ออริจิ้น – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 22 Jan 2024 10:12:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ออริจิ้น” ลุยสร้างที่พักตากอากาศพร้อมกัน 2 ทำเลที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” โหมตลาดเมืองท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1458572 Thu, 11 Jan 2024 10:03:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458572
  • “ออริจิ้น” ลุยตลาดเมืองท่องเที่ยวพร้อมกัน 2 ทำเลในปีนี้ที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์” สร้างเมืองตากอากาศมิกซ์ยูสรวมทั้งคอนโดฯ พูลวิลล่า และโรงแรมไว้ในโครงการเดียว
  • ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต ปักหมุดที่ “หาดบางเทา” เฟสแรกเปิดขายคอนโดฯ “โซ ออริจิ้น บางเทา บีช” ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท และพูลวิลล่า “บัลโค” ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท เป้าหมายเจาะกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย
  • ด้านออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่ เปิดทำเลช่วงต้นถนนธนะรัชต์ คอนโดฯ ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท พูลวิลล่าเริ่ม 19 ล้านบาท จับกลุ่มคนไทยสายสุขภาพเวลเนส
  • “กฤษณ์ เตชะสัมมา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาโครงการต่างจังหวัดในเครือออริจิ้น (ORI) แถลงเปิดแผนเมกะโปรเจ็กต์ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์” 2 ทำเลที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท

    ออริจิ้น ภูเก็ต
    แผนผังที่ดิน ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต บางเทา

    โดยออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 25 ไร่ ติดหาดบางเทา ภายในแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่

    1.”โซ ออริจิ้น บางเทา บีช” คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 545 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
    2.”บัลโค บางเทา” พูลวิลล่าบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว จำนวน 35 หลัง ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท
    3.โรงแรมระดับ 5 ดาว (อยู่ระหว่างพิจารณาเชนโรงแรม) ประมาณ 200 ห้อง
    4.คอนโดฯ ที่จะเป็น Branded Residence (อยู่ระหว่างออกแบบและพิจารณาเชนโรงแรม)
    5.บีชคลับ “Tichuca Phuket” คลับดังจากทองหล่อ มาเปิดริมชายหาดที่นี่เพื่อเป็นแม่เหล็กให้กับโครงการ

    โซ ออริจิ้น บางเทา บีช

    สำหรับโซ ออริจิ้น บางเทา บีช จะเปิดขายวันที่ 20 มกราคมนี้ ขณะที่บัลโคมีกำหนดเริ่มขายภายในปี 2567 ส่วนอื่นๆ ในโครงการจะทยอยเปิดตัวในปีต่อๆ ไป โดยคาดว่าทั้งโครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต จะแล้วเสร็จภายในปี 2570

     

    ภูเก็ตกำลัง ‘ขึ้นหม้อ’

    กฤษณ์ให้ข้อมูลว่าตลาดภูเก็ตเป็นตลาดที่กำลังเติบโตร้อนแรงมาก โดยช่วงครึ่งปีแรก 2566 ยอดขายคอนโดฯ ภูเก็ตโตถึง 97.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนตลาดวิลล่าก็เติบโตได้ 29% จากกระแสความต้องการของชาวต่างชาติ

    บัลโค บางเทา

    โครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ตเองตั้งเป้าสอดคล้องกับตลาด จากทำเลโครงการตั้งอยู่ช่วงหาดบางเทาซึ่งเป็นทำเลที่ต่างชาตินิยมโดยเฉพาะกลุ่มรัสเซีย เพราะเป็นหน้าหาดฝั่งพระอาทิตย์ตกและเจริญมานานจากสนามกอล์ฟ ลากูน่า ภูเก็ต มีแหล่งร้านอาหารและแฮงเอาต์ระดับไฮเอนด์มากมาย ทำให้โครงการนี้หวังเป้าหมายยอดขาย 70% มาจากกลุ่มต่างชาติ และ 30% จากชาวไทย

    ส่วนใหญ่ผู้ซื้อน่าจะเน้นการลงทุนผสมผสานกับการซื้อเพื่อเป็นบ้านตากอากาศแบบ Long Stay จากโอกาสด้านการท่องเที่ยวที่กำลังเป็นขาขึ้นของภูเก็ต เชื่อว่าน่าจะมีนักลงทุนสนใจสูง

    ด้านในบัลโค บางเทา สระว่ายน้ำเชื่อมต่อตลอดแนวตั้งแต่ห้องนั่งเล่นจนถึงห้องน้ำ

    นอกจากมิกซ์ยูสแรกที่หาดบางเทา กฤษณ์บอกด้วยว่าออริจิ้นจะโหมลงทุนในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง โดยมีที่ดินสำหรับพัฒนามิกซ์ยูสขนาดใหญ่อีก 2 ทำเลที่ “เชิงทะเล” ขนาดที่ดินประมาณ 20 ไร่ และ “หาดกะตะ” ขนาดที่ดินมากกว่า 10 ไร่ รวมถึงมีที่ดินขึ้นโครงการเดี่ยวได้อีก 2 แห่งในย่านกะทู้และย่านตัวเมืองภูเก็ต

    ออริจิ้นมีความมั่นใจในตลาดภูเก็ตสูงมากทั้งจากสถิติรวมของทั้งตลาดที่เติบโตขึ้น และจากประสบการณ์ล่าสุดเมื่อปี 2566 บริษัทเปิดตัว “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” คอนโดฯ ที่มีกว่า 700 ยูนิตแต่สามารถขายหมด (sold out) ได้ใน 6 สัปดาห์

     

    จ่อเปิดขายที่ ‘เขาใหญ่’ เดือนหน้า

    ส่วนอีกหนึ่งทำเล ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่ เป็นโครงการมิกซ์ยูสเช่นกันโดยร่วมทุนกับ บริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 40 ไร่ ตั้งอยู่ช่วงต้นถนนธนะรัชต์ ภายในประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่

    1.พูลวิลล่า Branded Residence บ้านเดี่ยวจำนวน 19 หลัง ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท
    2.คอนโดฯ Branded Residence จำนวน 405 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท
    3.โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้อง
    4.ศูนย์บริการด้านเวลเนส

    ออริจิ้น เขาใหญ่
    แผนผังโครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่

    “ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด แย้มว่าขณะนี้บริษัทใกล้ปิดดีลกับ “กลุ่มดุสิตธานี” เพื่อมาเป็นเชนบริหารโรงแรมและ Branded Residence ทั้งส่วนคอนโดฯ และพูลวิลล่า คาดว่าจะสรุปรายละเอียดและเริ่มเปิดพรีเซลส่วนที่พักอาศัยได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567

    หากประกาศและเริ่มเปิดจองอย่างเป็นทางการ นับได้ว่าโครงการนี้จะเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งที่ 2 บนเขาใหญ่ที่เป็น Branded Residence ใช้เชนโรงแรมระดับสากลเข้ามาบริหาร ต่อจากบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    ภาพตัวอย่างพูลวิลล่า ออริจิ้น เขาใหญ่

    ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งในแผนของ “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ที่ปี 2567 นี้จะมีการเปิดตัวที่พักอาศัยเพื่อขายรวมทั้งหมด 15 โครงการ ขยายหาดีมานด์จากต่างจังหวัดมาเติมเต็มรายได้ให้พอร์ตของบริษัทแม่

    ]]>
    1458572
    “ออริจิ้น” 2566 เปิดศักราชพัฒนา “Smart City” ครอบคลุมทั่วประเทศ ปักหมุดเพิ่ม 5 จังหวัด https://positioningmag.com/1422289 Wed, 08 Mar 2023 07:38:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422289 “ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์ Infinity 2023 เริ่มต้นกระจายโมเดลธุรกิจ “Smart City ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หลังพิสูจน์ความสำเร็จแล้วในเขตอีอีซี โดยปีนี้จะเห็นภาพชัดใน 5 จังหวัดใหม่ ขยับไปด้วยกันทั้งเครือตั้งแต่ที่พักอาศัย โรงแรม รีเทล จนถึงหน่วยธุรกิจเฮลธ์แคร์

    บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางโรคระบาด โดยเมื่อปี 2565 บริษัทปิดยอดขายที่กว่า 41,000 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 18,500 ล้านบาท พร้อมขยายตัวต่อในปี 2566 ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหลังโควิด-19

    “ธีมปีนี้คือเที่ยวทั่วไทยไปกับออริจิ้น คือเราจะขยายออกไปต่างจังหวัดมากกว่าที่เคย และเราจะเน้นการจ้างงานในท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าพื้นที่” พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออริจิ้น กล่าวถึงภาพใหญ่ของแผนในปีนี้

