เครื่องครัว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 31 Jan 2024 10:27:31 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดแผน “ล่ำสูง” เจ้าของ “หยก” น้ำมันปาล์มเบอร์ 2 ของตลาด บุกหนักกลุ่มน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ https://positioningmag.com/1460982 Wed, 31 Jan 2024 05:50:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460982
  • “ล่ำสูง” บริษัทเจ้าของน้ำมันพืชตรา “หยก” ประกาศความสำเร็จขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดน้ำมันปาล์ม แผน 5 ปีข้างหน้าขอท้าชิงเบอร์ 1
  • ลุยผลักดันสินค้าพรีเมียมกลุ่มน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพผ่านแบรนด์ “หยก เอ็กซ์ตร้า” และ “เนเชอเรล” เชื่อตลาดเติบโตสูงหลังผู้บริโภครักสุขภาพมากขึ้นและกลุ่มขนมเบเกอรีมาแรง
  • บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อาจไม่คุ้นหูคนไทย แต่ถ้าเอ่ยชื่อน้ำมันพืชตรา “หยก” คงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จัก เพราะเป็นน้ำมันพืชที่ทำยอดขายได้อันดับต้นๆ ของตลาดและอยู่มานาน

    โดยตัวบริษัทล่ำสูงเองปีนี้ก่อตั้งครบรอบ 50 ปี มีสินค้าหลักคือน้ำมันปาล์ม และมีซัพพลายเชนการผลิตครบวงจรตั้งแต่ธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมัน โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบใน จ.ตรัง จนถึงโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่นิคมฯ บางปู จ.สมุทรปราการ รวมถึงมีไลน์ธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการ บริษัท อาหารสากล จำกัด (มหาชน) หรือ UFC ผลิตสินค้ากลุ่มผักผลไม้กระป๋อง น้ำผลไม้พร้อมดื่ม และซอสปรุงรสแบรนด์ UFC ทั้งหมดนี้ทำรายได้ให้บริษัทเมื่อปี 2565 ไป 11,670 ล้านบาท กำไรสุทธิ 432 ล้านบาท

    เจาะเฉพาะตลาด “น้ำมันพืช” ข้อมูลจาก Euromonitor สำรวจตลาดน้ำมันพืชในไทยปี 2563 พบว่ามีมูลค่าตลาดเกือบ 25,000 ล้านบาท และมีผู้เล่นหลัก 5 แบรนด์ คือ มรกต, องุ่น, หยก, เกสร และกุ๊ก

    ตลาดน้ำมันพืชยังแบ่งสัดส่วนตามชนิดน้ำมันด้วย ได้แก่ น้ำมันปาล์ม 56% น้ำมันถั่วเหลือง 40% น้ำมันรำข้าว 2% และน้ำมันพืชอื่นๆ 2%

    ล่ำสูง หยก
    ตัวอย่างพอร์ตสินค้าของ “ล่ำสูง”

    ส่วนในพอร์ตสินค้าของล่ำสูงปัจจุบัน เรียกได้ว่ามีครบทุกประเภทน้ำมันที่ท้องตลาดต้องการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันตลาดแมสอย่าง น้ำมันปาล์ม กับ น้ำมันถั่วเหลือง รวมถึงกลุ่มน้ำมันเพื่อสุขภาพ ได้แก่ น้ำมันรำข้าว, น้ำมันคาโนล่า, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันทานตะวัน, และน้ำมันมะกอก ทำให้พร้อมทำการตลาดกับผู้บริโภคในทุกประเภทสินค้า

     

    “หยก” ขึ้นแท่นที่ 2 ในตลาดน้ำมันปาล์ม

    สำหรับทิศทางธุรกิจของล่ำสูงในทศวรรษที่หกนี้ “ภูมิเกียรติ โชติชัยชรินทร์” กรรมการผู้จัดการ และ “ณฐภา เศรษฐนันท์” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชหยก สองผู้บริหารจากล่ำสูงร่วมให้ข้อมูล ชูกลยุทธ์แข่งขันต่อในตลาดน้ำมันปาล์ม และจะบุกหนักผลักดันสินค้าน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพด้วย

    ผู้บริหารล่ำสูง: (จากซ้าย) “ณฐภา เศรษฐนันท์” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชหยก, “ภูมิเกียรติ โชติชัยชรินทร์” กรรมการผู้จัดการ และ “ปิยธิดา สุขจันทร์” กรรมการบริหาร – การสร้างกิจกรรมตอบแทนสังคมเพื่อความยั่งยืน

    ปัจจุบันพอร์ตรายได้ของล่ำสูงหลักๆ 85% มาจากน้ำมันปาล์ม และสินค้าจากปาล์ม เช่น มาการีน ส่วนที่เหลือ 15% คือน้ำมันเพื่อสุขภาพและสินค้าอื่นๆ เช่น แป้งสาลี, พาสต้า

    ผู้บริหารล่ำสูงระบุว่า น้ำมันปาล์ม “หยก” จะยังคงเป็นสินค้าเรือธงของบริษัท โดยเมื่อปลายปี 2566 บริษัทสามารถดันยอดขาย “หยก” ให้ขึ้นเป็นเป็นแบรนด์อันดับ 2 ในตลาดน้ำมันปาล์มสำเร็จ

    อย่างไรก็ตาม แบรนด์อันดับ 1 คือ “มรกต” นั้นยังมีส่วนแบ่งตลาดที่สูงกว่ามาก แต่บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะท้าชิงอันดับ 1 ให้ได้ภายใน 5 ปี

     

