วัสดุก่อสร้าง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 19 Sep 2024 06:08:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สีจระเข้” ท้าชิงตลาด “สีทาบ้าน” อัลตราพรีเมียม เปิดแฟลกชิปสโตร์กรุงเทพกรีฑาดึงลูกค้า B2C https://positioningmag.com/1490846 Thu, 19 Sep 2024 04:54:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490846 “สีจระเข้” ขอท้าชิงตลาด “สีทาบ้าน” ลุยเจาะเฉพาะเซ็กเมนต์ “อัลตราพรีเมียม” ชูจุดขายเทคโนโลยีสีปลอดภัย เปิดแฟลกชิปสโตร์ใหม่ที่สำนักงานใหญ่ ถ.กรุงเทพกรีฑา หวังดึงลูกค้ากลุ่ม B2C เจ้าของสร้างบ้านเอง

บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นบริษัทที่เติบโตมาจากการผลิตกาวซีเมนต์และกาวยาแนว จนปัจจุบันคือผู้นำตลาดอันดับ 1 ในวัสดุก่อสร้างกลุ่มนี้ (*ข้อมูลจากบริษัทจระเข้)

อย่างไรก็ตาม “วรชาติ โชครัศมีดาว” ผู้จัดการฝ่ายบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์สีจระเข้ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า จระเข้เริ่มมีการแตกไลน์ไปสู่สินค้าวัสดุก่อสร้างตัวอื่นอย่าง “สีจระเข้” ซึ่งเป็นสีทาอาคารที่บริษัทเริ่มผลิตเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เริ่มแรกยังจำหน่ายในแบบ B2B ขายตรงเข้าโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก

จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน บริษัทตัดสินใจนำสีจระเข้มาบุกตลาดค้าปลีกให้กับกลุ่ม B2C มีการวางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ และร้านค้าวัสดุก่อสร้าง พร้อมกับการรีแบรนด์แยกกลุ่มสีจระเข้ออกมาจากกลุ่มกาวซีเมนต์อย่างชัดเจน โดยเปลี่ยนโลโก้จากเดิมเป็นตราจระเข้สีเขียว มาเป็นโลโก้มินิมอลสีดำที่สะท้อนเซ็กเมนต์การตลาดระดับ “อัลตราพรีเมียม” ของสีจระเข้

สีจระเข้
“วรชาติ โชครัศมีดาว” ผู้จัดการฝ่ายบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์สีจระเข้ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

 

วางจุดยืน “สีปลอดภัย” บุกอัลตราพรีเมียม

ด้าน “ชินธร อรรถสารประสิทธิ์” ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารแบรนด์ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สีจระเข้เป็นแบรนด์เดียวในตลาดสีทาบ้านขณะนี้ที่ผลิตเฉพาะสีระดับอัลตราพรีเมียม โดยสีจระเข้วางจุดขายของตนเองเป็น “สีปลอดภัย”

กล่าวคือนอกจากจะมีโทนสีและสไตล์ให้เลือกหลายแบบแล้ว จะเน้นเรื่องเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยได้รางวัลการันตีต่างๆ เช่น Cradle to Cradle มาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม, Global Green Tag Health Rate ระดับ Platinum รับรองปลอดสารที่ส่งผลต่อสุขภาพ, Eurofins ระดับ A+ รับรองปลอดภัยจากการระเหยของสารพิษ และ Sensitive Choice โดยสถาบันโรคหอบหืด ประเทศออสเตรเลีย รับรองไม่ให้เกิดอาการแพ้ในระบบทางเดินหายใจ

“ชินธร อรรถสารประสิทธิ์” ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารแบรนด์ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

“ตอนนี้สีปลอดภัยอาจจะเป็นนิชมาร์เก็ต แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะเป็นตลาดที่แมสมากขึ้น เพราะผู้บริโภคยุคนี้เห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพมาก ลูกค้ากลุ่มที่สร้างบ้านเองก็มักจะใส่ใจทุกรายละเอียดของบ้าน แม้แต่สีทาบ้านจะใช้สีแบบไหนก็ต้องการมาเลือกเอง และเขาจะเลือกสีที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น” “พัฒน์ทวี ทันประเสริฐ” ผู้จัดการส่วนบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์สีจระเข้ กล่าวเสริม

ชินธร กล่าวต่อว่า ปีนี้ตลาดสีทาอาคารน่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโต 3-5% จากปีก่อนหน้า โดยที่สัดส่วนของสีระดับอัลตราพรีเมียมมีสัดส่วน 10-20% ในตลาดรวม

สีจระเข้
“พัฒน์ทวี ทันประเสริฐ” ผู้จัดการส่วนบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์สีจระเข้

 

แฟลกชิปสโตร์ใหม่ที่กรุงเทพกรีฑา

ด้านการทำการตลาดกับกลุ่ม B2C พัฒน์ทวีระบุว่าบริษัทจะเน้นการเข้าถึงลูกค้าให้มารู้จักสีจระเข้และได้มาสัมผัสความแตกต่าง โดยล่าสุดบริษัทมีการย้าย “SEE JORAKAY Flagship Store” จากเดิมที่ CDC เลียบด่วนเอกมัยฯ มาอยู่ในสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ ถ.กรุงเทพกรีฑา

ภายในมีพาเลตต์สีและผิวสัมผัสให้เลือกหลายสไตล์ พร้อมหน้าจอให้ทดลองเลือกสีและสร้างลวดลายบนอาคารด้วยสีจระเข้ผ่านระบบ RFID รวมถึงจอภาพให้ชมโครงการที่ใช้สีจระเข้แบบ 360 องศาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

สีจระเข้
SEE JORAKAY Flagship Store ถ.กรุงเทพกรีฑา

นอกจากแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ แล้ว สำหรับลูกค้าภูมิภาคทางสีจระเข้จะมีร้านค้าดีลเลอร์ในหัวเมืองต่างจังหวัด 11 จังหวัดใน 5 ภาค ได้แก่ เชียงใหม่, นครราชสีมา, นครปฐม, กาญจนบุรี, ชลบุรี, ระยอง, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ภูเก็ต, สงขลา และยะลา ให้ลูกค้าเข้าไปชมแบบสีและซื้อสินค้าได้

พัฒน์ทวีกล่าวด้วยว่า ปีนี้สีจระเข้มีโครงการประกวดเพื่อผลักดันด้านการตลาดในระดับประเทศด้วยในโครงการ “SEE JORAKAY Sculpture Design Contest” เวทีที่เปิดให้นักศึกษาออกแบบประติมากรรมด้วยสีสร้างลายจาก “สีจระเข้” เพื่อชิงเงินรางวัล 250,000 บาท และได้นำมาตั้งแสดงจริงในสำนักงานใหญ่จระเข้ โดยล่าสุดมีนักศึกษาส่งประกวดแล้วกว่า 137 ผลงาน เตรียมตัดสินรอบไฟน่อลในงานบ้านและสวนแฟร์วันที่ 25 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายนนี้

ข้อมูลจาก Creden Data ระบุว่า เมื่อปี 2566 บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำรายได้ไปกว่า 3,700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 373 ล้านบาท ชินธรคาดว่าปี 2567 นี้จระเข้น่าจะทำรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 8% จากปีก่อน

]]>
1490846
“ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม พระราม 3” ปักหมุดสาขาแรกกลางกรุงเทพฯ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างโตดี เพราะซ่อมบ้านรอไม่ได้ https://positioningmag.com/1483998 Thu, 25 Jul 2024 10:11:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483998
  • “ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม พระราม 3” สาขาแรกที่ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เปิดในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน บุกด้วยรูปแบบร้าน “ไฮบริด” ตอบโจทย์ทั้งผู้รับเหมาและเจ้าของบ้าน
  • มองตลาดวัสดุก่อสร้างภาพรวมทรงตัว แต่ไทวัสดุยังเติบโตต่อเนื่องเพราะเป็นร้านค้าปลีกที่เน้นกลุ่มซ่อมแซมบ้าน ซึ่งเรื่องซ่อมบ้านเป็นเหตุฉุกเฉินที่ลูกค้ารอไม่ได้
  • “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดตัวร้านสาขาล่าสุด “ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม พระราม 3” ตั้งอยู่บนถนนพระราม 3 ช่วงใกล้สะพานพระราม 9 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนที่ดินเนื้อที่ 19 ไร่ พื้นที่ขาย 20,000 ตร.ม. โดยเป็นไทวัสดุแห่งแรกที่มีอาคารจอดรถ 4 ชั้น รองรับรถยนต์ได้ 450 คัน

