อาชีพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 23 Jun 2022 13:36:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ตลาดงาน 2565 “ไอที” ยังคงเป็น “มนุษย์ทองคำ” นายจ้างไทยแย่งตัวสู้กับต่างประเทศ https://positioningmag.com/1389904 Thu, 23 Jun 2022 11:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389904
  • JobsDB เปิดผลสำรวจ พบการจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ หลังเศรษฐกิจฟื้นหลัง COVID-19 คลี่คลาย ภาคการผลิตเดินเครื่องเพิ่ม
  • “มนุษย์ทองคำ” ยังคงเป็นสาย “ไอที” จากความต้องการของทุกธุรกิจ รองลงมาคือสายวิศวะ การตลาด บัญชี
  • อาชีพด้านดิจิทัลเป็นที่ต้องการทั่วโลก และการทำงานแบบ “ไฮบริด” หรือ ทำงานทางไกล (remote work) ยิ่งทำให้องค์กรไทยต้องแย่งตัวมนุษย์ไอทีแข่งกับต่างประเทศมากขึ้น
  • เปิดผลสำรวจจาก JobsDB เกี่ยวกับตลาดงานปี 2565 โดย “ดวงพร พรหมอ่อน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์การจ้างงานในช่วง COVID-19 ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นมาก หลังจากเคยมีอัตราการว่างงานเพิ่มสูงสุดในช่วงไตรมาส 3/63 จากนั้นอัตราว่างงานไต่ขึ้นลงมาตลอด ค่าเฉลี่ยอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 2%

    จนกระทั่งนายจ้างเริ่มมั่นใจว่าสถานการณ์การระบาดจะส่งผลกระทบต่ำหลังการฉีดวัคซีน ทำให้เมื่อต้นปี 2565 จึงมีการกลับมาประกาศรับสมัครงานเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    JobsDB ไอที
    “ดวงพร พรหมอ่อน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด

    แน่นอนว่า ตลาดงานจะมีธุรกิจและอาชีพที่มีตำแหน่งงานว่างมากกว่าตลาด โดยมีรายละเอียดดังนี้

    5 ธุรกิจที่ประกาศรับสมัครงานสูงสุด
    1. ธุรกิจไอที
    2. ธุรกิจขายส่งขายปลีก
    3. ธุรกิจการเงิน ธนาคาร
    4. ธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์
    5. ธุรกิจขนส่ง
    5 อาชีพที่ประกาศรับสมัครงานสูงสุด
    1. งานไอที
    2. งานขาย งานบริการลูกค้า งานพัฒนาธุรกิจ
    3. งานวิศวกรรม
    4. งานการตลาด ประชาสัมพันธ์
    5. งานบัญชี

    นอกจากนี้ จะมีบางธุรกิจที่ถือว่าเติบโตร้อนแรงมากในช่วงหลังเกิด COVID-19 และมีผลต่อการจ้างงานบางประเภท บางพื้นที่ เป็นพิเศษ ดังนี้

    1. พลาสติก กระดาษ ปิโตรเคมี – เพราะการเดลิเวอรีทำให้มีการใช้แพ็กเกจจิ้งและการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะกระดาษที่มีการใช้เพิ่มถึง 300% ตำแหน่งงานที่ต้องการมากที่สุดจึงเป็นวิศวกรรม และเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกของประเทศมากที่สุด
    2. ไอที Digital Transformation เกิดขึ้นในทุกธุรกิจ หลังจากผู้บริโภคใช้บริการผ่านดิจิทัลเพิ่มขึ้น 30% มนุษย์ไอทีจึงเป็นหัวใจสำคัญ แม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็ต้องการตัวมนุษย์ไอทีมาก โดย 60% ของประกาศงานด้านไอที มาจากบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน และบริษัทเหล่านี้ยอมทุ่มลงทุนด้านไอทีเพื่อสู้กับบริษัทใหญ่
    3. การผลิต – หลังจาก COVID-19 คลี่คลาย การลงทุนฟื้นตัว มีการเพิ่มกำลังผลิต และทำให้ความต้องการพนักงานระดับเจ้าหน้าที่สูงขึ้นถึง 79.5% โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี
    4. การแพทย์และเภสัชกรรม – นวัตกรรมพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) มาแรง และมีการวิจัยเพิ่มขึ้น ทำให้งานด้านวิทยาศาสตร์และวิจัยมีตำแหน่งงานเพิ่ม 95%

     

    “ไอที” มนุษย์ทองคำที่บริษัทต้องหาทางยื้อไว้ให้ได้

    เห็นได้ชัดว่าสายงานไอทีติดทุกผลการสำรวจไม่ว่าจะในแง่มุมใด โดยถ้าแยกย่อยออกมา กลุ่มงานดิจิทัลที่ต้องการตัวกันมากที่สุด เช่น โปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิทยาศาสตร์/วิเคราะห์ดาต้า ไอทีอินฟราสตรักเจอร์ ความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น

    Technology security concept safety digital protection system

    คนทำงานสายนี้เป็นที่ต้องการสูงมาก ทำให้มีโอกาสเปลี่ยนงานสูงกว่าสายอื่น โดยเฉลี่ยสายงานอื่นมักจะเปลี่ยนงานทุกๆ 2-3 ปี แต่ไอทีจะเปลี่ยนงานทุกๆ 1-2 ปี

    ไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น แต่ตลาดต่างประเทศก็ต้องการตัวสายดิจิทัล ซึ่งทำให้ถ้าหากคนดิจิทัลคนนั้นมีทักษะด้านภาษาสูงก็สามารถหางานได้กว้างกว่าเดิม

    ยิ่งในยุคหลัง COVID-19 ซึ่งการทำงานแบบไฮบริดหรือทำงานทางไกล (remote work) สามารถทำได้และได้รับการยอมรับ ก็ยิ่งทำให้คนสายงานดิจิทัลหางานต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะสำหรับคนที่กังวลเรื่องการย้ายถิ่นที่อยู่ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ในกรณีคนดิจิทัลไทยนั้น มีนายจ้างต่างประเทศสนใจจ้างข้ามแดนจากหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย รัสเซีย จีน อินโดนีเซีย

    ไอที
    ข้อมูลโดย JobsDB

    ดังนั้น JobsDB จึงแนะนำนายจ้างไทยที่ต้องการให้มนุษย์ไอทีต้องการทำงานกับองค์กรได้นาน หรือดึงดูดคนดิจิทัลใหม่ๆ เข้ามา ต้องเข้าใจอินไซต์ของคนในสายอาชีพนี้ว่า นอกจากผลตอบแทนที่เหมาะสมแล้ว พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องการหลักๆ ดังนี้

    • 57% ต้องการให้มีวิธีการทำงานแบบไฮบริด ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน โดย 95% ต้องการทำงานจากที่ไหนก็ได้อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ และมีถึง 25% ที่ต้องการทำงานแบบ Fully Remote Work คือไม่ต้องเข้าออฟฟิศเลย นั่นหมายความว่า องค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมให้คนทำงานจากนอกออฟฟิศ และมีวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการประชุมและทำงานออนไลน์ได้
    • คนไอทีกังวลด้านการพัฒนาทักษะเป็นพิเศษ ทำให้องค์กรที่ดึงดูดคืองานที่เปิดโอกาสให้พัฒนาทักษะใหม่เสมอ และสนับสนุนการเพิ่มประสบการณ์ เช่น โอกาสไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ
    • มีวัฒนธรรมองค์กรยอมรับความหลากหลายและเท่าเทียม ไม่กีดกันทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา

    โดยสรุปแล้ว คนสายงานดิจิทัลไม่ได้พิจารณาการทำงานจากค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการสมดุลชีวิตที่ดี การทำงานยืดหยุ่น และอยู่ในองค์กรที่ส่งเสริมตนเอง มีวัฒนธรรมองค์กรที่ทันสมัยด้วย

