“กรณ์ ณรงค์เดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดตัวโครงการสร้างเสร็จใหม่ของบริษัท “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรีทำเลในซอยสุขุมวิท 26 ห่างจากสถานี BTS พร้อมพงษ์ 200 เมตร จำนวนห้องชุดเพียง 146 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 16.8 ล้านบาทต่อยูนิต หรือเฉลี่ย 350,000 บาทต่อตร.ม.
ปัจจุบันดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์สร้างยอดขายได้แล้ว 70% โดยในจำนวนนี้ 40% เป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าไทย โดยห้องชุดที่ราคาสูงที่สุดคือ Penthouse จำนวน 3 ห้องบนยอดตึกถูกเหมาไปโดยเศรษฐีไทยรายเดียวและผสานยูนิตเป็น Penthouse 3 ชั้นขนาดกว่า 1,000 ตร.ม. กรณ์กล่าวว่า ห้องชุดที่เหลือของตึกตั้งเป้าขายหมดภายในไตรมาส 2/2566
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์จะเริ่มเดือนตุลาคมนี้ ทำให้ปี 2565 ไรมอน แลนด์จะได้รับรายได้จากโครงการนี้ราว 2,000-2,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้ซื้อบางส่วนซึ่งเป็นชาวจีนขณะนี้อาจจะยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพราะประเทศจีนยังไม่เปิดให้ชาวจีนเดินทางเข้าออกพรมแดน แต่เมื่อใดที่จีนเปิดประเทศ ผู้ซื้อจีนพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ทันที ปัจจุบันยังไม่มีการทิ้งดาวน์
สำหรับโครงการที่จะเปิดตัวใหม่ กรณ์กล่าวว่า โครงการโรสวู้ด เรสซิเดนซ์ กมลา ภูเก็ต ซึ่งจะเป็นวิลล่าหรูบนเชิงเขา ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนออกแบบและก่อสร้างยูนิตตัวอย่าง คาดจะเปิดขายได้ภายใน Q4/65 หรือ Q1/66
ส่วนโครงการคอนโดฯ ซอยสุขุมวิท 38 กำลังออกแบบเช่นกัน แต่คาดว่าจะเลื่อนไปเปิดตัวปี 2566 จากเดิมที่จะเปิดในปีนี้
ตารางการเปิดโครงการใหม่ๆ ของไรมอน แลนด์ ยังมีดีลใหม่จ่อเข้ามาเสริมทัพด้วย โดยกรณ์ระบุว่าสัปดาห์หน้าบริษัทจะเซ็นดีลกับเจ้าของที่ดินทางภาคใต้รายหนึ่งเพื่อนำมาพัฒนาโครงการหรู ตามกลยุทธ์บริษัทที่ต้องการถือสินทรัพย์ให้น้อยลง (Light Asset) ใช้วิธีเป็นพันธมิตรกับเจ้าของที่ดินและพัฒนาโครงการร่วมกันมากกว่าซื้อขาดที่ดินเข้ามาในพอร์ต
หนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มณรงค์เดชหลังจากเข้ามาซื้อกิจการไรมอน แลนด์เมื่อปี 2564 คือ การสร้างความสม่ำเสมอในการเก็บเกี่ยวรายได้ ทำให้มีการขยับกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อหยุดขาดทุนและเริ่มทำกำไร (อ่านกลยุทธ์ดังกล่าวได้ที่นี่)
หลังจากมาปูพื้นบริษัทใหม่แล้ว กรณ์หวังว่าปี 2566 น่าจะเป็นปีแรกที่บริษัทเทิร์นอะราวด์ กลับมาทำกำไรได้สำเร็จ เนื่องจากจะมีการโอนต่อเนื่องของดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ และเทตต์ สาทร 12 คอนโดฯ หรูอีกแห่งหนึ่งก็จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์
รวมถึงตึกสำนักงาน One City Centre เพลินจิต ก็จะก่อสร้างเสร็จมกราคม 2566 ทำให้เริ่มเก็บรายได้ได้ ออฟฟิศนี้ปัจจุบันราคาเช่าพุ่งขึ้นมาถึง 1,500 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน และน่าจะทำรายได้คิดเป็น 10% ของพอร์ตรวมของไรมอน แลนด์
กรณ์กล่าวว่า เชื่อว่าตลาดระดับซูเปอร์ลักชัวรีกลับมาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว จากช่วง Q3/65 ยอดขายของโครงการเทตต์ สาทร 12 ทำได้ดีเป็นเท่าตัวจากเป้าที่ตั้งไว้ รวมถึงกำลังซื้อต่างชาติก็ยังมี แม้คนจีนยังเดินทางมาไม่ได้ แต่สามารถปิดการขายผ่านระบบออนไลน์ได้ กำลังซื้อเศรษฐียุโรปก็ฟื้นตัวแล้ว และยังเริ่มเห็นสัญญาณดีจากตลาด ‘เพื่อนบ้าน’ เช่น เมียนมา กัมพูชา คนรุ่นใหม่นิยมเข้ามาซื้อคอนโดฯ เมืองไทย เป้าหมายการหันมาจับแต่ตลาดซูเปอร์ลักชัวรีเท่านั้นของ RML จึงมองว่าน่าจะเป็นทิศทางที่ไปได้สวย