    ทีมงานกลุ่มออริจิ้น

    การขยายไปต่างจังหวัดของบริษัทจะเน้นการไปพัฒนาแบบมิกซ์ยูส มีหลายรูปแบบธุรกิจอยู่ร่วมกันในพื้นที่ หรือถ้าเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ก็จะพัฒนาแบบครบวงจรแบบ “Smart City”

    ที่ผ่านมา Smart City แบบออริจิ้นมีการพัฒนาแล้วทั้งในกรุงเทพฯ ที่รามอินทรา มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันส่วนที่พักอาศัยมียอดขายแล้ว 90% ขณะที่ต่างจังหวัดมีใน จ.ระยอง มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่พักอาศัยขายแล้ว 70% อีกแห่งหนึ่งคือที่แหลมฉบัง-ศรีราชา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โครงการนี้ที่พักอาศัยขายหมด sold out เรียบร้อยแล้ว

    โครงการรูปแบบนี้เป็นการจัดแบ่งที่ดินให้เป็นเมืองในตัวเอง ด้านหน้าอาจจะมีทั้งโรงแรม รีเทล คอนโดมิเนียม และถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ด้านหลังอาจจะพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบเพิ่มได้ด้วย ยิ่งในปีนี้ออริจิ้นมี บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาเสริมทัพด้านธุรกิจสุขภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ในโครงการเหล่านี้ก็จะมีองค์ประกอบด้านธุรกิจสุขภาพผนวกเข้าไปในจุดที่เหมาะสม

     

    เปิดเพิ่มอีก 5 จังหวัด เริ่มบุกเมืองท่องเที่ยว

    อย่างที่เห็นว่าที่ผ่านมาออริจิ้นบุกไปในจังหวัดอีอีซีเป็นหลัก แต่หลังจากนี้บริษัทจะเริ่มพัฒนา Smart City ในเมืองท่องเที่ยวและเมืองที่มีจุดเด่นด้านเศรษฐกิจในแง่อื่นเพิ่มเติม โดยมีแผนดังนี้

    • ภูเก็ต – จุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก
    • หัวหิน – จุดหมายการพักผ่อนริมทะเล ส่วนหนึ่งในแผน Thailand Riviera
    • เขาใหญ่ – จุดหมายการท่องเที่ยวแบบนันทนาการ ประตูสู่ภาคอีสาน
    • ขอนแก่น – เมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน และเป็นจุดหมาย MICE City
    • เชียงใหม่ – เมืองจุดหมายของการเกษียณอายุทั้งคนไทยและ expat
    รวมการเปิด Smart City สะสมในปี 2023

    “การพัฒนาเหล่านี้เป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ และต่อไปเราจะขยายไปเมืองรอบข้างได้โดยอาจจะทำในไซส์เล็กลงมาให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เช่น เมื่อมีอยุธยาก็ขยายไปนครสวรรค์หรือสระบุรี มีภูเก็ตก็ขยายเข้าพังงาหรือกระบี่ มีระยองแล้วก็ขยายเข้าไปในจันทบุรี เป็นต้น” พีระพงศ์กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว

    สรุปตัวเลขสำคัญของปี 2566 ในแผนออริจิ้น ได้แก่

    • เปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดฯ 42 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
    • ลงทุนกลุ่มโรงแรมและคลังสินค้า 30,000 ล้านบาท
    • เป้าหมายยอดขาย 45,000 ล้านบาท
    • เป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท (รวมโครงการ JV ซึ่งเป็น 50% ของยอดโอนทั้งหมด)
    • เป้าหมายรับรู้รายได้ 19,000 ล้านบาท

     

    แบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” กลับมาพร้อมเป็นอาวุธบุกต่างจังหวัด

    “อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด รับไม้ต่อถึงการเจาะลึกโครงการแนวสูงที่จะเปิดตัวปี 2566 จะมีทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวม 27,500 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการในกรุงเทพฯ และโครงการต่างจังหวัด บางส่วนเป็นการประเดิมเปิด Smart City

    ไฮไลต์ปีนี้อยู่ที่การกลับมาอีกครั้งของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” แบรนด์ระดับราคา 50,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ที่จับต้องได้ง่าย ในแผนปีนี้จะเปิด 7 ทำเล แบ่งเป็นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ บางแค บางพลี และทำเลต่างจังหวัด คือ บางปะกง ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา และบางแสน

    ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ไปบุกต่างจังหวัด จะมีในระดับราคาที่สูงขึ้น เช่น ไนท์บริดจ์ สเปซ ระยอง, โซ ออริจิ้น เขาใหญ่, โซ ออริจิ้น ภูเก็ต 2, ออริจิ้น เพลซ เชียงใหม่ และออริจิ้น เพลซ หัวหิน

    ออริจิ้น Smart City
    แผนการเปิดโครงการคอนโดฯ ทั้งหมดของออริจิ้น ปี 2566

     

    วัน ออริจิ้น เปิดต่อเนื่อง 7 โครงการ

    “ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดแผนของฝั่งที่จะเป็น Recurring Income ปีนี้จะมีการเปิดเพิ่มอีก 7 โครงการที่จะทำให้บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสะสม 20,000 ล้านบาท

    ไฮไลต์ของปีนี้เป็นการเปิด โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลพร้อมพงษ์) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท, โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลซอยสุขุมวิท 59) มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท และโครงการมิกซ์ยูส วัน พญาไท มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ยังต่อยอดแบรนด์รีเทล Portobello จากศรีราชา ปีนี้จะเปิดอีก 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ ระยอง

    โครงการของวัน ออริจิ้น ที่จะเปิดปี 2566

    วัน ออริจิ้น ยังมีแผนงานในไปป์ไลน์ที่กำลังก่อสร้างหรือออกแบบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 25,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะได้เห็นการไปเติมเต็ม Smart City ในทำเลใหม่ต่างๆ เช่น โรงแรมในหัวหิน 258 ห้อง, โรงแรมในเขาใหญ่ 140 ห้อง หรือโรงแรมรูปแบบเวลเนสในภูเก็ต 578 ห้อง เป็นต้น

    ออริจิ้น 2566
    แผนวัน ออริจิ้นที่ยังอยู่ในไปป์ไลน์

    “เฮลธ์แคร์” เป็นซอฟต์แวร์ประกบในโครงการ

    ด้านธุรกิจสุขภาพ “ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด อธิบายว่า โมเดลธุรกิจจะเข้าไปเป็นเหมือน ‘ซอฟต์แวร์’ ที่เข้าไปเชื่อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งเครือออริจิ้น หลักๆ ได้เริ่มงานกับธุรกิจโรงแรมก่อน และปีนี้จะเริ่มเห็นการจับมือไปกับบ้านบริทาเนียและคอนโดฯ

    แผนงานปีนี้ของธุรกิจสุขภาพ จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

    1.Health Club – เข้าไปเป็นเฮลธ์แคร์ เซอร์วิสให้กับโครงการ เน้นเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เช่น ดูแลด้านโภชนาการอาหาร เป้าหมายเปิด 2 โครงการ

    2.Mediplex – เป็นสหคลินิกที่เข้าไปอยู่ในชุมชนเพื่อรองรับความต้องการด้านต่างๆ เช่น บิวตี้ เวลเนส เส้นผม ทันตแพทย์ จิตแพทย์ ร้านขายยา Pet Club เป้าหมายเปิด 22 โครงการ

    3.โรงพยาบาล – ในลักษณะโรงพยาบาลแบบเฉพาะทางขนาดไม่ใหญ่ เข้าไปอยู่ในชุมชน ใกล้คนมากขึ้น และจะเน้นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ เป้าเปิดตัว 1 โครงการ

    รวมทั้งหมดปีนี้จะมีเปิดใน 25 โครงการ คาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 250 ล้านบาท และมีเป้าหมายปี 2568 จะเพิ่มเป็น 55 โครงการ และทำรายได้ 500 ล้านบาท

    “ออริจิ้น” ยังมีเครื่องยนต์อีกมากทั้งกลุ่มบริทาเนียซึ่งพัฒนาบ้านแนวราบ และกลุ่มอัลฟาที่ดูแลการพัฒนาคลังสินค้า-โลจิสติกส์ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ ที่อยู่ใน ‘มัลติเวิร์ส’ ของบริษัท หากรวมทั้งกลุ่มแล้ว พีระพงศ์ตั้งเป้าให้กลุ่มออริจิ้นมีมาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ

    ]]>
    1422289
    “ออริจิ้น” ประกาศแผน “Multiverse 2025” จักรวาลธุรกิจดันมาร์เก็ตแคป “1 แสนล้าน” https://positioningmag.com/1375941 Tue, 01 Mar 2022 09:05:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375941 ก่อตั้งบริษัทมา 13 ปีแต่การเติบโตทะยานไว “ออริจิ้น” ประกาศแผน “Multiverse 2025” พหุจักรวาลธุรกิจ แตกไลน์หลายประเภทเพื่อสร้างสมดุลพอร์ต ดันบริษัทลูกเข้า IPO เพิ่มอย่างน้อย 4 บริษัท วางเป้ามาร์เก็ตแคปรวมทั้งเครือเพิ่มเป็น “1 แสนล้าน” ภายใน 3 ปี ด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยปีนี้จะเปิดตัวใหม่มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท

    “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการสร้าง “Multiverse 2025” เครือออริจิ้นจะเป็นพหุจักรวาลของบริษัทหลากหลายธุรกิจ แต่ละบริษัทมีเส้นทางเติบโตของตนเอง วางเป้าหมายดันมาร์เก็ตแคปทั้งเครือขึ้นไปแตะ “1 แสนล้าน” ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท

    ออริจิ้น

    ที่ผ่านมาออริจิ้นมีการเปิดบริษัทลูกไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อปีก่อน บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นบริษัทลูกแห่งแรกที่เปิด IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสำเร็จ ขณะที่ในไปป์ไลน์ยังมีอีกหลายบริษัทลูกที่กำลังเตรียมตัวเข้าเปิด IPO ดังนี้

    เปิด IPO ปี 2565-66

    • บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน จำกัด ภายใต้การนำของซีอีโอ “จตุพร แก้ววิไล” ทำธุรกิจด้านการบริหารนิติบุคคล, บริหารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์, บริหารเชนโรงแรมแบรนด์แฮมป์ตัน, ที่ปรึกษาการตลาดและเอเย่นต์ขายอสังหาริมทรัพย์, บริการช่างและแม่บ้าน ฯลฯ ทำรายได้ปี 2564 ที่ 490 ล้านบาท คาดหวังรายได้อีก 3 ปีขึ้นเป็น 1,100 ล้านบาท
    • บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ภายใต้การนำของซีอีโอ “ปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์” ทำธุรกิจด้านการพัฒนาโรงแรม ออฟฟิศ มิกซ์ยูส และการพัฒนาคอนโดมิเนียมเขต EEC วางแผนอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าโครงการสะสม 49,100 ล้านบาท

    เปิด IPO ปี 2567-68

    • บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ภายใต้การนำของเอ็มดี “ปธาน สมบูรณสิน” ทำธุรกิจด้านคลังสินค้าและโลจิสติกส์ ภายในสิ้นปี 2565 คาดว่าจะมีพื้นที่เช่าทั้งหมด 65 แสนตร.ม. และตั้งเป้าปี 2568 จะมีพื้นที่เช่ารวม 1 ล้านตร.ม.
    • บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับบริการและเทคโนโลยีสุขภาพ เวลเนส
    ประมาณการมูลค่าของสามบริษัทลูกที่จะเปิด IPO ก่อน

    ส่วนบริษัทลูกอื่นๆ พีระพงษ์กล่าวว่าจะดูตามการเติบโตและจังหวะโอกาสในการเข้าเปิด IPO โดยมีบริษัทลูกที่อยู่ใน Multiverse ของออริจิ้น เช่น บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ทำธุรกิจปลูกและสกัด CBD จากกัญชง, บริษัท พรีโม อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ทำธุรกิจนายหน้าประกันภัย, บริษัทบริหารสินทรัพย์ พรอมิเนนท์ จำกัด ทำธุรกิจบริหารหนี้เสีย, บริษัท ออริจิ้น กันกุล เอ็นเนอร์ยี จำกัด ทำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัยและ EV Charger

    ด้านสัดส่วนรายได้บริษัทเมื่อถึงปี 2568 พีระพงษ์ระบุว่า รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยจะยังเป็นส่วนหลัก 70% และรายได้จากบริษัทอื่นๆ จะคิดเป็น 30% (ปัจจุบันรายได้บริษัทอื่นอยู่ที่ 10% เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า พีระพงษ์หวังว่าสัดส่วนรายได้จากบริษัทลูกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ซึ่งจะทำให้พอร์ตขององค์กรมีสมดุล ทำรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายอย่างแท้จริง

     

    ลุย “คอนโด” เต็มสูบ

    ด้านแผนธุรกิจที่อยู่อาศัย ออริจิ้นเตรียมเปิดตัว 31 โครงการ มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นคอนโดฯ 19 โครงการ มูลค่ารวม 28,600 ล้านบาท และแนวราบ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,400 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 137%

    วางเป้าพรีเซล 35,000 ล้านบาท เติบโต 16% YoY และเป้ารายได้ 17,500 ล้านบาท เติบโต 10% YoY

    ปีนี้ถือว่าออริจิ้นเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวคอนโดฯ มากขึ้นกว่าปีก่อนซึ่งเปิดไป 9 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 10,000 ล้านบาท เหตุที่ออริจิ้นลงทุนเพิ่มสูง พีระพงษ์กล่าวว่า เชื่อว่าปีนี้คอนโดฯ จะกลับมาฟื้นตัว เพียงแต่ไม่ใช่การฟื้นตัวพร้อมกันทั้งตลาด แต่จะเป็นบางกลุ่มที่ขายได้ เช่น คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ ซึ่งตรงใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีลูก และมักจะเลี้ยงสัตว์แทน หรือกลุ่มเวลเนส เรสซิเดนซ์ ซึ่งเหมาะกับคนรักสุขภาพ คอนโดฯ ประเภทเหล่านี้ออริจิ้นมีการพัฒนาโครงการไว้แล้ว

    ออริจิ้น
    รายชื่อโครงการที่เปิดตัวปี 2565 ของออริจิ้น

    นอกจากการเปิดโครงการแล้ว ปีนี้ออริจิ้นจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การทำ Virtual Sales Gallery ที่เชื่อมโยงกับการจัดแสดง NFT รวมถึงจะมีการเปิด ICO กับบางโครงการ และสร้าง Utility Token ของบริษัทมาเสริมระบบนิเวศของธุรกิจโรงแรมด้วย

    สำหรับความท้าทายของปี 2565 พีระพงษ์มองไปถึงเหตุการณ์ระดับโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ซึ่งคาดว่าจะมีผลทางเศรษฐกิจโดยอ้อมกับประเทศไทย รวมถึงทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะสงครามและชะลอการซื้ออสังหาฯ ได้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีโอกาสบวกในแง่การท่องเที่ยว เนื่องจากชาวรัสเซียบางส่วนอาจต้องการหลีกหนีความวุ่นวายและมาเที่ยวระยะยาวในประเทศไทย เป็นผลบวกกับโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

    ]]>
    1375941
    อสังหาฯ แนวราบ “บริทาเนีย” (BRI) เตรียมเปิด IPO แข็งแกร่งด้วยนวัตกรรม-การออกแบบตอบโจทย์ “ชีวิตยุคใหม่” https://positioningmag.com/1364350 Tue, 30 Nov 2021 10:00:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364350

    “บริทาเนีย” (BRI) บริษัทเรือธงของ “ออริจิ้น” เตรียมเปิด IPO โดยเป็นบริษัทเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ ชูความแข็งแกร่ง การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ ฟังก์ชันตอบโจทย์ “ชีวิตยุคใหม่” มีแบรนด์ครบทุกเซ็กเมนต์สนองตลาด เลือกทำเลเกาะแหล่งงาน “นิคม” ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและ EEC

    สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลัง COVID-19 สะท้อนให้เห็นทิศทางอนาคตที่จะมา ‘เข้ามือ’ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น โดยข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) พบว่า เมื่อปี 2563 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบทั่วประเทศอยู่ที่ 6.17 แสนล้านบาท เติบโต 2.15% เทียบกับทั้งตลาดที่ติดลบไป -0.3% สะท้อนให้เห็นว่าโครงการแนวราบมีความแข็งแกร่ง

    สาเหตุเนื่องจาก COVID-19 ทำให้วิถีชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ผู้อยู่อาศัยต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นเพื่อทำงานจากที่บ้าน หรือเรียนจากที่บ้าน โครงการประเภททาวน์เฮาส์ บ้านแฝด หรือบ้านเดี่ยวจึงตอบโจทย์กว่า

    ปัจจัยบวกนี้เป็นแรงหนุนให้กับ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ

    ผ่านมา 5 ปีนับจากปีก่อตั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 “บริทาเนีย” เปิดขายโครงการสะสม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,028 ล้านบาท และโครงการอยู่ระหว่างขาย 13 โครงการ มูลค่ารวม 17,550 ล้านบาท

    อนาคตมีโครงการอยู่ระหว่างพัฒนาเตรียมเปิดขาย 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,300 ล้านบาท และโครงการรอพัฒนาอีก 9 โครงการ มูลค่ารวม 10,800 ล้านบาท

    เมื่อปี 2563 บริษัทบริทาเนียทำรายได้รวมไป 2,342 ล้านบาท และงวดเก้าเดือนแรกของปี 2564 ทำรายได้รวมไป 2,809 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือ ปี 2563 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิถึง 14.89% ขณะที่งวดเก้าเดือนแรกของปี 2564 อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 16.10% สะท้อนความแข็งแกร่งในธุรกิจที่สามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้แบบ ‘ดับเบิล ดิจิต’


    มีครบทุกเซ็กเมนต์ ตอบรับทุกตลาด

    แม้จะเป็นน้องใหม่ในตลาด แต่บริทาเนียขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีแบรนด์ครบทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนองลูกค้าได้ทุกตลาด โดยมีแบรนด์และกลุ่มราคา ดังนี้

    1.ไบรตัน (Brighton)

    โครงการทาวน์โฮม-บ้านแฝด ในพื้นที่ปริมณฑลของกรุงเทพฯ และจังหวัดโดยรอบ เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 25-35 ปีที่มีความทันสมัย เข้าใจเทคโนโลยี รายได้ต่อเดือนประมาณ 30,000-50,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 2.5-4 ล้านบาทต่อหลัง

    ตัวอย่างโครงการ: ไบรตัน คูคต สเตชั่น

    2.บริทาเนีย (Britania)

    โครงการทาวน์โฮม บ้านแฝด หรือบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วน เน้นกลุ่มคนวัยเริ่มต้นครอบครัวหรือครอบครัวขนาดเล็ก อายุ 25-40 ปี เป็นพนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ SMEs รายได้ต่อเดือน 50,000-130,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 4-8 ล้านบาทต่อหลัง

    ตัวอย่างโครงการ: บริทาเนีย บางนา สุวรรณภูมิ

    3.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania)

    โครงการบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ติดกับถนนสายหลัก เน้นกลุ่มครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ อายุ 35-50 ปี เป็นพนักงานบริษัทระดับบริหาร หรือเจ้าของกิจการขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีรายได้ต่อเดือน 130,000-500,000 บาท กลุ่มราคาเฉลี่ย 8-20 ล้านบาทต่อหลัง

    ตัวอย่างโครงการ: แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์ พระราม 5

    4.เบลกราเวีย (Belgravia)

    โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ตั้งในกรุงเทพฯ ติดถนนสายหลัก กลุ่มเป้าหมายคนวัย 35-50 ปีที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ใช้ชีวิตทันสมัย ฐานะมั่นคง รายได้ต่อเดือน 500,000 บาทขึ้นไป กลุ่มราคาเฉลี่ย 20-50 ล้านบาทต่อหลัง

    ตัวอย่างโครงการ: เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา พระราม 9


    เจาะแหล่งงาน “นิคม” กำลังซื้อสูง

    ไฮไลต์ของบริษัทบริทาเนียคือมุมมองการหาทำเลเจาะตลาด โดยบริษัทจะเลือกทำเลที่คมนาคมสะดวกเป็นหลัก และพื้นที่ที่เมืองกำลังขยายตัว มีอุปสงค์สูง เช่น บางนา ราชพฤกษ์ คูคต รวมถึงรอบนอกกรุงเทพฯ ที่เป็นจังหวัดศักยภาพ เช่น ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ระยอง อยุธยา นครปฐม สมุทรสงคราม เป็นต้น

    รวมถึงบริทาเนียยังให้ความสำคัญกับ “นิคม” อุตสาหกรรมทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด เช่น เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งงานด้านการส่งออกที่ทำรายได้ให้กับประเทศ และจะมีดีมานด์ที่อยู่อาศัยสูงตามมา

    ปัจจุบันโครงการของบริทาเนียที่มีการเปิดขายไปแล้ว 15 โครงการ มีถึง 10 โครงการที่ตั้งอยู่ใกล้นิคม เช่น ไบรตัน บางนา กม.26 อยู่ใกล้กับนิคมฯ บางพลีและเวลโกร์ว, บริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น อยู่ใกล้กับนิคมฯ บางปูและแพรกษา, แกรนด์ บริทาเนีย สุวรรณภูมิ อยู่ใกล้กับนิคมฯ อัญธานี เจมโมโปลิส เป็นต้น

    บริทาเนียยังเล็งเห็นพื้นที่ “บลูโอเชียน” ตามการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐซึ่งบริษัทจะมองหาโอกาสเข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยในอนาคตด้วย เช่น โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช เป็นต้น


    ใส่ใจการออกแบบ “ฟังก์ชันบ้าน” ยึด Human Centric

    แบบสถาปัตยกรรมของบ้านในเครือบริทาเนียจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการ และฟังก์ชันที่ให้ในตัวบ้านและโครงการยังออกแบบจากแนวคิด Human Centric ทำให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคสมัยใหม่ แก้ปัญหาการใช้ชีวิต เช่น ก่อสร้าง “ครัวไทย” ภายนอกบ้านให้เรียบร้อย ลูกค้าไม่ต้องห่วงเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ และไม่ต้องดูแลงานก่อสร้างเพิ่มเติมในภายหลัง หรือ ชั้น 1 จะมี “ห้องนอนผู้สูงอายุ” ซึ่งดัดแปลงเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ และมี “ที่นั่งอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ” ช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น

    รวมถึงในโครงการเบลกราเวียซึ่งมี “สระว่ายน้ำ” ส่วนตัว จะเป็นสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานที่ออกกำลังกายได้จริง ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้นในยุคนี้

    บริทาเนียยังนำ “นวัตกรรม” มาใช้ในโครงการภายใต้แนวคิด Living Solution ด้วย โดยเป็นการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้โจทย์ให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ามีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น เช่น ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านเมื่อไม่มีคนอยู่บ้านและส่งสัญญาณแจ้งเตือน ระบบเครื่องฟอกอากาศแบบฝังฝ้าบริเวณห้องนั่งเล่น ชั้น 1 เป็นต้น

    นอกจากนี้ การเป็นหนึ่งในบริษัทในกลุ่มออริจิ้นยังเสริมความได้เปรียบด้านต้นทุนก่อสร้าง เพราะสามารถประหยัดต้นทุนได้จากการสั่งซื้อวัสดุร่วมกับบริษัทแม่ และยังดึงดูดทาเลนต์ให้เข้ามาร่วมงานได้ง่ายขึ้นจากการอยู่ภายใต้เครือออริจิ้น

    จากปัจจัยทั้งหมด “บริทาเนีย” (BRI) จึงเติบโตได้รวดเร็ว และพร้อมที่จะเปิดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดขายหุ้น IPO จำนวน 252.65 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 29.6% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยจะนำเงินระดมทุนใช้เพื่อเป็นทุนพัฒนาโครงการและขยายธุรกิจ เพื่อชำระเงินกู้ยืม และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลของ BRI ได้จากสำนักงาน ก.ล.ต.

    ]]>
    1364350
    “ออริจิ้น” ทำได้! ปิดการขายโดย “ไม่มีห้องตัวอย่าง” เพราะขายออนไลน์ราคาถูกกว่า 15% https://positioningmag.com/1293116 Tue, 18 Aug 2020 12:45:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293116 เมื่อปลายเดือนก่อน “ออริจิ้น” ประกาศทดลองขายพรีเซลคอนโดฯ แบบ “ไม่มีห้องตัวอย่าง” ลูกค้าสามารถดูรายละเอียดและจองทางออนไลน์เท่านั้น โดยเริ่มโครงการแรกที่ “ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช” ปรากฏว่าทั้ง 399 ยูนิตขายเกลี้ยงตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง สวนกระแสเศรษฐกิจและสภาวะตลาดคอนโดฯ ยามนี้แถมยังเป็นการเปิดขายออนไลน์ล้วนๆ ซึ่งขัดกับพฤติกรรมลูกค้าอสังหาฯ ที่เคยเป็นมา

    Positioning รายงานกลยุทธ์ใหม่ของออริจิ้นในการเปิดขายคอนโดฯ แบบไม่มีห้องตัวอย่าง มีช่องทางขายเฉพาะบนออนไลน์เท่านั้น โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่าเป็นกลยุทธ์เพื่อตัดต้นทุนค่าเซลส์แกลลอรี่ และนำต้นทุนที่ลดลงไปดึงราคาขายให้ต่ำ ช่วยจูงใจผู้บริโภค (อ่านย้อนหลังได้ที่นี่)

