ล่าสุด Bridget Phillipson รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ ได้ประกาศว่า อังกฤษ จะขึ้นค่าเทอมในระดับมหาวิทยาลัย เพิ่ม 3.1% ในปีหน้า ซึ่งเป็นประกาศการขึ้นค่าเทอมครั้งแรกในรอบ 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2016
การขึ้นค่าเทอมดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ทําให้ค่าธรรมเนียมรายปีพุ่งสูงถึง 9,535 ปอนด์ (ประมาณ 418,381 บาท) อีกทั้งสินเชื่อเพื่อช่วยเรื่องค่าครองชีพของนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นอีก 3.1% เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ซึ่งการขึ้นค่าเทอมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นความท้าทายทางการเงินในระดับอุดมศึกษาแล้ว ยังถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่มีเป้าหมายขยายการเข้าถึงการศึกษาสำหรับผู้ที่ด้อยโอกาส
ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ของ Laura Trott เลขาธิการการศึกษา ที่ได้เสนอแนะให้ทางกระทรวงศึกษาฯ เพิ่มรายชื่อของนักศึกษาเข้าในรายชื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจด้านงบประมาณการศึกษาครั้งล่าสุดนี้ด้วย
ที่มา : XINHUA
]]>
ซึ่งในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับเบาหวานของ WHO ยังพบว่า การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรทั่วโลกจากโรคเบาหวาน เพิ่มขึ้นถึง 5% ในระหว่างปี ค.ศ.2000 ถึงปี ค.ศ.2016 และมีตัวเลขประมาณการว่าการเสียชีวิตของประชากรราวๆ 1.5 ล้านคนทั่วโลกในปี ค.ศ.2019 โดยมีเด็กในอังกฤษที่อายุต่ำกว่า 19 ปีป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 36,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีจำนวน 31,500 คนในปี 2015
ที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้พยายามในการลดจำนวนของผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคอ้วนอันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ด้วยการหันมาออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร การใช้กฎหมายบังคับเพื่อพยายามลดขนาดรอบเอวของพลเมืองอังกฤษ ตามอย่างประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการระบุปริมาณแคลอรีในเมนูอาหาร ทางรัฐบาลยังเดินหน้าพิจารณาการแสดงปริมาณแคลอรีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีการเปิดตัวแคมเปญสุขภาพที่ดีขึ้นไปพร้อมกับมาตรการรับมือปัญหาโรคอ้วน เป็นต้น
ล่าสุดได้มีนโยบายในการลดปัญหาโรคอ้วนในเด็ก โดยการสั่งห้ามโฆษณาเครื่องดื่ม และอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ทางโทรทัศน์ ก่อนเวลา 21.00 น. และนโยบายนี้จะใช้ควบคู่ไปกับการโฆษณาในออนไลน์แบบชําระเงินทั้งหมดเช่นกัน โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างจริงจังในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
ซึ่งโยบายกำหนดเวลาเผยแพร่โฆษณาเครื่องดื่มและอาหารฟาสฟู้ดส์ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในปี 2021 สมัยที่ บอริส จอห์นสัน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยถูกพูดถึงนโยบายนี้มาก่อน เนื่องจากบอริส เป็นหนึ่งในคนที่มีน้ำหนักเกิน และในเดือน เม.ย. ปี 2020 เขาได้เผชิญกับการป่วยโรคโควิด – 19 ด้วยตัวเองจนถึงขั้นต้องเข้าห้องไอซียู และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลาหลายวันกว่าจะเอาตัวรอดจากโรคนี้ได้นั่นเอง
ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลฯ มีการดำเนินการเรื่องข้อตกลงและปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรการสําหรับผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ และบริการที่ครอบคลุมรายการอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงนมผงสําหรับทารก อาหารแปรรูปจากธัญพืชสําหรับทารก ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหาร เครื่องดื่มยา และผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหารที่ได้รับอนุมัติด้วย
ที่มา : BBC
ตามรายงานของ Henley Private Wealth Migration Report คาดว่ามีจำนวน เศรษฐี 9,500 คน ที่จะ ย้ายออกจากสหราชอาณาจักร ในปีนี้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าจำนวนเศรษฐีที่ย้ายออกในปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า โดยสหราชอาณาจักร ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ที่คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐี 15,200 คน ในปีนี้
“ผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน ยังคงเกิดขึ้น โดยที่เมืองลอนดอนไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอีกต่อไป” ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันเพื่อรัฐบาล เขียนในรายงาน
การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษจะมีการ เลือกตั้ง ในอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งพรรคแรงงานฝ่ายค้านที่สนับสนุนการ เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมประมาณ 20 คะแนน นอกจากนี้ ผลกระทบของ Brexit ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย รวมไปถึงการเพิ่มอุปสรรคใหม่ต่อการค้าและการลงทุน และผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สงครามในยูเครน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นตามมา ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรถือเป็นประเทศปลายทางของเศรษฐีในหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ลอนดอน
]]>ในช่วงที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) เตรียมงบลงทุนก้อนใหญ่มากถึง 43,000 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 1.6 ล้านล้านบาท ภายใต้ข้อตกลง “EU Chips Act” หวังที่จะเป็นฮับในด้านเซมิคอนดักเตอร์อีกแห่ง หรืออย่าง สหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนเม็ดเงินมากถึง 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ สหราชอาณาจักร วางงบไว้เพียง 1.2 พันล้านปอนด์ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท) สำหรับเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 20 ปีเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ โดยมาตรการต่าง ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การเติบโตของภาคส่วนชิปในประเทศของสหราชอาณาจักร ลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และการปกป้องความมั่นคงของชาติ
เบื้องต้น รัฐบาลจะลงทุน 200 ล้านปอนด์ในช่วงปี 2566-2568 ส่วนงบอีก 1 พันล้านปอนด์จะใช้ในช่วง 10 ปีข้างหน้าโดยเงินทุนจะถูกใช้เพื่อสนับสนุนผู้มีความสามารถและการเข้าถึงการสร้างต้นแบบ เครื่องมือ และการสนับสนุนทางธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์ของสหราชอาณาจักรจะมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งในด้านต่าง ๆ เช่น การวิจัยและการออกแบบ มากกว่าจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่
“แทนที่จะใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลเหมือนกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แต่สหราชอาณาจักรกำลังกำหนดแนวทางที่แตกต่างออกไปโดยมุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมด้านที่ตนมีความเชี่ยวชาญ เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่ของตัวเองเพื่อผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุด แต่เราจะเน้นไปที่ส่วนอื่น ๆ ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา การออกแบบ และการผลิตชิปที่ไม่ใช่ซิลิคอน”
ในสหราชอาณาจักรมีสตาร์ทอัพชื่อ Pragmatic Semiconductor ที่ผลิตชิปที่ไม่ใช่ซิลิคอน หรือ ชิปแผงวงจรรวมที่นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่าง ๆ มาใส่ไว้ด้วยกันในแผงวงจรขนาดเล็ก โดย สก็อตต์ ไวท์ ผู้ก่อตั้งบริษัท มองว่า การที่รัฐบาลมีงบสนับสนุนเพียง 1 พันล้านปอนด์ แม้จะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่เป็นตัวเลขที่เหมาะสม แต่ต้องนำไปใช้อย่างถูกที่จริง ๆ
ทั้งนี้ หลายคนไม่รู้ว่าสหราชอาณาจักรถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สำคัญในตลาดชิประดับโลก โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ทรัพย์สินทางปัญญา การวิจัย และการผลิตสารกึ่งตัวนำขั้นสูง
]]>อังกฤษถือเป็นประเทศที่สามในกลุ่มสหราชอาณาจักรต่อจากสก็อตแลนด์และเวลส์ ที่มีการ “แบน” จานและอุปกรณ์การกินทำจากพลาสติก โดยยังไม่ระบุแผนงานชัดเจนว่าจะเริ่มแบนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จะมีการประกาศข้อมูลเต็มในวันที่ 14 มกราคมนี้
รัฐบาลคาดว่า จานพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งในอังกฤษนั้นมีการใช้งานปีละกว่า 1.1 พันล้านชิ้น ส่วนอุปกรณ์ช้อน ส้อม มีดพลาสติกนั้นมีการใช้มากกว่าปีละ 4 พันล้านชิ้น
แม้ว่าพลาสติกจะเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร แต่พลาสติกเหล่านี้มักจะย่อยสลายไม่ได้ และจะถูกฝังกลบในดินไปอีกนานแสนนาน เป็นมลพิษต่อดินและน้ำ
ข้อมูลจากหน่วยงานด้านกิจการสิ่งแวดล้อม อาหาร และชนบท (Defra) ระบุว่า คนอังกฤษใช้จานพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเฉลี่ยปีละ 18 ชิ้น และใช้ช้อนส้อมมีดแบบใช้แล้วทิ้งเฉลี่ยปีละ 37 ชิ้น ในจำนวนนี้มีเพียง 10% ที่เข้าสู่ระบบรีไซเคิล
Therese Coffey เลขานุการรัฐด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าหมายจะแบนพลาสติกใช้แล้วทิ้งเหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาในธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่มแบบซื้อกลับบ้าน
“ฉันมุ่งมั่นที่จะสร้างการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ปัญหา เราผ่านการทำงานก้าวใหญ่ๆ มาแล้วหลายก้าวในช่วงหลายปีมานี้ แต่เราก็รู้ว่าเราต้องทำให้มากกว่าเดิม และเป็นอีกครั้งที่เรารับฟังเสียงเรียกร้องจากสาธารณะ” Coffey กล่าว