]]>“อุษณา มหากิจศิริ” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการ “125 สาทร” คอนโดมิเนียมหรูมูลค่าโครงการกว่า 8,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 3 ไร่ ริมถนนสาทร ติดกับสถานทูตสิงคโปร์ ระยะ 500 เมตรจากสถานี BTS ช่องนนทรี
โดยโครงการเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ (KRD) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือธุรกิจพลังงานรายใหญ่ของญี่ปุ่น และ บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด (TCC) บริษัทด้านการก่อสร้างและอสังหาฯ จากญี่ปุ่นเช่นกัน การร่วมทุนครั้งนี้ TTA ถือหุ้น 60% บริษัท KRD ถือหุ้น 30% และ TCC ถือหุ้น 10%
125 สาทร เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรีบนที่ดินหน้ากว้าง 97 เมตร ออกแบบแบ่งเป็น 2 อาคาร จำนวนห้องชุดรวม 755 ยูนิต ห้องชุดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 28.5 ตร.ม. ราคาเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตร.ม. เริ่ม 5.9 ล้านบาทต่อยูนิต
อุษณากล่าวว่า ย่านสาทรถือเป็นย่านที่มีดีมานด์สูงแต่มีซัพพลายไม่มาก เนื่องจากเป็นแหล่งออฟฟิศ มีคนทำงานประจำในพื้นที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 260,000 คน และในอนาคตจะมีเมกะโปรเจ็กต์ในย่านใกล้เคียงเกิดขึ้น เช่น วันแบงค็อก (หัวมุมแยกวิทยุ พระราม 4-สาทร), ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (หัวมุมแยกพระราม 4-สีลม) ซึ่งจะทำให้ความเจริญยิ่งมากขึ้น และมีความต้องการที่พักอาศัยสูงขึ้น
ขณะที่ราคาของ 125 สาทร บริษัทเชื่อว่าเป็นราคาแข่งขันได้ในคอนโดฯ ระดับเดียวกัน เนื่องจากราคาเริ่มต้นไม่ถึง 6 ล้านบาท ซึ่งหาได้ยากแล้วในย่านนี้
Positioning สำรวจคอนโดฯ ใกล้เคียงที่ยังอยู่ระหว่างขาย เช่น ศุภาลัย ไอคอน สาทร ราคาเริ่มที่ 9 ล้านบาท (ห้องชุดขนาด 42 ตร.ม.) เทตต์ 12 สาทร ราคาเริ่มที่ 9 ล้านบาท (ห้องชุดขนาด 40 ตร.ม.) อนิล สาทร 12 ราคาจะเริ่มที่ 11 ล้านบาท (ห้องชุดขนาด 45 ตร.ม.) เดอะ รีเซิร์ฟ สาทร ราคาเริ่ม 12.9 ล้านบาท (ห้องชุดขนาด 50 ตร.ม.) เห็นได้ว่าการเลือกพัฒนาห้องชุดเริ่มต้นขนาดเล็ก ทำให้คนทำงานออฟฟิศมีโอกาสเอื้อมถึงคอนโดฯ ย่านสาทรได้มากขึ้น
ภัทร์กร วงศ์สวรรค์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวต่อว่า พื้นที่สำนักงาน 1 ใน 4 ของกรุงเทพฯ อยู่ในย่านสาทร-สีลม ทำให้บริษัทตั้งใจดึงดูดเรียลดีมานด์กลุ่มคนทำงานออฟฟิศ
สำหรับกำลังซื้อต่างชาติจะเน้น Expat ที่เป็นเรียลดีมานด์มากกว่านักลงทุนจากต่างประเทศ คาดหวังว่าจะได้ยอดขายจากต่างชาติราว 20-30% โดยการมีพันธมิตรเป็นบริษัทญี่ปุ่นจะช่วยผลักดันตลาดได้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเชื่อว่าจะเป็นกลุ่มยุโรป ทั้งจากออฟฟิศและสถานทูตที่รายล้อมสาทร
โครงการ 125 สาทรจะเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการ 18-19 มิถุนายนนี้ ภัทร์กรกล่าวว่า บริษัทคาดหวังเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี และจะเริ่มการก่อสร้างปลายปี 2565 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2569