    สาขานี้นับเป็นสาขาที่ 101 ของซีอาร์ซี ไทวัสดุ (สาขาที่ 84 ของไทวัสดุ และสาขาที่ 17 ของบีเอ็นบี โฮม) และยังเป็นสาขาแรกที่บุกใจกลางกรุงเทพฯ จากเดิมในเขตกรุงเทพฯ จะมีสาขาไทวัสดุเฉพาะย่านชานเมือง เช่น สาขาพระราม 2, สุขสวัสดิ์, ถ.นวมินทร์ หรือออกไปในเขตจังหวัดปริมณฑล เช่น สาขาบางนา, แจ้งวัฒนะ, บางใหญ่ ถือเป็นการปักหมุดความสำเร็จตามกลยุทธ์ ‘ป่าล้อมเมือง’ ของไทวัสดุ

    ไทวัสดุ
    “ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม พระราม 3”

    เป้าหมายของสาขาใหม่บน ถ.พระราม 3 เชื่อว่าจะตอบโจทย์ประชากรโดยรอบที่อาศัยอยู่กว่า 200,000 ครัวเรือนในพื้นที่ตั้งแต่ย่านพระราม 3 เจริญกรุง นางลิ้นจี่ สีลม สาทร พระราม 4 ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่มีกำลังซื้อสูง เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงลักชัวรี รวมถึงมีศูนย์การค้า, คอมมูนิตี้ มอลล์, โรงเรียนเอกชน, อาคารสำนักงาน อีกหลายแห่งที่จะเกิดดีมานด์ต้องการซ่อมแซม ต่อเติม ก่อสร้าง และแต่งบ้าน

    สาขานี้เป็นร้านในรูปแบบ “ไฮบริด” หรือ “White Format” มีทั้งไทวัสดุ และ บีเอ็นบี โฮม ในทำเลเดียว ภายในมีสินค้ากว่า 50,000 รายการ แบ่งสัดส่วนสินค้า 40% เป็นสินค้ากลุ่ม Hard DIY (วัสดุก่อสร้าง, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ประปา, เครื่องมือช่าง ฯลฯ) และ 60% เป็นสินค้ากลุ่ม Soft DIY (ของแต่งบ้าน, เฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์จัดเก็บ ฯลฯ)

    ไทวัสดุ

     

    ครึ่งปีหลังคาดเปิดใหม่ 2-3 สาขา

    สำหรับการเปิดสาขาใหม่ของซีอาร์ซี ไทวัสดุ ปี 2567 ช่วงครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 4 สาขา ได้แก่ 1.ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาอุดรธานี กุดสระ 2.ไทวัสดุ สาขาอรัญประเทศ 3.ไทวัสดุ สาขาสระแก้ว และ 4.ไทวัสดุ สาขาแกลง

    ในครึ่งปีหลังประเดิมสาขาที่ 5 คือ ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาพระราม 3 ที่เพิ่งเปิดใหม่นี้ โดยสุทธิสารกล่าวต่อถึงแผนของปีนี้ว่า ในครึ่งปีหลังจะมีการเปิดสาขาใหม่อีก 2-3 สาขา เช่น สาขาอุทัยธานี, แพร่, กาฬสินธุ์ และจะมีการรีโนเวตเปลี่ยนรูปแบบอีก 2-3 สาขา เช่น ไทวัสดุ สาขาสุขาภิบาล 3 จะเปลี่ยนเป็น White Format เพิ่มส่วนบีเอ็นบี โฮม

    รูปแบบร้าน White Format ผสมผสาน ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม

    รูปแบบ White Format ของซีอาร์ซี ไทวัสดุเริ่มทดลองสาขาแรกที่ จ.ภูเก็ต มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งได้รับผลตอบรับดี ช่วยขยายฐานลูกค้า ทำให้บริษัทวางกลยุทธ์ขยายสาขารูปแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โดยพระราม 3 เป็นสาขาที่ 11 ที่เปิดในแบบ White Format

    “วิธีเลือกทำเลที่จะเปิดแบบ White Format คือเป็นสาขาที่ได้ลูกค้ากลุ่มคนเมืองหรืออยู่ในแหล่งท่องเที่ยว เพราะกลุ่มนี้จะต้องการสินค้าที่มากกว่าวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน ต้องการของตกแต่ง มีดีไซน์ แบบในบีเอ็นบี โฮม” สุทธิสารกล่าว

     

    ซ่อมบ้านรอไม่ได้ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างยังโตต่อ

    ด้านภาพรวมสภาวะตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างปี 2567 สุทธิสารกล่าวว่า ภาพรวมไม่ได้หวือหวาตามสภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มบ้านสร้างใหม่ชะลอตัว

    อย่างไรก็ตาม เฉพาะกลุ่มร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างยังเติบโตได้ต่อเนื่องเพราะจับตลาดซ่อมแซมบ้านมากกว่าสร้างใหม่ และกลุ่มซ่อมแซมบ้านเป็นกลุ่มจำเป็นฉุกเฉิน โดยเฉพาะฤดูฝนแบบนี้มีดีมานด์สูงเพราะต้องซ่อมหลังคา สำหรับซีอาร์ซี ไทวัสดุเองยอดขายเติบโตดีเช่นกัน และโตได้ทั้งจากอัตราเติบโตยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) และจากการเปิดสาขาใหม่

    “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล

    ขณะที่ บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ โกลบอลเฮ้าส์ ดูโฮม และ โฮมโปร ในช่วงไตรมาส 2/2567 คาดการณ์ว่า SSSG ของกลุ่มค้าปลีกปรับปรุงบ้านจะติดลบประมาณ -5% YoY เพราะความเชื่อมั่นการบริโภคอ่อนแอและการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐล่าช้า แต่ในแง่การทำกำไรคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น 7% YoY จากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์บางตัว เช่น เหล็ก

    บล.กสิกรไทยคาดการณ์ด้วยว่า ทิศทางไตรมาส 3/2567 กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ เพราะเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ

    เป้าหมายของซีอาร์ซี ไทวัสดุนั้นต้องการจะเติบโตแบบก้าวกระโดด จากเมื่อปี 2566 ทำรายได้ไป 40,000 ล้านบาท สุทธิสารเคยประกาศเป้าไว้ว่าจะเพิ่มรายได้เป็น 70,000 ล้านบาทภายในปี 2571 ผ่านการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

    ไทวัสดุ

    ]]>
    1483998
    SCGD ตั้งเป้าโต 2 เท่าภายใน 6 ปี! โหมตลาดกระเบื้อง-สุขภัณฑ์ใน “เวียดนาม” ลุยสร้างโรงงานเพิ่ม https://positioningmag.com/1470826 Tue, 23 Apr 2024 10:05:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470826
  • ผลการดำเนินงาน SCGD ไตรมาส 1/67 รายได้หด -6.1% แต่กำไรเติบโต 28.4% จากการควบคุมต้นทุน และการขายสินค้ากลุ่มกำไรสูงได้มากขึ้น
  • ปี 2567 เคาะลงทุนไลน์ผลิตกระเบื้องเพิ่มที่โรงงานหนองแค จ.สระบุรี และลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเพื่อลดต้นทุนลงอีก
  • แผนระยะยาวต้องการทำรายได้โต 2 เท่า ภายในปี 2573 โดยจะเร่งยอดขายกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในอาเซียน โดยเฉพาะ “เวียดนาม” ที่มีแผนจะสร้างโรงงานเพิ่ม
  • “นำพล มลิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ของ SCGD ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,784 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -6.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทำกำไรได้ 258 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (หากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ในปีก่อนหน้า)

    เป็นผลมาจากบริษัทสามารถยืนราคาขายสินค้ากระเบื้องและสุขภัณฑ์ไว้ได้ และยังขายสินค้ากลุ่มที่มีกำไรสูงได้มากขึ้น ประกอบกับมีการลดต้นทุนค่าพลังงานด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์และโครงการ Hot Air Generator รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตมาก่อนหน้านี้ ทำให้มีต้นทุนที่ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา

    “นำพล มลิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD

    เมื่อคำนึงถึงสภาวะตลาดรวมของกระเบื้อง วัสดุปิดผิว และสุขภัณฑ์ ทั้งในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักของ SCGD มีสภาวะที่ยังอยู่ในระยะติดลบ ยังไม่ฟื้นตัว แต่บริษัทสามารถทำกำไรสวนตลาดได้จึงถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ

    สำหรับเหตุการณ์ที่น่าจับตาในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้คือเหตุการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งนำพลระบุว่ามีผลกระทบต่อยอดขายของ SCGD ที่ส่งออกไปเมียนมาอยู่บ้างแต่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากช่องทางการกระจายสินค้าผ่านทางเมียวดีและแม่สอดถูกปิด ทำให้บริษัทต้องหาทางกระจายสินค้าผ่านด่านอื่นทดแทน

     

    อนุมัติลงทุนโซลาร์เซลล์-ไลน์ผลิตกระเบื้อง

    ด้านความคืบหน้าการลงทุนที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ของ SCGD และคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ทั้งหมด ได้แก่

    1.โครงการติดตั้ง Hot Air Generator เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่โรงงานในประเทศไทยอีก 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้