“การแบนครั้งใหม่นี้จะสร้างผลอย่างใหญ่หลวงเพื่อหยุดมลพิษจากพลาสติกได้หลายพันล้านชิ้นต่อปี และช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติให้กับลูกหลานเรา”
ก่อนหน้าที่จะมีการแบนจานพลาสติก อังกฤษเคยประกาศแบน “หลอด” พลาสติกใช้แล้วทิ้ง ไม้คนพลาสติก และคัตตอนบัดมาแล้วในปี 2020
ทั้งนี้ การแบนภาชนะและอุปกรณ์การกินจากพลาสติก จะไม่รวมสินค้าที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่รัฐบาลจะหาทางแก้ปัญหาพลาสติกในธุรกิจเหล่านั้นด้วยวิธีการอื่นแทน
นโยบายนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มรณรงค์ Greenpeace แต่ข้อปฏิบัติอื่นจะต้องมีเพิ่มเติมต่อไป “เรากำลังเผชิญปัญหา ‘ขยะไหลท่วม’ และมาตรการนี้ก็เหมือนหาไม้ม็อบมาถูพื้น แทนที่จะหาที่ปิดก๊อกน้ำ” Megan Randles จาก Greenpeace วิจารณ์
เธอยังเรียกร้องให้รัฐบาลมีกลยุทธ์ลดใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่ดีและมีความหมายกว่านี้ โดยรัฐควรมีเป้าหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงวางกลยุทธ์ให้มีการใช้ซ้ำ (reuse) และมีแนวทางการเติมสินค้า (refill) มากกว่าซื้อในแพ็กเกจใหม่
]]>โดย Tesco กำหนดให้ลูกค้าสามารถซื้อน้ำมันพืชได้ไม่เกินคนละ 3 ขวด ส่วนห้าง Waitrose และ Morrisons มีผู้ซื้อจำกัดที่ละ 2 รายการ จำกัดให้ลูกค้าซื้อได้ไม่เกินคนละ 2 ขวด
ผลิตภัณฑ์น้ำมันดอกทานตะวันส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรนำเข้ามาจากยูเครน การรุกรานยูเครนของรัสเซียส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก ทำให้เกิดการขาดแคลนและต้องหาน้ำมันพืชอื่นๆ มาทดแทนเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันปรุงอาหารเเพงขึ้นตามไปด้วย
สมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า ข้อจำกัดนี้จะเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้นเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะเข้าถึงสินค้า
โดยกลุ่มน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกทานตะวัน จะอยู่ในลิสต์ที่ถูกจำกัดการซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง ทั้งในหน้าร้านและสั่งทางออนไลน์
“ผู้ค้าปลีกกำลังทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันปรุงอาหารทางเลือก เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค”
บริษัทวิจัยค้าปลีก Assosia วิเคราะห์ว่า อุปทานน้ำมันดอกทานตะวันที่ลดลงอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในยูเครนกำลังส่งผลกระทบต่อราคาในตลาด โดยพบว่า น้ำมันดอกทานตะวันยี่ห้อหนึ่งมีการปรับขึ้นราคามากกว่า 10% ตั้งเเต่ช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
ด้านรัฐบาลอินโดนีเซีย เพิ่งตัดสินใจออกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มไปต่างประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเป็นการช่วยตรึงราคาไม่ให้พุ่งขึ้นไปกว่านี้ และแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่ใช้ทำอาหารภายในประเทศ
ทั้งนี้ อินโดนีเซียถือเป็นหนึ่งในประเทศส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดโลกและเป็นสินค้าเกษตรที่เป็นรายได้สำคัญของประเทศ
ที่มา : BBC , theguardian
]]>
Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอังกฤษ ประกาศลดภาษีน้ำมันในทันที พร้อมเเผนการลดภาษีในระยะยาวสำหรับเเรงงาน เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนที่ต้องเเบกรับภาระค่าครองชีพ
โดยราคาน้ำมันในอังกฤษ จะลดลงเหลือราว 5 เพนนีต่อลิตรในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งการลดภาษีน้ำมันครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 6,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รัฐบาลหวังว่าการลดภาษีในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการขายปลีกน้ำมัน ตามสถานีเติมน้ำมันที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ ท่ามกลางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น
หนึ่งในแรงกดดันอยู่ที่รัฐบาลอังกฤษต้องเผชิญคือ วิกฤตค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยครัวเรือนต้องมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายทศวรรษ และคาดว่าจะเลวร้ายลงเมื่อผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครนทวีความรุนแรงขึ้น
อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 6.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1992 เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางอังกฤษ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงถึง 8% ในไตรมาสที่สอง
“ผู้มีรายได้ปานกลางจะยังคงรู้สึกกดดัน การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อมีความไม่แน่นอนมีอยู่มากมาย แต่ทิศทางที่ชัดเจนคือการเติบโตทางเศรษฐกิจจะลดลงและอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น” Neil Birrell หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Premier Miton Investors กล่าว
ที่มา : CNBC