โครงการ 125 สาทรนั้นยังมีประเด็นที่ต้องจับตา เนื่องจากที่ดินโครงการตั้งอยู่ด้านหน้าคอนโดมิเนียม THE MET คอนโดฯ สูง 66 ชั้น ที่สร้างเสร็จเมื่อปี 2552 พัฒนาโดย Hotel Properties Limited Group กลุ่มทุนสิงคโปร์ แต่เดิมที่ดินด้านหน้าคอนโดฯ มีแผนจะก่อสร้างเป็นโรงแรมและคาดว่าจะพัฒนาให้เป็นตึกเตี้ยที่ไม่บังวิวคอนโดฯ แต่สุดท้ายเจ้าของที่ดินไม่ไปต่อ และมีการซื้อขายเปลี่ยนมือมาสู่กลุ่มมหากิจศิริ
แม้บริษัทจะออกแบบให้ 125 สาทรแยกออกเป็น 2 อาคาร เพื่อให้มีช่องวิว แดด สายลมผ่านตรงกลางได้ แต่ลูกบ้าน THE MET ยังมีความกังวลใจ ทำให้มีการคัดค้านตั้งแต่ในชั้นการรับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่สุดท้าย EIA ก็ผ่านการรับรองแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2564
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าของร่วมโครงการ THE MET ได้รวมตัวแต่งตั้งทนายเพื่อยื่นฟ้องคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน กรุงเทพมหานคร (คชก. กทม.) รวมถึงหน่วยงานรัฐหลายแห่ง โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้ตรวจสอบความโปร่งใสในการอนุมัติ EIA
ข้อแย้งของฝั่ง THE MET มองว่า รายงาน EIA ฉบับนี้มีการสำรวจความเห็นชุมชน 400 คนโดยรอบ และมีผู้ตอบแบบสอบถาม 60% ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการ 125 สาทร แต่รายงานกลับได้รับอนุมัติ ทำให้ยื่นฟ้องกับศาลปกครองกลางเพื่อขอตรวจสอบความโปร่งใส ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องแล้ว (อ้างอิงที่มา: โพสต์ทูเดย์)
ด้านภัทร์กรตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงประเด็นนี้ว่า บริษัทได้ดำเนินการทำรายงาน EIA ตามขั้นตอน และพยายามออกแบบโครงการให้มีผลกระทบลูกบ้าน THE MET ให้น้อยที่สุด เชื่อมั่นว่าจะสามารถก่อสร้างได้ตามปกติเพราะโครงการทำตามกฎหมาย มีการเว้นระยะห่างระหว่างอาคาร มีทางเข้า-ออกที่เป็นกรรมสิทธิ์
]]>“สุนทร สถาพร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด (SE) เปิดเผยถึงแผนการเปิดตัวโครงการและเป้าหมายปี 2565 ของบริษัท วางเป้าเปิดทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,306 ล้านบาท ได้แก่
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 2,400 ล้านบาท และเป้ารายได้ 1,280 ล้านบาท
โครงการไฮไลต์ของปีนี้หนีไม่พ้น เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส เพราะเป็นคอนโดฯ ไฮเอนด์กลางเมือง ซึ่งเป็นตลาดที่ซบเซามากว่า 2 ปี แต่สุนทรเลือกเปิดตัวปีนี้เพราะเชื่อว่าโครงการอยู่ในทำเลที่มีดีมานด์ เนื่องจากคอนโดฯ โดยรอบสวนลุมพินีส่วนใหญ่จะเปิดขายแบบลีสโฮลด์ (เช่าระยะยาว ไม่มีกรรมสิทธิ์) แต่โครงการของบริษัทเป็นฟรีโฮลด์ (มีกรรมสิทธิ์) ในขณะที่ตั้งราคาเพียง 250,000 บาทต่อตร.ม. ราคาถูกกว่าคอนโดฯ ฟรีโฮลด์บนเส้นพระราม 4 ช่วงคลองเตยจนถึงสามย่าน
คอนโดฯ นี้จะเน้นเจาะกลุ่มคนไทยเป็นหลัก เพราะมองว่าตลาดนักลงทุนต่างชาติน่าจะยังไม่ฟื้นเร็วๆ นี้ เนื่องจากชาวจีนถูกสกัดกั้นการนำเงินออกนอกประเทศ โครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส จะเปิดขาย 28 มิ.ย. 65 และคาดว่าจะสร้างเสร็จราวปี 2568
สถาพร เอสเตทนั้น แต่เดิมใช้ชื่อบริษัท เฉลิมนคร จำกัด สร้างโครงการหมู่บ้านภายใต้ชื่อ “บ้านสถาพร” เกาะทำเลย่านรังสิตจนถึงกรุงเทพฯ โซนตะวันออกมานานกว่า 25 ปี โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งใน กลุ่มธุรกิจทรัพย์สถาพร ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าเกษตร เช่น มันสำปะหลัง ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง และให้บริการคลังสินค้า-ท่าเรือ
