กรุงเทพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 17 Dec 2024 12:24:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กรุงเทพฯ แซงโตเกียว ขึ้นเบอร์ 1 จุดหมายปลายทางช่วงคริสต์มาส https://positioningmag.com/1503779 Tue, 17 Dec 2024 04:41:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503779 กรุงเทพฯ แซงโตเกียว ขึ้นเบอร์ 1 จุดหมายปลายทางช่วงคริสต์มาส ค้นหาเพิ่ม 14% คนญี่ปุ่น-เกาหลีใต้สนใจมาไทยมากสุด ส่วนคนไทยช่วงปีใหม่ในประเทศชอบไปพัทยา ฟากต่างประเทศ เมืองโตเกียว ครองเบอร์หนึ่งในใจคนไทย

อโกด้า (agoda) รายงานการค้นหาที่พักยอดนิยมช่วงเทศกาลคริสต์มาส ปี 2567 พบว่า 5 อันดับแรกจุดหมายปลายทาง มีดังนี้

  • อันดับ 1 กรุงเทพฯ, ไทย
  • อันดับ 2 โตเกียว, ญี่ปุ่น
  • อันดับ 3 โซล, เกาหลีใต้
  • อันดับ 4 ไทเป, ไต้หวัน
  • อันดับ 5 โอซาก้า, ญี่ปุ่น

“การค้นหาที่พักกรุงเทพฯ ช่วงคริสต์มาสเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกรุงเทพฯ แซงหน้าโตเกียวขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่ง”

สำหรับการค้นหาที่พักยอดนิยมในคืนวันปีใหม่ พบว่า กรุงเทพฯ ติดท็อปลิสต์จาก 5 อันดับ ดังนี้

  • อันดับ 1 โตเกียว, ญี่ปุ่น
  • อันดับ 2 กรุงเทพฯ, ไทย
  • อันดับ 3 ไทเป, ไต้หวัน
  • อันดับ 4 พัทยา, ไทย
  • อันดับ 5 โอซาก้า, ญี่ปุ่น

“สาเหตุหลักที่กรุงเทพฯ ได้รับความนิมยมด้านจุดหมายปลายทางช่วงการเฉลิมฉลองมาจากอากาศเริ่มเย็นลง บรรยากาศคึกคักมีสีสัน และเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรม” นายปิแอร์ ฮอนน์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า กล่าว

ส่วนนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาไทยมากสุดช่วงปีใหม่ ได้แก่

  • ญี่ปุ่น
  • เกาหลีใต้
  • มาเลเซีย
  • สิงคโปร์
  • อินเดีย

ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่วางแผนเที่ยวในประเทศ ให้ความสนใจ 5 เมืองนี้มากสุด คือ พัทยา กรุงเทพฯ เขาใหญ่ เชียงใหม่ และหัวหิน/ชะอำ

สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่มองหาการเริ่มต้นปี 2568 ที่ต่างประเทศ โตเกียว ฮ่องกง ไทเป เซี่ยงไฮ้ และโอซาก้า เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตามลำดับ

]]>
1503779
“ไทย” ตลาด Branded Residences ใหญ่สุดในเอเชีย กรุงเทพ-ภูเก็ต ติด Top3 https://positioningmag.com/1502852 Wed, 11 Dec 2024 07:29:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502852 ประเทศไทย นอกจากจะเป็นเดสติเนชั่นท่องเที่ยวระดับโลก ยังเป็นเมืองบ้านพักตากอากาศของกลุ่มชาวต่างชาติ และขึ้นแท่นตลาด Branded Residences ใหญ่สุดในเอเชีย

นายบิล บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks เปิดเผยว่า ตลาด Branded Residence ในเอเชีย ปี 2567 มีจำนวน 68,001 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2.66 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 11% ส่วนใหญ่จะเป็น Branded Residence ภายใต้การบริหารของกลุ่มโรงแรม อาทิ Wyndham, Ascott, Banyan Group, Marriott เป็นต้น

โดยมี “ประเทศไทย” เป็นตลาดใหญ่สุด ครองสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 23.3% รองลงมาเป็น ฟิลิปปินส์ สัดส่วน 17.3% และเกาหลีใต้ สัดส่วน 11.3%

ทั้งนี้ Branded Residence ในไทยมี 65 โครงการ จำนวน 16,271 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 5,478 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.91 แสนบาท/ตร.ม.

จำแนกราคาตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า

  • Branded Residences ใจกลาง กทม. มีราคาเฉลี่ย 8,323 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.91 แสนบาท/ตร.ม.
  • Branded Residences รีสอร์ต ราคาเฉลี่ย 4,614 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.61 แสนบาท/ตร.ม.
  • Branded Residences กลุ่มลักซูรี ราคาเฉลี่ย 12,729 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.45 แสนบาท/ตร.ม.