    ส่วนคนทำงานสายอาชีพอื่นก็ต้องเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้กับตนเอง มีการ Upskill/Reskill เพราะหากอาชีพถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรหรือซอฟต์แวร์ได้ และไม่สามารถปรับตัวไปเป็นผู้ควบคุมดูแลเครื่องจักรหรือใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ ได้ ก็จะเสี่ยงเป็นอาชีพที่ตกงานในอนาคต (JobsDB มีคอร์สเรียนฟรีเพื่อเสริมทักษะคนทำงานด้านต่างๆ เช่น ความรู้พื้นฐานดิจิทัล ภาษาอังกฤษธุรกิจ ในชื่อโครงการ UpLevel คลิกที่นี่)

    ]]>
    1389904
    เปิดโผ 5 “อาชีพ” ที่ถูกมองว่า “น่าเบื่อ” และ “น่าตื่นเต้น” ที่สุด https://positioningmag.com/1384520 Mon, 09 May 2022 11:56:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384520 งานวิจัยพบ 5 “อาชีพ” ที่ “น่าเบื่อ” และ “น่าตื่นเต้น” ที่สุดในสายตาคนทั่วไป แต่เมื่อเทียบฐานเงินเดือนแล้ว งานที่น่าเบื่อที่สุดทำรายได้มากกว่างานที่น่าตื่นเต้นที่สุดถึง 19.5%

    นักวิจัยจาก University of Essex ประเทศอังกฤษ ทำการวิจัยผ่านการทดลองหลายรูปแบบ มีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน เพื่อสอบถามมุมมองความคิดของคนต่อ “อาชีพ” และ “งานอดิเรก” ที่ถูกมองว่า “น่าเบื่อ” ที่สุด และ “น่าตื่นเต้น” ที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับมุมมองที่มีต่อบุคลิกลักษณะของคนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ

    จากการวิจัยพบว่า สายงานการเงินถูกมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่น่าเบื่อ เพราะ 4 ใน 5 อาชีพที่น่าเบื่อที่สุดเป็นอาชีพในภาคการเงิน และคนส่วนใหญ่คิดว่าผู้ที่ประกอบอาชีพด้านการเงินนั้น นอกจากจะน่าเบื่อแล้วยังเป็นคนไม่มีความสามารถ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมากต่อกลุ่มนักวิจัย

    มุมมองต่ออาชีพจะมีผลเชื่อมโยงต่อการประเมินบุคลิกของคนที่ทำอาชีพนั้นแบบ ‘สเตอริโอไทป์’ โดย Wijnand Van Tilburg หนึ่งในผู้ร่วมวิจัย อธิบายว่า คนที่ทำอาชีพน่าเบื่อ จะถูกมองว่าเป็นคนน่าเบื่อไปด้วย และคนอื่นมักจะไม่ค่อยชอบ พยายามเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางจิตวิทยาการรับรู้ที่ไม่ค่อยยุติธรรม

    แน่นอนว่าคนที่ทำอาชีพซึ่งถูกมองว่าน่าเบื่อ ไม่ได้เป็นคนน่าเบื่อจริงๆ ไปเสียทุกคน แต่กลุ่มคนเหล่านี้มักจะมีโอกาสพิสูจน์ตนเองน้อยกว่าเพราะการสเตอริโอไทป์ และทำให้คนกลุ่มอาชีพนี้รู้สึก ‘เหงา’ มากกว่า กลายเป็นปัจจัยเชิงลบต่อชีวิต

    ต่อไปนี้เป็นลิสต์อาชีพและงานอดิเรกที่น่าเบื่อที่สุด

    5 อันดับ “อาชีพ” ที่ถูกมองว่าน่าเบื่อที่สุด
    1. งานด้านวิเคราะห์ดาต้า
    2. งานบัญชี
    3. งานด้านการคำนวณภาษีหรือประกัน
    4. งานด้านการทำความสะอาด
    5. งานเกี่ยวกับการธนาคาร
    5 อันดับ “อาชีพ” ที่ถูกมองว่าน่าตื่นเต้นที่สุด
    1. งานด้านศิลปะการแสดง
    2. งานด้านวิทยาศาสตร์
    3. งานด้านสื่อมวลชน
    4. งานวิชาชีพเกี่ยวกับสุขภาพ
    5. งานด้านการสอน
    5 อันดับ “งานอดิเรก” ที่ถูกมองว่าน่าเบื่อที่สุด
    1. นอน
    2. ศาสนา
    3. ดูโทรทัศน์
    4. ส่องสัตว์
    5. คณิตศาสตร์

    อย่างไรก็ตาม งานที่น่าเบื่อเหล่านั้นกลับกลายเป็นว่ามีแนวโน้มที่จะได้รับรายได้สูงกว่างานที่น่าตื่นเต้น ข้อมูลจาก Glassdoor พบว่างานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ดาต้า จะได้รับรายได้เฉลี่ย 62,754 เหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 2.17 ล้านบาท) ขณะที่งานด้านศิลปะการแสดงมีค่าเฉลี่ยรายได้ที่ 52,522 เหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 1.82 ล้านบาท) เห็นได้ว่างานที่ถูกมองว่าน่าเบื่อที่สุดทำรายได้ได้มากกว่างานที่ถูกมองว่าน่าตื่นเต้นที่สุดถึง 19.5%

    นอกจากนี้ งานอดิเรกที่ถูกมองว่าน่าเบื่ออย่าง “การนอนหลับ” จริงๆ แล้วก็เป็นกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพจะทำให้สุขภาพดีขึ้น และมีสติสมาธิแหลมคมยิ่งขึ้นด้วย

    Source

    อ่านข่าวด้านทรัพยากรบุคคลเพิ่มเติม

    ]]>
    1384520
    ย้ายประเทศกันเถอะ!! 10 ประเทศที่ Expat อยู่แล้ว “พึงพอใจ” ที่สุดในโลกปี 2020 https://positioningmag.com/1331177 Sun, 09 May 2021 06:56:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331177 กระแส “ย้ายประเทศกันเถอะ” เป็นที่ฮือฮามากจากกลุ่มใน Facebook ที่มีสมาชิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (ณ วันที่ 5 พ.ค. 64 มีสมาชิกแตะ 7.66 แสนคน) จริงๆ แล้วการย้ายไปเป็น “Expat” ในต่างประเทศเกิดขึ้นมานานแล้ว มาลองดูข้อมูลสำรวจความพอใจของ Expat ในประเทศต่างๆ โดย HSBC ประกอบกับ “อาชีพ” ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD จากบริษัทจัดหางาน Michael Page กัน

    10 ประเทศที่ Expat อยู่แล้ว “พอใจ” มากที่สุดในโลก ปี 2020

    HSBC สำรวจความคิดเห็น Expat จำนวน 20,000 คน ใน 40 ประเทศทั่วโลก มีดัชนีชี้วัดความพอใจ 6 ข้อใหญ่ คือ คุณภาพชีวิต, สังคมโดยรวม, สังคม Expat, การเงิน, การงาน และทัศนคติต่อชีวิต พบว่ามี 10 ประเทศนี้ที่ Expat มีความพอใจมากที่สุด

    อันดับ 10 – ไอร์แลนด์

    ประเทศที่กำลังมาแรงในกลุ่ม Expat เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ Expat ยังชื่นชมทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามของไอร์แลนด์ เป็นจุดแข็งมากที่สุดของที่นี่