    หลังจากนั้นในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา โครงการ ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช ที่เป็นโครงการทดลองกลยุทธ์นี้ ปรากฏว่าขายหมดเกลี้ยงทั้ง 399 ยูนิต ตั้งแต่วันแรก สร้างเซอร์ไพรส์ให้ตลาดคอนโดมิเนียมยุคปัจจุบันที่ขายยากจนโครงการเปิดใหม่มักจะตั้งเป้าวันพรีเซลแค่ 40% เท่านั้น และยังช่วยพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่าผู้บริโภคบางกลุ่มพร้อมแล้วที่จะซื้อคอนโดฯ ออนไลน์โดยไม่ต้องไปเห็นของก่อนก็ได้ โดยออริจิ้นระบุว่าผู้ซื้อถึง 80% เป็นผู้ซื้ออยู่เองที่ซื้ออสังหาฯ เป็นครั้งแรก ส่วนที่เหลือ 20% คือนักลงทุน

    “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

    “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงที่มาที่ไปของกลยุทธ์นี้ว่า เกิดจากสถานการณ์ COVID-19 บีบให้บริษัทต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจจากโรคระบาดทำให้ผู้บริโภคยิ่งตัดสินใจซื้อยากขึ้น หนทางที่จะทำให้ผู้บริโภคซื้อคือ “ราคาต้องเร้าใจ”

    “เราสำรวจเลยว่าคนวัยประมาณ 25 ปี ถ้าเขาจะซื้ออสังหาฯ เขายอมซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ก็ย้อนกลับไปที่การผ่อนต่อเดือน เราพบว่าเขาจะผ่อนได้ที่ประมาณ 9,000 บาทต่อเดือน แปลว่าปลายทางราคาคอนโดฯ ที่ซื้อได้สูงสุดต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท” พีระพงศ์กล่าว

    แต่ต้นทุนต่างๆ ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าวัสดุ และบริษัทไม่สามารถบีบต้นทุนเหล่านี้ลงได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงหันมามองต้นทุนอื่นคือ “เซลส์ แกลลอรี่” ที่เป็นค่าใช้จ่ายสำคัญ และถ้าตัดออกก็ไม่กระทบกับคุณภาพตัวสินค้าที่ลูกค้าจะได้

     

    ตัดห้องตัวอย่างออกช่วยลดต้นทุนได้ 5-10%

    พีระพงศ์แจกแจงว่า ต้นทุนเซลส์ แกลลอรี่คิดเป็นสัดส่วน 5-10% ของต้นทุนโครงการหนึ่งๆ โดยแบ่งเป็นต้นทุนค่าก่อสร้างจะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาทต่อแห่ง จากนั้นจะมีค่าบริหารคือค่าจ้างพนักงานขาย รปภ. แม่บ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ซุ้มป้อมป้ายด้านหน้า ฯลฯ ตกเดือนละประมาณ 700,000-1,000,000 บาทต่อเดือน โดยค่าใช้จ่ายนี้จะมีตลอดจนกว่าโครงการจะสร้างเสร็จ หรือเท่ากับประมาณ 24 ล้านบาทสำหรับคอนโดฯ ตึกเตี้ย และประมาณ 30 ล้านบาทสำหรับตึกสูง

    ภาพตัวอย่าง ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช

    ซีอีโอออริจิ้นมองว่า จริงๆ แล้วหากเป็นคอนโดฯ ตลาดแมสคือกลุ่มราคาประมาณ 2 ล้านบาท แบบแปลนและเฟอร์นิเจอร์ห้องในแต่ละโครงการไม่ได้ต่างกันมาก ขณะที่เทคโนโลยียุคนี้สามารถถ่ายภาพ 360 องศา ถ่ายคลิปวิดีโอแนะนำที่เห็นชัดเจน หรือถ้าลูกค้ายังต้องการความมั่นใจจริงๆ ก็ยอมเดินทางไปดูห้องที่โครงการใกล้เคียงที่สร้างเสร็จแล้วหรือมีเซลส์ แกลลอรี่ได้

    ส่วนรายละเอียดที่ลูกค้ามักจะถามพนักงานขาย เช่น ผ่อนเท่าไหร่ ลูกค้ายุคนี้หาข้อมูลเองในอินเทอร์เน็ตผ่านการรีวิวของบล็อกเกอร์ต่างๆ อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างห้องตัวอย่างใหม่ทุกโครงการเหมือนในอดีตก็น่าจะขายได้ เพราะทุกอย่างมีพร้อมบนโลกออนไลน์

    หน้าระบบการจองออนไลน์ของ evenprop.com สามารถกดเลือกห้องเองได้ ดูวิวจริงจากชั้นและมุมที่เลือก ดูรายละเอียดเฟอร์นิเจอร์ในห้อง

    ส่วนต้นทุนที่ลดลง ออริจิ้นก็นำมาทำราคาให้ถูกลง พีระพงศ์ยกตัวอย่างคอนโดฯ ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช เปิดราคาที่เริ่มต้น 1.29 ล้านบาทสำหรับห้องพื้นที่ใช้สอย 21.5 ตร.ม. หรือเฉลี่ย 68,000 บาทต่อตร.ม. เทียบกับคอนโดฯ ใกล้เคียงเปิดราคาเฉลี่ย 80,000 บาทต่อตร.ม. เห็นได้ว่าลดราคาจากราคาตลาดไปถึง 15% จึงเป็นราคาเร้าใจที่จะทำให้ผู้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อ

    “การลดต้นทุนและลดราคาให้ลูกค้าก็กลับมาช่วยตัวเราด้วย เพราะเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ ถ้าเรายังขายราคาเดิมตามปกติ ผมว่าตอนนี้เราจะขายได้ไม่เกิน 30% ของโครงการ” พีระพงศ์กล่าว

     

    ต่อยอดรับทำโซลูชันขายออนไลน์

    เมื่อประสบผลสำเร็จ ทำให้ออริจิ้นจะนำโมเดลนี้ไปใช้ต่อที่แบรนด์ ดิ ออริจิ้น แห่งต่อไป คือ ดิ ออริจิ้น E22 คอนโดฯ ตึกสูง 200 เมตรจากสถานี BTS สายลวด และจะทำราคาเริ่มเพียง 1.09 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตร.ม.ละ 49,000 บาท และอีกโครงการหนึ่งคือ ดิ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา ห้องชุดแบบ Duplex เริ่มต้น 2.5 ล้านบาท เตรียมเปิดขายเร็วๆ นี้

    นอกจากเป็นแพลตฟอร์มรองรับโครงการในบริษัทแล้ว เนื่องจากออริจิ้นเปิดแพลตฟอร์มนี้เป็นเว็บไซต์ใหม่ชื่อ evenprop.com ทำให้สามารถนำไปใช้บริการโครงการนอกเครือได้ด้วย โดยพีระพงศ์มองว่าโมเดลอาจจะรับจ้างเป็นทีมโซลูชันขายออนไลน์ครบวงจร มีทีมไอทีหลังบ้าน ทีมการตลาดถ่ายภาพ ถ่ายคลิป และให้คำปรึกษาเรื่องการตั้งราคาพร้อมสรรพ กลายเป็นธุรกิจหารายได้เพิ่มเติม

    โครงการทำวิดีโอรีวิวให้ลูกค้าดูทางออนไลน์

    กลุ่มเป้าหมายของบริการนี้น่าจะเป็นบริษัทอสังหาฯ รายกลางรายเล็ก ทั้งที่อยู่นอกตลาดหุ้นและในตลาดหุ้น เพราะถ้าหากปีหนึ่งๆ บริษัทมีการเปิดตัวคอนโดฯ ไม่มาก การพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาเองอาจจะไม่คุ้มค่าใช้จ่ายและเสียเวลา ดังนั้น evenprop.com น่าจะช่วยตอบโจทย์ได้ดี

    “เราเข้ามาดิสรัปต์ความเชื่อของคนที่มองว่าการขายอสังหาฯ ต้องมีรูป รส กลิ่น เสียง ต้องมีของจริงให้ดู ต้องมีพนักงานขายมาบริการ เราขอเปลี่ยนความเชื่อนี้และถ้าใครต้องการนำไปต่อยอดเพิ่มก็ยินดี” พีระพงศ์กล่าว

     

