เบียร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 16 Nov 2023 11:53:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Cheers x Yuzu House คอลแลป “เบียร์” รสผลไม้-แอลกอฮอล์ต่ำ สร้างตัวเลือกใหม่ให้คนไม่ดื่มหนัก https://positioningmag.com/1451955 Wed, 15 Nov 2023 12:33:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451955
  • Cheers Selection (เชียร์ ซีเล็คชั่น) เบียร์สัญชาติไทยในมือ “ทีเอพี” คอลแลปกับ “Yuzu House” เปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ “เบียร์มิกซ์” Cheers Selection Japanese Yuzu
  • สร้างตัวเลือกใหม่ในตลาดเบียร์ลาเกอร์ นำเสนอเบียร์แอลกอฮอล์ต่ำ 3% ตอบสนองเทรนด์คนรุ่นใหม่ไม่ชอบดื่มหนัก
  • เปิดขายเพียง 4 เดือนและขายในวงจำกัด เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล (seasonal product) เน้นกระตุ้นความต้องการซื้อระยะสั้น วางเป้าผลิต 6-7 แสนกระป๋อง
  • “ภัททภาณี เอกะหิตานนท์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ทีเอพี เทรดดิ้ง จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท “Cheers Selection Japanese Yuzu” เป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่ 4 ในพอร์ตโฟลิโอ และเป็นสินค้าที่คอลแลปกับแบรนด์ไทย “Yuzu House by Honey Moni”  ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากส้มยูซุของญี่ปุ่นเป็นรายแรกในไทย

    สินค้าจะออกในแพ็กเกจจิ้งสลิมแคนขนาด 320 มิลลิลิตร ราคาประมาณ 44 บาทต่อกระป๋อง

    Cheers เบียร์

    ก่อนหน้านี้ Cheers Selection มีผลิตภัณฑ์ 3 รายการหลักในพอร์ต คือ วีตเบียร์ Cheers Selection Siam Weizen, เบียร์ดำ Cheers Selection Riceberry และ เบียร์มิกซ์เสาวรส Cheers Selection Siam Weizen Passion Fruit

    ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ Cheers Selection Japanese Yuzu เป็นการสานต่อตลาดกลุ่ม “เบียร์มิกซ์” ที่ทีเอพีเป็น “เจ้าแรก” ที่เปิดตลาด โดยเลือกรสส้มยูซุเพื่อสร้างความแปลกใหม่ และเป็นผลไม้ที่คนไทยคุ้นเคยจากเครื่องดื่มประเภทอื่นอยู่แล้ว

    คนรุ่นใหม่ไม่ชอบ “ดื่มหนัก”

    ภัททภาณีเปิดอินไซต์ผู้บริโภคยุคนี้ที่มีต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่วัย 20-35 ปี มักจะต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ ไม่ขม ปริมาณดื่มไม่มาก เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้นิยม “ดื่มหนัก” เหมือนคนรุ่นก่อน ชอบที่จะมีเครื่องดื่มเบา ๆ ไว้เข้าสังคม หรือเป็นเครื่องดื่มสร้างความสดชื่นในบางวันเท่านั้น

    หากมองเฉพาะกลุ่ม “เบียร์” ในตลาดที่ส่วนใหญ่เป็นเบียร์ประเภท “ลาเกอร์” ที่มีความขมและแอลกอฮอล์สูง 5% ขึ้นไป ผู้บริโภคจึงเริ่มต้องการตัวเลือกใหม่ที่ตรงใจมากกว่า

    สะท้อนได้จากผลิตภัณฑ์ของ Cheers Selection เอง สินค้าวีตเบียร์และเบียร์ดำที่เป็นสินค้าหลัก ทำยอดขายได้รายการละ 5 แสนกระป๋องต่อปี (*ไม่รวมเบียร์สดที่ขายผ่านช่องทาง On Premise) ขณะที่เบียร์มิกซ์เสาวรส ที่เป็นสินค้าน้องใหม่ ทำยอดขายได้ 1.4 ล้านกระป๋องภายในเวลา 1 ปีกว่า

    จึงไม่แปลกที่ทีเอพีจะต่อยอดสินค้าในตระกูลเบียร์มิกซ์ต่อ แข่งขันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น เช่น วิสกี้มิกซ์ โซจูมิกซ์ ที่มีการออกสินค้ารสชาติผลไม้-แอลกอฮอล์ต่ำมาจับตลาดลูกค้ากลุ่มนี้เช่นกัน

    ออกสินค้า “ตามฤดูกาล” เน้นปั้นยอดระยะสั้น

    เบียร์ Cheers Selection Japanese Yuzu จะออกจำหน่ายในระยะเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 – เดือนกุมภาพันธ์ 2567

    ช่องทางจำหน่ายยังขายในพื้นที่จำกัดด้วย โดยจะขายผ่าน “Yuzu House” 3 สาขา คือ ไอคอนสยาม, สุทธิสาร และ ดองกิ มอลล์ ทองหล่อ และวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต “ดอง ดอง ดองกิ” ทุกสาขาทั้ง 8 สาขา (*รวมสาขาที่กำลังจะเปิดใหม่ที่ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ)

    Cheers เบียร์ภัททภาณีระบุว่าที่ขายในระยะเวลาจำกัด เพราะเป็นสินค้าตามฤดูกาล (seasonal product) ที่ต้องการสร้างความตื่นเต้น ให้ผู้บริโภครีบซื้อเพื่อลองชิม อาศัยความรู้สึกแปลกใหม่ในการขาย โดยใน 4 เดือนนี้ทีเอพีตั้งเป้าผลิตจำหน่ายไว้ 6-7 แสนกระป๋อง

    “กลยุทธ์ seasonal product ของเรา เรามองว่าจะวางขายในกรอบ 3-6 เดือน ระยะเวลาต้องไม่ยาวไปเพราะต้องให้ความรู้สึกว่ามีจำกัด แต่ก็ต้องมีเวลาวางจำหน่ายพอสมควรเพื่อทำการตลาดให้ไปถึงลูกค้าก่อน” ภัททภาณีกล่าว “ส่วนใน 1 ปีเราจะออกกี่ตัวต้องรอติดตาม แต่ช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 เราจะมีตัวใหม่อีกแน่นอน”

    อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นสินค้าตามฤดูกาล แต่ถ้ายอดขายดีมาก ก็อาจจะมีการผลิตจำหน่ายต่อได้เช่นกัน เหมือนกับเบียร์มิกซ์เสาวรสที่ขยายเวลาจำหน่ายมาเกิน 1 ปีแล้ว

    สำหรับตลาดเบียร์ปี 2566 ภัททภาณีให้ข้อมูลว่า ช่วง 9 เดือนแรกมีการเติบโต 6.6% แต่คาดว่าไตรมาส 4 นี้การเติบโตจะไม่สูงมากเพราะไตรมาส 4 ปี 2565 เป็นปีที่กลุ่มเบียร์โตพุ่งไปแล้วจากการเปิดเมือง ทำให้ตลอดปี 2566 เชื่อว่าตลาดเบียร์จะโตประมาณ 5% จากปีก่อน

    ]]>
    1451955
    ผู้บริหารฝ่ายการตลาดถูกพักงาน เซ่นวิกฤตเบียร์ “Bud Light” เลือก “สาวทรานส์” ช่วยโฆษณา https://positioningmag.com/1428318 Mon, 24 Apr 2023 08:26:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428318 เบียร์ยี่ห้อ “Bud Light” เผชิญวิกฤตหลังจากเลือก “สาวทรานส์” ชื่อดังมาโฆษณา ลุกลามจนเป็นกระแสบอยคอตในหมู่ผู้บริโภคกลุ่มอนุรักษ์นิยม ล่าสุดผู้บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์นี้ถูกบริษัทสั่งพักงานแล้ว

    Anheuser-Busch Inbev บริษัทเจ้าของเบียร์ยี่ห้อ Bud Light ประกาศการพักงานผู้บริหารระดับสูง “อลิสซา ไฮเนอร์ไชด์” รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดของเบียร์ Bud Light และจะส่ง “ท็อดด์ อัลเลน” รองประธานบริหารที่ดูแลเบียร์ Budweiser ทั่วโลกมาดูแลแทนชั่วคราว

