กลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่นอันดับ 1 ของไทย อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลาย และความเท่าเทียมมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ที่ “สยามเซ็นเตอร์” ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของทุกความหลากหลาย พร้อมมอบโอกาสให้แก่ทุกคนในฐานะเมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ หรือ Ideaopolis ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สยามเซ็นเตอร์สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเวทีแจ้งเกิดผู้มีความสามารถในวงการแฟชั่น ตั้งแต่ยังก์ดีไซเนอร์ไปจนถึงแบรนด์ไทยระดับแถวหน้าของวงการ และแบรนด์ระดับตำนานที่เติบโตโดดเด่นในเวทีโลก ขณะเดียวกันสยามเซ็นเตอร์สนับสนุนงานเฉลิมฉลองในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงาน Bangkok Pride Festival 2024 ที่จัดโดย บางกอกไพรด์และกรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นมหกรรมไพรด์อีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาร่วมงานหลายแสนคน
สยามเซ็นเตอร์ เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ ศูนย์การค้ามาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทย ที่ครองใจคนไทยและนักท่องเที่ยวมาทุกยุคทุกสมัย และบรรดาร้านค้าชื่อดังทั้งในประเทศและต่างประเทศล้วนเปิดสาขาแรกที่สยามเซ็นเตอร์ และยังเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นที่ล้ำสมัยอยู่เสมอ เป็นสถานที่ในดวงใจของบรรดานักออกแบบดีไซเนอร์ที่ใฝ่ฝันอยากมาเปิดร้านภายในบ้านหลังใหญ่ของไทยดีไซเนอร์แห่งนี้ สยามเซ็นเตอร์ได้มอบโอกาสให้แก่ นิสิต นักศึกษา นักออกแบบรุ่นใหม่ ทุกเพศสภาพ ได้เวทีในการนำเสนอพลังสร้างสรรค์ โดยการแข่งขันประกวดยังก์ดีไซเนอร์ พร้อมผลักดันให้ก้าวสู่ธุรกิจแฟชั่น และร่วมพัฒนาแบรนด์ เพื่อให้ยืนหยัดในวงการแฟชั่นทั้งไทยและระดับโลก แน่นอนว่าวงการแฟชั่นเป็นศูนย์รวมของคอมมูนิตี้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งดีไซเนอร์ สไตลิสต์ เมคอัพอาร์ทิส ช่างทำผม นักออกแบบ ออแกไนเซอร์ และอาชีพอื่นๆ อีกมากมาย สยามเซ็นเตอร์จึงเป็นเสมือนเพื่อนสนิทของเหล่า LGBTQ+ มาอย่างยาวนาน
ล้ำเทรนด์ หรือ Ideaopolis ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สยามเซ็นเตอร์สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเวทีแจ้งเกิดผู้มีความสามารถในวงการแฟชั่น ตั้งแต่ยังก์ดีไซเนอร์ไปจนถึงแบรนด์ไทยระดับแถวหน้าของวงการ และแบรนด์ระดับตำนานที่เติบโตโดดเด่นในเวทีโลก ขณะเดียวกันสยามเซ็นเตอร์สนับสนุนงานเฉลิมฉลองในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงาน Bangkok Pride Festival 2024 ที่จัดโดย บางกอกไพรด์และกรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นมหกรรมไพรด์อีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ ที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาร่วมงานหลายแสนคน