    2.โครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC (กระเบื้องยางลายไม้) โดยจะเริ่มผลิตกระเบื้องไวนิล SPC สำหรับป้อนตลาดในประเทศไทยได้ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี

    3.โครงการไลน์ผลิตสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน และ กระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 2.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศเวียดนาม

    4.โครงการการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2567

    SCGD
    ตัวอย่างสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลนจาก COTTO

    นำพลกล่าวต่อว่า เมื่อไตรมาสที่ 1 ทางบริษัท SCGD มีการอนุมัติการลงทุนมูลค่ารวม 290 ล้านบาท ใน 3 โครงการ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดังนี้

    1.โครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ 5.5 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 140 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2568

    2.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า เงินลงทุน 70 ล้านบาท โดยการติดตั้งระบบบริหารคลังสินค้าและรถยกระบบอัตโนมัติ

    3.โครงการไลน์การผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ที่หนองแค เงินลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในสิ้นปี 2567

     

    แผนระยะยาว ปี 2573 ตั้งเป้ารายได้โต 2 เท่า

    นำพลประเมินตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในอาเซียนว่า ถึงแม้เมื่อไตรมาสที่ 1 จะยังอยู่ในช่วงซบเซา แต่มองว่าในอนาคตภูมิภาคนี้จะมีเศรษฐกิจที่เติบโตแน่นอน และจะทำให้ตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์โตได้ปีละ 4-5%

    SCGD จึงตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 บริษัทจะทำรายได้โต 2 เท่า หรือขึ้นไปแตะปีละ 60,000 ล้านบาท และจะเติบโตด้วย 4 กลยุทธ์ ดังนี้

    1.ธุรกิจกระเบื้องและวัสดุปูพื้นและผนัง

    – เตรียมขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่สูงนัก

    – เพิ่มสินค้าประเภทกำไรสูงและมีนวัตกรรมให้มากขึ้น เช่น กระเบื้องยางลายไม้ (SPC), กระเบื้องพอร์ซเลน, กระเบื้องทนแรงขูดขีด (X-Strong), กระเบื้องที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง ลดการเสื่อมของข้อเท้าและการลื่นล้ม (Paw & Play)

    – เพิ่มสินค้าวัสดุตกแต่งพื้นและผนังให้มากขึ้น เช่น วัสดุปิดผิวบันได วัสดุตกแต่งผนัง

    – ขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย

    สินค้าเก็บงานให้ครบวงจร เช่น คิ้วกระเบื้อง จมูกบันได

    2.ธุรกิจสุขภัณฑ์

    – ตั้งเป้ารายได้ที่มาจากธุรกิจสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่าเป็นปีละ 10,000 ล้านบาท

    – เพิ่มตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ ต่อยอดช่องทางจัดจำหน่าย โดยในเวียดนามจากเดิม 17 รายเป็น 39 ราย ฟิลิปปินส์จากเดิม 78 รายเป็น 85 ราย และอินโดนีเซียจากเดิม 28 ราย เป็น 37 ราย

    SCGD
    QUIL by COTTO แบรนด์สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำระดับพรีเมียม

    3.ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง

    SCGD มีการขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอบโจทย์ให้ครบวงจร เช่น กาวและยาแนว ประตู หน้าต่าง ชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว และอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้สามารถทำยอดขายได้มากกว่าปีละ 300 ล้านบาทแล้ว

    4.M&P (Merger & Partnership) ควบรวมกิจการและสร้างความร่วมมือ

    SCGP มีแนวทางธุรกิจที่จะควบรวมกิจการ หรือสร้างความร่วมมือกับเจ้าของกิจการเดิม ในธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ธุรกิจสุขภัณฑ์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

    อัตราการทำกำไรของ SCGP เป็นประเด็นที่นักลงทุนจับตา เพราะในปี 2566 อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 1.64% เท่านั้น แต่จากการลงทุนเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งหมด ทำให้เมื่อไตรมาส 1/67 บริษัทสามารถทำอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 3.80% ได้แล้ว และนำพลเชื่อว่าจากโครงการลดต้นทุนที่ยังมีต่อเนื่องจะทำให้บริษัทลดต้นทุนได้มากกว่านี้ในอนาคต

    ]]>
    1470826
    “โฮมโปร” ประกาศเป้า 5 ปี มุ่งสู่ยอดขาย “1 แสนล้าน” ขยายทะลุ 170 สาขา https://positioningmag.com/1460400 Fri, 26 Jan 2024 06:34:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460400
  • “โฮมโปร” ประกาศเป้าหมาย 5 ปี มุ่งสู่ยอดขาย “1 แสนล้าน” เตรียมงบลงทุน 2-3 หมื่นล้านบาท ปักหมุดสาขาเพิ่มทะลุ 170 สาขา ลงทุนคลังสินค้าอีก 1 แสนตร.ม. และพัฒนาเทคโนโลยีหลังบ้าน
  • อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดปี 2567 คาดยังซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจ หวังมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐช่วยพยุง เช่น ลดหย่อนภาษี Easy e-Receipt
  • “วีรพันธ์ อังสุมาลี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร ประกาศแผนและเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าของบริษัท วางเป้าเป็นผู้นำธุรกิจ “Home Solution and Living Experience” ของไทย ทำยอดขายไปแตะ “1 แสนล้านบาท” จากเมื่อปี 2566 คาดยอดขายทั้งปีปิดที่กว่า 68,000 ล้านบาท

    โดยกลยุทธ์เพื่อไปสู่เป้าหมาย โฮมโปรจะพัฒนา “3S” คือ การเชื่อมต่อทุกช่องทาง อย่างไร้ขอบเขต (Synergized Omnichannel), การสร้างประสบการณ์พิเศษเฉพาะคุณ (Superior Experiences) และ การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (Sustainable Innovation)

    “วีรพันธ์ อังสุมาลี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)

     

    ลงทุนเพื่อขยายให้ทะลุ 170 สาขา

    ในแง่ของช่องทางการขายและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุน วีรพันธ์กล่าวว่า โฮมโปรจะมีการลงทุน 2-3 หมื่นล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายสาขา ขยายคลังสินค้า และพัฒนาด้านเทคโนโลยีหลังบ้าน

    โดยจำนวนสาขาปัจจุบันมีทั้งหมด 127 สาขาในไทย (*ไม่รวม 7 สาขาในประเทศมาเลเซีย) บริษัทต้องการขยายเพิ่มอีกให้ครบ 170 สาขาภายใน 5 ปี

    ด้านศูนย์กระจายสินค้าของโฮมโปรปัจจุบันมีพื้นที่ 373,795 ตร.ม. ต้องการจะขยายอีก 100,000 ตร.ม. เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ

    เมกาโฮม ปลวกแดง จ.ระยอง

    ภายใต้การบริหารของโฮมโปร ปัจจุบันวางรูปแบบร้านค้าไว้ทั้งหมด 3 แบบ คือ

    • โฮมโปร (Homepro) ร้านค้าสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ มีลูกค้าหลักคือกลุ่มเจ้าของบ้าน (Home Owner)
    • เมกาโฮม (Megahome) ร้านขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง มีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มช่างมืออาชีพ
    • ไฮบริด (Homepro x Megahome) เป็นรูปแบบผสมมีทั้งโฮมโปรและเมกาโฮมในพื้นที่เดียวกัน ทำให้จับเป้าหมายลูกค้าได้ทั้งเจ้าของบ้านและกลุ่มช่าง
    ร้านรูปแบบไฮบริด โฮมโปร x เมกาโฮม สาขาเจ้าฟ้า จ.ภูเก็ต

    “รักพงศ์ อรุณวัฒนา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์ และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า ส่วนแบ่งยอดขายของบริษัทขณะนี้ 81% มาจากร้านโฮมโปร 18% มาจากเมกาโฮม และ 1% มาจากยอดขายต่างประเทศ

    การเติบโตในอนาคต 5 ปีของโฮมโปรจะขยายทั้ง 3 รูปแบบ โดยเฉพาะแบบไฮบริดขณะนี้ทดลองเปิดไปแล้ว 2 สาขาที่ ขอนแก่น กับ ภูเก็ต ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้จะมีการเปิดสาขาในลักษณะนี้เพิ่มขึ้น

    “เราเชื่อว่า 5 ปีต่อจากนี้ตลาดน่าจะใหญ่ขึ้น เพราะทุกคนต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมืองจะมีการขยายตัว ซึ่งโฮมโปรจะขยายสาขาได้ตามการเติบโตของเมืองใหญ่ เช่น ขณะนี้เรามีโฮมโปรในชลบุรีถึง 7 สาขา ในเชียงใหม่มี 3 สาขา เพราะเมืองมีการขยายออกไป” รักพงศ์กล่าว “ถ้าให้มองก็จะคล้ายๆ กลุ่มฟู้ดรีเทลที่มีพื้นที่ขยายได้ต่อเนื่อง ร้านค้าโมเดิร์นเทรดยังโตต่อได้ ส่วนการแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องแข่งขัน”