    อันดับ 9 – แคนาดา

    จุดแข็งของแคนาดาคือเป็นจุดหมายปลายทางของคนที่ต้องการอพยพทั้งครอบครัว เนื่องจากแคนาดามีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นักเรียนเกือบ 1 ใน 3 เป็นชาวต่างชาติ ทำให้ครอบครัว Expat เป็นที่ต้อนรับและปรับตัวได้ง่ายกว่าที่อื่น

    อันดับ 8 – ออสเตรเลีย

    ออสเตรเลียมีข้อดีสูงมากสำหรับ Expat ด้วยสภาพอากาศที่ดีต่อสุขภาพ อากาศอบอุ่นเกือบทั้งปี นิสัยคนท้องถิ่นสบายๆ ยินดีต้อนรับคนต่างชาติ และคุณภาพการศึกษาดีเยี่ยม เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กวัยเรียน

    อันดับ 7 – เนเธอร์แลนด์

    จุดเด่นของประเทศนี้คือหัวใจของชาวดัตช์ที่เปิดกว้าง ยึดหลักเสรีนิยม ความคิดหัวก้าวหน้า และยอมรับความแตกต่างหลากหลาย แถมยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมกับความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจด้วย

    อันดับ 6 – กาตาร์

    เงิน เงิน เงิน! “ไข่มุกแห่งอ่าวเปอร์เซีย” แม้กาตาร์จะเล็กแต่เป็นแหล่งเศรษฐกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้มีการจ้างงาน Expat จำนวนมาก รายได้สูง และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้

    อันดับ 5 – สเปน

    สเปนเหมาะมากกับ Expat ที่ต้องการสมดุลชีวิตการทำงาน ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น เมื่อรวมกับสภาพอากาศ และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย จึงเป็นสวรรค์ของคุณภาพชีวิตที่มีความสุข

    อันดับ 4 – เยอรมนี

    เยอรมนีคือ “เครื่องยนต์แห่งยุโรป” ความแข็งแกร่งของประเทศอยู่ที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐสวัสดิการที่ดึงดูดใจ และระบบการศึกษาดีเยี่ยม เหมาะสำหรับ Expat ที่ต้องการพาครอบครัวมาลงหลักปักฐาน

    อันดับ 3 – นิวซีแลนด์

    นิวซีแลนด์ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งการผจญภัยของโลก” เหมาะกับคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง แถมด้วยไลฟ์สไตล์คนกีวีที่สบายๆ อบอุ่น ระบบการเมืองการปกครองมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ทำให้ Expat จำนวนมากย้ายไปอยู่ทั้งครอบครัว

    อันดับ 2 – สิงคโปร์

    จิตวิญญาณของสิงคโปร์ตั้งอยู่บน “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” คนส่วนใหญ่พูดสองภาษา ทำให้ Expat ปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ง่าย รวมทั้งการเป็นฮับเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ทำให้การงานรายได้ดีและสร้างความก้าวหน้าทางอาชีพได้ดีมาก

    อันดับ 1 – สวิตเซอร์แลนด์

    อุตสาหกรรมการเงินแข็งแกร่ง ระดับรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทิวทัศน์ธรรมชาติอันอัศจรรย์ ระบบการศึกษาระดับสากล รุ่มรวยด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัย ทั้งหมดนี้ทำให้ Expat มากมายนิยมย้ายไปอาศัยอยู่ทั้งครอบครัว

    ส่วน “ประเทศไทย” ปี 2020 อยู่ในอันดับที่ 33 จุดเด่นของเราคือสถานที่ในประเทศแตกต่างกันสุดขั้ว มีตั้งแต่วิวเมืองมหานครในกรุงเทพฯ จนถึงบรรยากาศชนบทบนเกาะกลางทะเล และ “รอยยิ้ม” ที่มีให้ชาวต่างชาติเสมอ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของประเทศไทยคือ “คุณภาพชีวิต” และ “ระบบการศึกษา” ที่ Expat ไม่ควรคาดหวังว่าจะเป็นเหมือนประเทศโลกที่หนึ่ง รวมถึง “ความมั่นคงทางการเมือง” ก็เป็นหนึ่งในปัญหาหลักของประเทศ

     

    10 “อาชีพ” ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD

    สำหรับคนที่กำลังมองหาทิศทางการพัฒนาตนเองเพื่อย้ายประเทศ บริษัทจัดหางาน Michael Page สรุปผลการสำรวจประเทศในกลุ่ม OECD จำนวน 36 ประเทศ พบว่า 10 อาชีพเหล่านี้คืออาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด นับจากจำนวนประเทศ (*เป็นความต้องการโดยรวม ไม่ได้แยกเฉพาะ Expat)

    *OECD คือ กลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงเพื่อยอมรับการค้าเสรีและระบอบประชาธิปไตยร่วมกัน

    #ย้ายประเทศกันเถอะ #อาชีพ #Positioningmag

    ]]>
    1331177
    ไม่อยากเข้าออฟฟิศ? พบกับ 12 “สายอาชีพ” ที่เริ่มให้พนักงาน Work from Home แบบถาวร https://positioningmag.com/1290406 Fri, 31 Jul 2020 12:33:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290406 การทำงานจากบ้านหรือ Work from Home สำหรับบางคนหรือบางบริษัทก็ไม่เวิร์กอย่างที่คิด แต่กับบางคนนี่คือสวรรค์แห่งการทำงาน เพราะไม่ต้องฝ่ารถติดทุกเช้าเย็น ไม่ต้องซักรีดเสื้อผ้าทำงาน หรือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายด้าน ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่รักการทำงานจากบ้าน นี่คือสายอาชีพที่ควรจับตามอง เพราะกำลังเป็นเทรนด์ว่าจ้างพนักงานให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้

    ไม่ใช่แค่ช่วงหลังเกิดโรคระบาด COVID-19 ในสหรัฐอเมริกานั้นเทรนด์การทำงานจากระยะไกลมีมาแล้วหลายปี โดยแพลตฟอร์ม FlexJobs เป็นหนึ่งในผู้นำที่รวบรวมประกาศงานแนว Work from Home เหล่านี้เอาไว้ พร้อมให้ข้อมูลว่า งานประเภท Work from Home นั้นเติบโต 159% ในรอบ 12 ปี หากวัดเฉพาะ 5 ปีล่าสุด ตำแหน่งงานมีการเติบโต 44%

    แม้จำนวนตำแหน่งงานอาจจะไม่ได้โตเร็วมาก แต่ FlexJobs พบว่าประเภทงานมีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมจะนำโด่งด้วยกลุ่มอาชีพไอทีและอาชีพทางการแพทย์ รวมถึงมีบริษัทใหญ่หลายแห่งนำวิธีว่าจ้างพนักงานให้ทำงานจากบ้านมาใช้สูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น Dell, Amazon, SAP, Philips, Red Hat เป็นต้น

    อาชีพที่เกี่ยวกับสายไอทีคืออาชีพที่มีการจ้างงานแบบ Work from Anywhere จำนวนมาก (Photo by Christina Morillo from Pexels)

    ในประเทศไทยก็มีหลายบริษัทเปิดรับพนักงานแบบทำงานจากบ้านเช่นกัน แม้จะยังไม่บูมเท่าต่างประเทศ แต่จากวิกฤตโรคระบาด COVID-19 อาจทำให้องค์กรหลายๆ แห่งเริ่มพิจารณาว่าการให้พนักงาน Work from Home ก็สามารถทำได้ในบางตำแหน่ง และแนวโน้มน่าจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับต่างประเทศ

    เหล่านี้คือ 12 สายอาชีพที่โดดเด่นในการว่าจ้างพนักงานทำงานจากที่บ้านในสหรัฐอเมริกา และอาจจะเป็นเทรนด์ที่ประเทศไทยในไม่ช้า