ไทยดีไซเนอร์ที่ได้ร่วมก้าวเดินและรันวงการแฟชั่นไทยร่วมกับสยามเซ็นเตอร์ มีมากมาย อาทิ AB-Normal, Anatomie, Baking Soda, Curated by Ek Thongprasert, Flynow, Frank Garcon, Friday27Nov, Good Mixer, Greyhound, House of PB, ICONICS, Kanapot, Kloset, Leisure Project, Milin, P.Mith, Painkiller, Playhound by Greyhound, Q design and Play, Rotsaniyom, Senada, Shaka Leisure, Theatre, Tube Gallery, Wonder และอีกมากมาย ที่เปิดในร้าน Absolute Siam Store และ The Wonder Room ไทยดีไซเนอร์เหล่านี้ นับเป็นผู้มีความสำคัญต่อวงการแฟชั่นไทย นำเสนอพลังความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวไทยและคนทั่วโลก เป็น Soft Power ที่สร้างเม็ดเงินในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยจนเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้แก่ประเทศ มีไทยดีไซเนอร์หลากหลายแบรนด์ที่เปิดร้านในสยามเซ็นเตอร์มาอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันอีกหลายแบรนด์ได้ขยับขยายธุรกิจ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผูกพันและความภาคภูมิใจที่สยามเซ็นเตอร์มีให้ต่อไทยดีไซเนอร์ไทยทุกแบรนด์มาโดยตลอด
ปัจจุบันสยามเซ็นเตอร์ยังครองความเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและนำเสนอเทรนด์สุดล้ำแห่งยุคสมัย นำเสนอแฟชั่นที่ตอบสนองสไตล์และคอมมูนิตี้ที่แตกต่าง รวมทั้งร้าน Absolute Siam ศูนย์รวมงานสร้างสรรค์สินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์และของที่ระลึก นำเสนอสินค้าที่แตกต่างมีจำหน่ายเฉพาะที่สยามเซ็นเตอร์เพียงแห่งเดียว สร้างสรรค์ครีเอทด้วยดีไซน์แปลกใหม่จากการร่วมคอลลาบอเรชั่นระหว่างแบรนด์ไทยดีไซเนอร์ชื่อดัง เป็นสินค้า Exclusive แบบไม่เคยมีมาก่อน
ด้วยจุดยืนที่มุ่งมั่นและสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equality & Inclusion) มาโดยตลอด โดยสยามเซ็นเตอร์เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้ร่วมกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) องค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานเพื่อพัฒนาชีวิตของผู้คนตามหลักธรรมาภิบาลในทุกด้าน และได้ทำงานร่วมกันมาโดยตลอดทุกศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ซึ่งเป็นการออกแบบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการบริการต่างๆ เพื่อคนทั้งมวล
ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีสำคัญที่ประเทศไทยจะมีกฏหมายสมรสเท่าเทียม นับเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มสยามพิวรรธน์จึงผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ สนับสนุนการจัดงาน Bangkok Pride Festival 2024 ในหลากหลายมิติ ภายใต้แคมเปญ “The Celebration: Right to Love” ตลอดทั้งเดือนมิถุนายน นี้
โดยสยามเซ็นเตอร์ ร่วมสร้างไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาคนทั่วโลก โดยการนำเวิลด์คาแรกเตอร์ระดับโลก “Teletubbies” มาร่วมเป็น Pride Ambassador และจัดงาน Siam Center x Teletubbies Experience Space และงาน Wacoal X Teletubbies Café ซึ่งเป็น Teletubbies Café แห่งแรกในเอเชีย สร้างความฮือฮาและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ขณะที่ สยามพารากอน ได้เปิดพื้นที่ ให้กับ บางกอกไพรด์ และ กรุงเทพมหานคร จัดงาน Bangkok Pride Forum 2024 เวทีสำคัญที่บุคคลและผู้แทนองค์กรที่ทำงานและเกี่ยวข้องกับด้านสิทธิ LGBTQ+ และสตรีทั้งไทยและต่างประเทศ มาร่วมเสวนาและให้ความรู้กว่า 30 หัวข้อ และ Drag Bangkok Festival 2024 เทศกาลแดร็กสุดยิ่งใหญ่ระดับโลกครั้งแรกในไทยและเอเชียโดยร่วมมือพันธมิตร คือ เยลโล่ แชนแนล และ องค์กรบางกอกไพรด์ ถือเป็นมิติใหม่ของการสร้างปรากฏการณ์ที่ให้ทั้งสาระและความสนุกสนาน ด้านไอคอนสยามและไอซีเอส จัดแคมเปญ “ICONSIAM Pride Out Loud เฉิดฉายหัวใจภาคภูมิ” เพื่อยกย่องและเชิดชูคุณค่าที่อยู่ในตัวตนของเพศที่หลากหลายในทุกอาชีพ โดยจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน
สยามพิวรรธน์ ยังสร้างกิมมิกใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยการเปิดตัวน้ำดื่มวันสยาม Pride Edition ที่เป็น Limited Edition ดีไซน์ใหม่ด้วยสีลวดลายของกระป๋องเป็น 6 สีสันสดใส ตามธงสีรุ้ง ที่มาพร้อมแนวคิดขับเคลื่อนสังคมบริโภคยั่งยืนด้วยบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มจากอะลูมิเนียมสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ 100% สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste และการขับเคลื่อนสู่องค์กรขยะเป็นศูนย์
ทั้งหมดนี้สะท้อนความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ ผู้สร้าง Global Destination ของไทย ที่มุ่งมั่นนำเสนอไอคอนิคอีเวนต์ยิ่งใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ใหม่ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมร่วมสนับสนุนอย่างแข็งขันและผลักดันให้ประเทศไทยฉายศักยภาพมุ่งสู่เป้าหมายในการจัด Bangkok WorldPride 2030
]]>ภาพใหญ่ของแบรนด์ “แสนสิริ” ชูคอนเซ็ปต์ “YOU-Centric” มาพักใหญ่ นิยามของคอนเซ็ปต์นี้คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการจะมีลูกค้าหรือ ‘คุณ’ เป็นศูนย์กลาง นั่นหมายถึงการพัฒนาจะหลากหลายมากขึ้น เพราะแต่ละคนมีความต้องการแตกต่างกัน
และดูเหมือนว่าการสื่อสารแบรนด์และการพัฒนาบ้าน-คอนโดมิเนียมของแสนสิริตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะตรงใจกลุ่มเป้าหมาย วัดผลจากการได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์ The Most Powerful Real Estate Brand จัดโดย TerraBKK มา 4 ปีซ้อน (2018-2021)
มาถึงปีนี้ แสนสิริเดินหน้าต่อ แตกแคมเปญการตลาดส่งเสริมแบรนด์แยกย่อยออกมาจากแกนคอนเซ็ปต์ดังกล่าว ในชื่อ “YOU Are Made For Life” เน้นย้ำคุณค่าความแตกต่างของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านเพศสภาพ กายภาพ อายุ ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ โดยในภาพยนตร์โฆษณาที่ออกมาจะสื่อสารโดยใช้ตัวแสดงที่มีทั้งเด็กพิเศษ, ผู้ใช้ภาษามือ, LGBTQ+, ผู้หญิงที่ภูมิใจในรูปร่างของตนเอง (Body Positivity)
รวมถึงใช้ Brand Endorsers จากหลากหลายวงการ หลายไลฟ์สไตล์เพื่อสื่อถึงแคมเปญ ได้แก่ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร, พีค-ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ, แนน-ปิยะดา จิระพจชพร, สุธีวัน กุญชร หรือ ใบเตย อาร์สยาม, นัท-นิสามณี สะบัดแปรง, ปอป้อ-ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตัน และ เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม
จากการเปิดตัวแคมเปญ เรามีโอกาสได้คุยกับ “ทศพร กรกิจ” Head of Brand Team และ “เฉลิมขวัญ คำสุระ” Brand Manager สองผู้บริหารจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เพื่อย้อนที่มาที่ไปของการสร้างแบรนด์แสนสิริมาในแนวทางของ “ความหลากหลาย และ ความเท่าเทียม”
ทศพร: แสนสิริตั้งแต่ดั้งเดิมเรามีความเป็น Global Citizen อยู่แล้ว ประกอบกับวิสัยทัศน์จากผู้บริหาร topline ลงมา วางทิศทางของบริษัทในระยะหลังว่า บริษัทจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ก่อสร้างอิฐ หิน ปูน ทราย และไม่ใช่แค่ตัวบ้านหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่เป็นการดูแล ‘ชีวิต’
ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แสนสิริเริ่มเข้าไปพาร์ทเนอร์กับ UNICEF ทำงานเรื่องเด็กและเยาวชนก่อน ก่อนจะค่อยๆ ขยายไปยังเรื่องอื่นที่สะท้อนการสร้างความเท่าเทียมในการใช้ชีวิต เช่น เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เรื่องผู้มีข้อจำกัดด้านกายภาพ
ทศพร: ตัวอย่างเรื่องความหลากหลาย ดังที่บอกว่าเราต้องการตอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคน ทำให้แบรนด์และการดีไซน์เราแยกย่อยออกมา เช่น กลุ่มบ้านเดี่ยวลักชัวรี แต่เดิมเรามี “นาราสิริ” อยู่แล้ว แต่เมื่อไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ต้องการความแตกต่าง เราก็แยกแบรนด์ใหม่ออกมาคือ BuGaan เป็นบ้านลักชัวรีในอีกแบบหนึ่ง
เฉลิมขวัญ: ส่วนด้านความเท่าเทียม จะสังเกตได้จากแบรนด์ทาวน์เฮาส์ของเราคือ “สิริ เพลส” เป็นทาวน์เฮาส์ระดับ affordable ราคาประมาณ 2 ล้านบาท แต่ละทำเลของแบรนด์ฯเราดีไซน์ให้ต่างกัน อย่างทำเลบางนา-เทพารักษ์ เป็นสไตล์นิวยอร์ก ทำเลรังสิต-คลอง 2 เป็นสไตล์ญี่ปุ่น การดีไซน์ใหม่ทำให้แสนสิริทำงานหนักขึ้น แต่เราทำเพราะเราใส่ใจไม่ต่างจากเซ็กเมนต์ที่ราคาสูงกว่านี้ ทีมงานรักษาความปลอดภัยในโครงการเราก็ฝึกแบบเดียวกันหมด ไม่ได้แยกระดับตามราคา
ทศพร: เสริมในแง่บริการ เมื่อราว 2 ปีก่อน เราพบว่ามีคู่รัก LGBTQ+ ต้องการกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน แต่ไม่สามารถกู้ได้ เพราะธนาคารส่วนมากไม่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกัน คนละนามสกุล ไม่มีทะเบียนสมรส กู้สินเชื่อบ้านร่วมกันได้ เรื่องนี้คุณเศรษฐา (– เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ) เข้าไปพบผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยตนเอง เพื่อร้องขอให้ธนาคารเปิดให้ LGBTQ+ กู้บ้านร่วมกันได้
ทศพร: คนไทยบางส่วนอาจจะยังติดภาพอยู่ว่า ตัวแสดงต้องสวยหล่อ หน้าตาดี หุ่นดี ร่างกายสมบูรณ์ หรือ LGBTQ+ ที่จริงคนไทยอาจจะยังไม่ได้ยอมรับอย่างเต็มที่ แต่เราก็เลือกมาเพราะต้องการฉีกข้อห้ามเหล่านี้ของสังคม
เราต้องการจะให้คนไทยมองแบรนด์แสนสิริเป็น “E-D-I” คือเป็นคนที่รักความเท่าเทียม (Equality), ความหลากหลาย (Diversity) และรับทุกความแตกต่างเป็นหนึ่งเดียว (Inclusion)
ทศพร: เป็นเรื่องจริงที่เมื่อก่อนลูกค้าเลือกซื้อบ้านจากทำเลและราคาเป็นหลัก แต่วันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เรามีการศึกษาร่วมกับ Ogilvy ซึ่งทำให้เห็นขั้นตอนการตัดสินใจของลูกค้าเป็น 4 ลำดับ คือ
1)เลือกรัศมีทำเลที่ต้องการอยู่อาศัย
2)จินตนาการภาพการอาศัยอยู่ในโครงการนั้น มองชุมชนและเพื่อนบ้าน จะเป็นสไตล์เดียวกันหรือไม่
3)สถานที่สำคัญใกล้เคียงมีอะไรบ้าง เช่น โรงเรียน
4)สิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในโครงการ
จะเห็นได้ว่าเรื่องทำเลยังมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เรื่องของ “ชุมชน” และ “ไลฟ์สไตล์” การอยู่อาศัย กลายเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้นมา ในส่วนนี้การวางแบรนด์จะเข้ามาผูกพันกับเรื่องของไลฟ์สไตล์คนในชุมชนเดียวกัน
ทศพร: เป้าหมายสุดท้ายต้องเปลี่ยนเป็นยอดขาย แต่การสร้างแบรนด์ลักษณะนี้ไม่ได้ชี้วัดได้เร็ว อย่างเราสร้าง YOU-Centric มานานถึง 5 ปี กว่าจะเห็นยอดขายจับต้องได้แบบนี้ โดยปีนี้บริษัทเราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท
เฉลิมขวัญ: หลังจากนี้เราต้องยิ่งผลักดันให้แคมเปญเข้าไปฝังในทุกๆ touchpoints ที่ลูกค้าจะได้พบ เช่น คอลเซ็นเตอร์ ก็ต้องสร้างความหลากหลายและเท่าเทียม ลูกค้าจะไม่ได้เห็นเฉพาะในโฆษณาอย่างแน่นอน
]]>
หลังธุรกิจการบินในสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว ล่าสุดสายการบิน United Airlines สร้างความแตกต่าง ด้วยการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการแต่งกายของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน อนุญาตให้ลูกเรือ “ทุกเพศ” สามารถไว้ผมยาว แต่งหน้า ทาเล็บ และมีรอยสักได้แล้ว
แน่นอนว่าระเบียบใหม่จะยังมีขอบเขตอยู่บ้าง เช่น การแต่งหน้ายังต้องมีลักษณะที่ “ดูเป็นธรรมชาติ” ปล่อยผมได้หากยาวไม่เกินไหล่และต้องรักษาสภาพให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ รอยสักนอกร่มผ้าต้องไม่ใหญ่ไปกว่าขนาดตราประจำตัวของลูกเรือ ไม่เป็นภาพหรือคำที่หยาบคาย/น่ารังเกียจ รวมถึงห้ามมีรอยสักบนใบหน้า ศีรษะ และมือ อนุญาตให้มีรอยสักได้ไม่เกิน 1 จุดต่อแขน 1 ข้าง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กฎใหม่นี้นับเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างเสรีภาพการแสดงออกทางเพศของลูกเรือมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ลูกเรือที่มีเพศกำเนิดเป็นชายจะไม่สามารถแต่งหน้า ทาเล็บ หรือไว้ผมยาวเกินปกคอเสื้อได้ รวมถึงก่อนหน้านี้ลูกเรือทุกเพศห้ามมีรอยสักนอกร่มผ้าเด็ดขาด
แถลงการณ์ของ United Airlines ระบุว่า การปรับเปลี่ยนระเบียบครั้งนี้เป็นไปเพื่อ “ส่งเสริมให้พนักงานนำเสนอตนเองในทางที่พวกเขารู้สึกมั่นใจมากที่สุด”
“ระเบียบการแต่งหน้าแต่งกายที่ปรับให้ทันสมัยของเรา จะสนับสนุน ส่งเสริม และสร้างสภาวะแวดล้อมเชิงบวกให้กับพนักงานและลูกค้าของเราเช่นเดียวกัน” United Airlines แถลง
ไรอัน บริกส์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรายหนึ่งของ United Airlines กล่าวว่า เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงออกถึงตัวตนของตนเองแบบเดียวกับที่เขาเป็นนอกเวลางาน บริกส์ซึ่งระบุตนเองเป็นเพศนอนไบนารี (ไม่ระบุว่าตนเป็นหญิงหรือชาย) เปิดเผยว่าเขามักจะทาเล็บและแต่งหน้าเป็นประจำนอกเวลางาน
นโยบายการสวมใส่ยูนิฟอร์มและการแต่งหน้าของกลุ่มอาชีพที่ยังต้องสวมชุดเครื่องแบบนั้นค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปในห้วงเวลาที่ผ่านมา แต่มักจะปรับในฝั่งของพนักงานที่ระบุเพศของตนเป็นเพศหญิงมากกว่า เช่น หลายสายการบินอนุญาตให้เพศหญิงสวมกางเกงแทนกระโปรงได้ อนุญาตให้เพศหญิงไม่ต้องแต่งหน้าได้ แต่ฝั่งเพศชายมักจะยังใช้กฎระเบียบแบบเดิมๆ การปรับระเบียบของ United Airlines จึงเป็นก้าวที่สำคัญมาก เพราะสื่อถึงการยอมรับการแสดงออกของทุกเพศแบบเท่าเทียมกัน
United Airlines จะเริ่มใช้ระเบียบใหม่ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนนี้ เริ่มจากกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและกลุ่มกราวนด์สตาฟ ก่อนที่จะขยายไปถึงกลุ่มอาชีพอื่นๆ เช่น นักบิน ภายในสิ้นปีนี้
]]>ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH กล่าวว่า Pride Clinic จะเป็น ‘ทางเลือก’ ในการดูแลสุขภาพตามความต้องการ ให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ด้วยการบริบาลตามมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด ทั้งก่อนเข้ารับบริการ ในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาว
ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย มีอยู่ทั่วโลกราว 468 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเอเชียถึง 288 ล้านคน เเละในไทยประมาณ 4 ล้านคน