     

    กระตุ้นการซื้อด้วยโครงการ “เก่าแลกใหม่”

    นอกจากการขยายสาขาแล้ว โฮมโปรยังต้องการเพิ่มยอดขายต่อสาขาให้มากขึ้นด้วย ทำให้มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มาดึงดูดลูกค้า เช่น โครงการ “Trade In – แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” นำของเก่ามาแลกรับส่วนลดสูงสุด 5,000 บาทในการซื้อสินค้าใหม่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น โครงการนี้รักพงศ์ระบุว่าได้ผลเกินคาดเพราะทำยอดขายผ่านโครงการได้เกินกว่า 2,000 ล้านบาท

    ในปีนี้โฮมโปรจึงมีการต่อยอดในเชิงสิ่งแวดล้อมกับโครงการ “Closed Loop Circular Appliances” นำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ลูกค้าโฮมโปรนำมาแลกไปรีไซเคิล โดยร่วมกับพันธมิตรเพื่อรับเม็ดพลาสติกที่ผ่านการรีไซเคิลไปใช้ผลิตสินค้าจริง ได้แก่ Haier, Toshiba และ Venz

    อีกกลยุทธ์ที่จะใช้กระตุ้นการซื้อคือ “เพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่” เน้นไปที่กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพผู้สูงวัย เช่น วีลแชร์ เตียงนอน ราวจับในห้องน้ำ และกลุ่มสินค้าแม่และเด็กด้วย

     

    ปี 2567 มองตลาดยังซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจ

    เฉพาะแผนงานในปี 2567 รักพงศ์กล่าวว่าจะมีการเปิดใหม่ 6-8 สาขา กระจายไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยในจำนวนนี้จะมี 2 สาขาที่เป็นรูปแบบไฮบริด

    ด้านการเติบโตของปีนี้ วีรพันธ์มองว่าตามภาพรวมทางเศรษฐกิจอาจจะโตได้ไม่มาก ขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล

    “อย่างต้นปีนี้เรามีลดหย่อนภาษีด้วย Easy e-Receipt คนละ 50,000 บาท จะต่างจากปีก่อนคือเป็น e-Tax ทั้งหมด ทำให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีน้อยลง แต่โฮมโปรเป็นหนึ่งในร้านที่ร่วมรายการ ทำให้เราเชื่อว่าเราจะได้อานิสงส์มากขึ้นกว่าปี 2566” วีรพันธ์กล่าว

    ]]>
    1460400
    ขึ้นอีก! “กระเบื้อง-สุขภัณฑ์” จะปรับราคาเพิ่มอีก 5% ‘COTTO’ อ่วมต้นทุนค่าไฟ กำไรปี’65 หดแรง https://positioningmag.com/1416603 Wed, 25 Jan 2023 07:08:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416603
  • COTTO รายงานผลประกอบการปี 2565 รายได้เติบโต 17% แต่บรรทัดสุดท้ายขาดทุน 228 ล้านบาท จากการต้องหยุดสายการผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนค่าไฟฟ้า-ก๊าซยังสูงขึ้นต่อเนื่อง
  • คาดว่าปี 2566 จะยังต้องปรับราคาสินค้า “กระเบื้อง-สุขภัณฑ์” อีก 5% เพื่อให้สะท้อนต้นทุนค่าไฟฟ้า
  • ขณะที่ภาพรวมตลาดสัญญาณไม่ดี ยังทรงๆ ทั้งภายในประเทศและตลาดส่งออก
  • ปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนของ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีผลโดยอ้อมแต่กระทบเต็มๆ กับการผลิตสินค้ากลุ่มกระเบื้อง-สุขภัณฑ์ เริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีก่อน และหนักที่สุดในช่วงไตรมาส 4

    “นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ COTTO สรุปผลประกอบการปี 2565 ของบริษัท ทำรายได้รวม 13,157 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อนหน้า แต่บริษัทขาดทุน 228 ล้านบาท ลดลง -139% เทียบกับปีก่อนหน้า

    “นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ COTTO

    เหตุที่ขาดทุนหนักมาจากไตรมาสสุดท้ายซึ่งบริษัทต้องหยุดสายการผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตไม่ได้ จึงเป็นการขาดทุนทางบัญชี แต่กระแสเงินสดยังคงปกติ

    ถึงแม้ว่าจะหักรายการสำคัญ (Key Items) ดังกล่าวออก กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังลดลง -13% จากปีก่อนหน้า เหลือ 469 ล้านบาท เพราะต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงจากการขึ้นค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซธรรมชาติ กระทบหนักที่สุดในช่วงไตรมาส 4/2565

    ช่วงไตรมาสสุดท้ายเองยังเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดด้วย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่กำลังซื้อเริ่มลดลง รวมถึงตลาดส่งออกหลักของบริษัท คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา (CLM) ชะลอการนำเข้าสินค้าเนื่องจากความผันผวนของค่าเงินแลกเปลี่ยน

    กำไรของ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ ปี 2565

    ปรับราคาขึ้นอีก 5% ตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้

    นำพลกล่าวต่อว่า จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น บริษัทมีการดำเนินงานหลายประการเพื่อรับมือวิกฤตไปแล้ว เช่น

    • เริ่มปรับปรุงสายการผลิตและเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงาน
    • มีการติดตั้งแหล่งพลังงานโซลาร์ในโรงงานเพื่อลดค่าไฟฟ้า
    • ปรับราคาขึ้น โดยปรับขึ้นไปแล้วเฉลี่ย 10% ในช่วงปี 2565 ทั้งนี้ ยังไม่สามารถปรับราคาได้ทุกรายการ เพราะราคายังต้องแข่งขันได้กับสินค้าที่มีผู้นำเข้า
    • ผลักดันกลุ่มสินค้านวัตกรรม เพื่อหนีจากการแข่งขันกับตลาดผู้นำเข้า
    COTTO
    สินค้ารักษ์โลก Eco Collection ใช้ทรัพยากรรีไซเคิล 80% ของวัสดุที่ใช้ผลิต

    ปี 2566 ก็จะยังเห็น COTTO ต่อสู้กับวิกฤตค่าพลังงาน เพราะเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้ค่าไฟฟ้าจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง และค่าก๊าซธรรมชาติจะยังทรงตัวในระดับสูง ต้องรอดูครึ่งปีหลังว่าค่าพลังงานจะมีทีท่าปรับลดหรือไม่

    บริษัทจึงมีการตั้งงบลงทุน 400-450 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนในโครงการลดพลังงาน เช่น การติดตั้งโซลาร์เพิ่มเติม และปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อลดการใช้พลังงานเพิ่มอีก

    ส่วนการปรับราคาสินค้าขึ้นนั้น เนื่องจากต้นทุนพลังงานทั้งหมดที่ขึ้นมาจนถึงขณะนี้คิดเป็นประมาณ 15% ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมา 10% เมื่อปีก่อนยังไม่สะท้อนต้นทุนทั้งหมด จึงจะมีการทยอยปรับราคาขึ้นอีกประมาณ 5% เริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้

     

    สัญญาณตลาดไม่ดี ปี’66 ยังเหนื่อย

    ด้านภาพรวมตลาดปี 2566 นำพลมองว่า ตลาดรวมปีนี้น่าจะ ‘ไม่โต’ หรือโตน้อย เพราะถึงแม้ว่ากลุ่มดีเวลอปเปอร์จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ แต่ตลาดรายย่อย กลุ่มสร้างบ้านหรือซ่อมแซมบ้านจะหดตัวลง (ยกเว้นในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่น่าจะมีการปรับปรุงโรงแรมเพื่อตอบรับการท่องเที่ยว) เมื่อถัวเฉลี่ยกันแล้วจึงทำให้ตลาดไม่เติบโตมากนักในแง่ปริมาณการขาย

    ส่วนภาคการส่งออก เชื่อว่าครึ่งปีแรกจะยังมีปัญหาเดิมต่อเนื่องคือประเทศ CLM ชะลอนำเข้าจากค่าเงินที่ผันผวน ต้องรอติดตามครึ่งปีหลังอีกครั้ง

    สำหรับ COTTO ปี 2566 จึงมองว่าปริมาณการขายไม่น่าจะเติบโตมากนัก แต่ตัวเลขรายได้น่าจะโต 5% จากการปรับขึ้นราคา ส่วนกำไรจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการลดต้นทุน ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถฝ่าวิกฤตพลังงานไปได้