    1.นักบัญชีการเงิน
    2.ไอทีและคอมพิวเตอร์
    3.ก่อสร้าง เช่น ที่ปรึกษาการรีโนเวตอสังหาริมทรัพย์
    4.นักเขียนคอนเทนต์ ตั้งแต่บทความการตลาดจนถึงนิยาย
    5.งานสร้างสรรค์ เช่น นักตัดต่อวิดีโอ-ภาพยนตร์ อนิเมเตอร์ กราฟิกดีไซเนอร์
    6.บริการลูกค้าสัมพันธ์ เช่น คอลเซ็นเตอร์
    7.การศึกษาและเทรนนิ่ง เช่น วิทยากร นักพัฒนาหลักสูตรการศึกษา ครูออนไลน์
    8.อุตสาหกรรมอาหาร เช่น ผู้อบรมสอนทำอาหาร
    9.อุตสาหกรรมสื่อ เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล นักตัดต่อรายการทีวี แอดมินโซเชียลมีเดีย
    10.การแพทย์และสุขภาพ เช่น พยาบาล พนักงานคีย์ข้อมูลการตรวจโรค
    11.ฝ่ายขายและการตลาด
    12.นักแปลและพิสูจน์อักษร

    FlexJobs ยังเปิดเผยด้วยว่า 5 อาชีพที่มีตำแหน่งงานมากที่สุดสำหรับการทำงานทางไกล คือ นักบัญชี บริการลูกค้าสัมพันธ์ ผู้จัดการโครงการ พยาบาล และนักเขียน (สำหรับอาชีพพยาบาลในสหรัฐฯ ปัจจุบันการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและการเช็กอาการตามรอบนัดสามารถทำได้ทางโทรศัพท์ และพยาบาลเป็นผู้ให้คำปรึกษาได้) ส่วนอาชีพที่จำนวนตำแหน่งงานโตเร็วที่สุด คือ ครีเอทีฟ พนักงานจดบันทึกบัญชี ครูออนไลน์ กราฟิกดีไซน์ และนักแปล

    Source, Source

    ]]>
    1290406
    “ลูกจ้างคนรวย” งานที่กำลังโตเร็วที่สุดในอเมริกา…อีกด้านไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด https://positioningmag.com/1256621 Wed, 11 Dec 2019 12:27:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1256621 AP Photo/Julio Cortez

    ปัจจุบันคนที่มีฐานะร่ำรวยในอเมริกามีจำนวนเพิ่มขึ้น รายได้ที่สูงขึ้นก็มักตามมาด้วยความต้องการด้านบริการเเละสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้นด้วย อย่างเช่น การไปนวด เข้าร้านเสริมสวยทำเล็บทำผม หรือมีเงินจ้างคนให้พาสุนัขไปเดินเล่น

    งานเหล่านี้มักถูกเรียกว่า “ลูกจ้างคนรวย” (wealth workers) ซึ่งเป็นงานภาคบริการที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับตำแหน่งงานสำหรับชาวอเมริกันที่เป็นคนชั้นกลางที่ยังคงลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง

    เเม้ว่าจะตำเเหน่งงานเหล่านี้จะมีมากขึ้นเเละดึงดูดใจให้ใครหลายคนอยากทำ เเต่ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกด้าน นั่นคือเรื่องสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุมเเละค่าจ้างต่ำ

    Mark Muro เจ้าหน้าที่อาวุโสของสถาบัน Brookings Institute กล่าวว่า คนที่มีรายได้สูงยินดีที่จ่ายเงินซื้อบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างครูสอนโยคะ จ้างคนจูงสุนัขไปเดินเล่น หรือจ้างคนดูแลตารางการทำงานให้ ขณะเดียวกันคนที่อยากจะมาทำงานบริการเเนวนี้ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

    รายงานจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ ระบุว่า อาชีพด้านการให้บริการส่วนบุคคล กำลังเป็นอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดของตลาดงานสำหรับคนงานที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และคาดว่างานประเภทนี้จะเติบโตขึ้นอีกราว 17% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 1 ล้านตำแหน่ง

    โดยงานที่ให้บริการคนรวยในอเมริกาตอนนี้ ส่วนใหญ่มีเเนวโน้มเป็น ผู้หญิงเเละเป็นชาวละติน หลายคนไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และอาจทำงานหลายอย่างพร้อมกันเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่มีฐานะทางการเงินดีกว่าตัวเอง

    ข้อมูลจากสถาบัน Brookings Institute ชี้ว่า อาชีพช่างทำเล็บมือและเล็บเท้า เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงปี 2010 – 2017 โดยอาชีพครูฝึกออกกำลังกาย ครูสอนโยคะ และคนรับจ้างเดินจูงสุนัขไปเดินเล่น เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าของอัตราการจ้างงานโดยรวม

    “เราไม่ได้กังวลถึงการอยู่ของอาชีพเหล่านี้ เพราะมันเป็นไปตามโครงสร้างการทำงานในอเมริกา เเต่สิ่งที่เรากังวลคือการได้รับค่าตอบเเทนที่ไม่ค่อยดีนัก” Muro กล่าว

    ทุกวันนี้มีผู้คนอย่างน้อย 3 ล้านคนในสหรัฐ ที่ต้องพึ่งพางานประเภทนี้เพื่อเลี้ยงชีพ ถึงเเม้ว่าจะ “ไม่ใช่งานที่ดีนักและค่าตอบแทนน้อย” เเละเสี่ยงที่จะถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ อีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับสวัสดิการทั้งในเรื่องการลาป่วย วันลาพักร้อน หรือเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนั้นคนที่ทำงานเหล่านี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกใช้งานอย่างไม่ยุติธรรม

    อย่างไรก็ตาม งานบริการนี้ได้ให้โอกาสกับผู้อพยพ โดย 1 ใน 3 ของแรงงานในสหรัฐอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
    แบบ Gig Economy (ทำงานอิสระ) เป็นสัดส่วนถึง 10% ของพนักงานเต็มเวลา ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพยายามทำงานเสริม เช่น เป็นคนขับ Uber เพื่อเพิ่มรายได้

    โดย Louis Hyman ผู้อำนวยการศูนย์ Workplace Studies ของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจเพราะการที่มีคนจำนวนมากต้องการให้คนทำงานเหล่านั้นก็เป็นอุปสงค์ที่มีพลัง คำถามคือไม่ใช่การจะกำจัด Gig Economy ออกไปยังไง เเต่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงอย่างไรมากกว่า เเละนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเฉพาะคนที่ทำงานประเภทนี้เท่านั้นเเต่รวมไปถึงคนที่มีค่าแรงต่ำในอเมริกาทั้งหมดด้วย

    Hyman เสนอทางช่วยเหลือว่า อาจจะต้องมีการตั้งค่าระบบบัญชีส่วนตัวของพนักงานเหล่านี้ เมื่อทุกครั้งที่มีค่าจ้างจากนายจ้างเข้ามาก็จะเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพหรือบัญชีออมทรัพย์ด้วย เป็นต้น

    นอกจากนี้ เขายังเป็นห่วงเรื่องสังคมของคนอเมริกัน ที่งานบริการมักแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน จึงขอเรียกร้องให้มีการเคารพในอาชีพเเละการทำงานของผู้คนในส่วนนี้ด้วย

     

    ที่มา VOA : US Fastest Growing Jobs: Caring for the Wealthy
    ภาพ : AP Photo/Julio Cortez