    ตามรายงานข่าวของ Insider บริษัท Anheuser-Busch กำลังเข้าจัดระเบียบลำดับการทำงานในทีมงานด้านการตลาดให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารอาวุโสของทีมลงมาดูแลกิจกรรมของแบรนด์อย่างใกล้ชิด

    “ขั้นตอนเหล่านี้จะทำให้เรายังคงมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นคือการกลั่นเบียร์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้บริโภคทุกคน ขณะที่ยังคงสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับชุมชนของเราและประเทศ” โฆษกของบริษัทแจ้ง

     

    จุดเริ่มต้นกระแสบอยคอต

    การพักงานผู้บริหารระดับสูงของ Bud Light เกิดขึ้น 1 เดือนหลังจากที่เบียร์ Bud Light เลือกทำแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ “ดีแลน มัลเวนีย์” ซึ่งเธอเป็น “ทรานส์เจนเดอร์” บุคคลข้ามเพศจากชายเป็นหญิง และทำคอนเทนต์เล่าเรื่องราวเส้นทางการเป็นทรานส์เจนเดอร์ของตนเอง

    ทรานส์เจนเดอร์ Bud Light
    วิดีโอประกาศการทำแคมเปญร่วมกัน กลุ่มอนุรักษ์นิยมเริ่มออกมาต่อต้านทันทีหลังวิดีโอชิ้นนี้เผยแพร่ (Photo: IG@dylanmulvaney)

    แคมเปญใหญ่ที่ทำร่วมกันเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยมัลเวนีย์โพสต์ใน Instagram ของเธอว่า Bud Light กำลังจะออกกระป๋องเบียร์รุ่นพิเศษเป็นลายใบหน้าของมัลเวนีย์ เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีที่มัลเวนีย์เปิดเผยตัวว่าเธอเป็นผู้หญิง

    ปรากฏว่าวิดีโอแคมเปญนี้จุดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านทรานส์เจนเดอร์ออกมาสร้างกระแสให้ร่วมกันบอยคอตเบียร์ Bud Light การบอยคอตเหล่านี้มีกลุ่มเซเลปคนดังหลายคนช่วยเป็นกระบอกเสียง เช่น Kid Rock ซึ่งเป็นศิลปินดังในสหรัฐฯ มีการอัดคลิปตนเองยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ทิ้ง

    จากนั้นกระแสก็เริ่มลุกลามไปในหมู่คนทั่วไป หลายคนอัดคลิปตนเองทำลายเบียร์ Bud Light ด้วยวิธีที่แสดงความเกลียดชังต่างๆ ทั้งโยนทิ้งขยะ ขับรถทับกระป๋อง ใช้รถแทรกเตอร์บดขยี้ ฯลฯ

    คลิปยิงกระป๋องเบียร์ Bud Light ของ Kid Rock (Photo: IG@kidrock)

    แรกเริ่มเดิมทีที่มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้น Bud Light เลือกที่จะยืนข้างมัลเวนีย์ โดยบอกว่า “แบรนด์มีการทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์หลายร้อยคน เป็นหนึ่งในหลายเส้นทางที่แบรนด์จะได้เชื่อมสัมพันธ์กับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะแบ่งตามเพศ/อายุ หรือแบ่งตามความสนใจ”

    มัลเวนีย์เองก็ออกมาตอบโต้ด้วยเช่นกันว่าเธอกำลัง “ตกเป็นเป้า” ของการวิจารณ์

    “เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นเรื่องเชิงบวกทั้งนั้น” เธอกล่าว “เป็นความพยายามที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เข้าใจฉัน เป็นคอนเทนต์เพื่อให้คนได้หัวเราะกัน หรือทำให้เด็กสักคนรู้สึกมีตัวตนในโลกนี้”

     

    กลุ่มต่อต้านทรานส์ทวีความแรงในสหรัฐฯ

    Anheuser-Busch Inbev หรือ AB Inbev เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากเบลเยียมที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายไปทั่วโลก เบียร์ที่เป็นที่รู้จักในไทย เช่น Budweiser, Corona Extra, Hoegaarden, Stella Artois เป็นต้น และปกติแคมเปญการตลาดของ AB Inbev มักจะเป็นที่สนใจ

    ทั้งนี้ สำนักข่าว Insider วิเคราะห์ว่า การบอยคอต Bud Light ที่ทำแคมเปญกับทรานส์เจนเดอร์นั้น เชื่อมโยงได้กับความรู้สึกมุ่งร้ายรุนแรงในฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวอเมริกันที่มีต่อบุคคลข้ามเพศ

    กฎหมายต่อต้านทรานส์เจนเดอร์เริ่มมีการบังคับใช้ในหลายรัฐทั่วประเทศในปีนี้ เช่น รัฐโอคลาโฮมา ออกกฎหมายแบนไม่ให้บริษัทประกันครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการแปลงเพศ รัฐเซาธ์แคโรไลน่า ออกกฎหมายแบนไม่ให้มีการรักษาทางการแพทย์เพื่อปรับเพศสภาพในกลุ่มเยาวชน รวมถึงรัฐฟลอริด้า เริ่มควบคุมเวที ‘แดรกควีน’ ไม่ให้เยาวชนเข้าชม

    ยังไม่มีการรายงานว่ากระแสต่อต้านเหล่านี้ทำให้ Bud Light เสียรายได้หรือความนิยมไปมากน้อยแค่ไหน แต่การพักงานผู้บริหารระดับสูงก็นับได้ว่าเป็นสัญญาณว่า แบรนด์อาจจะต้องการจะห้ามเลือดไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้

    Source

    ]]>
    1428318
    ‘ช้าง’ ทุ่มพันล้านเร่งปูพรม “ช้าง โคลด์ บรูว์” จับกระแสคนรุ่นใหม่สายชิล พร้อมบุกตลาดแมสพรีเมียม! https://positioningmag.com/1421069 Mon, 27 Feb 2023 16:48:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421069 หลังจากที่การระบาดของ COVID-19 หายไปตลาด ‘เบียร์’ 260,000 ล้านบาท ก็เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง และผู้เล่นรายสำคัญของไทยอย่าง กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ หรือ กลุ่มเบียร์ช้าง ที่เคลมตัวเองว่าเป็น Godfather ของงาน Music Festival ที่เห็นเทรนด์แรงอย่าง สายนั่งชิล ก็ขอดัน ช้าง โคลด์ บรูว์ มัดใจคนรุ่นใหม่สายนั่งชิลเพื่อไม่ให้ตกขบวน

    นักดื่มสายชิลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ตลาดเบียร์ ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 200,000 ล้านบาท หากนับเฉพาะตลาด แมสพรีเมียม จะมีมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือราว 25% และอีก 2% เป็น พรีเมียม โดยในปีที่ผ่านมา ตลาดแมสพรีเมียมมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10% โดยปัจจัยที่ดันให้ตลาดแมสพรีเมียมเติบโตก็คือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย จากสายปาร์ตี้หนัก ๆ (Hight Energy) กลับ ดื่มแบบชิล ๆ มากขึ้น (Low Energy)

    “ช้าง ในฐานะของ Godfather งาน Music Festival เราเห็นเทรนด์ของคอนเสิร์ตกลางแจ้งมากขึ้น เน้นแบบสบาย ๆ ผู้บริโภคเองก็เลือกจะกินดื่มกับเพื่อนสบาย ๆ มากกว่าไปปาร์ตี้ ทุกอย่างมันชี้ไปที่เทรนด์นั่งชิล ซึ่งเรามั่นใจว่ากระแสนี้จะเป็นกระแสระยะยาว” เลสเตอร์ ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย บริษัท ช้างอินเตอร์​เนชั่นแนล จำกัด ในเครือไทยเบฟ กล่าว