    ยึดฐานแฟนคลับให้มั่น – ดึงแบรนด์ให้เด็กลง

    การจะขึ้นไปตีชิงตลาดน้ำมันปาล์มมาได้นั้น หยกได้วางแผนไว้ทั้งการยึดฐานเดิม และดึงคนหนุ่มสาวให้เข้าหาแบรนด์มากขึ้นด้วย

    “ผลวิจัยตลาดชัดเจนว่า น้ำมันปาล์มซึ่งเป็นสินค้าแมสนั้นผู้บริโภคจะมองปัจจัยแรกคือ ‘ราคา’ แต่ถ้าสมมติในตลาดมี 3-4 ยี่ห้อราคาเท่ากัน ปัจจัยถัดมาที่ผู้บริโภคสนใจก็จะมองเรื่องรูปลักษณ์ ทั้งสีของน้ำมันในขวด การออกแบบขวด ฉลาก และโลโก้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปัจเจกที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ถ้าชอบแบบไหนก็จะชอบแบบนั้นไปตลอด” ณฐภากล่าว

    หยก น้ำมันพืช
    น้ำมันพืช หยก เอ็กซ์ตร้า

    ดังนั้น การตลาดต่อจากนี้หยกจะพยายามสร้าง ‘คอมมูนิตี้’ ออนไลน์ โดยเน้นที่คนรักการทำอาหาร เพื่อให้คนที่ติดใจแบรนด์หยกยังคงเลือกซื้อหยกอย่างต่อเนื่อง

    อีกส่วนหนึ่งคือการทำตลาดผ่าน KOL และ Content Creator โดยเฉพาะในช่องทางที่กำลังมาแรงอย่าง TikTok

    “เดี๋ยวนี้คนชอบดูคอนเทนต์จาก KOL มากกว่าเซเลปที่ดังมากๆ เพราะคอนเทนต์รู้สึก ‘เรียล’ ดูใช้จริงมากกว่า กลายเป็นว่าการใช้ KOL ที่ยอดติดตามอาจจะไม่เกิน 5 หมื่นคน กลับได้ผลกว่าสำหรับสินค้าเรา” ณฐภากล่าว “การใช้ KOL ยังตรงเป้าหมายของเราที่อยากเจาะกลุ่มผู้บริโภควัยประมาณ 25-30 ปีมากขึ้น กลุ่มนี้เขาจะเริ่มเป็นวัยรับหน้าที่ซื้อของเข้าบ้าน กลายเป็นคนตัดสินใจซื้อ เราจึงต้องทำแบรนด์ให้เด็กลงเพื่อเจาะเขาให้ได้”

     

    น้ำมันพืช “เพื่อสุขภาพ” เจาะราคาพรีเมียม

    อีกเป้าหมายหนึ่งของล่ำสูงคือการเจาะตลาดน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ ซึ่งทางภูมิเกียรติ เอ็มดีล่ำสูงมองว่า คนไทยเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ทำให้ยอดขายน้ำมันพืชกลุ่มนี้ดีขึ้น และน่าจะเป็นเทรนด์ต่อเนื่องในระยะยาว

    รวมถึงมีเทรนด์จากกลุ่มขนมเบเกอรีที่ขายดีขึ้น เป็นที่นิยมของคนไทย และขนมประเภทนี้จะนิยมใช้ส่วนผสมจากน้ำมันคาโนล่าและน้ำมันทานตะวัน ภาพรวมของน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพจึงมีอนาคตที่สดใส

    น้ำมันพืช เนเชอเรล ใช้บุกตลาดระดับพรีเมียม

    ขณะนี้ทางล่ำสูงสร้างแบรนด์สำหรับน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพไว้ 2 ระดับ คือ ตลาดระดับกลางใช้แบรนด์ “หยก เอ็กซ์ตร้า” ส่วนตลาดระดับพรีเมียมใช้แบรนด์ “เนเชอเรล”

    “เราจะเน้นผลักดันน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพกับกลุ่มรายได้ระดับบนและระดับกลางก่อน เพราะพวกเขาคือผู้มีกำลังซื้อสูงที่สุด สามารถเลือกรับประทานและนำไปบอกต่อได้” ภูมิเกียรติกล่าว

    โดยปัจจุบันล่ำสูงระบุว่าบริษัทเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันคาโนล่าแล้ว และจะพยายามทำตลาดในกลุ่มน้ำมันเพื่อสุขภาพอื่นๆ ให้ได้ยอดขายสูงขึ้นทั้งหมด

    ภูมิเกียรติกล่าวปิดท้ายถึงแนวโน้มตลาดน้ำมันพืชในปี 2567 ว่า ปีนี้อาจจะยังเป็นปีที่ “น้ำมันปาล์ม” ขายดีกว่า “น้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ” ด้วยภาวะเศรษฐกิจยังมีผลต่อการเลือกซื้อ ผู้บริโภคเน้นที่ราคาเป็นหลัก แต่เชื่อว่าใน 3-5 ปีนี้เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น น้ำมันพืชเพื่อสุขภาพน่าจะกลับมาทำยอดเติบโตดีเหมือนในช่วงโควิด -19 เกิดขึ้น

    ]]>
    1460982
    “Tecnogas” ผู้ท้าชิง Smeg ดึง “นุ้ย-สุจิรา” พรีเซ็นเตอร์คนแรก สร้างแบรนด์ให้ติดหูผู้บริโภคยุคออนไลน์ https://positioningmag.com/1396632 Thu, 18 Aug 2022 08:07:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396632 เมื่อบริษัทเล็งเห็นว่าการสร้าง brand awareness จะสำคัญมากขึ้นในระยะยาว ทำให้ “Tecnogas” (เทคโนแกส) ที่อยู่ในตลาดมานาน 30 ปี ต้องลุกขึ้นมาปั้นแบรนด์ โดยเลือก “นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกในไทย ช่วยสื่อสารให้ชัดว่าเทคโนแกสคือแบรนด์ “เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว” สู้กับคู่แข่งอย่าง Smeg, Teka หรือ Franke