    ]]>
    1256621
    60 ยังแจ๋ว! แนะ 7 อาชีพสร้างรายได้ให้ผู้สูงวัยในยามเกษียณ https://positioningmag.com/1249399 Thu, 10 Oct 2019 07:52:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249399 สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเตรียมตัวเพื่อรองรับกับสังคมผู้สูงอายุ จึงเป็นเรื่องที่คนไทยไม่อาจจะมองข้าม ถ้าถามผู้ใหญ่วัย 60 หลายๆ ท่านแล้ว ก็ได้คำตอบตรงกันว่า “อยู่บ้านมันว่างเกินไป อยากหาอะไรทำแก้เบื่อ” วันนี้ทางธนาคารออมสิน มี 7 อาชีพ สำหรับผู้สูงอายุในวัยเกษียณ มาแนะนำ

    1. รับเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท

    การที่อาบน้ำร้อนมาก่อนถือว่าได้เปรียบมาก เพราะถึงแม้คนหนุ่มสาวจะมีเรี่ยวแรงและมีไฟในการทำงานมากกว่า แต่ประสบการณ์ในด้านการทำงานและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่มีทางที่จะมีเท่าผู้ใหญ่แน่นอน ดังนั้น บริษัทมักว่าจ้างพนักงานที่เกษียณอายุแล้วเป็นที่ปรึกษาให้กับรุ่นน้องในทีม เพื่อคอยชี้แนะแนวทางนั่นเอง

    2. ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์

    สำหรับผู้สูงอายุที่พอจะมีกำลังทรัพย์อยู่บ้าง อาจซื้อห้องแถว ห้องเช่า หรือคอนโดสักห้องไว้เพื่อปล่อยเช่าอีกทีก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ สมัยนี้ หากสามารถซื้อห้องในทำเลดีๆ ได้ อาจสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาดีเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ย่านอโศกหรือทองหล่อ ถ้าเป็นห้องเช่าก็อาจจะเก็บค่าเช่าได้ถึงเดือนละ 9,000 – 10,000 บาท หรือถ้าเป็นห้องคอนโดก็อาจจะได้สูงถึงเดือนละ 13,000 – 15,000 บาทเลยทีเดียว รับเงินรายเดือนได้เลยสบายๆ แต่ย่านเหล่านี้ก็ค่อนข้างราคาสูงอยู่เหมือนกัน หากใครที่ไม่ได้มีงบประมาณสูงมาก อาจมองหาทำเลที่อยู่ชานเมืองหน่อย แต่ก็ยังสามารถเดินทางได้สะดวก เช่น ย่านบางนา วงเวียนใหญ่ พญาไท ราชเทวี เป็นต้น

    3. ทำอาหาร/ขนมขาย

    ผู้สูงอายุบางท่านที่ชื่นชอบการทำอาหาร อาจรับทำอาหารกล่องส่งตามบ้านใกล้เคียง หรือสำนักงานใกล้เคียงก็ได้ ส่วนใครที่ถนัดทำขนมหวานมากกว่า อาจลองทำขนมตั้งขายที่หน้าบ้าน ตลาดแถวบ้าน หรือติดต่อร้านเบเกอรี่แถวบ้านก็ได้ เผื่อว่าจะสามารถขยับขยายเป็นการทำขนมส่งประจำร้านนั้นๆ ไปเลย

    4. เพาะต้นไม้จำหน่าย

    การเพาะปลูกต้นไม้ถือเป็นงานอดิเรกยอดฮิตอย่างหนึ่งของผู้สูงอายุเลยก็ว่าได้ เพราะผู้สูงอายุหลายๆ คนมือเย็น และใจเย็นในการดูแลถะนุถนอมต้นไม้ตั้งแต่เล็กๆ ให้เติบใหญ่ แม้อาชีพนี้อาจไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็มีข้อดีอยู่ไม่น้อย เพราะผู้สูงอายุเองจะได้ใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แถมได้ออกแรงบ้างเล็กน้อย ก็จะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ แถมยังเป็นกิจกรรมที่ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

    5. ลงทุนในหุ้นปันผล/สลากออมสิน

    แม้ว่าวัยเกษียณอาจไม่เหมาะกับการเล่นหุ้นเท่าไหร่นักในความคิดของหลายๆ คน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่หากผู้สูงอายุที่ลองศึกษาและเลือกหุ้นที่ดีเป็นบริษัทที่ให้ผลที่น่าพอใจและมีความมั่นคงในการประกอบธุรกิจก็สามารถเป็นรายได้อีกทางหนึ่งได้สบาย หรือหากใครที่มีเงินเย็นแต่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงๆ อาจลองซื้อสลากออมสินเป็นอีกทางเลือกก็ได้ ไม่ต้องเสี่ยงมากแถมสร้างความตื่นเต้น ได้ลุ้นรางวัลทุกเดือนอีกด้วย

    6. ทำงานประดิษฐ์/งานฝีมือขาย

    สมัยที่ยังทำงาน บางคนอาจทำงานประดิษฐ์เป็นงานอดิเรกยามว่าง แต่เมื่อเกษียณอายุและมีเวลาว่างเหลือเฟือ น่าจะดีถ้าลองหยิบจับทักษะงานฝีมือของตนเองมาทำเงินดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บ ปัก ถัก ร้อย ต่างๆ อาจให้ลูกหลานช่วยเรื่องการโฆษณาหรือค้าขายให้แทนก็ได้ เดี๋ยวนี้ขายของออนไลน์ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น เรื่องรับเงินก็รับได้ง่ายดายเช่นกัน

    7. ทำธุรกิจตู้หยอดเหรียญ

    เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นตู้หยอดเหรียญเต็มไปหมด ไม่ว่าจะตู้กดน้ำ ตู้ซักผ้า ตู้เติมเงิน หรือตู้เติมน้ำมัน ด้วยความสะดวกสบายต่อผู้ใช้งาน ธุรกิจนี้จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุนไม่ใช่น้อย และถ้ามองดีๆ ธุรกิจนี้ก็เป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากไม่มีภาระให้ต้องคอยดูแลมากนัก จะมีก็เพียงค่าดูแลรักษาตู้ และคอยเก็บเหรียญที่หยอดเท่านั้นเอง

    แม้จะเกษียณจากการทำงานมาอยู่บ้านแล้ว ก็ใช่ว่าชีวิตจะต้องน่าเบื่อเสมอไป ถึงสภาพแวดล้อมจะต่างจากตอนที่ต้องเดินทางเป็นชั่วโมง ฝ่ารถติด ฝ่าฝูงคนเพื่อไปนั่งทำนางในออฟฟิศ แต่การได้นำงานอดิเรกที่ชอบมาทำจนก่อเกิดรายได้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเหมือนกัน ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้รับค่าตอบแทน แถมไม่เหงาด้วย.

    ที่มา : GSB ธนาคารออมสิน

    ]]>
    1249399
    เปิด 5 อาชีพสุดฮอต ไม่เสี่ยงตกงาน จ๊อบส์ดีบี ฟันธงตลาดงานปี’61 ดีกว่าปีก่อน https://positioningmag.com/1173696 Sun, 10 Jun 2018 23:08:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1173696 บริษัทจัดหางานจ๊อบส์ดีบีฯ มองภาพรวมแนวโน้มตลาดงานในประเทศไทยในปี 2561 ว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะบริษัทต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น และบริษัทของไทยเองก็มีแผนที่จะขยายธุรกิจ โดยผลสำรวจ 50% ของผู้ประกอบการ ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 3% บอกว่ามีแผนจะขยายงานและจ้างงานเพิ่มขึ้น

    นอกจากนี้ 45% ของผู้ประกอบการ ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 6% มองว่าแนวโน้มตลาดงานปีนี้จะดีกว่าปีก่อน และมีเพียง 25% ซึ่งลดลงจากปีก่อนถึง 8% มองว่าแนวโน้มตลาดงานจะแย่กว่าปีก่อน

    ขณะที่การชะลอการจ้างงานในตำแหน่งที่มีการลาออกก็มีแนวโน้มว่าจะลดลง โดยในปีนี้อยู่ที่ 25% ต่ำกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 39% หมายถึงจะมีการเปิดรับมากขึ้น