    ปูพรมช้างโคลด์ บรูว์

    ย้อนไปปี 2562 บริษัทได้เปิดตัว ช้าง โคลด์ บรูว์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของผลิตภัณฑ์ช้าง โดยวางตัวไว้จับตลาดแมสพรีเมียม โดยที่ผ่านมาบริษัทก็มีการใช้กลยุทธ์การตลาดอย่าง บรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดไม่ว่าจะเป็น กล่องยาวใส่เบียร์ได้ 25 กระป๋อง หรือ ถังเบียร์ 5 ลิตร จนเกิดเป็นกระแสไวรัล นำไปสู่การรับรู้และการลอง ขณะที่จากการสำรวจพบว่าลูกค้า 74% มีความต้องการที่จะกลับมาซื้อซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทได้จำกัดช่องทางการจำหน่าย ช้าง โคลด์ บรูว์ โดยจะมีจำหน่ายเพียงแค่ในกรุงเทพฯ และแถบภาคเหนือ อีกทั้งยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายเพียง On Trade และ Modern Trade เท่านั้น ดังนั้น ในปีนี้ บริษัทจะโฟกัสไปที่ การขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ผ่านช่องทางทั้ง On Trade, Modern Trade และ Traditional Trade โดยใช้งบ 1,000 ล้านบาท

    “กระแสดื่มแบบชิว ๆ เป็นกระแสแรงมาก ดังนั้น นี่เป็นจุดสำคัญที่จะผลักดันช้าง โคลด์ บรูว์ ซึ่งเราเชื่อว่าด้วยชื่อแบรนด์สินค้าที่แข็งแรง สินค้าที่มีนวัตกรรม ช่องทางจำหน่ายที่ทั่วถึง และกิจกรรมตลอดทั้งปี จะสร้างการเติบโตให้ได้ 2 เท่า เพิ่มสัดส่วนจากไม่ถึง 10% เป็น 15% ของพอร์ตเบียร์ช้าง”

    ช้าง โคลด์ บรูว์ ไม่มีทางแทนที่ ช้าง คลาสสิก

    แม้ว่ากระแสนั่งชิลในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ First Jobber จะมาแรง และด้วยราคาของช้าง โคลด์ บรูว์ ที่ต่างจากช้างคลาสสิคเพียง 5-10 บาทเท่านั้น แต่ เลสเตอร์ ตัน ก็มองว่าช้าง โคลด์ บรูว์ จะไม่มีทางไปแทนที่ ช้าง คลาสสิก ได้ เพราะจับกลุ่มคนละเซกเมนต์ชัดเจน โดยช้าง คลาสสิกจะเหมาะกับสายปาร์ตี้หนัก ๆ

    อย่างไรก็ตาม การที่มีสินค้า 2 ตัวในมาสเตอร์แบรนด์เดียวกัน ก็มีโจทย์ใหญ่โดยเฉพาะเรื่อง ความสับสน โดยต้อง สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน ของสินค้าทั้งคู่ ซึ่งปัจจุบันตัวแพ็กเกจจิ้งของ ช้าง โคลด์ บรูว์ จะมีสีทองที่ฉลากและฝา เพื่อให้ลูกค้าแยกได้ชัดเจน

    ตลาดเบียร์ปีนี้โตแน่

    สำหรับตลาดเบียร์ไทยในปี 2566 ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเติบโต เพราะตลาดเปิด มีนักท่องเที่ยว และจะเห็นว่าผู้บริโภคออกจากบ้านไปกินดื่มมากขึ้น ร้านค้าที่เคยปิดไปในช่วงโควิดก็กลับมาเปิดมากกว่าเดิม และช่วงสงกรานต์เชื่อว่าจะยิ่งเห็นการเติบโต

    “เราเห็นว่าตลาดเบียร์เติบโตขึ้นทุกเดือน และเราเชื่อว่าสงกรานต์จะยิ่งสร้างการเติบโตให้ได้มากขึ้น”

    ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Euromonitor ระบุว่า ตลาดเบียร์ไทยในปัจจุบันมี บจก.บุญรอดบริวเวอรี่ เป็นเบอร์ 1 ของตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 57.9% ตามด้วย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ 34.3% และ บจก.ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ 4.7%

    จะเห็นว่าหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ตลาดเบียร์ก็คึกคักมาก อย่างช้างก็เร่งเครื่องเต็มสูบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว ช้าง อันพาสเจอไรซ์ เบียร์ในเซ็กเมนต์พรีเมียม จนล่าสุดก็คือหยิบช้าง โคลด์ บรูว์ปูพรมขายทั่วประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือช่วง Q4/66 นี้ ที่ตลาดจะได้เจอกับ น้องใหม่จากค่ายคาราบาวแดง ซึ่งเลสเตอร์ ตัน ก็แง้มว่า ช้างเองก็มีแผน ออกบรรจุภัณฑ์ใหม่ ในช่วงนั้นพอดี เรียกได้ว่า เตรียมรับน้องเลยทีเดียว!

    ]]>
    1421069
    “ไฮเนเก้น ซิลเวอร์” ออกสูตรใหม่ในรอบ 27 ปี จับกลุ่มคนวัย 20-30 ปี https://positioningmag.com/1394748 Tue, 02 Aug 2022 10:18:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1394748
  • “ทีเอพี” ผู้จัดจำหน่ายไฮเนเก้นในไทย เปิดตัวเบียร์สูตรใหม่ “ไฮเนเก้น ซิลเวอร์” ปริมาณแอลกอฮอล์ 4% ต่ำกว่าเบียร์สูตรดั้งเดิม
  • การออกเบียร์สูตรใหม่นี้ มาจากการวิจัยพบว่า คนรุ่นใหม่ ‘Zennials’ วัย 20-30 ปีในหลายประเทศทั่วโลก ชื่นชอบเบียร์ที่รสชาติ ‘ขมน้อยลง’ ทำให้ไฮเนเก้นพัฒนาสูตรเบียร์ซิลเวอร์ เริ่มเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2562 ที่เวียดนาม
  • ปีนี้ไฮเนเก้นจะเร่งโปรโมตไฮเนเก้น ซิลเวอร์ ทุ่มงบการตลาด 2 เท่า โดยใช้เครื่องมือ Music Marketing ร่วมกับ “ฟังใจ” จัดเทศกาลดนตรี “มหรสพ” อัดแน่น 4 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้
  • “อีลิน โลห์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และ “ธีรภัทร พงศ์เมธี” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย “ไฮเนเก้น ซิลเวอร์” ถือเป็นการออกผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สูตรใหม่ครั้งแรกในรอบ 27 ปีของไฮเนเก้น

    ความแตกต่างของไฮเนเก้น ซิลเวอร์กับเบียร์ไฮเนเก้น ออริจินอล คือ ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ต่ำลงจากเดิม 5% ลดลงเหลือ 4% และมีการปรับแพ็กเกจจิ้งเปลี่ยนพื้นหลังเป็นสีเงินแทน

    ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 22 ของโลกที่ได้วางจำหน่ายไฮเนเก้น ซิลเวอร์ หลังจากวางขายครั้งแรกเมื่อปี 2562 ที่เวียดนาม เฉพาะในเอเชียแปซิฟิก ขณะนี้ไฮเนเก้น ซิลเวอร์มีขายแล้วในเวียดนาม จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และไทย

    ไฮเนเก้น ซิลเวอร์
    ทีมผู้บริหารกลุ่มบริษัท ทีเอพี

     

    วิจัยพบคนรุ่นใหม่หลายประเทศชอบเบียร์ที่ ‘ขมน้อยลง’

    ธีรภัทรกล่าวย้อนถึงที่มาที่ไปในการพัฒนาเบียร์สูตรใหม่ของบริษัทแม่ คือ การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกและพบว่าคนวัย 20-30 ปีในหลายประเทศชอบรสชาติเบียร์ที่ ‘ขมน้อยลง’ กว่าที่คนรุ่นก่อนๆ ชื่นชอบ

    กลุ่มประเทศที่อยู่ในเทรนด์นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ ส่วนประเทศกลุ่มยุโรป (ยกเว้นสหราชอาณาจักร) ยังชื่นชอบเบียร์รสขมแบบดั้งเดิม