ไทยมีถึง 4 เมืองที่ติดอันดับ Top 10 ที่มี Branded Residences มากสุดในเอเชีย (ตามจำนวนยูนิต) ดังนี้

  • อันดับ 1 ภูเก็ต ประเทศไทย
  • อันดับ 2 มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
  • อันดับ 3 กรุงเทพ ประเทศไทย
  • อันดับ 4 กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
  • อันดับ 5 พัทยา ประเทศไทย
  • อันดับ 6 ดานัง ประเทศเวียดนาม
  • อันดับ 7 ฮาลองเบย์ ประเทศเวียดนาม
  • อันดับ 8 เซบู ประเทศฟิลิปปินส์
  • อันดับ 9 ปีนัง ประเทศมาเลเซีย
  • อันดับ 10 หัวหิน ประเทศไทย

“คนต่างชาติมักไปทำงานที่สิงคโปร์ แต่เลือกพักอาศัยในประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม Work From Home”

]]>
1502852
‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ ทำสถิติ ‘ร้อน’ สุดเป็นประวัติการณ์ คาดในช่วง 10 ปีข้างหน้าอาจแตะ 51 องศาเซลเซียส https://positioningmag.com/1430633 Tue, 16 May 2023 07:43:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430633 ชาวไทยอย่างเราอยากชินแต่ก็คงไม่ชินสักทีกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุขึ้นทุกวัน ๆ ได้แต่หวังว่าที่กรมอุตุฯ คาดว่าจะมีฝนจะตกจริงอย่างที่ว่า แน่นอนว่าไม่ใช่ไทยที่ร้อนขึ้น แต่เป็นทั้งภูมิภาค และนี่ยังไม่ใช่จุดสูงสุด แต่ยังร้อนขึ้นได้อีกในช่วง 10 ปีจากนี้ โดยภูมิภาคเอเชียอาจร้อนได้สูงสุด 51 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ปัจจุบัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ซึ่งทำให้เกิดคลื่นความร้อนบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น และทำให้มลพิษทางอากาศในภูมิภาคเลวร้ายลง การรวมกันของความร้อนสูงและระดับหมอกควันสูงในภูมิภาคทำให้ความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจากความร้อนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาระบบทางเดินหายใจและหัวใจและหลอดเลือด

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกทำให้ทั้งคลื่นความร้อนและมลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประสบกับอุณหภูมิที่ร้อนระอุในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยบางพื้นที่ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

อย่างเมือง เตืองเดือง ใน เวียดนาม อุณหภูมิพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.2 องศาเซลเซียส ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามมาด้วย หลวงพระบาง ในประเทศ ลาว มีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 43.5 องศาเซลเซียส ในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา 

ส่วน กรุงเทพฯ เมืองหลวงของ ไทย ก็เจอกับอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 41 องศาเซลเซียส ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน ด้านอุณหภูมิใน สิงคโปร์ เองแม้จะไม่สูงเท่าประเทศก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่ก็เท่ากับสถิติสูงสุดตลอดกาลที่บันทึกไว้เมื่อ 40 ปีก่อน

สำหรับอุณหภูมิที่ร้อนระอุในปีนี้สามารถเชื่อมโยงกับปัญหาหลายอย่าง รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่ลดลงในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา และปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นรูปแบบสภาพอากาศที่โดยทั่วไปจะนำสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมาสู่ภูมิภาค 

เดือนที่ร้อนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไปคือตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอุณหภูมิมักจะสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปแล้วฤดูแล้งของภูมิภาคจะสิ้นสุดลงเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเย็นลงและมีฝนตกชุก

อย่างไรก็ตาม การศึกษาในปี 2565 จากวารสาร Communications Earth & Environment เตือนว่า ระดับความร้อนที่เป็นอันตรายนั้นคาดว่าจะเกิดขึ้นบ่อยขึ้น 3 ถึง 10 เท่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยภูมิภาคเขตร้อนรวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียอาจเผชิญกับ ความร้อนที่อันตรายอย่างยิ่ง ที่ 51 องศาเซลเซียส หรือเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตามการศึกษา และเอเชียเผชิญกับอันตรายทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และไต้ฝุ่น นอกเหนือไปจากความร้อนและความชื้นที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2565 ถือเป็นปีที่ทั่วโลกเผชิญกับอากาศที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากความร้อนของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นและน้ำแข็งที่ปกคลุมทะเลในแอนตาร์กติกาละลายจนใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ

]]>
1430633
‘กรุงเทพ-ภูเก็ต’ ติด Top 5 ปลายทางที่ ‘นักท่องเที่ยวจีน’ ไปมากที่สุดช่วง ‘ตรุษจีน’ https://positioningmag.com/1416947 Fri, 27 Jan 2023 04:45:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416947 นับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป จีนได้ยกเลิกข้อบังคับที่ให้ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องเข้ารับการกักตัว หลังจากที่ช่วงสิ้นปี 2565 ทางการได้ลดมาตรการควบคุมโควิดภายในประเทศเกือบทั้งหมด และแน่นอนว่า Top 10 ประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนอยากไปก็คือ ประเทศไทย

ซึ่งในช่วงวัน ตรุษจีน หรือ วันปีใหม่จีน ซึ่งคนจีนจะหยุดยาวประมาณ 7-15 วันเลยทีเดียว โดยทางเว็บไซต์ Trip.com ก็ได้เก็บข้อมูล การจองเที่ยวบิน บนแพลตฟอร์มในช่วง 4 วันแรกของวันตรุษจีน โดยพบว่า 5 ปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมากที่สุดในช่วงตรุษจีน ได้แก่