    ตามปกติ ช่วงเวลาของการเปิดรับสมัครงานหรือการเปลี่ยนงานจะมีมากในเดือนมกราคม ที่มีการรับโบนัสของปีก่อนแล้ว ยังมีแนวโน้มว่าการเปิดรับในช่วงเดือนมิถุนายนจะมีความคึกคัก สอดรับกับการเข้ามาขยายกิจการเพิ่มขึ้นของธุรกิจข้ามชาติ ซึ่งมีรอบปีบัญชีแตกต่างจากบริษัทไทย เช่น ออสเตรเลีย และอังกฤษ เป็นต้น

    แต่ในส่วนของผู้หางานกลับมองว่าปีนี้เป็นปีที่ยากสำหรับการหางาน โดย 53% บอกว่าจะลำบากกว่าเดิมอย่างแน่นอน และ 50% บอกว่าอย่างดีก็เหมือนกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะการขาดทักษะในการทำงานที่หลากหลาย รวมทั้งทักษะด้านภาษาและเทคโนโลยี ส่งผลให้เกิดความกังวล

    อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคือผู้ที่มีทักษะที่ดีตรงตามความต้องการของตลาดจะยังคงสามารถหางานที่ดีหรือที่ต้องการได้ แต่การแข่งขันก็สูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กจบใหม่มีทักษะที่ดีกว่า ค่าจ้างไม่แพง และทำงานหนักได้มากกว่ารุ่นพี่ ๆ

    ความต้องการบุคลากรที่สามารถทำงานในวัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น อังกฤษ หรืออเมริกัน จะมีมากขึ้นเพราะบริษัทต่างชาติจะเข้ามาขยายกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ทักษะด้านความสามารถในการทำงานในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ภาษา รวมทั้งด้านไอทีจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีกด้วย

    5 ธุรกิจมาแรงรับสมัครงานสูงสุด

    เมื่อดูจากผลสำรวจของจ็อบส์ ดีบี พบว่า 5 กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงสุด โดยดูจากการโฆษณาประกาศรับสมัครงานเปรียบเทียบปี 2559 กับ 2560  ได้แก่

    1. ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก
    2. ธุรกิจการผลิต
    3. ธุรกิจเทรดดิ้ง
    4. ธุรกิจไอที
    5. ธุรกิจบริการด้านการเงิน

    5 ตำแหน่งงานต้องการสูง

    1. พนักงานขายและพัฒนาธุรกิจ
    2. วิศวกร
    3. ธุรการและงานบุคคล
    4. เจ้าหน้าที่ไอที
    5. พนักงานการตลาดและประชาสัมพันธ์

    โดยมีปัจจัยผลักดันให้เกิดความต้องการ มาจากอัตราการลาออกสูง การเปลี่ยนแปลงโลกาภิวัตน์ ความต้องการด้านทักษะที่เปลี่ยนแปลงไป

    เมื่อสำรวจ ผู้ประกอบการ พบว่า 5 อันดับธุรกิจที่เติบโตสูงสุดได้แก่

    1. ธุรกิจโฆษณา การตลาด และประชาสัมพันธ์
    2. ธุรกิจวิศวกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และวิศวกรรมเครื่องกล
    3. ธุรกิจกิจไอที
    4. ธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้า/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    5. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

    แนวคิดดังกล่าว แตกต่างจากความเป็นจริง โดยธุรกิจโฆษณา การตลาด และประชาสัมพันธ์ ดูเหมือนเติบโตมาก แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นตำแหน่งงานที่ไม่ได้ใช้บุคลากรมากขนาดนั้น

    ผู้หางาน

    สำหรับผู้หางาน จากผลสำรวจพบว่าผู้หางานมีความรู้สึกว่าธุรกิจที่มีความต้องการจ้างงานสูงสุด 5 อันดับแรก

    จะเห็นได้ว่า สองอันดับแรก ไม่ได้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการหรือการประกาศหางานของบริษัท คือ หนึ่ง ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจพลังงาน เป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นใช้งบในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์สูง  และสอง ธุรกิจยานยนต์ เป็นเพราะผู้หางานรับรู้มาว่าธุรกิจยานยนต์โดยเฉพาะบริษัทญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าตลาดในธุรกิจมักจะจ่ายเงินโบนัสสูงกว่าบริษัททั่วไป

    แต่อีกสามอันดับคือธุรกิจการผลิตทั่วไป ธุรกิจไอที และธุรกิจโฆษณา การตลาดและประชาสัมพันธ์ มีความใกล้เคียงกับความต้องการจริงของตลาดแรงงาน

    รู้ไว้ได้งานแน่ ๆ

    จากแนวโน้มความต้องการจ้างงานที่จะเพิ่มขึ้น ผู้หางานต้องเตรียมความพร้อม

    • เตรียมความพร้อมเรื่องภาษา
    • ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้กับการทำงานเพิ่มเติมจากความสามารถในการหาข้อมูล
    • ทักษะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ ทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน และควรจะไปในแหล่งหางานที่ถูกต้องเพื่อจะได้พบตำแหน่งงานที่ต้องการจริง ๆ
    ]]>
    1173696
    ไม่ปลื้ม! 5 อันดับอาชีพที่พ่อแม่ญี่ปุ่นไม่อยากให้ลูกเป็น https://positioningmag.com/1163283 Mon, 26 Mar 2018 09:30:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1163283 “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” เป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ใหญ่มักจะคอยถามเด็ก ๆ อยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อาชีพที่เด็กใฝ่ฝันอยากเป็นมากที่สุดนั้นได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ซึ่งจากผลแบบสำรวจที่สอบถามนักเรียนชายมัธยมต้น จำนวน 100 คน พบว่าอาชีพที่เด็กผู้ชายในวัยมัธยมต้นอยากเป็นมากที่สุดมีดังนี้

    อาชีพที่นักเรียนชายมัธยมต้นอยากเป็นมากที่สุด

    อันดับ 1 วิศวกรไอที / โปรแกรมเมอร์

    อันดับ 2 นักสร้างเกม

    อันดับ 3 YouTuber

    อันดับ 4 นักกีฬาอาชีพ

    อันดับ 5 วิศวกร

    แต่ในทางกลับกัน ก็ได้มีการสำรวจอาชีพที่พ่อกับแม่ไม่ปลื้ม ไม่อยากให้ลูกเป็นขึ้นมาด้วยเช่นกัน แบบสอบถามนี้เป็นแบบสอบถามจากผู้หญิงและผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วจำนวน 100 คน อายุระหว่าง 30-99 ปี โดยตัวเลือกเป็นอาชีพให้เลือกดังต่อไปนี้ นักกีฬา หมอ YouTuber วิศวกรไอที โปรแกรมเมอร์ นักสร้างเกม เจ้าของธุรกิจ ครู / อาจารย์ นักวิจัย เซลส์แมน โดยอาชีพที่พ่อแม่เลือกให้เป็นอาชีพที่ไม่อยากให้ลูกทำมากที่สุด เป็นดังนี้

    5 อันดับอาชีพที่พ่อแม่ไม่ปลื้ม

    อันดับ 1 YouTuber 59%

    อันดับ 2 เซลส์แมน 11%

    อันดับ 3 นักสร้างเกม 8%

    อันดับ 4 นักกีฬาอาชีพ 7%

    อันดับ 5 ข้าราชการ 7%

    อาชีพที่พ่อแม่ไม่ปลื้ม ไม่อยากให้ลูกทำมากที่สุดคือ YouTuber ซึ่ง HIKAKIN YouTuber ที่โด่งดังมากในญี่ปุ่น ขวัญใจเด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ ไม่ว่าออกคลิปไหนมาก็มียอดวิวที่สูงมากและยังทำรายได้สูงมากเช่นกัน แต่ในสายตาของพ่อแม่แล้วกลับมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่อยากให้ลูกของตัวเองทำ โดยให้เหตุผลไว้ทั้งฝั่งพ่อและแม่ดังนี้