    ข้อแม้คือยังทำได้เฉพาะตลาดแมส

    อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าวิธีการนี้จะทำได้กับทุกโครงการ พีระพงศ์กล่าวว่าการขายแบบไร้ห้องตัวอย่างจะทำได้เฉพาะคอนโดฯ ตลาดแมส กรณีของบริษัทคือเฉพาะแบรนด์ ดิ ออริจิ้น เพราะลักษณะโครงการและแปลนห้องมีความคล้ายเดิม ลูกค้าสามารถอ้างอิงโครงการเดิมในการตัดสินใจได้ และเน้นเรื่องทำเลกับราคาเป็นหลัก

    แต่ในกลุ่มตลาดกลางบนจนถึงไฮเอนด์ อย่างแบรนด์ ไนท์บริดจ์ หรือ ปาร์ค ออริจิ้น ลูกค้าจะยังต้องการรูป รส กลิ่น เสียง และต้องมีห้องตัวอย่าง เนื่องจากแต่ละโครงการจะมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนกัน และลูกค้ายังตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์ความชอบ จึงยังต้องมีบริการของพนักงานขายเข้ามาช่วยกระตุ้น

    นอกจากนี้ บริษัทที่จะขายออนไลน์ได้ยังต้องมีเรื่องความน่าเชื่อถือด้วย ดังนั้นต้องเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดแล้วบ้าง ถ้าเป็นหน้าใหม่ในวงการอาจจะค่อนข้างยากที่จะใช้กลยุทธ์นี้

    พีระพงศ์ตบท้ายว่า สำหรับแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ระยะยาวแล้วอาจจะปรับไปเป็นการขายออนไลน์ทั้งหมด แต่จะมีการสร้าง Lap Room เป็นเซลส์ แกลลอรี่กลางไว้ที่ออฟฟิศ ออริจิ้น บางนา เผื่อให้กับลูกค้าที่ยังไม่มั่นใจในการซื้อออนไลน์ สามารถเดินทางมาดูรูปแบบห้องและพูดคุยกับพนักงานขายได้

    ]]>
    1293116
    จับความเคลื่อนไหว “อสังหาฯ” Q1/63 “COVID-19” ทุบรายได้-กำไรหล่น 30-35% https://positioningmag.com/1279301 Tue, 19 May 2020 06:19:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1279301 สำรวจผลประกอบการ 8 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบรายได้ไตรมาส 1 ปี 2563 ลดลงเฉลี่ย 30% และกำไรสุทธิลดเฉลี่ย 35% เหตุผลทั้งเป็นผลประกอบการจากฐานที่สูงมากของปีที่แล้ว และผลกระทบเศรษฐกิจ COVID-19 ซ้ำเติม “เสนาฯ-ออริจิ้น” ถึงรอบโอนคอนโดฯ ลอตใหญ่ช่วยกู้สถานการณ์ ขณะที่ “พฤกษา” มองเป็นสถานการณ์ที่ “ดีกว่าที่คาด”

    Positioning สำรวจผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยยก 8 บริษัททั้งขนาดใหญ่จนถึงขนาดกลางเป็นตัวอย่างสภาวะตลาด พบว่ารายได้ไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทอสังหาฯ มีรายได้ลดลงเฉลี่ย -30% ด้านกำไรสุทธิลดลงเฉลี่ย -35% (ดูตารางด้านล่างประกอบ)

    โดยบริษัทที่ทำรายได้ได้ดีที่สุดในแง่ของการเติบโตคือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยมีรายได้เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สวนทางกับตลาดรวม ขณะที่ผลกำไรสุทธิ บมจ.เสนาดีเวลลอปเมนท์ ทำได้ดีที่สุดคือมีกำไรเพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

    ในทางตรงข้าม บริษัทขนาดกลางอย่าง บมจ.ริชี่ เพลซ 2002 อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างหนัก โดยมีรายได้ลดลง -47% และกำไรสุทธิลดลงมากถึง -70%

    เทียบฐานสูงของปี’62 ทำให้ตัวเลขดูเลวร้ายกว่าที่ควร

    สำหรับคำอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลายบริษัทอธิบายว่า รายได้และกำไรของ Q1/63 เมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Q1/62 จะเป็นการเทียบที่ค่อนข้าง “ผิดฝาผิดตัว”

    เพราะไตรมาส 2 เมื่อปีก่อนนั้นเป็นไตรมาสที่ภาคอสังหาฯ สร้างผลประกอบการได้ดีเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่รัฐจะเริ่มบังคับใช้มาตรการเข้มงวดอัตรา LTV ที่ใช้คำนวณสินเชื่อบ้าน และจะทำให้ลูกค้ามีโอกาสกู้บ้านได้ในวงเงินที่ต่ำลงกว่าเดิม

    ส่งผลให้ลูกค้าหลายรายเร่งตัดสินใจซื้อและโอนบ้าน-คอนโดฯ ให้เรียบร้อยใน Q1/62 เพื่อหนีมาตรการเข้มงวด LTV จึงได้เห็นหลายบริษัททำรายได้-กำไรพุ่ง 25-40% ในไตรมาสดังกล่าว มาถึงปีนี้ การเปรียบเทียบจึงเป็นการเทียบกับฐานที่สูงผิดปกติอยู่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า COVID-19 จะไม่มีผล เพราะทุกบริษัทต่างกล่าวถึงผลประกอบการที่ลดลงว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจและโรคระบาด

     

    อานิสงส์คอนโดฯ ถึงรอบโอนกรรมสิทธิ์

    สำหรับบางบริษัทที่ยังทำรายได้หรือกำไรเติบโต จะพบว่ามาจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ในไตรมาสแรก เช่น บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่แม้ว่าจะทำรายได้ไตรมาสแรกที่ 976 ล้านบาท ลดลง -12% แต่กำไรสุทธิอยู่ที่ 227 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 45% ที่บรรทัดสุดท้ายของเสนาฯ สูงขึ้นมากเนื่องจากคอนโดฯ ร่วมทุน “นิช โมโน สุขุมวิท แบริ่ง” สร้างเสร็จพร้อมโอน และส่งกำไรกลับมาที่บรรทัดสุดท้ายของบัญชี

    นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง

    รวมถึง บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ทำรายได้ 3,394 ล้านบาท เติบโต 13% แม้ว่ากำไรสุทธิ 595 ล้านบาท จะลดลง -17% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าบริษัทอื่นๆ เนื่องจากคอนโดฯ ร่วมทุน 2 แห่ง คือ “ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน” และ “ไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง” สร้างเสร็จและเริ่มรับรู้กำไรเข้ามา

     

    พฤกษามอง “ดีกว่าที่คาด”

    ด้าน บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง อสังหาฯ รายใหญ่ของวงการ ทำรายได้ 7,176 ล้านบาท ลดลง -40% และกำไรสุทธิ 922 ล้านบาท ลดลง -45% แม้ตัวเลขจะลดลงไปเกือบครึ่ง แต่ “สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์” ซีอีโอ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มองว่าภาพรวมธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจกว่าที่คาด พร้อมอ้างอิงยอดขายใหม่ของ 5 โครงการพฤกษาที่เปิดตัวช่วงไตรมาสแรกว่ามีอัตรายอดขาย (Take Up Rate) ที่ 25% สูงกว่าในตลาดซึ่งอยู่ที่เฉลี่ย 16%

    อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกของปีนั้นได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เพียงเดือนเดียว และส่วนใหญ่ยังเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาด ขณะที่การเริ่มล็อกดาวน์ศูนย์การค้าและแหล่งชุมนุมชน พร้อมกับการบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน จะปรากฏผลอย่างเต็มที่ในไตรมาส 2

    ทำให้ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าภาคอสังหาฯ งัดกลยุทธ์การขายและโปรโมชันมาใช้ในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมโครงการและจองบ้านแบบออนไลน์ต้อนรับวิถีชีวิตคนกักตัวอยู่กับบ้าน ไปจนถึงการลดราคากระหน่ำ จัดโปรฯ “ผ่อนให้” ลูกค้าในช่วง 2-3 ปีแรกเพื่อบรรเทาความกังวลใจทางเศรษฐกิจ

    ต้องรอติดตามในไตรมาสนี้ว่าการจูงใจด้วยโปรโมชันสำหรับ “บ้าน” อันเป็นปัจจัยสี่แต่เป็นของหนักตัดสินใจยาก จะได้ผลหรือไม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจ COVID-19