    ในไทยเอง ทีเอพีก็มีการทำงานวิจัย และพบว่าเบียร์ในท้องตลาดไทยก็ค่อยๆ ปรับสูตรให้ขมน้อยลงมาเรื่อยๆ ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ไฮเนเก้นไม่ต้องการเปลี่ยนสูตรของเบียร์แบบดั้งเดิม จึงมีการออกเป็นผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ดังกล่าว และจะเน้นการทำตลาดกับกลุ่มคนวัย ‘Zennials’ คือเจนซีและเจนวายบางส่วน ในวัย 20-30 ปี รวมถึงเน้นสัดส่วนผู้ชายและผู้หญิงเท่าๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากโปรไฟล์ผู้บริโภคเบียร์ไฮเนเก้น ออริจินอลซึ่งมักจะเป็นคนวัย 35-55 ปี และเป็นผู้ชาย 70% ผู้หญิง 30%

    ไฮเนเก้น ซิลเวอร์ เริ่มวางตลาดแล้วโดยมีทั้งช่องทางขาย on premise และ off premise มีผลิตภัณฑ์ 3 SKUs ได้แก่ แบบกระป๋อง 490ml, แบบขวด 320ml และแบบขวด 620ml ด้านราคาจะปรับสูงกว่าไฮเนเก้น ออริจินอลเล็กน้อย

     

    ร่วมงาน “ฟังใจ” เปลี่ยนตามรสนิยมดนตรีกลุ่ม Zennials

    ด้านการทำตลาดไฮเนเก้น ซิลเวอร์ปีนี้ ทีเอพีจะทุ่มงบการตลาดเพิ่มเป็น 2 เท่า และยังใช้จุดขายด้าน Music Marketing เช่นเดิม แต่จะมีการเปลี่ยนแนวทางเทศกาลดนตรีให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย

    แต่เดิมนั้นไฮเนเก้นจะเน้นเทศกาลดนตรีในกลุ่ม ‘high energy’ เช่น EDM แต่เมื่อกลุ่ม Zennials ชื่นชอบดนตรีที่แตกต่าง ทำให้แบรนด์จับมือกับ “ฟังใจ” (Fungjai) จัดเทศกาลดนตรี “มหรสพ มิวสิค เฟสติวัล” ที่ไลน์อัปศิลปินจะเน้นแนวที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ เช่น Pop, Indy-Pop, HipHop, Alternative ทั้งจากในไทยและต่างประเทศ

    โดยจะมีการจัดอีเวนต์รวม 4 งานภายใต้เทศกาลมหรสพนี้ เริ่มงานแรก 20 สิงหาคม 2565 และไปจบที่งานใหญ่สุดท้ายวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2565 (ปัจจุบันงานทั้งหมดยังไม่เปิดเผยสถานที่และไลน์อัปศิลปิน)

    สำหรับสถานการณ์ตลาดเบียร์ไฮเนเก้นครึ่งปีแรกปี 2565 ธีรภัทรระบุว่าโตดับเบิลดิจิตเทียบกับครึ่งปีแรก 2564 เนื่องจากการผ่อนคลายให้เปิดร้านอาหาร ผับ บาร์ ทำให้ช่องทาง on premise ของบริษัทกลับมาทำยอดขายได้ แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นราคาแต่ตลาดของไฮเนเก้นซึ่งอยู่ในกลุ่มเบียร์พรีเมียมนั้นได้รับผลกระทบน้อยกว่า ส่วนเป้าหมายของไฮเนเก้นในกลุ่มตลาดเอเชียแปซิฟิกตลอดปี 2565 ต้องการเติบโตมากกว่า 10% เทียบกับปีก่อน

    ]]>
    1394748
    Carlsberg เมืองจีน ยอดขาย “เบียร์” โตสวนกระแส กำไรพุ่ง 21% จากการเปิด “เดลิเวอรี่” https://positioningmag.com/1339194 Sun, 27 Jun 2021 09:37:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339194 Carlsberg รายงานยอดขายเบียร์ในประเทศจีนโต 3% คิดจากปริมาณ และกำไรเติบโต 21% สวนกระแสตลาดเบียร์ปี 2020 ที่ตกลงทั้งหมดเนื่องจาก COVID-19 ลดการสังสรรค์นอกบ้าน ทั้งนี้ เบียร์ Carlsberg เป็นหนึ่งในเบียร์นอกเพียง 2 บริษัทที่สามารถขึ้นสู่ Top 5 ของตลาดจีนได้

    สำนักข่าว South China Morning Post รายงานข้อมูลจากบริษัท Carlsberg China พบว่า ยอดขายเบียร์ปี 2020 เติบโตขึ้น 3% วัดจากปริมาณการขาย และทำกำไรจากการดำเนินการสูงขึ้น 21% สวนทางกับตลาดรวมของเบียร์แดนมังกรปีก่อนที่ตกลงเนื่องจาก COVID-19 ลดการรวมตัวสังสรรค์ของคน โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรก

    เหตุที่ Carlsberg ยังโตสวนตลาดได้ เป็นเพราะกลยุทธ์จับมือใกล้ชิดกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ เช่น Meituan และ Ele.me โดยกลยุทธ์การส่งเบียร์เดลิเวอรี่นี้ “Lee Chee Kong” ประธาน Carlsberg China ระบุว่า จะยังเป็นกลยุทธ์หลักในยุค “ดิจิทัล” แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายไปแล้วก็ตาม

    “เรามองเห็นการทำให้เป็นดิจิทัลเป็นกลยุทธ์หลักที่เราให้ความสำคัญ หลังยุค COVID-19 เราจะเพิ่มการลงทุนในการสร้างความหลากหลายของช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะอี-คอมเมิร์ซ” ประธาน Lee กล่าว

    โฆษณาเบียร์ Carlsberg ช่วงปีใหม่ 2020 (Photo : Branding in Asia)

    จีนเป็นตลาดเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย สมาคมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจีน เปิดเผยว่า เมื่อปี 2019 จีนบริโภคเบียร์ 38 ล้านกิโลลิตร มากที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่า 1.58 แสนล้านหยวนต่อปี (ประมาณ 7.79 แสนล้านบาท) ประเทศจีนเองยังเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของเบียร์เช่นกัน โดยผลิตเบียร์ปีละ 37.7 ล้านกิโลลิตร คิดเป็น 1 ใน 5 ของการผลิตเบียร์ทั้งโลก

    อย่างไรก็ตาม หากคิดเป็นอัตราการบริโภคต่อประชากร 1 คน ยังถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก โดยคนจีนบริโภคเบียร์เฉลี่ยคนละ 27.1 ลิตรต่อปี ขณะที่หลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐฯ เม็กซิโก บราซิล บริโภคเบียร์เฉลี่ยมากกว่า 60 ลิตรต่อคนต่อปี (ข้อมูลจาก GlobalData)

    สำหรับ Carlsberg China ถือเป็นแหล่งรายได้หลักที่ใหญ่ที่สุดในตลาดต่างประเทศของบริษัทสัญชาติเดนมาร์กแห่งนี้ บริษัทเข้ามาก่อตั้งโรงเบียร์แห่งแรกในจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ปี 1995 และปัจจุบันเป็นหนึ่งในสองบริษัท ‘เบียร์นอก’ ที่สามารถยืนหยัดใน Top 5 บริษัทเบียร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในแดนมังกรสำเร็จ

    โรงเบียร์แห่งแรกของ Carlsberg China อยู่ในฮุ่ยโจว มณฑลกวางตุ้ง (ก่อนหน้านั้นมีการตั้งโรงเบียร์ที่ฮ่องกงเมื่อปี 1981 แต่ยุบสายผลิตมารวมที่ฮุ่ยโจวเมื่อปี 1999) หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี 2000 บริษัทเริ่มรุกการตั้งโรงเบียร์ในเขตตะวันตกของจีนมากขึ้น ผ่านการควบรวมกิจการโรงเบียร์ต่างๆ

    Top 5 บริษัทเบียร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงที่สุด ข้อมูลจาก marketingtochina.com ปี 2017 ได้แก่

    1) China Resources 26% (เบียร์ที่ขายดีที่สุดคือยี่ห้อ ‘Snow’)
    2) Tsingtao Brewery 17% (เบียร์ Tsingtao)
    3) AB InBev 16% (เบียร์หลายยี่ห้อ เช่น Budweiser, Stella Artois, Corona Extra)
    4) Beijing Yanjing Brewery 10% (เบียร์ Yanjing)
    5) Carlsberg 5% (เบียร์ Carlsberg)