    ]]>
    1416603
    ปีหน้าเจอกัน! ‘Design Village’ สองสาขาใหม่ “บางนา-รัชดา” บุญถาวรจับไลฟ์สไตล์คนรักบ้าน https://positioningmag.com/1411451 Wed, 07 Dec 2022 12:21:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411451 Design Village สามสาขาแรกพิสูจน์โมเดลธุรกิจนี้มาถูกทาง ทำให้ “บุญถาวร” ลงทุน 1,000 ล้านบาท รีโนเวตสองสาขาที่ “บางนา-รัชดา” พร้อมเปิดบริการปี 2566 ดึงพันธมิตรรายใหญ่เป็น ‘แม่เหล็ก’ ในโครงการ เช่น Gourmet Market, Starbucks, Uniqlo เจาะพฤติกรรมผู้บริโภคมาเดินช้อปของตกแต่ง-ต่อเติมบ้านพร้อมกับการพักผ่อน ช้อปปิ้ง ทานอาหาร

    โครงการ Design Village ของบุญถาวรนั้นเริ่มเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2561 ที่สาขาราชพฤกษ์ ตามด้วยสาขาพุทธมณฑลในปี 2562 และสาขาเกษตร-นวมินทร์ปี 2564 ปัจจุบันทั้งสามสาขาทำรายได้รวมกันปีละ 4,500 ล้านบาท และมีลูกค้าใช้บริการเฉลี่ยวันละ 20,000 คน

    ข้อมูลข้างต้นจาก “สิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญถาวร กรุ๊ป จำกัด สะท้อนให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี ตอบโจทย์ผู้บริโภคเพราะเทรนด์ใหม่ของคนรักบ้านนอกจากจะมาช้อปปิ้งของแต่งบ้านหรือต่อเติมบ้าน ยังต้องการไลฟ์สไตล์เข้ามารองรับ เช่น ช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่น ทานอาหาร

    “สิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญถาวร กรุ๊ป จำกัด และ “สาโรจน์ เจิมธเนศ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร แอสเซท จำกัด

    ปี 2566 บริษัทจึงมีการลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อเปิด Design Village เพิ่มอีก 2 สาขาที่ “บางนา” และ “รัชดา” โดยเป็นการรีโนเวตจากสาขาเดิมของบุญถาวร ได้แก่ บุญถาวร สุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ริมถนนบางนา-ตราด เยื้องเมกา บางนา และบุญถาวร รัชดา ใกล้กับ MRT รัชดาภิเษก

    สำหรับ Design Village สาขาบางนา จะพร้อมเปิดบริการเดือนเมษายน 2566 และสาขารัชดา จะพร้อมเปิดบริการเดือนกันยายน 2566

     

    แบรนด์ดัง ‘แม่เหล็ก’ ดึงคนเข้าโครงการ

    “สาโรจน์ เจิมธเนศ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร แอสเซท จำกัด ผู้ดูแลการพัฒนาและบริหารโครงการ Design Village กล่าวถึงรายละเอียดของแต่ละสาขา ดังนี้

    • สาขาบางนา

    มีเนื้อที่รวม 30 ไร่ ริมถนนบางนา-ตราดซึ่งถือเป็นทำเลสำคัญ เพราะภายในรัศมี 5 กม.รอบโครงการ มีหมู่บ้านมากกว่า 180 แห่ง มีบ้านเรือน 42,000 หลังคาเรือน ภายในโซนบางพลี บางแก้ว จนถึงเขตประเวศ โอกาสการขายสินค้าเกี่ยวกับบ้านมีสูง

    Design Village บางนา

    สาขานี้ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ ‘super accessible’ โครงการมีทางเข้าออกหลายจุด ลูกค้าสามารถจอดรถหน้าร้านที่ต้องการหรือบริเวณใกล้เคียงเพื่อเดินเข้าร้านต่างๆ ได้ง่าย ไม่ต้องเดินผ่านโถงทางเข้าหลัก โดยรอบโครงการมีที่จอดรถให้ 600 คัน เพื่อความสะดวกสบาย

    ปัจจุบันบุญถาวรปิดการขายพื้นที่เช่าสาขานี้ได้แล้ว 80% มีพันธมิตรแบรนด์ดังที่เข้ามา เช่น Gourmet Market, Starbucks, Uniqlo

     

    • สาขารัชดา

    มีเนื้อที่รวม 14 ไร่ บนถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับ MRT รัชดาภิเษก ซึ่งถือเป็นย่านนิวซีบีดีของกรุงเทพฯ แวดล้อมด้วยคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน และมีแนวโน้มการเติบโตของแหล่งที่อยู่อาศัย

    สาขานี้จะแบ่งออกเป็น 3 อาคาร และมีคอนเซ็ปต์ต่างจากสาขาอื่นเพราะเป็น ‘Design Business District’ มีส่วนที่จัดไว้สำหรับเป็น co-working space พื้นที่จัดการประชุม-สัมมนา จัดอีเวนต์เปิดตัวสินค้าด้วย โดยสาขานี้จะมี Starbucks บริการเช่นกัน

    Design Village
    Design Village สาขารัชดา

    หลังการเปิดสาขาเพิ่มครบ 5 สาขา บุญถาวรตั้งเป้าปี 2566 โครงการ Design Village รวมทั้ง 5 สาขาจะสามารถสร้างยอดขายรวม 11,000 ล้านบาท

     

    อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

    ]]>
    1411451
    “CRC ไทวัสดุ” โหมบุกตลาด! วางเป้า 10 ปีข้างหน้าโตปีละ 18% ขยายสาขาพรึบชิงมาร์เก็ตแชร์ https://positioningmag.com/1383065 Wed, 27 Apr 2022 08:27:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383065
  • “CRC ไทวัสดุ” กางเป้าหมายบริษัทช่วง 10 ปีข้างหน้าต้องการทำรายได้โตเฉลี่ยปีละ 18% และกำไรโตเฉลี่ยปีละ 30%
  • ปีนี้วางงบลงทุน 7,000 ล้านบาท กระหน่ำขยายสาขาทั้งไทวัสดุ, บีเอ็นบี โฮม, ออโต้วัน และ โก! ว้าว จากทั้งเครือขณะนี้มี 95 สาขา สิ้นปี 2565 จะเพิ่มเกือบเท่าตัวเป็น 183 สาขา
  • วางแผนลดต้นทุนทำกำไร ติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกสาขา เปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) ครึ่งหนึ่งของฟลีทรถขนส่งทั้งหมด
  • คาดปี 2565 ตลาดวัสดุก่อสร้างกระเตื้อง 2-3% แต่ CRC ไทวัสดุตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 13% จากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
  • ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบ้านในเครือเซ็นทรัลรีเทลกำลังจะกลับมาโหมตลาดอีกครั้ง หลังผ่อนคันเร่งลงไปในช่วง COVID-19 โดย “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ประกาศเป้าหมายในอนาคต บริษัทต้องการชิงอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ผ่านแผนการการลงทุน พัฒนาธุรกิจ และลดต้นทุนหลายกลยุทธ์

    เป้าหมายในเชิงตัวเลขของซีอาร์ซี ไทวัสดุช่วง 10 ปีต่อจากนี้ คือการทำรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 18% และทำกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% จากเมื่อปี 2564 บริษัททำรายได้มากกว่า 30,000 ล้านบาท เป้าหมายเหล่านี้ถือเป็นตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่เพิ่งฟื้นจากโรคระบาด

    “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด

    บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุเริ่มก่อตั้งจากวิสัยทัศน์ของสุทธิสารที่เล็งเห็นโอกาสในตลาดเมื่อปี 2553 เริ่มต้นจากร้าน “ไทวัสดุ” สาขาแรกใน อ.บางบัวทอง ก่อนจะขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมกับแตกแบรนด์ใหม่ๆ ออกมา ได้แก่ “บ้าน แอนด์ บียอนด์” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บีเอ็นบี โฮม) ขายของตกแต่งบ้านประเภท Soft DIY, “วีฟิกซ์” แผนกบริการงานช่างให้ลูกค้า, “ออโต้วัน” ธุรกิจซ่อมรถ ดูแลรถ และ “โก! ว้าว” (Go! Wow) ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปี 2564

    สุทธิสารกล่าวว่า เป้าหมายที่วางไว้จะไปถึงได้ด้วย 5 กลยุทธ์ ดังนี้

    1. Thriving ขยายสาขา
    2. Omnichannel ผสมผสานการขายออฟไลน์และออนไลน์ เปิดแอปพลิเคชันไทวัสดุ เพิ่มฟีเจอร์ให้การซื้อชุดครัว หลังคา เหล็ก ทำได้ง่ายขึ้น และตั้งเป้าเพิ่มยอดขายออนไลน์ 150%
    3. Supply Chain & Logistics Expansion ขยายคลังสินค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า
    4. Driving Sustainability ทำต่อเนื่องในด้านการสนับสนุน “คน” ทุกกลุ่ม ทั้งผู้พิการ ผู้สูงอายุ นักศึกษา และพัฒนาสิ่งแวดล้อม ชุมชนบ้านเกิดพนักงาน
    5. New Market Penetration ชูโรงธุรกิจออโต้วันและโก! ว้าวให้มากขึ้น

     

    สาขารวมโตเกือบเท่าตัวในปีเดียว!