  • ฮ่องกง
  • มาเก๊า
  • กรุงเทพมหานคร
  • สิงคโปร์
  • ภูเก็ต

ที่น่าสนใจคือ ปลายทางอย่าง ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็น Top 10 ปลายทางยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับไม่ได้ติด Top 5 ในช่วงตรุษจีน ซึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดชั่วคราวสำหรับผู้เดินทางจากจีน ซึ่งรวมถึงการจำกัดวีซ่าและการกักตัวบุคคลที่ติดเชื้อโควิด ต่างจากสิงคโปร์และประเทศไทยที่ยกเลิกแผนการกำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด

ส่อง 10 ประเทศที่ ‘ชาวจีน’ ค้นหามากที่สุดหลังรัฐบาล ‘เปิดประเทศ’ ยกเลิกมาตรการกักตัว

ทั้งนี้ Trip.com ยังได้เปิดเผยว่า การจองเที่ยวบินสำหรับการเดินทางจากแผ่นดินใหญ่ไปยังจุดหมายปลายทางในต่างประเทศในช่วง 4 วันแรกของวันหยุดได้ เพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

Source

]]>
1416947
ฉีดวัคซีนไม่ถึง 70% เเผนเปิดกรุงเทพฯ จ่อเลื่อน ยอดติดเชื้อผ่าน ‘จุดสูงสุด’ เเต่ยังน่ากังวล https://positioningmag.com/1352819 Tue, 21 Sep 2021 10:39:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352819 เเผนเปิดกรุงเทพฯ จ่อเลื่อน เหตุฉีดวัคซีนยังล่าช้า ได้ไม่ถึง 70% วิจัยกรุงศรี ประเมินยอดผู้ติดเชื้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว สิ้นปีอาจเหลือ 2,500 รายต่อวัน เสียชีวิต 40 รายต่อวัน เเม้ผ่อนคลายมาตรการ แต่ยังน่ากังวลไม่แน่นอนสูง รัฐใช้เเผนดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ หวังหารายได้ชดเชยภาคท่องเที่ยว อาจต้องรอนานถึงปี 68 กว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาระดับปกติ

จ่อเลื่อนเเผนเปิดกรุงเทพฯ ฉีดวัคซีนได้ไม่ถึง 70% 

วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า ทางการจะเลื่อนเปิดกรุงเทพฯ ซึ่งการผ่อนคลายในระยะต่อไปยังต้องระมัดระวัง และอาจขึ้นอยู่กับอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  

โดยแผนการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระยะที่ 2 เบื้องต้นเตรียมเปิดเพิ่มอีก 4 จังหวัดพื้นที่นำร่องในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ได้แก่ เชียงใหม่ (.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.ดอยเต่า) ชลบุรี (พัทยา สัตหีบ อ.บางละมุง) เพชรบุรี (ชะอำ) และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน)

ส่วนในกรุงเทพฯ อาจต้องเลื่อนออกไปจนกว่าจำนวนประชากรในพื้นที่จะได้รับวัคซีน 2 โดส ตามเกณฑ์ที่ 70% ของประชากร ล่าสุด ณ วันที่ 19 กันยายน มีอัตราการฉีดที่ 40.7%  

ยอดติดเชื้อรายวันผ่าน ‘จุดสูงสุด’ แต่ยังน่ากังวล

อย่างไรก็ตาม เเม้ทางการจะทยอยเปิดพื้นที่นำร่องเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ แต่ความกังวลและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ในไทยจะยังสูงอยู่อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2564’ หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุม

ในกรณีฐาน : การฉีดวัคซีนจำนวนมากในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะช่วยควบคุมการติดเชื้อได้ระดับหนึ่ง ภายใต้ข้อสมมติว่า ฉีดวัคซีนเฉลี่ยวันละ 460,000 โดส และประสิทธิภาพของวัคซีนต่อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าอยู่ที่ 50%

วิจัยกรุงศรี มองว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ ตลอดช่วงที่เหลือของปี โดยในช่วงสิ้นปีจะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 2,500 รายต่อวัน และเสียชีวิตราว 40 รายต่อวัน 

มาตรการควบคุมการระบาดจึงยังมีความจำเป็น การผ่อนคลายมาตรการควรดำเนินการไปทีละขั้นตอนแต่ยังคงข้อจำกัดบางประการด้วยความระมัดระวังตลอดทั้งปี

ทั้งนี้ อาจมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้หรือเป็นช่วงที่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงต่ำกว่า 150 รายต่อวัน

ในกรณีเลวร้าย : แม้จะฉีดวัคซีนได้ 90 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ เเต่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอาจยังอยู่ในระดับสูงตลอดช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากวัคซีนมีประสิทธิภาพต่ำ และผ่อนคลายมาตรการควบคุมเร็วเกินไป ในกรณีนี้อาจเห็นการกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง

ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ หวังหารายได้ชดเชยท่องเที่ยว

ขณะเดียวกัน ทางการได้เตรียมออกมาตรการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยตั้งเป้า 5 ปี (2565-2569) ไว้ที่ราว 1 ล้านล้านบาท เเบ่งเป็นเพิ่มการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาท สร้างรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท หวังสร้างรายได้เข้าประเทศในช่วงที่ภาคท่องเที่ยวยังฟื้นช้า

โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงในลักษณะผู้พำนักระยะยาว (long-term stay) ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่

1. กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 

2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ

3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย

4. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ

คาดจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาปกติ ปี 68 

เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปีละเกือบ 2 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนต่อปี

