผลสำรวจราคาสินค้าและเครื่องแต่งกายของห้างร้านต่างๆ ในอังกฤษในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ ว่าจะมีการลดกระหน่ำกว่า 50% เเละนับเป็นการลดราคาสินค้าที่ถูกที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี

โดย Deloitte บริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ ได้ทำการเก็บข้อมูลราคาสินค้ากว่า 800,000 รายการ จากทั้งที่วางจำหน่ายตามร้านค้าและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2011 คาดการณ์ว่า จะมีการลดราคาสินค้าโดยเฉลี่ยกว่า 50% ในช่วงวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธ.ค.) ซึ่งวิเคราะห์มาจากข้อมูลของ Springboard ผู้ให้บริการข้อมูลที่ชี้ว่า จำนวนนักช้อปปิ้งจะต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018

“เหล่านักช้อปกำลังรอส่วนลดที่มากกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ”

Deloitte ระบุว่า ส่วนลดของสินค้าในปัจจุบันอยู่ที่ 8% ถึง 78% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่สุดสัปดาห์นี้อาจจะได้เห็น “a tipping point in promotions” การลดราคาครั้งใหญ่เพื่อส่งเสริมการขาย ซึ่งเป็นกระแสต่อเนื่องมาจากการลดราคาในวันแบล็กฟรายเดย์ และวันขอบคุณพระเจ้า ที่ผ่านมา ส่งผลให้ร้านค้าต้องอัดโปรโมชั่นลดราคากันอย่างหนักในช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่จะถึงนี้

นอกจากนี้ยังคาดว่า วันหลังวันคริสต์มาสหรือที่เรียกกันว่า “Boxing Day” วันเปิดกล่องของขวัญ (26 ธ.ค.) จะมีส่วนลดของสินค้ามากขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 54% อีกด้วย

การลดราคาอย่างหนักนี้ อีกมุมก็เป็นเรื่องน่ากังวลเช่นกัน โดย Natalie Berg ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าปลีก บอกว่า
“นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของปีสำหรับผู้ค้าปลีก และก็เป็นสัญญาณของความทุกข์ยากด้วย”

เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองและทางเศรษฐกิจในปีนี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นอีกทั้งการลดราคาสินค้าลงอย่างหนักกลับสร้างความกังวลใจให้กับบรรดาผู้ค้าปลีกเช่นกัน ด้วยปัจจัยของจำนวนลูกค้าที่ลดลงส่งผลให้ห้างร้านรายใหญ่ก็ต่างพากันลดราคาสินค้า สร้างความลำบากให้กับผู้ค้าปลีกรายย่อยที่การลดราคาสินค้าอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ แต่หากไม่ลดราคาตามเทรนด์ก็จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้

 

ที่มา : BBC 

]]>
1257718
โค้งท้ายปีก็ยังมีตังค์ช้อป! Lazada ประกาศออเดอร์ 12.12 โต 3 เท่า “AirPods” แชมป์สินค้าขายดี https://positioningmag.com/1256786 Thu, 12 Dec 2019 14:20:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1256786 แคมเปญทำยอดส่งท้ายปี 12.12 เริ่มแล้ว! Lazada ประกาศยอดขาย 1 ชั่วโมงแรกเมื่อคืนนี้มีคำสั่งซื้อเพิ่มจากปีก่อน 3 เท่าตัว “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ยังเป็นสินค้ายอดฮิต แชมเปี้ยนขายมากที่สุดตกเป็นของ AirPods หูฟังจาก Apple

เทศกาลลดราคา 12.12 ของ Lazada ปีนี้จัดยาว 3 วัน 12-14 ธันวาคม 2562 ปั๊มยอดขายชั่วโมงแรก (00.01-01.00 น.) เมื่อคืนที่ผ่านมา พบว่ายอดคำสั่งซื้อโตจากปีก่อน 3 เท่าตัว ทั้งนี้ “สุทธิโรจน์ ทรัพย์สมบัติ” ผู้จัดการอาวุโส ศูนย์คัดแยกสินค้า ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลอด 3 วันของแคมเปญปีนี้ Lazada คาดว่าจะมีการสั่งสินค้ารวม 1.5 ล้านชิ้น

เรามาดูสินค้ายอดฮิตในช่วงชั่วโมงแรกของเทศกาลกันดีกว่า

“3 อันดับหมวดสินค้ายอดขายเชิงมูลค่าสูงสุด”

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
  2. ไลฟ์สไตล์
  3. มือถือ

“3 อันดับหมวดสินค้าจำนวนออเดอร์สูงสุด”

  1. สุขภาพและความงาม
  2. แฟชั่น
  3. ไลฟ์สไตล์

“3 อันดับสินค้าที่มียอดขายสูงสุด”

  1. Apple AirPods (2019 edition)
  2. Apple iPhone 7 Plus (32 GB)
  3. หูฟัง Sennheiser Momentum True Wireless

]]>
1256786