    เจาะกลยุทธ์แต่ละส่วนที่น่าสนใจ ปีนี้ซีอาร์ซี ไทวัสดุเตรียมงบลงทุนถึง 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้กับการซื้อที่ดิน ขยายสาขา รีโนเวตสาขาเดิม และลงทุนด้านเทคโนโลยี

    สุทธิสารกล่าวว่า ถือเป็นการลงทุนที่มากใกล้เคียงกับเมื่อปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทยังขยายตัวสูง และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากช่วง COVID-19 ปี 2564 ซึ่งบริษัทใช้งบลงทุนไปเพียง 2,000 ล้านบาท เพราะเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังการลงทุน

    CRC ไทวัสดุ

    การขยายสาขาปี 2565 นี้จะเกิดขึ้นในทุกๆ แบรนด์ภายในเครือ โดยรวมทั้งเครือ ณ สิ้นปี 2564 มี 92 สาขา จนถึงสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 183 สาขา โดยแบ่งได้ดังนี้

    • ไทวัสดุ จาก 59 สาขา เพิ่มเป็น 70 สาขา
    • บีเอ็นบี โฮม จาก 6 สาขา เพิ่มเป็น 13 สาขา
    • ออโต้วัน จาก 12 สาขา เพิ่มเป็น 30 สาขา
    • โก! ว้าว จาก 15 สาขา เพิ่มเป็น 70 สาขา
    CRC ไทวัสดุ
    ร้านไทวัสดุแบบมาตรฐาน ใช้พื้นที่ประมาณ 18 ไร่

    สำหรับกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง จะเน้นการเปิด ไทวัสดุโมเดลมาตรฐาน (ร้านใหญ่สีแดง) และจะปรับเซกเมนต์ภายในร้าน ขยายส่วนขายเฟอร์นิเจอร์จาก 200-300 ตร.ม. เป็น 600 ตร.ม. พร้อมกับเปิดแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า และมีโซนพลาซ่าร้านอาหาร-ช้อปปิ้งมากขึ้น เพื่อตอบสนองลูกค้าได้หลากหลาย

    นอกจากนี้จะเพิ่มสาขาที่เป็น โมเดลไฮบริดซึ่งรวมไทวัสดุกับบีเอ็นบี โฮมไว้ในสาขาเดียว เพราะพิสูจน์แล้วจากสาขาแรกที่ศรีสมาน หลังเปิดในปี 2564 ทำยอดขายได้ดีกว่าสาขาปกติ พบว่าโมเดลนี้ ‘เวิร์ก’

    CRC ไทวัสดุ
    โมเดลใหม่แบบไฮบริด รวมร้านไทวัสดุกับบีเอ็นบี โฮม เปิดสาขาแรกที่ศรีสมาน

    ส่วน บีเอ็นบี โฮม ที่รีแบรนด์มาจากบ้าน แอนด์ บียอนด์ จะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้เข้าใกล้คนเมืองมากกว่าเดิม มีการเปิดใกล้ๆ หรืออยู่ในศูนย์การค้ามากขึ้น เช่น เซ็นทรัล ราชพฤกษ์ ซึ่งจะก่อสร้างบนที่ดินเดิมของบ้าน แอนด์ บียอนด์ ต่อไปสาขานี้จะรีแบรนด์เป็นบีเอ็นบี โฮม และเข้าไปเป็นร้านค้าภายในศูนย์ฯ แทน

    ขณะที่การขยายร้าน ออโต้วัน จะยังคงเกาะไปกับไทวัสดุ จากแนวคิดเดิมที่ร้านซ่อมรถเกิดขึ้นเพื่อ ‘utilize’ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเห็นโอกาสจาก ‘รถช่าง’ ที่เข้าออกร้านบ่อย

    ปิดท้ายกับน้องใหม่ร้าน โก! ว้าว ปีนี้จะเน้นการออกไปเปิดสาขาสแตนด์อะโลนนอกห้างฯ เพื่อทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ๆ (ขณะนี้สาขาเกือบทั้งหมดอยู่ในศูนย์การค้าหรือบีเอ็นบี โฮม)

     

    ขยาย DC + เปลี่ยนมาใช้รถบรรทุก EV

    สุทธิสารกล่าวต่อถึงการขยายคลังสินค้า อ.วังน้อย จ.อยุธยา จากพื้นที่ 120 ไร่ บริษัทยังใช้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้จะขยายคลังต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายสาขา และการขายออนไลน์ที่สินค้าหลายชิ้นจะส่งออกจากคลังโดยตรง

    เตรียมปรับมาใช้รถบรรทุก EV ลดค่าพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอน

    อีกส่วนที่สำคัญคือการเปลี่ยนมาใช้ “รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า” (EV) จากปัจจุบันฟลีทขนส่งของไทวัสดุมีกว่า 100 คัน เดือนพฤษภาคมนี้จะปรับมาใช้ EV นำร่อง 6 คัน และปี 2566 จะปรับไปใช้ EV เป็น ‘ครึ่งหนึ่ง’ ของฟลีทรถบรรทุกทั้งหมด รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาทุกสาขา จะปรับให้ครบทั้งหมดภายในปี 2566

    สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนให้บริษัท เพราะการใช้รถ EV จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 50% ของค่าพลังงานในการขนส่ง และการใช้โซลาร์รูฟช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ 50% เช่นกัน เป็นคีย์หลักในการไปสู่เป้าหมายการทำกำไรเพิ่ม

     

    สรุป: ชิงมาร์เก็ตแชร์จากการเปิดสาขา

    การเติบโตของตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างปี 2565 ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท สุทธิสารคาดว่าจะโตราว 2-3% แต่ CRC ไทวัสดุ ต้องการโตไม่ต่ำกว่า 13% โตมากกว่าตลาดจากการระดมเปิดสาขาดังกล่าวซึ่งจะช่วยให้ดึงมาร์เก็ตแชร์ได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการปรับโมเดล ปรับสินค้าขายให้ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย หรือรวมสองแบรนด์ไว้ด้วยกัน มีทั้งวัสดุก่อสร้าง แต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ครบจบในที่เดียว

    ส่วนผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยลบที่ยังเรื้อรัง เช่น ฟลีทเรือขนส่งที่ยังมีปัญหา บริษัทได้แก้ปัญหาล่วงหน้าแล้วด้วยการสั่งสินค้านำเข้ามากักตุน ขณะที่ปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างพาเหรดกันขึ้นราคา สินค้าบางตัวที่มีราคาตลาด เช่น เหล็ก ปูน บริษัทไม่สามารถตรึงราคาได้ แต่สินค้าประเภทอื่นจะพยายามตรึงไว้อีก 90 วันเป็นอย่างน้อย เช่น สินค้ากลุ่มโคมไฟ ก๊อกน้ำ เครื่องมือช่าง

    “เลี่ยงไม่ได้ที่สินค้าจะราคาขึ้น แต่เราจะพยายามตรึงให้นานที่สุด เพราะถ้าราคาแพงขึ้น เราก็จะขายไม่ได้เหมือนกัน” สุทธิสารกล่าว

    ]]>
    1383065
    สุดอั้น! “สร้างบ้าน” ปี’65 ราคา “โลหะ” ทะยาน เตรียมปรับราคาก่อสร้างตามต้นทุน 5-8% https://positioningmag.com/1377450 Mon, 14 Mar 2022 10:56:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377450 ใครจะ “สร้างบ้าน” ปีนี้ต้องเร่งตัดสินใจ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) คำนวณต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้น 5-8% จากราคาน้ำมันและ “โลหะ” เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม นิกเกิล ขึ้นมาแล้วเฉลี่ย 50% บริษัทอั้นไม่ไหวเตรียมปรับราคาบ้านช่วงเมษายนนี้ กังวลปัญหาขาดแคลน “แรงงาน” และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะทำให้ต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้นอีก

    “วรวุฒิ กาญจนกูล” นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยสถานการณ์ตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2565 คาดว่ามูลค่าตลาดเฉพาะกรุงเทพฯ-ปริมณฑล น่าจะยังเท่ากับปี 2564 ที่ 11,500 ล้านบาท เพราะแม้ว่าช่วงต้นปีตลาดจะกลับมาคึกคักขึ้น แต่หลังมีปัจจัยลบด้านค่าครองชีพเข้ามาช่วงเดือนมีนาคม ทำให้ตลาดชะลอตัว

    ปัจจัยลบของปีนี้เป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทำให้ค่าน้ำมันพุ่ง และกระทบต่อเนื่องถึงราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่ม “โลหะ” เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม นิกเกิล ภาพรวมปรับขึ้นเฉลี่ย 50% มีผลกับต้นทุนค่าเหล็กก่อสร้าง ฝ้าเพดาน ท่อเหล็ก และสายไฟ