ขณะที่การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มล่าช้า วิจัยกรุงศรี คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่าจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดอาจต้องใช้เวลาหลายปี หรือราวปี 2568

ปัจจุบันแม้แผนการฉีดวัคซีนจะเร่งขึ้นแต่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีเพียง 0.15 ล้านคน และ 2.5 ล้านคน ในปี 2564 และปี 2565 ตามลำดับ

ผลจากการระบาดที่รุนแรงกว่าคาดจึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางและทำให้แผนการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวหลักบางแห่งเลื่อนช้าออกไปอีก ทั้งหลายประเทศสำคัญได้ปรับยกระดับคำเตือนนักท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาประเทศไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอังกฤษ

การฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียอาจล่าช้า เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังอยู่ในระดับสูง และมีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน และการกลายพันธุ์ของไวรัส

 

 

]]>
1352819
“เซี่ยงไฮ้” เเซง “ลอนดอน” ขึ้นเป็นเมืองที่มีการ “เชื่อมต่อ” มากที่สุดในโลก กรุงเทพฯ ร่วง -81% หลุด TOP10  https://positioningmag.com/1308052 Fri, 27 Nov 2020 10:37:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308052 เซี่ยงไฮ้เเซงหน้าลอนดอนผงาดขึ้นอันดับ 1 เมืองที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศมากที่สุดในโลก หลัง COVID-19 สั่นสะเทือนธุรกิจการบิน ส่วนกรุงเทพฯ เเละฮ่องกง มีการเชื่อมต่อลดลงถึง -81% หลุดโผ TOP 10 

เผยดัชนีการเชื่อมต่อทางอากาศระหว่างเมืองทั่วโลก ประจำปี 2020 ซึ่งมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจการค้าท่องเที่ยวเเละการลงทุน

โดยพบว่า การจัดอันดับของปีนี้มีการเปลี่ยนเเปลงอย่างมาก อันเป็นผลจากการปิดพรมเเดรระหว่างประเทศ เพื่อสกัดการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างเมืองภายในประเทศมากขึ้น

กรุงลอนดอนของอังกฤษ เคยเป็นเมืองที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ในเดือนกันยายน ปี 2019 ล่าสุดมีการเชื่อมต่อลดลงถึง 67% ในเดือนกันยายนปี 2020 ร่วงลงไปอยู่อันดับ 8

ส่วนจีน ได้ขึ้นมาเป็นประเทศตัวท็อปเเทน เมื่อส่ง เซี่ยงไฮ้ ขึ้นเป็นที่ 1 เเละยังมีเมืองใหญ่ๆ ติดอันดับอีกอย่าง ปักกิ่ง กวางโจว และเฉิงตู

โดยการเดินทางเเละเศรษฐกิจของจีน “ฟื้นตัว” อย่างรวดเร็ว หลังเป็นชาติเเรกที่มีการติดเชื้อ COVID-19 เมื่อช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมาจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด

นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ที่เคยอยู่อันดับ 3 มีการเชื่อมต่อทางอากาศลดลง -66% หลุดตำเเหน่งจาก 10 อันดับแรก รวมไปถึงกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นที่เคยอยู่อันดับ 5 มีการเชื่อมต่อลดลง -65%

ด้านกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ที่เคยอยู่อันดับ 7 มีการเชื่อมต่อลดลง -81%  ส่วนฮ่องกงที่เคยอยู่อันดับ 8 มีการเชื่อมต่อลดลง -81%  และกรุงโซลของเกาหลีใต้ที่เคยอยู่อันดับ 9 มีการเชื่อมต่อลดลง 69%  ทั้งหมดนี้ต่างหลุดจาก TOP 10 เช่นเดียวกัน ขณะที่ ทวีปแอฟริกา ประสบปัญหาการเชื่อมต่อทางอากาศลดลงรุนเเรงที่สุด คือ -93%

(Photo by Anusak Laowilas/NurPhoto via Getty Images)

IATA ระบุว่า การจัดอันดับ The World’s Most Connected City ในปีนี้ไม่มีผู้ชนะที่เเท้จริง มีเเต่ผู้ที่เจ็บน้อยกว่าเท่านั้น  เนื่องจากอันดับไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น เเต่ดัชนีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของธุรกิจการบินทั่วโลกที่กำลังอยู่ในขั้นสาหัส

หากการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาเหมือนเดิม เมืองใหญ่ที่เคยติด TOP 10 เหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็กลับมาติดอันดับได้อีกในช่วงกี่ปีข้างหน้า

ปัญหาสำคัญอีกประการ คือในเครือข่ายอุตสาหกรรมสายการบิน ยังมีเเรงงานที่อยู่บนความเสี่ยงจะสูญเสียตำเเหน่งอีกหลายสิบล้านคน” โดยขณะนี้สนามบินหลายแห่ง ยังคงมีปริมาณผู้โดยสารลดลงกว่า 90% เเละยังต้องความหวังจากการพัฒนาวัคซีนที่จะเข้ามาช่วยภาคการท่องเที่ยวเเละเดินทาง

 

 