    ความเห็นของฝั่งแม่

    • “เอางานอดิเรกมาทำเป็นงานประจำมันไม่มั่นคงหรอก” แม่บ้าน อายุ 32 ปี
    • “ไม่มั่นคง ภาพลักษณ์ที่ดูบ้าบอ อาชีพที่ทำได้แค่ชั่วคราว” แม่บ้าน อายุ 32 ปี
    • “ไม่อยากให้ลูกตัวเองออกสื่อในอินเทอร์เน็ต” แม่บ้าน อายุ 36 ปี
    • “แค่ออกคลิปสนุก ๆ แล้วมีรายได้ คิดจะทำอะไรก็ได้มันช่างน่าเสียใจจริง ๆ” แม่บ้าน อายุ 32 ปี
    • “ถ้าทำแล้วโด่งดังก็ดีไป แต่มันไม่ใช่กับทุกคน หากทำแล้วไม่ดัง อาจจะเผลอต้องทำคลิปอะไรบ้า ๆ เพื่อให้มีคนดูก็ได้” แม่บ้าน อายุ 36 ปี
    • “ไม่มั่นคง แถมยังจะกลายเป็นคนประหลาดที่อยากให้คนอื่นมาชื่นชอบชื่นชม” พนักงานพาร์ตไทม์ อายุ 44 ปี

    ความเห็นของฝั่งพ่อ

    • “มันไม่ใช่อาชีพที่จะทำได้ไปตลอดชีวิต” พนักงานบริษัท อายุ 32 ปี
    • “ไม่มั่นคง และยังเป็นห่วงว่าจะกลายเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เพราะในหัวมัวแต่คิดแค่จะเพิ่มยอดคนดูคลิป” พนักงานบริษัท อายุ 34 ปี
    • “ไม่อยากให้ลูกก้มหน้าก้มตาอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์” ข้าราชการ อายุ 36 ปี
    • “อยากให้อยู่ในโลกของความเป็นจริง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำงานที่ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น” ไม่ระบุอาชีพ วัย 31 ปี

    ที่มา : mgronline.com/japan/detail/9610000029852

    ]]>
    1163283
    10 อาชีพรุ่ง-ร่วงปี 61 ความงาม-รีวิวเวอร์-เน็ตไอดอล มาแรง https://positioningmag.com/1151011 Tue, 19 Dec 2017 11:32:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151011 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ 10 อาชีพเด่น-ร่วงปี 2561 อาชีพรุ่ง

    ปรากฏว่า ธุรกิจเสริมความงามมาแรง เหตุคนนิยมเป็นคนสวยหล่อ รีวิวเวอร์ เน็ตไอดอล ติดโผ ตามเทรนด์ออนไลน์ ส่วนอาชีพดาวร่วง เสี่ยงตกงาน นักหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ผู้สื่อข่าวภาคสนาม เหตุคนหันไปดูผ่านสื่อโซเซียล ยูทูป สวนทางเด็กนิเทศฯ ที่จบเพิ่มขึ้น 

    อาชีพนักหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และผู้สื่อข่าวภาคสนาม เป็นอาชีพที่มาติดท็อปเทนที่เสี่ยงตกงานเป็นปีแรก เนื่องจากปัจจุบันคนหันไปบริโภคข่าวจากโซเซียลมีเดีย ยูทูป สื่อออนไลน์กันมากขึ้น และคนทั่วไปก็สามารถทำตัวเป็นนักข่าวได้ โดยรายงานข่าวผ่านสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งสวนทางกับเด็กจบใหม่จากคณะนิเทศศาสตร์ที่ยังคงมีเพิ่มขึ้น และเสี่ยงที่จะหางานได้ยาก

    ส่วนอีกอาชีพที่ไม่โดดเด่น ก็คือ อาชีพครูและอาจารย์ เพราะแนวโน้มจำนวนนักเรียนจะน้อยลงจากปริมาณเด็กเกิดใหม่มีไม่มาก และคนทั่วไปมีช่องทางการเรียนรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย ขณะที่อาชีพพนักงานขายหน้าร้าน จะได้รับผลกระทบจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้เจ้าของร้านค้าหันไปขายสินค้าทางระบบออนไลน์กันมากขึ้น และผู้ประกอบการหลายรายต้องลดคนขายหน้าร้านลง.

    ที่มา : mgronline.com/business/detail/9600000127571

    ]]>
    1151011
    ลุ้นปี 61 เงินเดือน โบนัส อาชีพไหนรุ่ง-ร่วง สูงสุดขึ้น 5.8% รับโบนัส 5.5 เดือน https://positioningmag.com/1148300 Mon, 27 Nov 2017 11:45:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1148300 ความหวังคนทำงานในปีหน้า หรือปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เริ่มสดใสเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะมีแนวโน้มได้ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 5-5.8% หรือเฉลี่ย 5.5% โบนัส 1.8-5.5 เดือน พอๆ กับปีที่แล้ว

    จากการเปิดเผยผลสำรวจของ วิลลิส ทาวเวอร์ส วัทสัน ที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งสำรวจข้อมูล 245 บริษัทในไทย โดย 90% เป็นบริษัทข้ามชาติในไทยเกี่ยวกับการบริหารบุคคลในองค์กร 

    พิชญ์พจี สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ วิลลิสฯ เปิดเผยว่า ปีหน้าธุรกิจต่าง เฉลี่ยจะปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงาน 5.5% โดยหลังหักเงินเฟ้อ 1.1% แล้ว จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.4% โดยมีธุรกิจได้ปรับขึ้นเงินเดือนสูงสุดประมาณ 5.8% ต่ำสุดคือ 5% มากกว่าปีที่แล้วที่ปรับขึ้นสูงสุด 5.2% ต่ำสุด 4% หรือเฉลี่ย 5.2%

    กลุ่มธุรกิจที่จะได้ปรับขึ้น 5.8% คือกลุ่มยา ส่วนที่ปรับขึ้น 5.5% คือ ประกันภัย ประกันชีวิต เคมิคอล ค้าปลีก และกลุ่มอื่น อย่างโรงแรม งานบริการเพื่อสุขภาพ  

    กลุ่มที่ปรับขึ้น 5.4% คือธนาคารและการเงิน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับขึ้น 5.3% กลุ่มบริหารความมั่งคั่ง สินทรัพย์ และกลุ่มไฮเทค 5.2% กลุ่มที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดคือกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง 5% เกือบทั้งหมด ได้ปรับขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว แต่ยังน้อยกว่าปี 2559 ที่เฉลี่ยปรับ 5-6% โดยปีหน้าสรุปการขึ้นเงินเดือนในประเทศไทยถือว่าอยู่ในอัตรากลาง  เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิก 

    ประเทศที่ปรับเงินเดือนระดับสูง แต่เงินเฟ้อสูง จนทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มไม่สูงนักเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ปรับขึ้น คือ อินเดีย ปรับขึ้น 10% แต่เงินเฟ้อ 4.7% ทำให้มีเงินได้จริง 5.3%  ปากีสถาน ปรับขึ้น 10% แต่เงินเฟ้อ 3.8% เงินได้จริง 6.2% และเมียนมา ปรับขึ้น 8% แต่เงินเฟ้อ 8.2% เงินได้จริงติดลบ 0.2%