    วัสดุที่ราคาปรับขึ้นหนักที่สุดคือ “เหล็ก” ซึ่งราคาเมื่อต้นปี 2564 อยู่ที่ 17-18 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันขึ้นมาถึง 27-28 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว และมีแนวโน้มจะขึ้นเป็นเท่าตัว

    “เหล็ก” ปี 2565 อาจขึ้นราคาถึงเท่าตัวจากปีก่อน (Photo: Pixabay)

    จากต้นทุนวัสดุที่ขึ้นราคาดังกล่าว วรวุฒิประเมินว่าราคาบ้านปีนี้จะขึ้น 5-8% ซึ่งสมาคมฯ ได้พูดคุยกับบริษัทที่เป็นสมาชิกทั้งหมดให้ตรึงราคาไว้ก่อนในช่วงนี้ที่กำลังจะจัดงานมหกรรม “รับสร้างบ้านและวัสดุ FOCUS 2022” วันที่ 30 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 เพื่อช่วยกันกระตุ้นตลาด แต่คาดว่าหลังงานมหกรรม ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป ราคาบ้านของแต่ละบริษัทจะทยอยปรับขึ้น

     

    กังวลต่อเนื่องเรื่อง “แรงงาน”

    วรวุฒิกล่าวต่อว่า อีกส่วนที่กังวลคือ “แรงงาน” ยังอยู่ในภาวะขาดแคลน โดยคาดว่าปีนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาก่อสร้างโครงการมากขึ้นกว่าปีก่อน ซึ่งจะทำให้ภาวะขาดแคลนหนักข้อขึ้นอีกเร็วๆ นี้ จึงอยากฝากถึงภาครัฐให้เปิดให้แรงงานข้ามชาติได้กลับเข้ามาในไทยอย่างถูกกฎหมาย

    อีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับแรงงาน คือการ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” จากปัจจุบัน 331 บาทต่อวัน แต่รัฐมีแนวคิดจะขึ้นเป็น 492 บาทต่อวัน แม้ว่าขณะนี้แรงงานทักษะมีฝีมือจะได้รับค่าแรงเฉลี่ย 500-700 บาทต่อวันอยู่แล้ว แต่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงานไม่มีฝีมือ ก็จะทำให้ค่าแรงขึ้นยกแผงทั้งระบบ

    สมาคมฯ ประเมินว่า หากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริง แต่ขึ้นประมาณ 10-15% อาจไม่ส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้างมากนัก แต่ถ้าหากปรับขึ้นถึง 30-40% จะมีผลต่อต้นทุนอย่างมาก และจะทำให้ราคาบ้านปรับขึ้นมากกว่า 10% ในปีนี้

     

    บ้านระดับบนเป็นแรงขับเคลื่อน

    ด้านธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2565 วรวุฒิกล่าวว่า บ้านระดับบน 10 ล้านบาทขึ้นไปจะยังคงมาแรง เพราะผู้มีรายได้สูงไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจ แต่จะอ่อนไหวกับภาวะการระบาดของ COVID-19 มากกว่า ตลาดจะสะดุดหากมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น

    ขณะที่สมาคมฯ เองพบว่า มีสมาชิกบริษัทรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดสมัครเข้าเป็นสมาชิกสูงขึ้น จากในอดีตยังไม่เคยมี โดยเมื่อปี 2564 มีสมาชิกต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 9 บริษัท จากจังหวัดนครราชสีมา, สกลนคร, มหาสารคาม, อุดรธานี และจันทบุรี ส่วนปี 2565 คาดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 15 บริษัท จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, พัทลุง และอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

    มองว่าบริษัทต่างจังหวัดเริ่มเป็นสมาชิกมากขึ้นเพราะการประชาสัมพันธ์ของสมาคมฯ ทำให้ทราบว่ามีข้อดีด้านความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลต่อเครดิตในการติดต่อสินเชื่อจากธนาคาร

    นอกจากนี้ ยังเกิดขึ้นจากกลุ่มลูกค้ามีกลุ่มที่ลูกหลานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และต้องการสร้างบ้านให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัด หรือกลับไปสร้างงานสร้างอาชีพในต่างจังหวัดแทน หลังเกิดการระบาดของ COVID-19 จึงมีดีมานด์ต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น

     

    จัดงานแฟร์รับสร้างบ้าน โค้งท้ายราคาเดิม

    “อนันต์กร อมรวาที” อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ กล่าวถึงการจัดกิจกรรมของสมาคมฯ เตรียมจัดงานมหกรรม “รับสร้างบ้านและวัสดุ FOCUS 2022” วันที่ 30 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 8 โดยจะเป็นงานแฟร์ที่ตรึงราคาสุดท้ายก่อนปรับขึ้นตามต้นทุนวัสดุ

    สร้างบ้าน

    ภายในงานมีบริษัทรับสร้างบ้านกว่า 30 บริษัทร่วมออกบูธ รวมแบบบ้านมากกว่า 1,000 แบบ ราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทถึงมากกว่า 100 ล้านบาท พร้อมด้วยบริษัทวัสดุ และธนาคารผู้ให้สินเชื่อในงาน คาดหวังว่างานนี้จะได้ยอดขายรวม 2,100 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งมูลค่าตลาดทั้งปีนี้

    อนันต์กรยังให้ข้อมูลแบบบ้านและฟังก์ชันบ้านที่ผู้สั่งสร้างนิยมมากขึ้นในยุคนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตามได้ทัน เช่น

    • แบบบ้านโมเดิร์นยังมาแรงต่อเนื่อง
    • ที่จอดรถขั้นต่ำเพิ่มจาก 2 คันเป็น 3 คัน
    • ติดตั้ง EV Charger
    • โซลาร์รูฟท็อปได้รับความนิยม
    • ต้องการพื้นที่ห้องเก็บของมากขึ้น

    ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่ท้าทายกับภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยตลาดระดับบนยังเป็นกุญแจหลักในการสร้างยอดขาย ขณะที่ตลาดระดับกลางลงมา ราคาบ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท จะมีความอ่อนไหวสูงกับค่าครองชีพและเศรษฐกิจฝืดเคือง ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเลื่อนแผนการก่อสร้างบ้านออกไปก่อนได้

    ]]>
    1377450
    COTTO ประเมินครึ่งปีหลัง’64 ตลาด B2B สะดุดจากการล็อกดาวน์ แต่กลุ่มรีโนเวตบ้านมาแรง https://positioningmag.com/1344508 Thu, 29 Jul 2021 09:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344508 เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) รายงานผลดำเนินการไตรมาส 2/64 รายได้โต 16% กำไรพุ่ง 328% แต่ต้องจับตาครึ่งปีหลัง 2564 เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 มีการปิดไซต์ก่อสร้างและปิดร้านค้าโมเดิร์นเทรด ดีมานด์ร่วง ขณะที่กลุ่มลูกค้ารีโนเวตบ้านมาแรง หลังคนอยู่บ้านมากขึ้น ต้องการปรับปรุงบ้านให้พร้อมทำงาน

    “นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยผลดำเนินการไตรมาส 2/64 ของบริษัท ทำรายได้ 2,807 ล้านบาท เติบโต 16% YoY และกำไรสำหรับงวด 177 ล้านบาท เติบโต 328% YoY

    ทำให้รวมแล้วครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,613 ล้านบาท เติบโต 12% YoY และกำไรสำหรับงวด 364 ล้านบาท เติบโต 119% YoY

    “ครึ่งปีแรก ทั้งตลาดเติบโตประมาณ 10% YoY โดยเราสามารถโตได้มากกว่าตลาด” นำพลกล่าว

    “นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO)

    อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอน เพราะการระบาดของ COVID-19 กระจายตัวและคาดเดายาก โดยนำพลมองว่า ความเป็นไปได้หากรัฐจัดการได้ดี น่าจะทรงตัวหรือดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะทำให้ภาพรวมทั้งปีตลาดเป็นบวกได้เล็กน้อย

    ขณะนี้ไตรมาส 3/64 ตลาดอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องระมัดระวัง โดย COTTO มีการปรับการผลิตลดลงให้สอดคล้องกับดีมานด์ ไม่ผลิตสต็อกมากเกินไป เพื่อควบคุมต้นทุน โดยนำพลคาดว่าไตรมาสนี้รายได้บริษัทน่าจะลดลง -10% YoY เพราะช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นช่วงที่ตลาดฟื้นตัว ต่างจากปีนี้ที่ตลาดซบเซา

    ดีมานด์ที่ลดลงช่วงนี้เกิดจากการสั่งปิดไซต์ก่อสร้างและปิดโมเดิร์นเทรดร้านค้าวัสดุในพื้นที่เสี่ยง “เราต้องการจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกันกับทั้งซัพพลายเออร์และลูกค้า เช่น ลูกค้าโครงการที่ต้องเลื่อนส่งมอบ หรือโมเดิร์นเทรดที่ต้องปิดสาขา หากมีปัญหาเรื่องกระแสเงินสด เราพร้อมจะขยาย due date ให้ก่อน เพราะต้องการช่วยให้อุตสาหกรรมทั้งซัพพลายเชนอยู่ได้ และเชื่อว่าจะกลับมาฟื้นพร้อมกัน” นำพลกล่าว