    Source

    ]]>
    1339194
    กรมควบคุมโรค-กรมสรรพสามิต ลงพื้นที่ตรวจสอบ “เบียร์สดกระป๋อง” ฟันผิด 2 กระทง https://positioningmag.com/1277668 Sat, 09 May 2020 10:14:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277668 กรมควบคุมโรค ร่วมกับกรมสรรพสามิต พบเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลทางโซเชียลมีเดียถึงประเด็นการจำหน่ายเบียร์สดบรรจุใส่บรรจุภัณฑ์แบบใส พร้อมติดฉลากยี่ห้อเบียร์ต่างๆ จำหน่ายผ่านทางออนไลน์ พร้อมการจัดส่งแบบเดลิเวอรี่

    ฟันธงแล้ว เบียร์สดกระป๋องผิด 2 กระทง

    หลังจากที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ ถึง “เบียร์สดกระป๋อง” ที่เอเยนต์รายใหญ่ที่จำหน่ายเบียร์สดได้หัวใส นำมาเอาเบียร์สดในสต็อกมาบรรจุใหม่ใส่แพ็คเกจจิ้งกระป๋องใส จนมีหลายกระแสได้ออกมาบอกว่าไม่สามารถทำได้ เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังทำให้เบียร์ไม่ได้คุณภาพ ไม่ถูกสุขอนามัยในการบรรจุอีกด้วย

    ล่าสุดกรมควบคุมโรค และกรมสรรพสามิตได้ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง พร้อมกับฟันความผิด 2 กระทงด้วยกัน

    นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค มอบหมายให้นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนจากกรณีดังกล่าว และลงพื้นที่ร่วมกับกรมสรรพสามิต ตรวจสอบสถานที่บรรจุย่านลาดพร้าว

    พบการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    นอกจากนี้ยังพบความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 157 ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงภาชนะบรรจุสุราเพื่อการค้า มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด

    ตามที่ได้มีกระแสโพสต์เชิญชวนดื่มเหล้าที่บ้าน พร้อมโชว์รูปผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกิจกรรมดังกล่าว มีการแสดงภาพผลิตภัณฑ์เบียร์ และจัดโปรโมชั่นในช่วงที่ประเทศไทยมีวิกฤตโรค COVID-19 เชิญชวนให้ประชาชนซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์

    ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 เช่นกัน โดยทาง สคอ. ได้รับเรื่องร้องเรียนและกำลังดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

    นายแพทย์นิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมควบคุมโรค โดย สคอ. ได้มีการเฝ้าระวังการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก และมักจะพบว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลายประการด้วยกัน เช่น การโฆษณา การลดราคา การแจกแถม ให้สินค้าอื่น เป็นต้น

    อีกทั้งการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางดังกล่าว ไม่สามารถควบคุมอายุของผู้ซื้อได้ จึงอยากเน้นย้ำให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานที่เป็นเยาวชนให้ทั่วถึง และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

    ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการแจ้งเรื่องร้องเรียนการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ http://TAS.go.th หรือค้นหาคำว่า “ระบบแจ้งร้องเรียนการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ” และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทร. 02 590 3342 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

    ]]>
    1277668
    COVID-19 กระทบผู้บริโภคไทย “เบียร์-ยานยนต์” หนักสุด แม้โรคหยุดระบาดยังไม่กล้าเดินห้างฯ https://positioningmag.com/1273606 Wed, 15 Apr 2020 16:39:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1273606
  • วันเดอร์แมน ธอมสัน ร่วมกับ แดทเทล สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยช่วงวันที่ 24-26 มีนาคม 2563 พบคนไทย 86% กังวลกับภาวะเศรษฐกิจ 
  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีความต้องการซื้อค่อนข้างปกติ แต่มีกลุ่มที่ผู้บริโภคต้องการซื้อสูงขึ้นคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ ยาสามัญประจำบ้าน ส่วนกลุ่มที่ต้องการซื้อลดลงมากคือ เบียร์ เครื่องสำอาง และอาหารเสริม
  • ด้านกลุ่มสินค้าลงทุนสูง ต้องใช้เวลาตัดสินใจ เช่น ยานยนต์ อสังหาฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า กระทบหนัก ผู้บริโภคส่วนใหญ่หยุดซื้อหรือชะลอตัดสินใจไปก่อน ยกเว้นกลุ่มการลงทุนและประกันชีวิตที่ยังมีความต้องการสม่ำเสมอ
  • ถามถึงอนาคตหลังควบคุมการระบาดได้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังลังเลที่จะไปศูนย์การค้าและสถานบริการต่างๆ
  • วันเดอร์แมน ธอมสัน และ แดทเทล เก็บผลสำรวจจากคนไทย 1,243 คน ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2563 สอบถามพฤติกรรมการซื้อสินค้าในช่วงการระบาดของไวรัส COVID-19 และแนวโน้มการซื้อสินค้าถ้าหากการระบาดถูกควบคุมได้แล้ว เพื่อเป็นแนวทางให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์การตลาดกันต่อไป 

    ทั้งนี้ ลักษณะของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 81% เป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน 85% เป็นผู้มีอายุระหว่าง 21-50 ปี และ 54% เป็นการเก็บผลสำรวจในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่วนที่เหลือสำรวจในเชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา 

     

    คนไทยกังวลเรื่องเศรษฐกิจสูงมาก 

    มาดูเรื่องความมั่นใจของผู้บริโภคก่อน การสำรวจครั้งนี้พบว่าคนไทยเป็นผู้บริโภคที่มีความกังวลสูงที่สุดในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกที่สำรวจ 5 ประเทศ คือ ไทย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย

    โดยคนไทย 46% กังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอย่างยาวนาน 40% คาดว่าเศรษฐกิจจะเป็นขาลงแต่จะกลับมาดีขึ้นช้าๆ และมีเพียง 14% ที่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นทันทีที่โรคระบาดหมดไป ดังนั้น ความมั่นใจที่ลดลงของผู้บริโภคจะสะท้อนออกมาในพฤติกรรมการใช้จ่าย 

     

    สินค้า FMCG กระทบไม่มาก ยกเว้นเบียร์-เครื่องสำอาง-อาหารเสริม 

    เมื่อแยกตามประเภทสินค้าที่ซื้อ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (low-involvement) โดยรวมมีผลกระทบไม่มากนัก แต่หากแยกผลสำรวจตามกลุ่มผู้ซื้อจะพบว่า กลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือนจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากกว่า ขณะที่ผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่ยังคงซื้อสินค้าตามปกติ

    ขณะที่ถ้าหากแยกตามหมวดสินค้า พบว่า หมวดสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนใหญ่ยังมีปริมาณการซื้อตามปกติ โดย “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เป็นสินค้าที่ได้อานิสงส์เชิงบวก กลุ่มผู้บริโภค 52% ตอบว่าสนใจซื้อมากขึ้นในช่วงนี้ ขณะที่ “เบียร์” 23% ของผู้บริโภคหยุดซื้อโดยสิ้นเชิง และ 1% มีการซื้อน้อยลง ส่วนสินค้าอื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์นม, เบเกอรี่, ขนม, น้ำผลไม้, น้ำอัดลม ส่วนใหญ่ยังมีการซื้อตามปกติ แต่มีผู้บริโภค 5-12% ที่จะหยุดซื้อโดยสิ้นเชิง และ 16-25% ที่จะซื้อน้อยลง 

    หมวดสุขภาพและความงาม กลุ่มที่ได้อานิสงส์เชิงบวกคือ “ยาสามัญประจำบ้าน” ที่มีความสนใจซื้อเพิ่ม 32% ขณะที่กลุ่ม “เครื่องสำอาง” ผู้บริโภค 12% จะหยุดซื้อสิ้นเชิง และ 16% จะซื้อน้อยลง ส่วน “อาหารเสริม/วิตามิน” ก็เช่นกัน คือผู้บริโภค 10% จะหยุดซื้อสิ้นเชิง และ 11% จะซื้อน้อยลง ส่วนกลุ่มสกินแคร์, บำรุงผม, ยาสีฟัน ยังมีการซื้อตามปกติ 