“บริการของ Pride Clinic ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งจากชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยล่าสุดบำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีน ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลัก รวมไปถึงมีเเผนจะทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย”
ในเบื้องต้นเเม้จะยังไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขทางธุรกิจ เเต่โรงพยาบาลมองว่า ธุรกิจใหม่นี้จะเติบโตได้ดีในอนาคตเเละคาดหวังว่าจะทำรายได้เพิ่ม 2-3 เท่า โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในเรตที่กว้างมาก เพราะความต้องการของเเต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ‘ออปชั่น’ ที่อยากได้เเละความเหมาะสมกับร่างกายเเละจิตใจ ตามคอนเซ็ปต์ ‘Be the best version of you’
สำหรับ ‘Pride Clinic’ จะเปิดให้บริการกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีอายุตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป รวมถึงให้คำปรึกษาผู้ปกครองและญาติมิตร
นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิดและมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
ดังนั้น ‘Pride Clinic’ จึงได้รับการออกแบบให้มีการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ครบวงจร ปลอดภัยเเละดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เช่น
“จุดเเข็งของ Pride Clinic คือการดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลจริงๆ เพราะต้องเทคฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน ไม่ใช่เเค่ผ่าตัดเสร็จเเล้วก็จบ เเต่คือการดูเเลระยะยาว 20-30 ปี ไปตลอดชีวิต”
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Pride Clinic คือการมีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด ที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก
โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบริบาลดูแลในช่วงการ ‘พักฟื้นภายหลังผ่าตัด’ อย่างต่อเนื่องที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบ ‘เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล’ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล
ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% ขณะที่ ‘สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
เมื่อการเเพร่ระบาดยังไม่หมดไปในเร็ววัน บำรุงราษฎร์ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อหารายได้ช่องทางใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ขยับหาลูกค้าชาวไทยมากขึ้น พร้อมชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ราว 2.45 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก โดยมีการจัดเเคมเปญต่างๆ ออกแพ็กเกจโปรโมชัน คอร์สรักษาในราคาพิเศษ ฯลฯ
ก่อนหน้านี้ BH หันมาจับมือกับ ‘คลินิกขนาดเล็ก’ เพื่อขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด ให้เข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น ตามแนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก เเละล่าสุดกับเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่าง Pride Clinic ที่มุ่งเจาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก
“ขณะนี้สัดส่วนการเติบโตคนไข้ชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการรักษาโรคเฉพาะทาง คนไข้ต่างชาติก็มีเข้ามาเป็นเที่ยวบินพิเศษ ต่อไปหากสามารถเปิดประเทศได้ ก็จะทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ภญ. อาทิรัตน์ระบุ
]]>