    “เราเคยถูกผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเป็นแบรนด์ขายแก๊สด้วยครับ” กฤตนันท์ สนธิจิรวงศ์ ซีอีโอ บริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าว ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าชื่อของ Tecnogas (เทคโนแกส) อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และถึงแม้จะยังทำยอดขายได้อยู่ แต่ในอนาคตระยะยาวนี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก

    Tecnogas เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจากอิตาลี อายุแบรนด์ยาวนานกว่า 60 ปี โดยบริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ เป็นผู้นำเข้ามาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ถือเป็นแบรนด์ระดับกลางบน อยู่ในเทียร์เดียวกับสินค้าในครัวยี่ห้อ Smeg, Teka หรือ Franke เน้นการขายผ่านโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก เช่น โฮมโปร, ไทวัสดุ, บุญถาวร, โกลบอลเฮาส์, เมกาโฮม, ดูโฮม และดีลเลอร์ชั้นนำในต่างจังหวัด

    Tecnogas
    ฮีโร่โปรดักส์ของ Tecnogas เป็นเตาแก๊สแบบ Free Standing ที่มีเตาอบอยู่ด้านล่าง

    สินค้าของ Tecnogas ครอบคลุมตั้งแต่สินค้า เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เตาอบ เครื่องดูดควัน อ่างล้างจาน เครื่องล้างจาน ฯลฯ แต่ที่ขายดีที่สุดในไทย คือกลุ่มเตาแก๊ส เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจาน โดยมีเตาอบเป็นสินค้ามาแรงในช่วง COVID-19 จากเทรนด์ฮิตในการทำเบเกอรีทานเองและทำขายในช่วงเกิดโรคระบาด

     

    เลือก “นุ้ย-สุจิรา” ช่วยสร้างแบรนด์ให้ติดหู

    กฤตนันท์กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลตลาดภายในบริษัทพบว่าแบรนด์ Tecnogas ถือว่าขายดีอันดับ 1 ในเทียร์เดียวกัน มีแบรนด์ Smeg ที่เป็นอันดับ 2 แต่ยอดขายไล่เลี่ยกันมาก

    ที่ผ่านมาการตลาดของบริษัทจะเน้นไปที่เซลส์ ณ จุดขาย เพราะสามารถจูงใจผู้บริโภคได้ดี แต่ในยุคนี้วิธีตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว

    “เราต้องทำการตลาดช่องทางอื่นเพิ่ม เพราะลูกค้าที่เดินเข้ามาวันนี้เขาจะรีเสิร์ชหาข้อมูลทางออนไลน์มาก่อน ถ้าเราไม่มี brand awareness ถ้าเขาไม่รู้จักเรา พอถึง ณ จุดขายเขาก็จะตัดสินใจเลือกแบรนด์ที่เขารู้จักมากกว่า” กฤตนันท์กล่าว

    กฤตนันท์ สนธิจิรวงศ์ ซีอีโอ บริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด และ นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ พรีเซ็นเตอร์คนแรกของ Tecnogas

    เป็นที่มาที่ทำให้บริษัทเลือกตั้งพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ Tecnogas คนแรกของไทยคือ “นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์” ซึ่งเธอได้รับเลือกเพราะ

    1.ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ซึ่งต้องการเจาะตั้งแต่คนรุ่นเพิ่งสร้างครอบครัววัย 30 กว่าปี ไปจนถึงวัยคุณพ่อคุณแม่รุ่นใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป จึงต้องการคนดังที่ทั้งสองเจนเนอเรชันรู้จัก

    2.นุ้ย-สุจิรา ชอบการทำอาหาร และทำอาหารอย่างมีความสุข สนุกสนาน เป็นคาแรกเตอร์ที่ต้องการ

    3.เธอเป็นลูกค้าแบรนด์อยู่แล้ว เป็นคนเดียวในการคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นผู้ใช้จริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือได้ดี

    กฤตนันท์ขอไม่เปิดเผยงบการทำการตลาด แต่จะได้เห็นการลงทุนที่มากขึ้นเพื่อเป้าหมายทำให้ Tecnogas เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจากอิตาลี เน้นเรื่องฟังก์ชันการใช้งาน ความแข็งแรง ทนทานสูง

     

    ขยายแบรนด์เพิ่ม เก็บหมดตั้งแต่บัดเจ็ทถึงไฮเอนด์

    นอกจาก Tecnogas แล้ว กฤตนันท์เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทยังมีการพัฒนาแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวของตนเองด้วย โดยใช้ชื่อที่ล้อตามแบรนด์จากอิตาลี ทำให้พอร์ตสินค้าของเดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์แบ่งได้ 3 ระดับ คือ

    • Tecnogas (เทคโนแกส) สินค้าตลาดกลางบน มีหลากหลายผลิตภัณฑ์
    • Tecno+ (เทคโนพลัส) สินค้าตลาดกลาง เน้นจุดขายเตาแก๊สไฟแรงสำหรับครัวไทย-จีน
    • Tecno* (เทคโนสตาร์) สินค้าตลาดบัดเจ็ท เน้นมีคุณภาพแต่ราคาประหยัด
    Tecnogas
    ตัวอย่างสินค้าที่ลงมาสู้ตลาดระดับกลางถึงบัดเจ็ท: ด้านบนเป็นเตาแก๊สแบบฝังเฟอร์นิเจอร์ Tecno+ ราคา 11,900 บาท ด้านล่างเป็นเตาแก๊สแบบตั้งโต๊ะ Tecno* ราคา 2,990 บาท