    หมวดของใช้ในบ้าน เป็นกลุ่มที่มีผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งทิชชู, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด/ซักผ้า, ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ยังมีการซื้อตามปกติและบางส่วนมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นด้วย 

     

    ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าลงทุนสูง “ยานยนต์” อ่วมสุด 

    สำหรับ กลุ่มสินค้าลงทุนสูงซึ่งต้องใช้เวลาตัดสินใจ (high-involvement) หากแบ่งตามกลุ่มรายได้ของผู้ซื้อพบว่า ก่อนหน้าการระบาดของ COVID-19 กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือนจะมีความต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้สูงกว่ากลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ระบาด กลุ่มผู้มีรายได้เกิน 40,000 บาทต่อเดือนจะมีความอ่อนไหวและตัดสินใจหยุดซื้อหรือชะลอการซื้อสูงกว่า

    โดยกลุ่มสินค้าลงทุนสูงที่ผู้มีรายได้เกิน 40,000 บาทต่อเดือนมีความต้องการซื้อลดลง ได้แก่ 

    • ยานยนต์ ความต้องการซื้อลดจาก 50% > 25% 
    • เครื่องใช้ไฟฟ้า ความต้องการซื้อลดจาก 63% > 44% 
    • อสังหาริมทรัพย์ ความต้องการซื้อลดจาก 38% > 19% 
    • สมาร์ทโฟน/แกดเจ็ต ความต้องการซื้อลดจาก 38% > 25% 
    • ท่องเที่ยว ความต้องการซื้อลดจาก 31% > 19% 

    มีเพียงกลุ่ม การลงทุนและประกันชีวิต ที่ 50% ของผู้บริโภคยังต้องการซื้อเช่นเดิม 

    แบบสอบถามยังถามต่อว่า หลังจากควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้แล้ว ผู้บริโภคจะกลับมาตัดสินใจซื้อสินค้าลงทุนสูงเหล่านี้เมื่อไหร่ ปรากฏว่าผู้บริโภคกว่าครึ่งหนึ่งจะยังชะลอการตัดสินใจซื้ออย่างไม่มีกำหนดในทุกกลุ่มสินค้า ยกเว้น “ยานยนต์” ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่จะกลับมาตัดสินใจซื้อภายใน 6-12 เดือน สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แม้จะได้รับผลกระทบสูงสุดในช่วงนี้ แต่หลังจากสถานการณ์ดีขึ้นจะเป็นกลุ่มสินค้าแรกๆ ที่กลับมาคึกคัก 

     

    หลังการระบาดยังลังเลที่จะเดินห้างฯ 

    มาถึงกลุ่มรีเทลและบริการต่างๆ กลุ่มที่กระทบน้อยที่สุดในขณะนี้คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต/ร้านสะดวกซื้อ และ สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีผู้บริโภคใช้บริการลดลงไม่มาก เพราะผู้บริโภคยังไมได้ทิ้งช่องทางออฟไลน์ไปเสียทีเดียว

    ส่วนความสนใจกลับไปใช้จ่ายในพื้นที่รีเทลและสถานบริการเหล่านี้หลังผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังลังเลที่จะกลับไปใช้บริการ โดยสัดส่วนผู้บริโภคที่ตอบว่าตนจะกลับไปใช้บริการเหมือนปกติหรือมากกว่าปกติมีดังนี้ 

    • 60% ซูเปอร์มาร์เก็ต/ร้านสะดวกซื้อ 
    • 58% ปั๊มน้ำมัน 
    • 41% ดรักสโตร์/ร้านเครื่องสำอาง 
    • 40% ศูนย์การค้า 
    • 30% ร้านอาหาร 
    • 29% สุขภาพและความงาม เช่น ยิม สปา คลินิกความงาม 
    • 27% ความบันเทิง เช่น โรงหนัง ผับบาร์ 

    สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคขณะนี้ยังไม่มั่นใจในการไปใช้จ่ายในพื้นที่รีเทลหรือสถานบริการ แม้ว่าวิกฤตโรคระบาดจะผ่อนคลายลง โดยเฉพาะร้านอาหาร ยิม สปา โรงหนัง ผับบาร์ ยกเว้นกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตและปั๊มน้ำมันที่ยังเป็นปกติ 

     

    แนะนักการตลาดอย่าทิ้งแบรนด์และลูกค้า 

    แม้ว่าสินค้าบางชนิดจะ “ขายยาก” ในช่วงนี้ และกลุ่มรีเทลและบริการหลายอย่างยังอยู่ในระหว่างปิดทำการ แต่ “ภูวดล ธาราศิลป์” ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลและ CRM จากวันเดอร์แมน ธอมสัน แนะนำว่า ผู้ประกอบการไม่ควรหยุดการทำตลาดโดยสิ้นเชิง เพราะผลการสำรวจในครั้งนี้พบว่าผู้บริโภคกว่าครึ่งมักจะมีแบรนด์ในใจก่อนเลือกซื้อสินค้า และในกลุ่มที่มีแบรนด์ในใจอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาซื้อสินค้าจริงกว่าครึ่งหนึ่งก็มักจะเลือกแบรนด์ที่อยู่ในใจนั่นเอง 

    ดังนั้น แม้ว่าขณะนี้จะยังขายไม่ได้หรือยอดขายลดลง แต่ต้องเลี้ยงความสัมพันธ์กับลูกค้าต่อไปเพื่อเป็น Top-of-mind อยู่เสมอ 

    “อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป อย่าหยุดการสื่อสารทุกอย่างโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ควรจะปรับสารที่สื่อออกไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์” ภูวดลกล่าว 

    ส่วนคำแนะนำอื่นๆ จากวันเดอร์แมน ธอมสันที่น่าสนใจ จากการสำรวจครั้งนี้ เราขอคัดเลือกมาดังนี้ 

    1.กลุ่มสินค้าที่ยังขายได้ในช่วงนี้ เช่น กลุ่ม FMCG ควรทำระบบการขายอีคอมเมิร์ซในระดับ calltoaction ที่สามารถสร้างยอดขายได้จริง พร้อมจัดโปรโมชัน เช่น ส่งฟรี เพื่อดึงลูกค้า 

    2.กลุ่มสินค้าลงทุนสูง ควรมีโปรโมชันที่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ซื้อ เช่น ช่วยผ่อนชำระในช่วงแรก ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้นเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ 

    3.แม้ว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 40,000 บาทต่อเดือนจะหยุดซื้อสินค้าลงทุนสูงไปมาก แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาซื้อได้เร็วกว่าเมื่อสถานการณ์กลับเป็นปกติ ดังนั้นสินค้ากลุ่มนี้ควรจะมุ่งทำการตลาดกับผู้มีรายได้สูงก่อนหลังจบการระบาด 

    4.กลุ่มรีเทลและร้านค้าที่ตั้งอยู่ในห้างฯ ควรร่วมมือกันจัดแผนโปรโมชันหลังสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าต้องการเข้าศูนย์การค้า 

    5.สำหรับทุกหมวดสินค้าและบริการ พึงคำนึงว่าพฤติกรรมผู้บริโภคบางอย่างอาจจะติดตัวไปแม้จบสถานการณ์ COVID-19 แล้ว ดังนั้นควรจะมีการทำแผน scenario ต่างๆ ภายในเพื่อรับมือไว้ก่อน 

    ]]>
    1273606
    เพราะไวรัสโคโรนาทำให้ “เบียร์โคโรนา” ต้องหยุดผลิต หลังรัฐบาลสั่งปิดโรงงานชั่วคราว https://positioningmag.com/1271550 Fri, 03 Apr 2020 06:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271550 Grupo Modelo บริษัทผู้ผลิตเบียร์ยี่ห้อโคโรนา ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาว่า บริษัทจะปิดสายการผลิตเบียร์โคโรนา (Corona) และแบรนด์แอลกอฮอล์อื่นๆ ในเครือ รวมถึงหยุดส่งออกสินค้าไปยัง 180 ประเทศทั่วโลกด้วย เนื่องจากรัฐบาลเม็กซิโกสั่งปิดทำการชั่วคราวตามมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัส COVID-19