ที่มา : SimpleFlying , IOL Travel

]]> 1308052 เหมือนนอนบนรถเมล์! Booking จับรถบัสมาเป็นห้องพัก รับเทรนด์ “ที่พักแปลก” ที่แรกของโลก https://positioningmag.com/1263621 Fri, 07 Feb 2020 12:43:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263621 Booking.com เดินหน้ากลยุทธ์รับเทรนด์คนชอบพักที่เเปลกใหม่ เปิดตัว Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้ คันเดียวที่เเรกในไทย ตกเเต่งด้วยคอนเซ็ปต์ “กรุงเทพฯ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล” ลุ้นเปิดจองเข้าพักฟรี ชี้ไวรัสโคโรนาระบาดกระทบการเดินทางท่องเที่ยวไทยระยะสั้น

จากรายงานล่าสุดของ Booking.com แพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ ระบุว่านักเดินทางจำนวนมากขึ้นกำลังมองหาที่พักแปลกใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยากจะลองประสบการณ์การเข้าพักในที่พักรูปแบบต่างๆ โดยนักเดินทางชาวไทยมากกว่า 2 ใน 5 หรือ 42% ต้องการที่พักที่มีเอกลักษณ์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และต้องการทำให้คนรอบตัว รู้สึกประทับใจผ่านการแชร์รูปในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อแสดงความเป็นตัวเอง

Michelle Gao ผู้จัดการประจำภูมิภาค Booking.com กล่าว “จากกระเเสเทรนด์นี้ เราจึงเดินหน้ากลยุทธ์ด้วยการนำเสนอ Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทย ที่นำรถบัสหรือรถเมล์ซึ่งเป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ คุ้นเคยและทุกคนเคยใช้บริการไปทำงานหรือไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ทุกวัน มาปรับปรุงให้เป็นที่พักที่สะดวกสบาย ตกเเต่งด้วยสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร”

รถบัสคันนี้จะจอดให้เข้าพัก ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เนื่องจากเป็นท่องเที่ยวที่รวมไลฟ์สไตล์และความบันเทิงยามค่ำคืนที่หลากหลาย ใกล้ย่านเมืองเก่า นอกจากนี้มีวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินทางด้วย

โดย Bangkok Booking Bus จะเปิดให้เข้าพักได้ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ สำหรับการเข้าพัก 1 คืน ต่อผู้เข้าพัก 2 ท่าน โดยสามารถทำการสำรองที่พักได้ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป โดยจะให้สิทธิ์ในการเข้าพักตามลำดับของผู้ที่จองเข้าพักก่อน สามารถจองที่พักบนรถบัสพักได้ที่เเพลตฟอร์มของ booking.com ราคาต่อคืนอยู่ที่ 2,020 บาท (เป็นเงินมัดจำ ผู้เข้าพักจะรับเงินคืนหลังจากเช็กเอาต์ – เข้าพักฟรีนั่นเอง หากไม่ทำของในที่พักเสียหาย)

ทำไมถึงให้พักเเค่คืนเดียว… ผู้บริหาร Booking.com ตอบว่า ต้องการให้ผู้เข้าพักรู้สึกพิเศษที่สุด เป็นโอกาสที่ไม่ได้หาได้ทั่วไป จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของชีวิตที่น่าประทับใจ

เเละเหตุใดเลือกจึง “วันเข้าพัก” ในช่วงเวลานี้ ทาง Booking.com ตอบว่า “เนื่องจากอยากให้เป็นกิมมิคเล็กๆ ให้คนจำง่าย โดยเปิดจองในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่20 เเละให้เข้าพักในวันที่ 22 ตัวเลขก็จะออกมาเป็น จองวันที่ 20.02.20 เวลา 20.00น. เป็นต้นไป ในราคา 2,020 บาท เพื่อเข้าพักในวันที่ 22.02.20 และเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งการเริ่มต้นที่ดี พร้อมทั้งแคมเปญนี้ก็เสร็จเรียบร้อยลงตัว

Michelle Gao อธิบายต่อว่า มีเเนวโน้มว่านักเดินทางทั่วโลกจะนิยมเข้าพักในที่พักแปลกใหม่มากขึ้น เช่น โฮสเทล บังกะโล บ้านต้นไม้ ที่พักบนเรือ รถบ้าน โดย Booking.com มีที่พักทางเลือกเหล่านี้กว่า 6.4 ล้านรายการ จากทั้งหมดในระบบ 29 ล้านรายการ มีพาร์ตเนอร์ 17,500 ราย และมีผู้จองห้องพักทั้งหมดราว 1 พันล้านคนต่อคืน

Michelle Gao ผู้จัดการประจำภูมิภาค Booking.com

“Bangkok Booking Bus เป็นรถบัสพักได้คันเดียวในโลก ซึ่งเรานำมาเปิดตัวที่ไทยเป็นที่เเรก เพราะไทยนับเป็นจุดหมายการเดินทางที่ได้รับความนิยมลำดับต้นๆ ของโลก มีการเติบโตสูง เเละเมืองที่นักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุดยังเป็นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต เเละเกาะสมุย”

โดยหลังจากที่เเขกผู้โชคดีได้เข้าพักใน Bangkok Booking Bus เรียบร้อยเเล้ว ทางบริษัทจะส่งมอบรถบัสคันนี้ให้กับ Local Alike ซึ่งเป็นกิจการด้านการท่องเที่ยวเพื่อสังคม สัญชาติไทย เพื่อพัฒนาชุมชนเเละไปใช้งานเพื่อสานต่อการท่องเที่ยวไทยเเบบยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ Local Alike ยังเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพในโครงการ Booking Booster ปี 2017 ด้วย