    รวมถึงบริษัทกำลังก่อสร้างโชว์รูมแห่งใหม่ในชื่อ “Cucina Galleria” (คูซิน่า แกลเลอเรีย) ที่จะเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวระดับไฮเอนด์หลากหลายแบรนด์ เน้นเรื่องงานดีไซน์ที่แตกต่าง เจาะตลาดลูกค้าที่ใส่ใจการตกแต่งภายใน โชว์รูมใหม่นี้จะตั้งอยู่ในบ้านเก่าอายุ 150 ปีย่านสาทร พื้นที่ราว 200-300 ตร.ม. เตรียมเปิดตัวในอีก 2 เดือนข้างหน้า

    กฤตนันท์ระบุว่ายอดขายของบริษัทรวมทุกแบรนด์เมื่อปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 800-900 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วน 35% มาจากเทคโนแกส 35% จากเทคโนพลัส และอีก 30% ที่เหลือคือเทคโนสตาร์ สินค้าไฮเอนด์ และสินค้าอื่นๆ ที่บริษัทมีจำหน่าย เช่น เครื่องกรองน้ำ

    เครื่องดูดควัน อีกกลุ่มสินค้าชูโรงของเทคโนแกส

    ช่องทางส่วนใหญ่ยังเป็นการขายโมเดิร์นเทรด ส่วนการขายเข้าโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ B2B ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 10% เพราะบริษัทเพิ่งเริ่มทำตลาดกลุ่มนี้ได้ไม่นาน

    สำหรับสถานการณ์ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว เมื่อปี 2564 รายได้ของบริษัทเติบโตได้เกือบ 10% ถือว่าขายดีมากตามเทรนด์คนไทยอยู่บ้านมากขึ้น ทำอาหารกันมากขึ้น สินค้าบางตัวถูกจองไว้หมดตั้งแต่เรือขนส่งยังมาไม่ถึงไทย ในปี 2565 บริษัทมีเป้าที่จะโต 10% อีกครั้ง แต่ก็ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยลบ เช่น ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายจากภาวะเศรษฐกิจ, คนไทยกลับไปใช้ชีวิตปกติ ทำอาหารน้อยลง และต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้น

    “ช่วงครึ่งปีแรกเราเริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่ายอดขายลดลง” กฤตนันท์กล่าว “ครึ่งปีหลังต้องจับตาดูว่าตลาดระดับกลางจะเริ่มลดการใช้จ่ายเหมือนกับกลุ่มบัดเจ็ทหรือไม่ ถ้าหากเกิดขึ้นเราอาจจะต้องเน้นทำตลาดกลุ่มกลางบนจนถึงไฮเอนด์เป็นหลักแทน”

    ]]>
    1396632
    “ดู เดย์ ดรีม” ยกเครื่อง! ไม่ได้มีแค่ “Snail White” แต่ขายตั้งแต่ยาสีฟันยันเครื่องครัว https://positioningmag.com/1323230 Fri, 12 Mar 2021 11:41:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323230 “ดู เดย์ ดรีม” เจ้าของแบรนด์ “Snail White” เปิดแผน 5 ปียกเครื่องใหม่ กระจายพอร์ต 5 หมวดสินค้า หมดยุคขายเฉพาะสกินแคร์แต่ต้องมีสินค้าอื่นช่วยให้เติบโต ซุ่มเจรจาดีลซื้อแบรนด์อื่นและใช้แบรนด์เดิมผลิตสินค้าใหม่ พร้อมเปิดช่องทางขายออนไลน์-โฮมช้อปปิ้งตามให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภค ลดการขนกองทัพพรีเซ็นเตอร์แต่เน้นคนเดียวโปรโมตสินค้าได้หลากหลาย

    สถานการณ์ COVID-19 ล็อกดาวน์ห้างและล็อกดาวน์ประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรื่องนี้มีผลโดยตรงกับธุรกิจสกินแคร์ของ “ดู เดย์ ดรีม” ซึ่งเน้นขายผ่านโมเดิร์นเทรดและมีลูกค้าต่างชาติไม่น้อย จนรายได้กลุ่มธุรกิจสกินแคร์ของบริษัทเมื่อปี 2563 ลดลง -44% จากปีก่อนหน้า

    อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ บมจ.ดู เดย์ ดรีม รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า รายได้รวมของบริษัทปี 2563 ขึ้นไปแตะ 1,000 ล้านบาทพอดี (ไม่รวมหมวดรายได้อื่น) เติบโต 37% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 179.54 ล้านบาท พลิกกลับจากปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 53 ล้านบาท ผลมาจากการขายเครื่องใช้ส่วนบุคคลและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ช่วยหนุนให้บริษัทเติบโต

    ยาสีฟัน Sparkle หนึ่งในสินค้าดันรายได้ ดู เดย์ ดรีม เมื่อปี 2563

    เครื่องใช้ส่วนบุคคลและสินค้าอุปโภคบริโภค คือหมวดสินค้าใหม่ที่มาจากการเข้าซื้อ กลุ่มบริษัท คิวรอน เมื่อปลายปี 2562 บริษัทนี้เป็นเจ้าของแบรนด์อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม Lesasha (เลอซาช่า) และยาสีฟัน Sparkle (สปาร์คเคิล) และทำให้ดู เดย์ ดรีม ได้โอกาสขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่องซึ่งจะเป็นแผนในช่วง 5 ปีจากนี้

     

    5 เสาหลักกลุ่มสินค้าทำเงิน

    “นันทวรรณ สุวรรณเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดู เดย์ ดรีม เปิดแผนงานยกเครื่องใหม่ของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้า ก้าวสู่เป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท

    ว่ากันที่เรื่องสินค้าก่อน ภาพจำเดิมของดู เดย์ ดรีมนั้นถูกผูกติดอยู่กับ “Snail White” เพราะเป็นสินค้าที่สร้างกระแสแรงเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน แต่การเติบโตไปข้างหน้า บริษัทจะเน้นการกระจายสินค้าหลากหลาย แบ่งเป็น 5 หมวด ดังนี้

    1.สกินแคร์ : Snail White, Namu Life, SoS, Oxecure
    2.อุปกรณ์ความงาม : อุปกรณ์แต่งผม Lesasha, อุปกรณ์กำจัดขน Emjoi
    3.ของใช้ส่วนตัว : ยาสีฟันและแปรงสีฟัน Sparkle
    4.กีฬาและเวลเนส : อุปกรณ์เล่นกีฬา Jason
    5.อื่นๆ : เครื่องครัว Bear, เครื่องรีดผ้า @Home

    พอร์ตสินค้า 5 หมวดหลักของดู เดย์ ดรีม

    เห็นได้ว่าอาณาจักรสินค้าดู เดย์ ดรีมหลากหลายมาก โดยมีฐานคิดว่า “ผู้หญิง” ใช้อะไรบ้างในหนึ่งวัน บริษัทต้องการจะชิงมาร์เก็ตแชร์จากการใช้จ่ายของผู้หญิงให้ได้ 3% ภายในปี 2573 ไม่ใช่แค่สกินแคร์หรือเครื่องสำอางซึ่งตลาดใหญ่แต่ผู้เล่นก็มาก แต่ต้องขยายไปที่สินค้าอื่นซึ่งอาจจะแข่งขันน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น เครื่องครัว Bear จะเป็นสินค้าแนวไลฟ์สไตล์ผู้หญิง มีความน่ารัก และจับเทรนด์ในช่วง COVID-19 ที่คนหันมาเข้าครัวมากขึ้น

    “ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงินของดู เดย์ ดรีม กล่าวว่า บริษัทจะเจรจาเข้าซื้อหรือร่วมทุนกับแบรนด์อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแบรนด์ใหม่เติมพอร์ตตามหมวดสินค้าที่วางไว้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมีดีลให้เห็นในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ นอกจากนี้ จะนำแบรนด์เดิมมาแตกไลน์สินค้าเพิ่มด้วย เช่น Lesasha จะผลิตแชมพูสระผมเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งนี้ ดู เดย์ ดรีมไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนแบรนด์มากน้อยแค่ไหน หรือต้องทุ่มให้กับหมวดไหน ขึ้นอยู่กับดีลและโอกาสที่เข้ามา

    Lesasha แบรนด์ที่ได้จากการเทกโอเวอร์กลุ่มคิวรอน

    “ต่อไปนี้อยากให้คนมองหุ้น DDD ไม่ใช่แค่หุ้น Snail White แล้ว แต่อยากให้คนมองเห็นคิวรอนด้วย หรือเห็นแบรนด์อื่นๆ ที่จะมีในอนาคต” ปิยวัชรกล่าว

    นันทวรรณกล่าวว่า เมื่อปี 2563 ยอดขายของบริษัทยังอยู่ใน 3 กลุ่มหลัก คือ สกินแคร์และเครื่องสำอาง 44% อุปกรณ์ความงาม 37% และ ของใช้ส่วนตัว 19% เห็นได้ว่าอุปกรณ์ความงามเป็นพอร์ตที่ใหญ่ใกล้กับสกินแคร์แล้ว และไม่แปลกอะไรหากอนาคตจะแซงสกินแคร์ในที่สุด

     

    ออนไลน์+โฮมช้อปปิ้ง ช่องทางเจาะผู้บริโภค

    เรื่องที่สองที่ดู เดย์ ดรีมยกเครื่องคือ “ช่องทางจำหน่าย” โดยนันทวรรณกล่าวว่า บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้ DKSH เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ทั้ง 4 แบรนด์คือ Snail White, Namu Life, SoS, Oxecure ในประเทศไทยและ CLMV ผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิม (TT)

    “การกระจายสินค้าเราต้องทำให้ดีขึ้น เพราะถ้าไปถึงร้านแล้วไม่มีจำหน่าย หรือมีสต๊อกแค่ 2 ขวด 5 ขวด ก็ไม่มีประโยชน์” นันทวรรณกล่าว “เราเลือก DKSH เพราะเห็นศักยภาพจากการร่วมงานในแบรนด์ Oxecure มาก่อน สามารถผลักดันยอดขายให้เราได้ถึง 90%”

    “นันทวรรณ สุวรรณเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ดู เดย์ ดรีม

    ไม่เฉพาะช่องทางออฟไลน์ที่ดู เดย์ ดรีมกำลังขันนอตให้แข็งแรง นันทวรรณกล่าวว่า ช่องทางจำหน่ายปีนี้จะหลากหลายขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายออนไลน์เป็น 20% (จากเดิม 13%) และเพิ่มโฮมช้อปปิ้ง-เทเลเซลส์ร่วมกับ amado shopping และ RS Mall สัดส่วน 6-7% จากเดิมยังไม่เคยเข้าช่องทางนี้มาก่อน

    เหตุที่ต้องเพิ่มช่องทางออนไลน์กับโฮมช้อปปิ้ง เพราะมองว่าเทรนด์ผู้บริโภคซื้อสินค้าผ่านช่องทางเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ และเหมาะกับทิศทางทำตลาดแบบใหม่ของดู เดย์ ดรีมที่ต้องการพูดเรื่องคุณสมบัติและนวัตกรรมของสินค้าให้มากขึ้น สอดคล้องกับพื้นที่สื่อบนออนไลน์และโฮมช้อปปิ้งที่มีเวลาอธิบายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ซื้อมากกว่าสปอตโฆษณาโทรทัศน์

     

    พรีเซ็นเตอร์ไม่ต้องเยอะ แต่ต้องได้ครบ!