    รัฐบาลเม็กซิโกประกาศในสัปดาห์นี้ถึงมาตรการฉุกเฉินทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยหนึ่งในมาตรการเหล่านั้นคือคำสั่งให้หยุดทำกิจกรรมที่ “ไม่จำเป็น” ชั่วคราว ทำให้โรงงานผลิตสินค้าแอลกอฮอล์ทั้ง 11 แห่งของ Grupo Modelo ต้องหยุดผลิตตามคำสั่งนี้ โดยจะเริ่มหยุดผลิตตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2563

    “ถ้าหากรัฐบาลกลางพิจารณาว่า มีความเหมาะสมหากจะระบุให้เบียร์เป็นสินค้ากลุ่มเกษตรอุตสาหกรรม Grupo Modelo ก็พร้อมที่จะกลับมาผลิตอีกครั้ง โดยเราวางแผนเตรียมการให้พนักงาน 75% ทำงานจากที่บ้าน และในเวลาเดียวกันเราจะรับประกันได้ว่ามีซัพพลายเบียร์เพียงพอจำหน่าย” ข้อความจากแถลงการณ์ของบริษัท

    ก่อนหน้านี้เบียร์โคโรนาได้รับผลกระทบทางอ้อมจากไวรัส COVID-19 หรือไวรัสโคโรนามาแล้ว เนื่องจากชื่อแบรนด์ไปพ้องเสียงกับชื่อไวรัส โดยเบียร์โคโรนาเป็นเบียร์ยอดนิยมอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากเกิดการระบาดทำให้ความรู้สึกของนักดื่มต่อแบรนด์นี้แย่ลง จากผลสำรวจของ YouGov พบว่าคะแนนความตระหนักรับรู้แบรนด์โคโรนาในเชิงบวกลดลงจาก 75 คะแนนเมื่อต้นปีนี้ เหลือ 51 คะแนนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์

    การรับรู้แบรนด์ยังสร้างปัญหาให้เบียร์โคโรนาอีกมุมหนึ่ง คือปกติแล้วผู้บริโภคมักมองว่าเบียร์โคโรนาคือเบียร์สำหรับหน้าร้อนและมักจะดื่มตามบาร์ชายหาด เมื่อปีนี้เกิดโรคระบาดจนผู้บริโภคไม่สามารถรวมกลุ่มปาร์ตี้ชายหาดได้ ทำให้ยอดขายของโคโรนายิ่งตกลง

    Source: Reuters, Time

    ]]>
    1271550
    Anheuser Busch เปิดตัวเบียร์สายพันธุ์ใหม่ด้วย LQD รสชาเขียว และน้ำมะพร้าว https://positioningmag.com/1267897 Wed, 11 Mar 2020 16:22:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1267897 Anheuser-Busch หรือ AB InBev ตันสังกัดแบรนด์เบียร์ดังประกาศเริ่มทำตลาด “Hard Peach Green Tea” ชาเขียวลูกพีชพันธุ์ใหม่ และ Hard Passion Green Tea รสเสาวรสที่สหรัฐอเมริกา ไลน์สินค้าล่าสุดถูก Anheuser-Busch เรียกว่า LQD Creative Liquids จุดยืนสำคัญคือการวางกลุ่มเป้าหมายที่ผู้รักสุขภาพ รวมถึงการใส่สุดยอดส่วนผสม เช่น น้ำมะพร้าวและชาเขียว โดยรสที่จะเปิดตลาดตามมาในเร็ววันนี้คือ Hard Coconut Water

    ก้าวใหม่ของ Anheuser Busch คือการรีอิมเมจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย LQD ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์รักษาสุขภาพขั้นสุดยอดในอุตสาหกรรมเหล้า เทรนด์นี้ทำให้เบียร์แคลอรีสูงถูกเมิน สวนทางกับเครื่องดื่มน้ำตาลน้อยที่ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มค็อกเทลพร้อมดื่มที่ผสมด้วยส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพ ตามรอยตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัดก๊าซ hard seltzer ที่ขยายตัวก้าวกระโดดในนาทีนี้

    ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักดื่มรุ่นใหม่ทำให้แบรนด์เบียร์ขนาดใหญ่ต้องดิ้นรนเพื่อซื้อและสร้างแบรนด์ให้มีภาพใส่ใจสุขภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นความอยากรู้อยากลองให้นักดื่มตัดสินใจหยิบเครื่องดื่มมาลิ้มรสว่าตรงกับที่จิตนาการไว้หรือไม่

    เปิดเกมกระตุ้นต่อมอยากรู้

    Anheuser Busch ตั้งคำถามบนหน้าแรกของเว็บไซต์ LQD ให้ผู้บริโภคนึกสงสัยว่า น้ำมะพร้าวและชาเขียวสามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่ แม้หลายคนจะตอบว่าไม่ แต่ Anheuser Busch อาสาเปิดตลาดเพื่อสร้างปรากฏการณ์เครื่องดื่มพันธุ์ใหม่ โดยในค็อกเทล LQD ยังมีรสน้ำมะนาว Hard Agave Limeade และช่วงกลางปีนี้ จะถึงคิว Hard Hibiscus Lemonade เพื่อชิมลางตลาด

    จุดเด่นของเครื่องดื่มกลุ่มนี้ คือแต่ละกระป๋องจะมีน้ำตาล 10-12 กรัมเท่านั้น ถือว่ารับลูกกับตัวเลขที่สมาคมดูแลหัวใจแห่งชาติอเมริกัน ซึ่งแนะนำว่าผู้หญิงควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 25 กรัมต่อวัน และผู้ชาย 36 กรัม

    สิ่งที่ควรสังเกตอย่างยิ่งคือเครื่องดื่มประเภทค็อกเทลกระป๋องนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 5% ต่ำกว่าไวน์ทั่วไปที่ 1 แก้วมีแอลกอฮอล์ 12% โดยค็อกเทลหลายชนิดมีปริมาณแอลกอฮอล์ 12-20% และจะมากกว่านี้หากผู้ชงเป็นมือสมัครเล่นหรือผู้ที่ไม่ต้องการอิงสูตรตายตัว

    สำหรับเบียร์ โดยทั่วไปแล้วเบียร์มีแอลกอฮอล์ 4% แต่ถูกออกแบบมาเพื่อการบริโภคที่เร็วกว่าค็อกเทล และไม่มีส่วนผสมที่ถือว่าเป็นส่วนผสมเพื่อสุขภาพตามเทรนด์เลยแม้แต่น้อย

    ปรับภาพตามเทรนด์

    การเปิดตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ให้พลังงานเพียง 200 แคลอรีนี้เป็นผลงานของ Brewers Collective กลุ่มธุรกิจคราฟต์ของ Anheuser Busch ซึ่งต้องการเจาะตลาดผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพแต่ไม่เต็มใจที่จะประนีประนอมกับรสชาติหรือคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน เครื่องดื่มเหล่านี้ยังถูกแพ็คในบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้ย้ำว่าผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดของโลกกำลังปรับภาพบริษัทให้ตอบเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป

    การตอบเทรนด์สำเร็จจะทำให้ Anheuser Busch ได้รางวัลอย่างงาม เพราะนักวิเคราะห์บางรายคาดว่ายอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัดก๊าซ (seltzer) จะพุ่งขึ้น 270% ในปีนี้ ตัวเลขนี้สะท้อนว่าเครื่องดื่มพันธุ์ใหม่มีอนาคต ซึ่งจะเสริมกับการฟื้นตัวของเครื่องดื่มมอลต์ที่เริ่มเห็นผลในปี 2559 ที่มีการนำรสชาติผลไม้มาชูโรง

    สำหรับ AB InBev ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่พยายามพัฒนาเครื่องดื่มพันธุ์ใหม่ของตัวเองต่อเนื่อง ที่โดดเด่นที่สุดคือสามารถเปิดตัว Bud Light Seltzer ซึ่งสำนักข่าว CNN ระบุว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่ม hard seltzer ที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกาภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการเปิดตัว

    ในรายงานนั้น CNN ชี้ว่า AB InBev เป็นเจ้าของแบรนด์ seltzer มากกว่า 3 ใน 5 อันดับท็อปของตลาดอเมริกา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ปริมาณการดื่มเบียร์ทั่วสหรัฐฯ ลดลง 2.3% ในปีที่แล้ว เป็นการลดลงปีที่ 4 ติดต่อกันจากข้อมูลของบริษัทวิจัย IWSR

    ในขณะที่แบรนด์ในสหรัฐฯ พบปริมาณการดื่มเบียร์ลดลง 3.6% ในปี 2562 แต่การบริโภคคราฟต์เบียร์กลับเพิ่มขึ้น 4.1% สูงกว่าตลาดเบียร์นำเข้าที่เติบโตขึ้นอีก 3.1% และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ต่ำและไม่มีแอลกอฮอล์เลย พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 6.6%

    ทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปเหตุผลที่ทำให้ Anheuser Busch ต้องรีอิมเมจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย LQD รสชาเขียวและน้ำมะพร้าว.