]]>Homes for Ukraine เป็นโครงการเปิดรับผู้อพยพที่หนีภัยสงครามหลังยูเครนถูกรัสเซียบุกโจมตี ให้เดินทางเข้าสู่ประเทศอังกฤษได้ แม้จะไม่ได้มีครอบครัวอาศัยอยู่ในอังกฤษก็ตาม โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินให้กับชาวอังกฤษที่เปิดบ้านรับผู้ลี้ภัยเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 350 ปอนด์ต่อเดือน ต่อเนื่องเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
ประชาชนทั่วไป องค์กรการกุศล ภาคธุรกิจและกลุ่มประชาสังคม จะต้องยื่นเสนอที่พักพิงให้กับชาวยูเครนผ่านเว็บไซต์ของรัฐได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยผู้ที่เสนอที่พักพิงให้กับชาวยูเครนจะต้องผ่านมาตรฐาน และต้องเข้ารับการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมก่อน
ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองใหญ่ ๆ ต่างพากันโจมตีรัฐบาลอังกฤษ ที่จะให้ชาวยูเครนจะต้องผ่านกระบวนการขอวีซ่าและตรวจยืนยันอัตลักษณ์บุคคลเเบบไบโอเมตริกซ์ก่อนจะเดินทางเข้ามายังอังกฤษ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการให้ความสำคัญกับระบบราชการมากกว่าสวัสดิภาพของผู้ลี้ภัยสงคราม
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ประเมินยอดผู้ลี้ภัยสงครามจากยูเครนว่าอาจเพิ่มจำนวนมากกว่า 4 ล้านคน สูงกว่าการคาดการณ์ปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 2 ล้านคนกว่าเท่าตัว
ที่มา : Reuters
]]>‘บอริส จอห์นสัน’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุถึงการจะยกเลิกมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมโควิดทั้งหมด โดยจะทำให้ประชาชนต้องป้องกันตัวเอง โดยไม่มีกฎหมายมาจำกัดเสรีภาพอีกต่อไป
“โควิดจะไม่หายไปในทันที เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัสนี้ และป้องกันตัวเองต่อไปโดยไม่จำกัดเสรีภาพของเรา”
เมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษได้เริ่มทยอยยกเลิกมาตรการ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดหลายอย่าง โดยปลดล็อกมาตรการต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิด เเละไม่จำเป็นต้องใช้ ’วัคซีนพาสปอร์ต’ ในการเข้าใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ อีกต่อไป ขณะที่ผู้โดยสารที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ จะยังต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในรถ แต่ไม่จำเป็นตามสถานที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ ปัจจุบันชาวอังกฤษที่อายุมากกว่า 12 ปี มีอัตราการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสราว 85% ท่ามกลางการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่เเม้จะเเพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เเต่อาการของผู้ป่วยไม่รุนแรงมาก
]]>
โดยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในเดือนธ.ค. 2021 อยู่ที่ระดับ 5.4% ต่อปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เเละสูงกว่าเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 5.1% นับเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่เดือนมี.ค. 1992
มีการประเมินว่าราคาน้ำมันและไฟฟ้า จะพุ่งขึ้นถึง 50% ในเดือนเม.ย.นี้ ส่วนราคาสินค้าทั่วไปในเดือนธ.ค. ก็ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ารายรับ จนสร้างแรงกดดันต่อ ‘รายได้ครัวเรือน’ โดยราคาสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันปรับสูงขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง
อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นค่อนข้างกระจายตัว (broad based) ซึ่งทำให้ราคาอาหารและค่าอาหารในร้านอาหารแพงขึ้น รวมไปถึงค่าโรงแรม เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในครัวเรือน เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ
จากเเนวโน้ม ‘ค่าครองชีพ’ ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปได้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยตลาดจะต้องจับตามองการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 3 ก.พ. ที่จะถึงนี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ เมื่อเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษ เป็นธนาคารกลางรายใหญ่แห่งแรกที่เริ่มปรับขึ้นต้นทุนการกู้ยืม หลังจากรักษาระดับต่ำในช่วงวิกฤตโควิด-19
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งงานว่างที่สูงเป็นประวัติการณ์และอัตราการจ้างงานก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนเกิดโรคระบาด เชื่อมโยงกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค
“ไม่ใช่แค่ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ค่าแรงในการทำงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เเต่ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการกลับสู่สภาวะปกติ” Paul Craig จาก Quilter Investors กล่าว
]]>