    ย้อนกลับไปในช่วงเปิดตัวแบรนด์ Snail White แบรนด์นี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้บริโภคได้มากเพราะการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ หรือร่วมงานกับดารา คนดัง เซเลบมากมาย แต่ภาพนั้นอาจจะไม่ได้เห็นแล้ว โดยปิยวัชรกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าดู เดย์ ดรีมจะไม่มีพรีเซ็นเตอร์ แต่จะมีน้อยลง จากเดิมมีถึง 5-6 คนพร้อมกัน ต่อไปอาจจะเหลือ 1-2 คนก็เพียงพอ

    Snail White และ Namu Life ผลิตภัณฑ์สกินแคร์

    “เมื่อก่อนเรามีดาราโฆษณาเยอะมากเพราะต้องสร้าง awareness ให้คนรู้จักเราก่อน แต่ตอนนี้โจทย์ใหม่ของเราคือเราต้องมีเวลาพูดประโยชน์ของสินค้าเชิงลึกมากกว่า” ปิยวัชรกล่าว

    ทำให้การใช้พรีเซ็นเตอร์จะเฟ้นหาคนดังที่สามารถโฆษณาผลิตภัณฑ์ของดู เดย์ ดรีมได้หลากหลาย เช่น ดารา A ใช้ Snail White บำรุงผิว และยังใช้ยาสีฟัน Sparkle แถมยังผมสวยด้วย Lesasha เป็นต้น

    ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ดู เดย์ ดรีมเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก แถมยังมีแผนสร้างรายได้เสริมในยุคดีมานด์ตลาดสกินแคร์หดด้วยนั่นคือ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทรับผลิตสกินแคร์แบบ OEM ให้กับแบรนด์อื่น หลังจากการผลิตลดเหลือเพียง 50% ของกำลังผลิตรวม จึงต้องการใช้กำลังผลิตที่ยังว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    ]]>
    1323230
    ส่อง 5 Item ที่ (ไม่) จำเป็น แต่ดันขายดีช่วง COVID-19 https://positioningmag.com/1279653 Wed, 20 May 2020 12:19:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1279653 ในช่วงวิกฤติ COVID-19 อย่างนี้ ถ้าสินค้าอุปโภคบริโภคหรือแมสกับเจลแอลกอฮอล์ที่ขายดีจนขาดตลาดคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่จริงไหม? แต่กลับมีสินค้าบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับการป้องกันหรือเอาชีวิตรอดใด ๆ แต่กลับขายดีสุด ๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นผลมาจากการที่ ว่าง เกินไป ไม่ว่าจะกระแสการเล่น ‘TikTok’ หรือแม้แต่การปลุกสัญชาตญาณการเป็น ‘เชฟ’ ในช่วงกักตัวนี้ จนถึงขั้นมีวลีที่ว่า “เพื่อนในโซเชียลไม่เป็นแดนซ์เซอร์ก็เป็นเชฟ”

    ดังนั้นไปส่องกัน ว่ามีอะไรที่ไม่ได้จำเป็น ใน COVID-19 แต่กลับ ฮิต จนของขาดตลาดกันบ้าง

    Game

    ปฎิเสธไม่ได้ว่า ‘Game’ เป็นหนึ่งในไอเทมที่ใช้แก้เหงา แก้เบื่อได้อย่างดี เพราะเล่นแต่ละครั้งอย่างต่ำก็ใช้เวลาหลักชั่วโมง ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วง COVID-19 นี้ อย่าง ‘Nintendo Switch’ จากราคาหมื่นต้น ๆ ยังสามารถพุ่งทะลุ 2 หมื่นเลยทีเดียว และไม่ใช่แค่เกม แต่อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็ขายดี อย่าง Ring Fit ที่เคยขายประมาณ 2,000 กว่าบาท ราคากลับพุ่งแตะ 6,000 บาทเลยทีเดียว โดยข้อมูลจาก ‘Prizcea’ ได้ระบุว่ายอดคลิกสินค้าประเภทอุปกรณ์เสริมเกมเติบโตถึง 299% เลยทีเดียว ส่วนเครื่องเกมเติบโต 39%

    เครื่องครัว

    จริง ๆ ไม่ใช่แค่ม้อทอดไร้น้ำมันอย่างเดียวที่ขายดี แต่เพราะสัญชาติญาณความเป็น ‘เชฟ’ ที่ถูกปลุกขึ้นในช่วงกักตัว เพราะออกไปทานข้างข้างนอกก็ไม่ได้ จะใช้บริการเดลิเวอรี่ก็สั่งจนจะครบทุกร้าน ประกอบกับเวลาว่างที่มีเพียบ จึงส่งผลให้ ‘เครื่องครัว’ หลายอย่างขายดีอย่างมาก ทั้งอุปกรณ์ทำอาหารและอุปกรณ์เตรียมอาหาร รวมไปถึงจานชามต่าง ๆ โดย ‘Ikea’ ระบุว่าสินค้าหมวดเครื่องครัวเติบโตถึง 500% เลยทีเดียว และจากตัวเลขของ Prizcea ระบุว่า หม้อและกระทะไฟฟ้ามีการเข้าชมเพิ่มขึ้น 197% ไมโครเวฟและเตาอบเพิ่มขึ้น 50% อุปกรณ์เตรียมอาหารเพิ่มขึ้น 35% นอกจากนี้ ตู้เย็น ก็มีการคลิกเพิ่มขึ้นถึง 133% เลยทีเดียว