สำหรับ Bangkok Booking Bus คันนี้มาพร้อมกับการตกเเต่งตามแนวคิด Awakening Bangkok หรือกรุงเทพฯเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ให้กลิ่นอายบรรยากาศของเมืองกรุงมีสไตล์เยาวราชเเละอาหารสตรีทฟู้ด

อย่างในโซนนั่งเล่น ก็เป็นเบาะที่นั่งคล้ายกับ “รถตุ๊กตุ๊ก” บนผนังตกแต่งด้วยป้ายไฟภาษาจีน มีการนำ “ตะกร้าผลไม้” ที่ขายในตลาดมาทำเป็นชั้นเก็บของ เป็นต้น พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งบาร์นั่งกินขนมของว่าง มีห้องน้ำในตัว เเละห้องนอนที่ตกเเต่งด้วยเเสงไฟที่สร้างสีสันเหมือนย่านกลางคืนของกรุงเทพฯ

เมื่อถามถึงผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจากการระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ในขณะนี้ ผู้จัดการประจำภูมิภาค Booking.com กล่าวว่า มีผลต่อประเทศไทยพอสมควร เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย เเละได้มีการเดินทางลดลงมากตั้งแต่ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา

“ทางบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น ยังไม่มีตัวเลขที่เเน่ชัด แต่คาดว่าจะส่งผลในระยะสั้น เพราะการเดินทางท่องเที่ยวยังถือเป็นไลฟ์สไตล์ของคนทั่วโลกที่มีเเนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีนี้ทางบริษัทก็มีการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ไม่เพียงเเค่ชาวจีนเท่านั้น”

]]>
1263621
กรุงไทย ชี้คอนโดย่านรัชโยธิน เหมาะอยู่อาศัยมากกว่าลงทุน ผลตอบเเทนไม่จูงใจ https://positioningmag.com/1260030 Thu, 09 Jan 2020 11:30:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1260030 Photo : Pixabay

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.36 แสนล้านบาท หดตัว 5% ปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 5.5% สำหรับปีนี้มีแนวโน้มชี้คอนโดย่านรัชโยธิน เหมาะอยู่อาศัยมากกว่าลงทุน 

ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีแนวโน้มขยายตัว 5.5%

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งการปรับฐานของตลาดที่อยู่อาศัย จากการใช้เกณฑ์ LTV ใหม่ ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน อีกทั้งต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ เช่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวน ส่งผลให้ผู้ซื้อชาวจีนมีมุมมองว่าที่อยู่อาศัยในไทยมีราคาสูงขึ้น

โดยประเมินว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีมูลค่าอยู่ที่ 5.36 แสนล้านบาท หดตัว 5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม 2.42 แสนล้านบาท หดตัว 11% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบอยู่ที่ 2.94 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

“สำหรับในปีนี้ ประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มขยายตัว 5.5% เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการขยายตัวของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม 4.5% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบ 6% เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หันมาให้ความสำคัญกับบ้านแนวราบ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่อยู่อาศัยจริง”

ทั้งนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากมาตรการของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือรายการละ 0.01% รวมทั้งการเปิดส่วนต่อขยายของเส้นทางรถไฟฟ้า เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ที่ได้เปิดส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวตอนเหนือ จากสถานีหมอชิตไปยังพื้นที่รัชโยธินอีก 5 สถานี ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในบริเวณดังกล่าว

ชี้คอนโดย่านรัชโยธินเหมาะอยู่อาศัยจริง มากกว่าการลงทุน

ด้าน กณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมในย่านรัชโยธิน พบว่าเป็นหนึ่งในทำเลที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาคอนโดมิเนียม เพราะมีความสะดวกสบายในการเดินทาง และความอุดมสมบูรณ์ในหลายมิติ เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง สถานศึกษาที่สำคัญ รวมทั้งสถานพยาบาล

โดยมีตัวเลือกมากถึง 11,561 ยูนิต จาก 35 โครงการ ราคาขายต่อตารางเมตรประมาณ 93,600 บาท สำหรับโครงการเก่า และ 138,000 บาท สำหรับโครงการใหม่ ซึ่งถูกกว่าคอนโดมิเนียมในตัวเมืองอย่าง เพลินจิต-ชิดลม สีลม-สาทร ประมาณ 51% และพื้นที่รอบตัวเมือง เช่น พระราม9-เพชรบุรี-อโศก ราชเทวี และพญาไท ประมาณ 29% และแม้ว่ามียูนิตเหลือขายในพื้นที่มีมากถึง 2,910 ยูนิต แต่ยูนิตเหลือขายมีทิศทางปรับตัวลง แสดงให้เห็นว่าไม่ได้อยู่ในภาวะ Oversupply เมื่อเทียบกับสถานการณ์ของคอนโดมีเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง

“คอนโดมิเนียมในพื้นที่รัชโยธินเหมาะกับการอยู่อาศัยจริง แต่สำหรับการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างระหว่างต้นทุนซื้อกับราคาขายต่อ (Capital Gain) และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก โดยการซื้อคอนโดมิเนียมในพื้นที่รัชโยธิน เพื่อปล่อยเช่าเป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อนขายในปีสุดท้าย จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 3.2% ต่อปี ใกล้เคียงกับคอนโดมีเนียมย่านรัชดา-พระราม 9-อโศก แต่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ ในตัวเมือง เช่น เพลินจิต-ชิดลม ให้ผลตอบแทน 6.6% ต่อปี สีลม-สาทร ให้ผลตอบแทน 5.4% ต่อปี และสุขุมวิทช่วงต้น-กลาง ผลตอบแทน 4.8% ต่อปี”