    สำหรับการจ่ายโบนัสในปี 2559-2561 นั้นในอุตสาหกรรมต่าง ไม่ต่างกันในแต่ละปี โดยธุรกิจที่จ่ายโบนัสสูงสุดคือธุรกิจบริหารสินทรัพย์และความมั่งคง เช่นที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนต่าง จ่ายปีนี้และปีหน้า 5.5 เดือน กลุ่มที่ได้โบนัสเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ระะดับ 2 เดือนกว่า คือ อิเล็กทรอนิกส์ ไฮเทค ขนส่ง โลจิสติกส์ ประกันชีวิต ส่วนท่ีจะได้โบนัสน้อยลง คือ ธนาคาร และการเงิน ส่วนกลุ่มที่ได้ระดับ 1.8 เดือน เท่า 2 ปีที่แล้วคือกลุ่มประกันภัย 

     

    ***ดาวรุ่งอีคอมเมิร์ซประกันพร้อมซื้อตัวแพง

    สำหรับเงินเดือนในอาชีพต่าง ๆ และตามระดับการศึกษานั้น ประเทศไทย จัดอยู่ในระดับกลาง เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาชีพที่ยังคงได้รับเงินเดือนเริ่มต้นสูงสุดยังคงเป็น กลุ่มวิศวกรอยู่ที่ 20,000-23,500 บาท รองลงมากลุ่มไอที 17,500-23,000 บาท ตามมาด้วยบริหารทรัพยากรบุคคล 15,000-20,000 บาท บัญชีการเงิน 15,000-18,000 บาท และกฎหมาย 15,500-17,000 บาท 

    ส่วนระดับการศึกษา ระดับมัธยมอยู่ที่ 9,300-10,000 บาท ระดับจบมัธยม 10,650-11,750 บาท ระดับปริญญาตรี 15,000-20,000 บาท และปริญญาโท 20,500-25,000 บาท

    กลุ่มธุรกิจที่ปีหน้าจะมีการโยกย้ายงานกันสูงมากคือกลุ่มประกันภัย ประกันชีวิต เพราะกลุ่มนี้มีแนวโน้มควบรวมและเกิดการแย่งตัวพนักงานที่มีคุณภาพสูง ค่าตัวของพนักงานในกลุ่มธุรกิจนี้จะสูงขึ้น 

    ขณะที่ โทนี่ คันธาภัสระ ผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจที่ปรึกษาด้านผลตอบแทนและทรัพยากรบุคคล วิลลิสฯ เปิดเผยว่าอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มการซื้อตัวกันมาก คือกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลของธุรกิจกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งพบว่า การซื้อตัวมีการเสนอจ่ายค่าตอบแทนสูงขึ้นจากเดิมถึง 35-50% โดยกลุ่มนี้ยังไม่มีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนในธุรกิจนี้ ซึ่งหมายถึงพร้อมจ่ายเพื่อดึงตัวมาทำงาน

    ขณะที่อุตสาหกรรมที่คาดหวังว่าจะเติบโตจากนโยบายรัฐบาล อย่างเช่น ก่อสร้าง คาดว่ายังต้องรอผลบวกในอนาคต แต่ผลตอบแทนที่จะได้ในการวัดผลแต่ละปีเป็นโบนัสมากกว่า 

    ***จับตาเทรนด์ Work-Life Balance

    สำหรับเทรนด์ของคนทำงานรุ่นใหม่ต้องการอะไรบ้างนั้น

    พิชญ์พจี ชี้ให้เห็นว่า องค์กรต่าง จะเริ่มเห็นสัดสวนที่มีพนักงานประจำลดลง จากปัจจุบันมีประมาณ 90% เป็นพนักงานประจำ อีก 10% เป็นฟรีแลนซ์ แนวโน้ม 2-3 ปี ข้างหน้า จะเห็นกลุ่มฟรีแลนซ์ พาร์ตไทม์ ลักษณะร่วมทำงานบางงาน ประมาณ 20-30% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการทำที่ประจำนาน หรือทำที่ใดเต็มตัว เพราะต้องการสร้างสมดุลการใช้ชีวิต การทำกิจกรรมในไลฟ์สไตล์ที่ชอบกับการทำงานตามเทรนด์ Work-Life Balance

    ขณะเดียวกัน คริส เมย์ส ผู้อำนวยการฝ่ายสุขภาพและสวัสดิการ วิลลิสฯ เปิดเผยว่าองค์กรต่าง เริ่มมองเห็นความจำเป็นในการรักษาทรัพยากรบุคคล โดยให้ความสำคัญกับคนทำงานทุกเจนเนอเรชั่นในองค์กร ที่มีตั้งแต่เบบี้บูม เจนเอกซ์ เจนวาย แน่นอนว่าคนรุ่นผู้ใหญ่มองหาเรื่องความมั่นคงหลังเกษียณ ส่วนคนรุ่นใหม่ต้องการทำงานในสภาพที่มีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุข และสุขภาพที่ดี ตามเทรนด์ Work-Life Balance รวมไปถึงองค์กรที่มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงดี 

    ทั้งนี้ส่วนใหญ่บริษัทที่สำรวจซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาตินั้นมีมาตรฐานการให้สวัสดิการโดยรวมดีกว่าที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว

    ส่วนแนวโน้ม 3 ปีข้างหน้านั้น สำรวจพบว่านายจ้างในไทยตั้งใจเพิ่มสวัสดิการอื่น เช่น สวัสดิการเพื่อครอบครัว เช่น การดูแลบุตรจาก 23% เป็น 33% การซื้อขายวันลาหยุด จาก 10% เป็น 18% การช่วยให้พนักงานมีความมั่นคงทางการเงิน จาก 27% เป็น 39% นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มสวัสดิการเรื่องสุขภาพ จาก 44% เป็น 60% และการดูแลตอบโจทย์ความต้องการด้านไลฟ์สไตล์จาก 18% เป็น 39%

    ในปี 2562  นายจ้างจำนวนมากจะเสนอรูปแบบสวัสดิการทางเลือกให้พนักงานเลือกเอง 35% แบบยืดหยุ่น 39% แบบเพิ่มเติมโดยสมัครใจ 22% ซึ่งวิธีนี้ทำให้พนักงานเข้าใจ และเห็นว่าองค์กรให้ความใส่ใจกับพนักงาน 

    ผลสำรวจยังพบว่าประเด็นที่นายจ้างอยากรักษาบุคคลกรไว้ คือ เรื่องการดูแลสุขภาพพนักงาน ที่อีก 3 ปีข้างหน้านายจ้าง 73% วางแผนให้ความสำคัญทางด้านนี้ แต่ยังมีเพียง 24% ที่กำลังดำเนินมาตรการต่าง เพื่อลดความเครียดที่เกิดจากการทำงานที่เป็นปัจจัยปัญหาต้น ที่นายจ้างต้องเจอ นายจ้าง 70% กำลังวางแผนโปรแกรมด้านการเกษียณ

    ***3 เหตุผลลูกน้องลาออก

    สำหรับอัตราการลาออกนั้น ในไทยปี 2560 มีประมาณ 12% ต่ำกว่าอัตราการลาออกในเอเชียแปซิฟิกที่อยู่ในระดับ 15% อุตสาหกรรมที่ลาออกกันมากที่สุดคือ กลุ่มผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 18% ประกันชีวิต 16% ไฮเทค 11% และบริหารสินทรัพย์ 10%

    สาเหตุการลาออก คือ 1.ต้องการเงินเดือนสูงขึ้น 2.มีโอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพ และ 3.ความสัมพันธ์กับหัวหน้า หรือผู้จัดการไม่ดี ซึ่งประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับหัวหน้างานนั้น องค์กรต้องให้ความรู้กับระดับหัวหน้างาน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการคนในสังกัด หรือลูกน้องได้ดี    

    ]]>
    1148300