    อุปกรณ์ไลฟ์สตรีมมิ่ง

    ทั้งกระแส TikTok เอย การ ไลฟ์สดขายของ เอย หรือกระเเสการดู Netflix เอย ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับไลฟ์สตรีมและดูคอนเทนต์เติบโตไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นกล้อง, หูฟัง, ไฟวงแหวน หรือ Ring Light ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขนาดที่ พีท ทสร บุณยเนตร Executive Creative Director จาก Wunderman Thompson Thailand บ่นอุบว่า “ทีมผมหาซื้ออุปกรณ์ไลฟ์สตรีมไม่ได้” โดยข้อมูลจาก Prizcea เองก็ระบุว่า จำนวนการคลิกชม ‘หูฟัง’ เพิ่มขึ้น 48%

    ต้นไม้

    ด้วยมาตรการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ รวมถึง Work from Home ทำให้คนไทยอยู่บ้าน ใช้ชีวิตแบบหยุดนิ่งมากขึ้น ไม่มีการเคลื่อนที่เท่าไหร่นัก ดังนั้น การจะมองแต่มุมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ คงเบื่อเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงต้องหา ‘ไอเทม’ ใหม่ ๆ มาเสริมให้บ้านน่าอยู่สักหน่อย แม้ของแต่งบ้านจะมีเยอะ แต่ที่สามารถหาง่าย ๆ คงหนีไม่พ้น ‘ต้นไม้’ โดยเฉพาะที่เป็นต้นเล็ก ๆ ดูแลง่าย  ๆ โดย Hot ขนาดที่ต้นไม้ติด Top 5 สินค้าขายดีของ Ikea เลยทีเดียว หรือแม้แต่พ่อค้า-แม่ค้าที่ ตลาดจตุจักร ที่หลังจากเปิดตลาดมาก็ยืนยันว่าขายดีขึ้น 3-4 เท่าเลยทีเดียว

    แอร์และเครื่องกรองอากาศ

    ไม่ได้เกี่ยวกับ COVID-19 ไม่ใช่ของแต่งบ้าน หรือใช้แก้เบื่อแต่อย่างใด แต่ใช้เอาตัวรอดจากสภาพอากาศประเทศไทยล้วน ๆ เพราะตอนนี้ทะลุ 38 องศาเลยทีเดียว และยิ่งต้องอยู่แต่บ้าน ห้างฯ ก็เดินไม่ได้ ออฟฟิศก็ไม่ได้เข้า ดังนั้นจะมีเหตุผลอะไรอีกที่ทำให้ไม่ซื้อแอร์ล่ะจิงไหม (ไม่รวมเงินในกระเป๋าที่ไม่พอนะ) โดยเครื่องฟอกอากาศ Priceza ระบุว่ามีการคลิกชมสินค้าเพิ่มขึ้น 157% ส่วนแอร์เพิ่มขึ้น 5%

    มีไอเทมไหนบ้าง ที่เสียเงินในช่วงกักตัวกันบ้าง ลองมาแชร์กันได้เลย

    ]]>
    1279653
    พี่กอนทำเงินแล้วนะ บาร์บีคิวพลาซ่า ต่อยอดขายลิขสิทธิ์ “บาร์บีกอน” ลงเครื่องครัว https://positioningmag.com/1147373 Mon, 20 Nov 2017 14:31:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147373 เมื่อคนทำธุรกิจขายอุปกรณ์ไอที ปลั๊กไฟ อยากขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านอาหารอยากให้แบรนด์เข้าถึงครัวเข้าไปอยู่ในบ้านลูกค้า เพื่อสร้างความรักผูกพันในแบรนด์ให้แน่นแฟ้นดีลธุรกิจนี้จึงเคาะกันลงตัวระหว่างบาร์บีคิวพลาซ่ากับแอนิเทค

    ดีลนี้ไม่ใหญ่ ถ้าดูเม็ดเงินที่ตั้งเป้าไว้ คือมูลค่ายอดขายเพียงแค่ 5 ล้านบาท จากการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว 4 อย่าง คือ เครื่องปิ้งขนมปัง กาต้มน้ำร้อน เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และเตาอบ รวมทั้งหมด 10,000 ชิ้น  

    แต่ดีลนี้มีความหวังเต็มเปี่ยมมาก สำหรับทั้งสองฝ่าย

    บาร์บีกอนไม่ใช่แค่กู้วิกฤติแบรนด์ 

    บาร์บีคิวพลาซ่า ภายใต้บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ตั้งเป้าให้คนอยากมาร้านบาร์บีคิวพลาซ่า เพราะรักแบรนด์ โดยมีสื่อรักเป็นคาแร็กเตอร์ มังกรเขียวบาร์บีกอนและที่สำคัญเมื่อเกิดปัญหาจะได้กู้วิกฤติแบรนด์ได้ง่ายขึ้น 

    บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์ บาร์บีคิวพลาซ่า กล่าวว่า ผลการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักของลูกค้า จะทำให้เมื่อเกิดวิกฤติแบรนด์ ช่วยให้กู้วิกฤติได้ง่ายขึ้น อย่างที่บาร์บีคิวพลาซ่าเคยมีบทเรียนจากกรณีกระทะดำ และน้ำซุปดำเมื่อปีที่แล้ว ที่นับเป็นวิกฤติหนักสุดในรอบ 30 ปี ของบาร์บีคิวพลาซ่า 

    ด้วยกระบวนการคาแร็กเตอร์มาร์เก็ตติ้ง จนทำให้บาร์บีกอนเป็นที่จดจำและปัจจุบันก็สามารถขายสินค้าที่ระลึกคาแร็กเตอร์บาร์บีกอนได้แล้ว โดยมีกลุ่มเป้าหมายของร้านเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้นซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 65% แล้วจากเดิมมีเพียง 50%