]]>
1260030
รถติดกรุงเทพฯ สาหัส-ซับซ้อน จากสาทร สู่ “พระราม 4 โมเดล” เเผนใหม่ใช้ AI วิเคราะห์จราจร https://positioningmag.com/1254625 Wed, 27 Nov 2019 11:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254625 ว่ากันว่า กรุงเทพเมืองหลวงของเรานั้น “รถติดไม่เเพ้ชาติใดในโลก” เป็น Top 10 สุดยอดเมืองที่รถติดมากที่สุด ประชาชนจะออกไปไหนมาไหน ต้องเผื่อเวลาไว้ 1-2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ หัวข้อสนทนาสุดฮิตนอกจากดินฟ้าอากาศเเล้ว ก็คงหนีไม่พ้น “รถติด” กับ “ระบบขนส่งมวลชน” ที่เป็นปัญหา

วันนี้ Positioning พามารู้จัก “พระราม 4 โมเดล” นโยบายเเก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ใหม่ล่าสุด สานต่อจาก “สาทรโมเดล” โดยเป็นการผนึกหน่วยงานรัฐเเละเอกชน นำ Big Data เเละ AI มาแก้วิกฤตรถติดหนักมาก…หากได้ผลใน 1 ปี ก็จะลุยต่อแก้รถติดต่อบนถนนพระราม 6 เเละอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

จากสาทร สู่ พระราม 4  

ย้อนกลับไปดูความร่วมมือเเก้ปัญหารถติดเมืองหลวง ในโครงการสาทรโมเดล ที่เริ่มทำในเดือนมิถุนายน ปี 2557 โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรอย่างเป็นระบบบนถนนสาทรและบริเวณโดยรอบในรูปแบบต่างๆ เช่น โครงการจอดแล้วจรมาตรการรถรับส่ง มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน และมาตรการบริหารจัดการจราจร

พบว่าการจราจรบนถนนสาทรมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น 12.6% โดยความเร็วในการเดินรถเพิ่มขึ้นจาก 8.8 เป็น 14.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความยาวแถวลดลง 1 กิโลเมตรในชั่วโมงเร่งด่วน (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2559)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มาตรการบริการรถรับส่งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จในด้านยอดผู้ใช้บริการ เนื่องจากผู้คนใช้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ไม่นิยมการต่อรถ

“วิจัยของสาทรโมเดลนั้นทำให้เราเห็นปัญหาเเละทางเเก้ไขหลายจุด ซึ่งจะมีการนำไปพัฒนาในโครงการต่อยอดอย่าง พระราม 4 โมเดล จากเดิมที่มีการใช้วิธีวิจัยเเบบดั้งเดิมเป็นหลักเเละใช้เทคโนโลยีประกอบ ครั้งนี้เราจะหันมาใช้ Big Data เเละ AI (Artificial Intelligence) เพื่อเก็บข้อมูลเเละวิเคราะห์เป็นหลัก รวมถึงการวิเคราะห์เเบบ Real-Time เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุในอนาคตด้วย  รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ ภาค วิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ทำไมเลือกถนนพระราม 4?

ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม อธิบายถึงความแตกต่างของ  “สาทรโมเดล vs พระราม 4 โมเดล” ว่าการจัดการแก้ปัญหาจราจรบนถนนสาทรไม่ยุ่งยากมากนัก เนื่องจากมีระยะทางไม่ยาว และมีกิจกรรมสองข้างทางไม่มาก แตกต่างจากถนนพระราม 4 ตั้งแต่ช่วงหัวลำโพงถึงพระโขนง ซึ่งมีระยะทาง 12 กิโลเมตรและมีกิจกรรมสองข้างทางมากกว่า จึงมีความท้าทายในการแก้ปัญหาจราจรมากกว่าด้วย

โดยถนนพระราม 4 เป็นหนึ่งในถนนหลักของกรุงเทพฯ ที่มีสภาพการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ทั้งย่านการค้าเชิงพาณิชย์ ย่านธุรกิจ สำนักงานออฟฟิศ โรงแรมขนาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยสำคัญ โดยโครงการนี้จะเป็นโครงข่ายเชื่อมโยงกับเส้นทางสาทรโมเดลที่ได้เข้าไปแก้ปัญหาแล้วในเฟสแรก

นอกจากนี้ ถนนพระราม 4 นั้นมีปริมาณจราจรสูง แยกไฟแดงเยอะ โดยจะต่างกับถนนสาทรที่มีโรงเรียนเยอะ ซึ่งอาจจะต้องใช้รูปแบบที่ต่างกัน เช่น การปรับสัญญาณไฟจราจรโดยใช้ AI การติดกล้องวงจรปิดทุกสี่แยกให้ตำรวจจราจรเห็นภาพจราจรจริง ซึ่งจะทำให้จัดการสัญญาณไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น

ทั้งนี้ การขยายผลมาพัฒนาระบบในเส้นทางพระราม 4 ตั้งแต่หัวลำโพง-พระโขนง ระยะทาง 12 กิโลเมตร มีระยะเวลาในการจัดทำแผน 18 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2562 จนถึง เม.ย. 2564 ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท

พัฒนา AI เเก้ปัญหารถติด ขยายต่อพระราม 6 – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

มูลนิธิโตโยต้าโมบิลิตี้ (Toyota Mobility Foundation) ได้สนับสนุนเม็ดเงิน 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการ “พระราม 4โมเดล” โดยมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรโดยใช้ฐานข้อมูลดิจิทัลจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน เช่น ข้อมูล GPS จากรถของแกร็บ (Grab) และรถขนส่งสาธารณะ ภาพจากกล้อง CCTV ตามจุดต่างๆ  เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์สภาพจราจรล่วงหน้าโดยใช้ AI และ Machine Learning

ชิน อาโอยาม่า ประธานคณะเลขาธิการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่อยู่ระหว่างการเริ่มพัฒนาแผนแก้รถติดระหว่างปี 2020-2021 โดยเป็นเส้นทางพระรามที่ 6 รูปแบบถนนสี่เหลี่ยมจัตุรัสจุดเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปตามเส้นทางพหลโยธินแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประดิพัทธ์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปตัดกับถนนพระราม 6 ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนราชวิถี วนเข้าสู่จุดเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

โดยจะร่วมมือกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านการสัญจร ทั้งจากภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา อย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information Center : iTIC) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) และ Siametrics

พร้อมได้รับการสนับสนุนจากผู้มีความชำนาญด้านโมบิลิตี้อย่าง แกร็บ (Grab) และ เวย์แคร์ (WayCare) เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับเงื่อนไขและสภาพการจราจร รายละเอียดเชิงลึกเพื่อมาออกแบบระบบจราจรโครงข่ายการขนส่งการปรับปรุงผังเมืองให้เหมาะสม และคาดการณ์ปัญหาการจราจรในอนาคต

ด้าน ศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้สนับสนุน “พระราม 4 โมเดล” โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการจราจร เช่น ตำแหน่งทางข้าม สัญญาณไฟจราจรทางข้าม จุดจอดรถโดยสารประจำทาง กายภาพถนน รัศมีการเลี้ยวเข้าออกซอย อาคารขนาดใหญ่หรือแยกต่างๆ อีกทั้งได้ประสานกับสถานีตำรวจนครบาลและสำนักงานเขตพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาการจราจรและการจัดการจราจรเฉพาะช่วงเวลาด้วย

รวมถึงประสานข้อมูลจำนวนที่จอดรถยนต์ในอาคารขนาดใหญ่ของภาครัฐและภาคเอกชน โดยจะนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์หาแนวทางแก้ปัญหาด้วยระบบ AI เพื่อปรับปรุงระบบสัญญาณไฟจราจร การเพิ่ม-ลดตำแหน่งทางข้าม และการปรับปรุงกายภาพถนน นอกจากนี้ กทม.ยังได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในบริเวณทางแยกหลักตลอดแนวถนนพระราม 4 และถนนสายรอง รวมทั้งจัดเก็บข้อมูลการจราจรบนถนนตลอด 24 ชั่วโมง

รถติดกรุงเทพฯ สาหัส-ซับซ้อน ต้องเริ่มนำ Big Data มาใช้จริง

“เมืองไทยมี Big Data เยอะ แต่ปัญหาคือไม่มีใครเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มี Know–how แก้ปัญหาเฉพาะได้ อีกทั้งปัญหาจราจรของประเทศเราก็แตกต่างกับประเทศอื่นค่อนข้างมาก มีปัจจัยซับซ้อนเเละอยู่ในอาการสาหัส รวมไปถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่ดูแลอาจไม่เชื่อมโยงเท่าที่ควร ดังนั้น พระราม 4 โมเดล จึงเป็นเหมือนต้นแบบที่เราจะทำให้ขึ้นเพื่อจุดประกายให้เกิดการนำข้อมูลไปใช้จริง ถือเป็นก้าวสำคัญ…ถ้าไม่ทำก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง” รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

เบื้องต้นจะมีการเก็บข้อมูลการแล่นของรถบนเส้นทางพระราม 4 เพื่อหาเทคนิคการกดสัญญาณไฟจราจร มีเซนเซอร์จับปริมาณการจราจรตามสี่แยกไฟแดงเพื่อกำหนดการปล่อยจราจรให้สอดคล้องกับสภาพจริงมากที่สุด ซึ่งการเก็บข้อมูลจะอยู่บนกฎความเป็นส่วนตัวของประชาชนด้วย และจะมีการใช้ระบบ AI เข้ามาบริหารความคล่องตัวของสภาพจราจร โดยในอนาคตมีแผนจะจัดทำป้ายอัจฉริยะตามแนวเส้นทางที่รถติด เพื่อบอกปริมาณช่องจอดรถที่ยังว่างอยู่ของแต่ละอาคารตามแนวเส้นทางโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้ามาในพื้นที่ได้ทราบถึงจุดจอดรถ เป็นต้น

รศ.ดร.สรวิศ ทิ้งท้ายว่า ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ นั้นนับว่าอยู่ในระดับสาหัส “พระราม 4 โมเดล” จะได้ผลแค่ไหนและจะแก้ไขในระยะยาวได้หรือไม่…ทุกคนต้องช่วยกัน  

 

 

]]>
1254625