    “กระเบื้องฟอกอากาศ” AIR ION

    ทั้งนี้ แม้ว่าตลาด B2B จะซบเซา แต่ตลาดลูกค้ารีโนเวตบ้านยังเติบโตดี เพราะคนอยู่บ้านมากขึ้น เปลี่ยนมาทำงานจากบ้าน (Work from Home) สูงขึ้น จึงต้องการปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับการอยู่อาศัย ทำงานในบ้าน รวมถึงปรับบ้านรับฤดูกาลช่วงนี้ด้วย

    โดยที่ผ่านมาเอสซีจี เซรามิกส์มีการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับดีมานด์ผู้บริโภคยุคนี้ที่ต้องการฟังก์ชันด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น ล่าสุดออกสินค้า “กระเบื้องฟอกอากาศ” AIR ION มีคุณสมบัติปล่อยไอออนลบช่วยจับฝุ่นที่ฟุ้งในอากาศให้ตกลงสู่พื้นได้

    สำหรับธุรกิจใหม่ SUSUNN รับติดตั้งโซลาร์รูฟ นำพลยังประเมินว่าบริษัทจะมีรายได้จากส่วนนี้ประมาณ 500 ล้านบาท จากการตอบรับที่ดีของลูกค้า อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยลบที่อาจส่งผลให้รับรู้รายได้ต่ำกว่าคาด นั่นคือการระบาดของ COVID-19 ทำให้มีการชะลอติดตั้งโซลาร์เพื่อความปลอดภัยของทั้งฝั่งลูกค้าและทีมงานของบริษัทเอง

    ดังนั้น ช่วงครึ่งปีหลัง COTTO จะทำรายได้-กำไรได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาด โดยหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นได้ภายในไตรมาส 4 นี้

    ]]>
    1344508
    COTTO ประเมินตลาด “กระเบื้อง” 2564 ลุ้นไม่ติดลบ แตกไลน์รับติด “โซลาร์” โรงงาน-ห้างฯ https://positioningmag.com/1316543 Wed, 27 Jan 2021 06:29:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1316543 เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO รายได้ปี 2563 ลดลง -10% แต่ทำกำไรอู้ฟู่เติบโต 150% จากการปรับโครงสร้างในองค์กร ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง ประเมินปี 2564 มูลค่าตลาดกระเบื้องไทยยังทรงตัวจากพิษ COVID-19 จำนวนโครงการสร้างใหม่ไม่สูง ส่งออกเจอปิดพรมแดน บริษัทเลือกแตกไลน์ปั้นแบรนด์ SUSUNN โซลูชันติดตั้งแผงโซลาร์ในโรงงาน-ห้างสรรพสินค้า

    “นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทปี 2563 มียอดขายรวม 9,951 ล้านบาท ลดลง -10% จากปีก่อนหน้า แต่ทำกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 150% จากปีก่อนหน้า

    เหตุผลของรายได้ที่ลดลงแน่นอนว่ามาจาก COVID-19 ทำให้ตลาดทั้งหมดหดตัว โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 1-2 ของปี ก่อนจะกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4 อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 19% ของยอดขายรวม เริ่มมีอาการสะดุดในช่วงปลายไตรมาส 4/63 เพราะประเทศเพื่อนบ้านพบการระบาดรอบใหม่และมีการปิดชายแดน ทำให้การส่งออกลำบากมากขึ้น

    ส่วนสาเหตุที่แม้ยอดขายจะลด แต่กำไรกลับเพิ่มขึ้น เกิดจากการปรับปรุงภายในองค์กรต่อเนื่องมา 2-3 ปี มีการยุบรวมบริษัทย่อย และจัดการสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงต้นทุนการผลิตค่าก๊าซธรรมชาติลดลงเมื่อปีก่อน ทำให้ต้นทุนต่ำลง

    จากคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการบริษัทฯ สำหรับงวดปี 2563 ระบุว่า COTTO มีการจ่ายเงินชดเชยลูกจ้างถูกเลิกจ้างทั้งสิ้น 124 ล้านบาท เห็นได้ว่ายังเป็นอีกปีที่บริษัทมีการลดขนาดองค์กร และได้ผลเป็นอัตรากำไรที่ดีขึ้นมากโดยอยู่ที่ 4.2% เทียบกับปี 2561 บริษัทเคยมีอัตรากำไรบางมากเพียง 0.08% ซึ่งแทบจะเข้าสู่ภาวะขาดทุน

     

    ปี 2564 เหนื่อยต่ออีกปี ลุ้นตลาดไม่ติดลบ

    นำพลกล่าวต่อว่า ตลาดรวมกระเบื้องไทยปี 2563 มีมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท มีการผลิตจำหน่ายรวม 165-170 ล้านตร.ม. ส่วนปี 2564 ยังประเมินได้ยากมากเนื่องจากเกิดการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 และเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ซึ่งปกติจะเป็นหน้าขายของตลาดกระเบื้อง

    ดังนั้น มองว่าไตรมาส 1-2 ปีนี้ตลาดน่าจะชะลอตัวเล็กน้อย แต่ถ้าวัคซีน COVID-19 มาตามแผนงานที่รัฐวางไว้ เชื่อว่า ไตรมาส 3-4 จะฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ถัวเฉลี่ยตลอดปีตลาดน่าจะทรงตัวไม่ติดลบ

    “เป้าหมายทั้งปี’64 น่าจะพูดยาก ต้องรออย่างน้อยให้พ้นไตรมาส 1 ไปก่อนถึงจะประเมินได้” นำพลกล่าว “ตอนนี้ทีมงานเราแทบจะทำงานสัปดาห์ต่อสัปดาห์อยู่แล้ว” พร้อมเสริมว่า ปัจจัยสำคัญของปีนี้คือหวังว่าจะไม่มีการระบาดหนักถึงขั้นล็อกดาวน์อีกครั้ง

    แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO สินค้าประเภท High Value ชนิดใหม่ที่หวังจะใช้ตีตลาดรีโนเวตบ้านปีนี้

    ด้านภาพรวมลูกค้าแต่ละกลุ่ม แยกเป็นกลุ่มตลาดในประเทศ กลุ่มลูกค้าโครงการสร้างใหม่ คาดว่าจะยังมีจำนวนโครงการไม่สูงมากด้วยสภาพเศรษฐกิจ มีสัญญาณบวกจากกลุ่มดีเวลอปเปอร์บ้างว่าน่าจะมีการเปิดโครงการใหม่สูงกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ต้องจับตามองใกล้ชิดเพราะอาจมีการเลื่อนแผนได้เสมอหากสถานการณ์ไม่ดี ขณะที่ กลุ่มลูกค้ารีโนเวตบ้าน เป็นกลุ่มที่ตั้งความหวังว่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันยอดขาย อาจทรงตัวถึงบวกได้เล็กน้อย

    ส่วน ตลาดส่งออกต่างประเทศ ตั้งเป้าจะรักษาระดับสัดส่วน 18-20% ในยอดขายรวม และเชื่อว่าจะโตได้มากกว่าตลาดในประเทศ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ COVID-19 จะดีขึ้นหรือไม่

     

    แตกไลน์รับติดแผงโซลาร์โรงงาน-ห้างฯ

    ปีนี้ยังเป็นปีที่ COTTO จะแตกไลน์ไปทำธุรกิจโซลาร์อย่างเต็มตัว หลังจากเริ่มเปิดตัวปีก่อนบ้างแล้ว โดยใช้แบรนด์ SUSUNN ในการทำตลาด

    ผลิตภัณฑ์แผงโซลาร์แบรนด์ SUSUNN

    บริการของ SUSUNN จะทำแบบโซลูชันครบวงจร รับติดตั้งและบริหารจัดการแผงโซลาร์ ซ่อมบำรุงให้ มีแอปพลิเคชันติดตามการใช้งาน โดยมุ่งเป้าไปที่ กลุ่มลูกค้า B2B เน้นกลุ่มโรงงานนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มห้างสรรพสินค้า สามารถนำไปติดบนหลังคาลานจอดรถได้ ส่วนกลุ่มลูกค้า B2C ยังไม่อยู่ในแผนขณะนี้

    นำพลกล่าวว่า ตั้งเป้าปีนี้จะขายได้ 30-50 เมกะวัตต์ หรือถ้าเป็นเป้ารายได้ ต้องการให้ถึงสัดส่วน 5% ของรายได้รวมบริษัท โดยปัจจุบันมีลูกค้าประจำที่ติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว แต่ยังต้องทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพิ่มเพื่อให้รับรู้เป็นวงกว้างขึ้น

    ]]>
    1316543