    ]]>
    1267897
    ย้ายสถานี! “ไฮเนเก้น” เปิดลานเบียร์ปีใหม่ที่เอ็มควอเทียร์ ส่ง pop-up store บุก 12 เมืองต่างจังหวัด https://positioningmag.com/1254712 Mon, 25 Nov 2019 07:33:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254712
  • ลานเบียร์ไฮเนเก้นย้ายไปเอ็มควอเทียร์ จัดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว
  • ขยาย pop-up store ทำตลาดในร้านกินดื่มต่างจังหวัด 12 หัวเมือง
  • ทุ่มงบการตลาดเพิ่มจากปีก่อน 2.5 เท่า หวังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 15 ล้านคน
  • คาดการณ์ตลาดเบียร์โดยรวมโต 2% ขณะที่กลุ่มเบียร์พรีเมียมโตดีกว่าที่ 4%
  • ปีนี้ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์งดจัดลานเบียร์ทุกยี่ห้อ ทำให้แต่ละเจ้าต้องกระจายตัวกันไปคนละมุมเมือง โดย “ธีรภัทร พงศ์เมธี” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี เปิดเผยว่า สำหรับเบียร์ไฮเนเก้นจะจัดงาน Heineken Star Celebration Experiential Flagship Store หรือก็คืออีเวนต์ทางการตลาด ลานเบียร์ และจำหน่ายสินค้าพิเศษของไฮเนเก้นที่ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์แทนพื้นที่เดิม

    โมเดลจำลอง Heineken Star Celebration Experiential Flagship Store ที่เอ็มควอเทียร์ รับเทศกาลปีใหม่ 2020

    งานนี้ยังขยายพื้นที่กว้างขึ้นมากกว่าเท่าตัวเป็น 1,500 ตร.ม. สามารถจุคนได้ถึง 170 ที่นั่ง จากลานเดิมเมื่อปีก่อนมีพื้นที่เพียง 700 ตร.ม. โดยจะจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.62 – 5 ม.ค.63 เวลา 11.00-00.00 น. ภายในมีทั้งพื้นที่นั่งชิลและจำหน่ายสินค้าของแบรนด์ที่จัดทำขึ้นสำหรับเทศกาลปีใหม่ 2020 รวมถึงค็อกเทลและม็อกเทลสูตรพิเศษจำหน่ายเฉพาะภายในงาน

    “การที่ไม่มีลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรา เพราะผู้บริโภคของเราอยู่ทุกที่ อย่างเอ็มควอเทียร์ก็ตรงกับกลุ่มลูกค้าไฮเนเก้น” ธีรภัทร ผู้จัดการคนใหม่ที่รับตำแหน่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ให้ความเห็น

    ลุยทำตลาดต่างจังหวัด

    แคมเปญส่งท้ายปลายปีของไฮเนเก้นปีนี้ยังทุ่มงบมากกว่าปีก่อน 2.5 เท่า เพราะนอกจากลานเบียร์หลักที่กรุงเทพฯ จะใหญ่ขึ้น แบรนด์ยังมีการขยายเป็น pop-up store ไปตามร้านกินดื่ม (ช่องทาง on-premise) ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศด้วย เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี ชลบุรี ระยอง ฯลฯ pop-up store ดังกล่าวจะจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไฮเนเก้น โดยหมุนเวียนไปตามร้านดังของจังหวัดในแต่ละสัปดาห์ระหว่างเทศกาลปีใหม่

    ไฮเนเก้น
    “ธีรภัทร พงศ์เมธี” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี

    นับเป็นครั้งแรกของไฮเนเก้นที่ขยายการจัดแคมเปญปีใหม่ไปตลาดภูมิภาค สะท้อนทิศทางการให้ความสำคัญกับตลาดต่างจังหวัดที่มากขึ้นของแบรนด์ จากปัจจุบันที่ไฮเนเก้นมียอดขายในกรุงเทพฯ สูงกว่าภูมิภาค

    การเลือกจัด pop-up store ในร้านกินดื่มยังสอดคล้องกับช่องทางขายของไฮเนเก้นโดยรวมทั้งประเทศ เพราะยอดขายของแบรนด์ 51% มาจากร้านกินดื่ม (on-premise) 33% จากโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อ และ 16% จากร้านค้าดั้งเดิม

    สินค้าพิเศษรับเทศกาล

    สำหรับสินค้าตามเทศกาลที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ ปีนี้ไฮเนเก้นมีสินค้าแบรนด์ (merchandise) ทั้งหมด 3 ส่วนที่จำหน่ายเฉพาะในงานที่เอ็มควอเทียร์และ pop-up store เท่านั้น คือ

    • สินค้านำเข้าจากอัมสเตอร์ดัม มากกว่า 10 รายการ เช่น หมวกแก๊บ เป้หลัง เป้กันน้ำ
    • สินค้าออกแบบร่วม (collab) กับแบรนด์ไทย Q Design and Play 8 รายการ เช่น หมวกทรงถัง ผ้าขนหนู
    • ขวดไฮเนเก้น 0.0 ลายพิเศษ ระบุข้อความรับเทศกาล เช่น Boss of the Year, Friend of the Year
    ไฮเนเก้น
    สินค้า merchandise รับปีใหม่นำเข้าจากอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

    ธีรภัทรกล่าวว่า เป้าหมายของการจัดงานและผลิตสินค้าทั้งหมดเป็นไปเพื่อเป้าการรับรู้ทางการตลาดมากกว่ายอดขาย โดยไฮเนเก้นวางเป้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค (reach) 15 ล้านคน รวมทั้งจากการจัดงานและการพบเห็นผ่านสื่อโฆษณาออนไลน์ ออฟไลน์ และสื่อนอกบ้าน (OOH) โดยเป้านี้เพิ่มสูงขึ้นจากยอด reach ปีก่อนอยู่ที่ 9 ล้านคน

    ตลาดเบียร์พรีเมียมโตต่อเนื่อง 4%

    ด้านตลาดเบียร์ปี 2562 ภาพรวมดูจะกระเตื้องขึ้นจากปีก่อนสวนทางสภาพเศรษฐกิจ ข้อมูลจากไฮเนเก้นประเมินว่าปีนี้ตลาดเบียร์โดยรวมน่าจะทำยอดขายที่ 1.43 แสนล้านบาท เติบโต 2% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ตลาดเบียร์ติดลบ 4%

    อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มเบียร์ตลาดแมสน่าจะทรงตัวไม่เติบโต ในขณะที่กลุ่มเบียร์พรีเมียมน่าจะเติบโต 4% คิดเป็นยอดขายมากกว่า 6 พันล้านบาท ส่วนไฮเนเก้นเอง ธีรภัทรเชื่อว่าจะโตสูงกว่าที่ 9%

    “ปีหน้าสำหรับไฮเนเก้นก็ยังมองบวก เพราะกลุ่มเบียร์พรีเมียมไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก ช่วงปี 2559-62 เติบโตสม่ำเสมอ 4% ต่อปีมาโดยตลอด” ธีรภัทรกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1254712