    ]]>
    1279301
    วิเคราะห์ ‘New Normal อสังหาฯ’ หลังจบ COVID-19 ยุคที่ ‘บ้าน’ ไม่จำเป็นต้อง ‘ใกล้ออฟฟิศ’ อีกต่อไป https://positioningmag.com/1272279 Thu, 09 Apr 2020 02:50:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1272279 COVID-19 กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก และส่งผลกระทบไปยังทุกกลุ่มธุรกิจ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจจะต้องเผชิญกับ ‘ความปกติแบบใหม่’ หรือ ‘New Normal’ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้น บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จะมานำเสนอแนวทางการ ‘รับมือ’ กับ New Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

    พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

    ซื้อบ้านยุคใหม่ ไม่ต้องชมห้องตัวอย่าง

    พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า New Normal เรื่องแรกที่จะเกิดกับธุรกิจอสังหาฯระยะยาว คือ ผู้บริโภคจะ ‘รับได้’ กับการซื้อบ้านหรือคอนโด โดยไม่ต้องเห็นห้องตัวอย่างจริง ขณะที่วิดีโอรีวิวจะมีความสำคัญมากขึ้น ผู้บริโภคจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการเปรียบเทียบแต่ละโครงการ แทนการสำรวจทีละ 5-10 โครงการด้วยตัวเอง

    “ในจีนมีแพลตฟอร์มเอเจนซี่ขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ชื่อ เหย่าลู่ โดยบนแพลตฟอร์มมีทีมขายเพียง 25 คน แต่สร้างยอดขายได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยกว่า 40% ของผู้ซื้อ ตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องไปเยี่ยมชมโครงการ ในไทยเองก็อาจจะได้เห็น อาจจะมีไลฟ์ขายของพร้อมโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่งออริจิ้นเองก็มีการขายออนไลน์บนแพลตฟอร์มอย่างช้อปปี้”

    ซื้อบ้านไกลไกลที่ทำงานได้เพราะ Work from Home

    New Normal เรื่องที่สอง เมื่อสังคมรับได้กับการ Work from Home มากขึ้น จะส่งผลให้คนซื้อบ้านที่ไม่อยู่ในเมือง เพื่อให้ได้ห้องพักขนาดใหญ่ขึ้น ภายใต้งบประมาณเดิม บ้านจัดสรรอาจยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องขนาดมากนัก แต่เชื่อว่าคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอนในสถานีส่วนต่อขยาย อาจต้องมีขนาดประมาณ 35 ตร.ม.ขึ้นไป ขณะเดียวกัน ภายในห้องพักจะต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมี ‘WFH Function’ ทั้งพื้นที่สำหรับกิน นอน ทำงาน และออกกำลังกาย

    สู่ยุค Individual Society

    New Normal เรื่องที่สาม สังคมจะกลายเป็น ‘Individual Society’ ทุกคนยังคงต้องการใช้พื้นที่ส่วนกลาง แต่จะหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องสร้างพื้นที่ส่วนกลางที่สอดคล้องกับความต้องการ เช่น การออกแบบ Co-separate space ให้คนไว้นั่งแยกกันในพื้นที่ส่วนกลางเดียวกัน หรือนำเทคโนโลยีแบบไร้สัมผัส หรือ Touchless เช่น ระบบการจดจำใบหน้า (Face Recognition) หรือระบบการสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) สำหรับใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง

    ดีมานด์หายแน่ 15-30%

    นอกจากโควิด-19 จะเปลี่ยนพฤติกรรมคนแล้ว ‘ดีมานด์’ เองก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 15-30% ขึ้นอยู่กับว่า จะจบช้าหรือเร็วแค่ไหน แต่ถ้ายังทำการตลาดแบบเดิม ๆ อาทิ ใช้แค่สื่อกลุ่ม Out of Home ผู้ประกอบการก็มีโอกาสจะโดน ‘ดิสรัปต์’ ไปพร้อมตลาดที่ดีมานด์หดตัว ดังนั้นต้องปรับวิธีการทำตลาดใหม่ทั้งหมด อย่างออริจิ้นเองปรับให้พนักงานทุกคนเป็น Micro-Influencer เพื่อขายของ ภายใต้โปรเจกต์ ‘Everyone can sell’ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ออริจิ้นมียอดขายภายใต้โปรเจกต์ดังกล่าวถึงกว่า 500 ล้านบาท

    “จากเดิมเรามีฝ่ายขายและการตลาดประมาณ 250 คน แต่เราเปลี่ยนพนักงานทั้งเครือกว่า 1,200 คน เข้ามาร่วมในโปรเจกต์ดังกล่าว โดยทุกคนสร้างรายได้เฉลี่ยถึง 4.1 แสนบาทต่อคนในช่วงไตรมาสแรก แม้ดีมานด์ภาพรวมอาจจะหดตัว แต่เรายังขับเคลื่อนไปต่อได้ เพราะทีมงานทุกคนรู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเองดี”

    อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจโรงแรมจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังสถานการณ์จบแน่นอน เนื่องจากผู้คนยังคงต้องการท่องเที่ยว ดีมานด์ที่ถูกอั้นไว้ในช่วงนี้จะระเบิดออกมาหลังสถานการณ์คลี่คลาย

    “ในระหว่างวิกฤติ เราต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัว ปรับสภาพแวดล้อมให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจทันที เราโชคดีที่วัฒนธรรมองค์กรเราแข็งแกร่ง พนักงานของเรามี Disruptor Mindset ทำให้มีไอเดียใหม่ ๆ เสมอ และพอจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว เราจะใช้ความเป็น Disruptor ของทีมงานทุกคน ขับเคลื่อนองค์กร สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ตอบโจทย์ New Normal ของผู้บริโภคต่อไป”

    ]]>
    1272279
    เช็กชีพจร 5 บิ๊กอสังหาฯ 9 เดือนแรก 2562 กำไรหดถ้วนหน้าเซ่นพิษเศรษฐกิจ-มาตรการ LTV https://positioningmag.com/1253383 Tue, 12 Nov 2019 14:11:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1253383 เข้าสู่ช่วงโค้งท้ายปี 2562 ปีแห่งความท้าทายทางเศรษฐกิจ สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน สะท้อนภาพชัดในผลประกอบการรอบ 9 เดือนแรกปี 2562 บิ๊กเนมวงการ 5 รายทำรายได้ลดลงเกือบทั้งหมด ขณะที่กำไรสุทธิลดลงถ้วนหน้า (ดูกราฟิกประกอบด้านล่าง)

    ภาคอสังหาฯ ปีนี้นอกจากจะมีผลกระทบเด้งแรกจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ซบเซาลง ยังมีเด้งสองจากมาตรการควบคุมสัดส่วน LTV (Loan-to-Value) สินเชื่อบ้านหลังที่ 2 ที่ภาครัฐเข็นออกมาใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยความกดดันเหล่านี้ ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรที่ลดลงแบบแดงทั้งตารางจึงไม่ผิดไปจากคาดการณ์เท่าไหร่นัก

    สำหรับ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เจ้าตลาดระดับกลางล่าง ซึ่งทำรายได้ 9 เดือน 28,179 ล้านบาท ลดลง 6.8% และกำไรสุทธิ 3,534 ล้านบาท ลดลง 12% “สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์” ซีอีโอพฤกษา มองว่า บริษัทยังทำได้ดีกว่าตลาด เนื่องจากบริษัทประเมินว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 3 ปีนี้ติดลบถึง 35% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยบริษัทมีแผนเร่งผลักดันผลประกอบการบริษัทต่อไปในไตรมาส 4 ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม Win Back ช่วยเหลือลูกค้าที่กู้ไม่ผ่าน และการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท

    ด้าน บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ทำรายได้ 9 เดือนที่ 18,439 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.7% ขณะที่กำไรสุทธิ 2,183 ล้านบาท ลดลงถึง 26.7% คำอธิบายจากฝ่ายบริหารจัดการบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชี้แจงว่า รายได้ลดลงเล็กน้อยเกิดจากในช่วง 9 เดือนแรกของปียังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ทั้งนี้ บริษัทพยายามขายและทยอยโอนโครงการพร้อมอยู่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โครงการแนวราบยังทำยอดขายและรายได้ดี

    ส่วนกำไรสุทธิที่ลดลงมากนั้นเกิดจากผลต่อเนื่องที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ใหม่ แต่มีการเปิดตัวโครงการ Life สาทร-เซียร์ร่า ที่ใช้ค่าบริหารจัดการสูง ทำให้ผลกำไรติดลบ แต่บริษัทจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ 2 โครงการใหม่คือ Life วัน ไวร์เลส และ Life สุขุมวิท 62 ในช่วงไตรมาส 4 ที่จะผลักดันยอดรับรู้รายได้และกำไรปีนี้ให้สูงขึ้น