    และนี่คือสิ่งที่ได้จังหวะเร่งต่อยอด เพราะมังกรเขียวมีมูลค่า จึงเริ่มเจรจากับผู้ผลิตสินค้าหลายรายเพื่อขายลิขสิทธิ์ตัวบาร์บีกอนไปใช้เป็นลวดลายในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ โดยมีรายแรกนี้คือแอนิเทค โดยหวังว่าเมื่อมีดีลนำร่องแล้ว ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็จะสนใจบาร์บีกอนมากขึ้น

    เกมนี้ไม่ได้ต้องการแค่รายได้ค่าลิขสิทธิ์ แต่เป้าหมายหลักคือให้คาแร็กเตอร์บาร์บีกอนอยู่ในไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตามแผนที่หวังว่าเมื่อลูกค้าอยากทานอาหาร ก็จะมุ่งหน้าที่มาที่บาร์บีคิวพลาซ่า เพราะธุรกิจร้านอาหารขณะนี้มีความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมาก

    ต้องยอมรับว่าตอนนี้เริ่มมีสัญญาณว่า ธุรกิจร้านอาหารอาจมีผลกระทบทางอ้อมจากเทรนด์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ทำให้คนเดินห้างลดลง และยังพบว่าจุดประสงค์ของคนมาห้างเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมมาช้อปปิ้ง กินข้าว และไปธนาคาร แต่ขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มคนมาห้างเพราะกินข้าวมากกว่าช้อปปิ้ง เพราะหลายคนช้อปออนไลน์ และใช้โมบายแบงกิ้ง ขณะเดียวกันธุรกิจร้านอาหารยังมีผลกระทบจากเทรนด์ของบริการดีลิเวอรี่ ทำให้บาร์บีคิวพลาซ่าก็ต้องขยายสาขาอย่างระมัดระวังในปีหน้า 

    จากปีนี้มีการขยายเพิ่ม 15 สาขา รวมปัจจุบันมี 138 สาขา ปีนี้อัตราการเติบโตธุรกิจยังคงเป็นไปตามเป้าหมายคือรายได้โต 13-14% ด้วยยอดขาย 3,800 ล้านบาท ปีหน้าต้องระมัดระวังเรื่องการขยายสาขา เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการเติบโตของอีคอมเมิร์ช”  

    เบื้องหลังดีลเครื่องใช้ไฟฟ้าบาร์บีกอน

    ส่วนแบรนด์ปลั๊กไฟ ไอที และรับจ้างผลิตสินค้าไอทีต่าง ๆ อย่างแอนิเทค ของบริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป ที่ทำธุรกิจขายอุปรณ์ต่อพ่วงไอทีมาเพียงอย่างเดียวก็อยากเพิ่มรายได้ แตกไลน์สินค้าด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน แต่งตัวให้มีธุรกิจ และรายได้ในพอร์ตมากขึ้น ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ประมาณเดือนพฤษภาคมปีหน้า

    พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี เจ้าของแบรนด์แอนิเทค เปิดเผยเบื้องหลังดีลนี้ว่าได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารและเจ้าของบาร์บีคิว พลาซ่า คุณ เป้ ชาตยา สุพรรณพงศ์ เกี่ยวกับการใช้คาแร็กเตอร์บาร์บีกอน คุยครั้งเดียวก็ตกลง และใช้เวลา 4 เดือนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมา โดยมีการตกลงจ่ายค่าลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์บาร์บีกอน เพื่อเอาเจ้ามังกรเขียวมาเป็นลวดลายบนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 4 อย่าง หลังจากเจรจาคาแร็กเตอร์ระดับโลกมาแล้วหลายรายแต่ลงตัวที่บาร์บีกอน เพราะเป็นแบรนด์เดียวที่เป็นคาแร็กเตอร์ของร้านอาหาร

    แอนิเทคมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนอยู่แล้ว แต่เลือกคาแรกเตอร์บาร์บิกอนในการเปิดตัว เพราะจะช่วยให้คนรู้จักได้เร็ว และตรงกับกลุ่มเป้าหมายในฐานะที่เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าหน้าใหม่ในตลาด จึงจะจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่เวลาตัดสินใจซื้อจะเน้นราคาที่ไม่เพียง มีดีไซน์เฉพาะ อย่างลวดลายเตาปิ้งขนมปัง ก็มีคาแร็กเตอร์บาร์บีกอนอยู่บนขนมปังด้วย และสุดท้ายความมั่นใจเรื่องรับประกัน ส่วนเรื่องแบรนด์มาทีหลัง โดยคนรุ่นนี้จะเน้นซื้อทางออนไลน์มากกว่าอีกด้วย

    4 ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวกับบาร์บีกอนนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่คนนิยมซื้อช่วงปีใหม่ จะวางขายที่ร้านบาร์บีกอน 19 สาขาใน กทม. นอกจากนี้ยังมีช่องทางจำหน่ายที่เป็นพันธมิตรกับแอนิเทค คือ บานาน่าไอที บิ๊กซี และเพาเวอร์บาย รวมถึงช่องทางอีคอมเมิร์ช 11Street และเฟซบุ๊กของบาร์บีกอน  

    ปีนี้เปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวรวม 10 ผลิตภัณฑ์ และปีหน้าจะมีอีกจำนวนมาก โดยขยายทั้งในตลาดประเทศไทย และกลุ่มเออีซี ตั้งเป้าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ1 ล้านชิ้น   

    พิชเยนทร์มองว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท เฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนมีมูลค่าถึง 60,000 ล้านบาท และครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่.

    ]]> 1147373