    บมจ.แสนสิริ อีกหนึ่งเจ้าตลาดอสังหาฯ รายได้ 9 เดือนอยู่ที่ 16,905 ล้านบาท ลดลง 4% กำไรสุทธิ 1,141 ล้านบาท ลดลง 15% คำอธิบายจากฝ่ายบริหารจัดการบริษัทแจกแจงว่าบริษัทมีรายได้ลดลงจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ และบ้านเดี่ยวที่ลดลง แม้ว่ารายได้จากทาวน์โฮมจะมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีต้นทุนการออกแบบโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดขาย ทำให้กำไรลดลงดังกล่าว ส่วนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทมีแผนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ 6 โครงการ ที่น่าจับตาเช่น คุณ บาย ยู ทองหล่อ และ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101

    มาต่อที่ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หนึ่งเดียวที่ยังมีรายได้เติบโตแต่กำไรลดลงตามสภาวะตลาด เอสซีฯ ทำรายได้ไป 10,497 ล้านบาท เติบโต 7% และกำไรสุทธิ 1,039 ล้านบาท ลดลง 6% การเติบโตของเอสซีฯ เกิดจากอานิสงส์ที่บริษัทเน้นพอร์ตสินค้าแนวราบเป็นหลักสัดส่วน 79% ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ทำให้กลุ่มแนวราบของเอสซีฯ เติบโต 15% ส่วนกลุ่มแนวสูงเองก็เจาะกลุ่มตลาดกลางถึงไฮเอนด์ ทำให้มีลูกค้าโอนเงินสดถึง 50% ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการเข้มงวด LTV

    ปิดท้าย บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำรายได้ 9 เดือนไป 10,418 ล้านบาท ลดลง 2.5% และกำไรสุทธิ 2,145 ล้านบาท ลดลง 10% ซึ่งบริษัทชี้แจง แม้ตัวเลขจะลดลงจากปีก่อนด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นบางส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งเกิดจากรายได้และกำไรปี 2561 สูงมากอยู่แล้วเนื่องจากมีรายได้พิเศษผ่านการจอยต์เวนเจอร์กับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด โดยบริษัทชี้ให้เห็นว่าอัตรากำไรสุทธิยังอยู่ที่ 20.6% ซึ่งค่อนข้างสูงมากในตลาดอสังหาฯ

    ทั้งนี้ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอออริจิ้นยังเชื่อมั่นว่าไตรมาส 4 ตลาดอสังหาฯ น่าจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐออกนโยบายกระตุ้น ลดค่าธรรมเนียมโอนและค่าจดจำนองเหลือรายการละ 0.01% ยาวจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งออริจิ้นมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ในขณะนี้รวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท และมีโครงการบ้าน-คอนโดฯ ที่จะเริ่มโอนในไตรมาส 4 อีกไม่ต่ำกว่า 9 โครงการที่พร้อมตอบรับมาตรการรัฐทันที

    ]]>
    1253383
    ติดใจลงทุนอสังหาฯ! กลุ่มดุสิตธานีจับมือ “ออริจิ้น” ร่วมทุนคอนโดไฮเอนด์ศรีราชา 1.4 พันล้าน https://positioningmag.com/1246885 Wed, 18 Sep 2019 13:23:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1246885 การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ เพิ่มความหลากหลายในการทำธุรกิจ (Diversify) ของกลุ่มดุสิตธานี เพื่อโอกาสเติบโต กระจายความเสี่ยง และสร้างความสมดุลรายได้ จากปัจจุบันสัดส่วน 80% มาจากธุรกิจโรงแรม

    นโยบายการลงทุนกลุ่มอสังหาฯ ของ กลุ่มดุสิตธานี มีความชัดเจนว่าใช้วิธีร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้อยู่แล้ว ที่เปิดตัวไปแล้วคือ “เซ็นทรัลพัฒนา” ที่ร่วมกันพัฒนาโปรเจกต์มิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใจกลางกรุงเทพฯ บนที่ดิน 23 ไร่ หัวมุมถนนสีลมและพระราม 4 มูลค่า 37,700 ล้านบาท โครงการประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจ คือ โรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน จะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี 2567

    นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรกลุ่มอสังหาฯ “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” ซึ่งเข้ามาลงทุนถือหุ้นดุสิตธานี 5% มูลค่ารวม 510 ล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. 2562 โดยเป็นการเข้ามาลงทุนระยะยาว และมีแผนพัฒนาโปรเจกต์มิกซ์ยูสร่วมกันหลังจากนี้

    ศุภจี สุธรรมพันธุ์

     

    จับมือ “ออริจิ้น” ลงทุนคอนโดศรีราชา

    กลุ่มดุสิตธานี ยังเดินหน้าลงทุนอสังหาฯ ต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือกับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการร่วมทุนประเภทที่อยู่อาศัย ร่วมกันครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” (The Hampton Sriracha by Origin and Dusit) โดยออริจิ้นถือหุ้น 51% และ ดุสิตธานี 49%

    “เดอะ แฮมป์ตัน” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ 26 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นที่พักอาศัย 468 ยูนิต และเพื่อการพาณิชย์ 3 ยูนิต ทำเลตรงข้ามตึกคอม ใจกลางศรีราชา มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท

    ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC กล่าวว่า การร่วมลงทุนคอนโดไฮเอนด์ทำเลศรีราชากับ ออริจิ้น เป็นไปตามนโยบายการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่สอดคล้องกับธุรกิจหลัก ซึ่งธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เป็นหนึ่งในแผนที่วางไว้ เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพการเติบโตของตลาดในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการดึงดูดทั้งแหล่งเงินทุน และนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    “การลงทุนคอนโด นอกจากจะเป็นการขยายธุรกิจของดุสิตธานีและกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้และผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย”

    พีระพงศ์ จรูญเอก

    เจาะลูกค้าผู้บริหาร-ต่างชาติ

    พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า การร่วมทุนในโปรเจกต์คอนโด เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา กับดุสิตธานี เพราะเห็นศักยภาพในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ว่าจะมีทั้งเมกะโปรเจกต์ที่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน จึงร่วมทุนกันพัฒนาโครงการดังกล่าวรองรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่

    ตัวโครงการจะมุ่งเจาะตลาดกลุ่มผู้บริหาร ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว สตาร์ทอัป ตลอดจนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและทำงานในพื้นที่ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 โดยจะเปิดพรีเซลในเดือน พ.ย. นี้ ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท.

    ]]>
    1246885
    “กสิกรไทย” ลงขัน “ ออริจิ้น” ถือหุ้น 10% ใน BUTLER นิติบุคคลออนไลน์ https://positioningmag.com/1205410 Thu, 27 Dec 2018 01:58:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1205410 ธนาคารกสิกรไทยให้ความสนใจธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มออนไลน์ หลังจากต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประกาศเทเงิน 1,600 ล้านบาท ลงทุนในแกร็บ (Grab) โดยมีเป้าหมายต้องการต่อยอดโมบายวอลเล็ต และปล่อยกู้ให้กับคนขับ

    ตามมาด้วย การจับมือกับ LINE จัดตั้ง “บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด” เพื่อนำบริการโซเชียลแบงกิ้งขยายไปยังฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มไลน์ ที่มีผู้ใช้ 44 ล้านราย โดยตั้งเป้าจะเป็น 1 ใน 5 บริษัทให้บริการสินเชื่อภายใน 5 ปี

    ล่าสุดกสิกรไทยก็ปิดดีลอีกครั้งกับออริจิ้นผู้พัฒนาโครงการอังหาริมทรัพย์ ในการเข้าร่วมทุนในบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นและแพลตฟอร์ม BUTLER

    “BUTLER” เป็นแอปพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้ เช่น บริการแม่บ้าน บริการดูแลรักษาบ้าน บริการซักอบรีด และยังมีฟังก์ชันการดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล ขณะนี้มีนิติบุคคลโครงการต่างๆ สนใจลงชื่อเข้าร่วมใช้งานแล้วมากกว่า 500 โครงการ

    เบื้องต้นธนาคารกสิกรไทยจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบการชำระเงินให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของ BUTLER ให้ลูกค้าธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ ของทางธนาคาร อาทิ K Plus เป็นต้น นอกจากนี้ในอนาคตมีแผนที่จะพิจารณาความร่วมมือต่างๆ เพิ่มขึ้นต่อไป

    ภายหลังการดำเนินการซื้อขายหุ้นของบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด เสร็จสิ้น บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้นในดิจิตอล บัตเลอร์ ประมาณ 52% ผ่านบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจบริการทั้งหมดในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งดิจิตอล บัตเลอร์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 35% และธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 10%.

    ]]>
    1205410