ต่อมาเมื่อปี 2561 สุนทร สถาพร ต้องการจะ “รีเฟรช” แบรนด์ด้านอสังหาฯ จึงจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่เป็นบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด (SE) ปรับเปลี่ยนโลโก้ ภาพลักษณ์บริษัทใหม่หมดจด เพื่อเข้าสู่ตลาดระดับกลางถึงบนเป็นหลัก และวางแผนระยะยาวเตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หลังปรับแบรนด์ บริษัทเปิดตัวโครงการไปแล้ว 3 แห่ง มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดฯ เดอะ เชดด์ สาทร 1, อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล และดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน ทั้งหมดมียอดขายแล้วประมาณ 50% สำหรับโครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 เริ่มโอนกรรมสิทธิ์แล้วปีนี้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนของบริษัทสะดุดไปบ้าง มีการเลื่อนการเปิดตัว และต้องปรับวิธีการทำโครงการ โดยลดขนาดโครงการให้เล็กลงดังที่เห็น จากเดิมเคยพัฒนาโครงการแนวราบใหญ่หลักร้อยไร่ เปลี่ยนมาเป็นโครงการขนาดเล็กหลักสิบไร่ เพราะดีมานด์ตลาดน่าจะยังชะลอตัว จากเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะโตไม่เกิน 3%
สุนทรยังกล่าวถึงอินไซต์ผู้บริโภคหลังเกิดโรคระบาดและปัจจัยสภาวะครอบครัวที่เปลี่ยนไป ทำให้มีหลายอย่างที่คนให้ความสำคัญมากขึ้น เช่น
ภาวะตลาดที่ดีขึ้นแล้วแต่ยังไม่กลับมาบูม และการปรับตัวหลังโควิด-19 ทำให้สุนทรคาดว่าบริษัทจะมีโอกาสเปิด IPO ได้อีกครั้งอย่างเร็วที่สุดในปี 2568 ในระหว่างนี้บริษัทจะเปิดตัวอย่างสม่ำเสมอปีละ 3 โครงการ มูลค่าราว 3,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อสร้างพอร์ตเตรียมตัวสู่อนาคต
]]>TMB Analytics ประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงในการระบาดระลอกใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เเละราคาคอนโดมิเนียม
จากการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน web scraping ราคาเสนอขายคอนโดฯ ในแต่ละพื้นที่กว่า 2,000 โครงการ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำเลที่ตั้งมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง จากเเต่เดิมที่คอนโดมิเนียมค่อนข้างกระจุกตัวในเขตย่านใจกลางธุรกิจ (Central Business District : CBD) และในเมือง ซึ่งถือเป็น ‘ทำเลทอง’ ของภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย
ต่อมาโครงการใหม่ ๆ เริ่มมีการขยายและกระจายตัวในพื้นที่ ‘วงแหวนรอบนอก’ (Outer Ring) มากขึ้น โดยราคาคอนโดฯ ในแต่ละพื้นที่มีการปรับตัวต่อสถานการณ์โรคระบาด ‘ในอัตราที่ต่างกัน’
หากประเมินจากทำเลที่ตั้งพบว่า ช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ราคาคอนโดมิเนียมในพื้นที่เขตย่านใจกลางธุรกิจ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เมื่อเกิดการระบาดทำให้ราคาปรับลดลง 2% และยังไม่เห็นการปรับขึ้นสู่ระดับก่อนหน้า ส่วนคอนโดมิเนียมพื้นที่ในเมืองที่อยู่นอก CBD ราคาลดลง 3.7% พื้นที่วงแหวนรอบนอกราคาลดลง 5.8%
โดยในช่วงปี 2561-2563 หากแบ่งกลุ่มคอนโดมิเนียมตามระดับราคาต่อตารางเมตรจะเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
“คอนโดมิเนียมในกลุ่ม Mass มีราคาลดลงในทุกพื้นที่ ต่างจากกลุ่ม High-End ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ สะท้อนถึงความต้องการและกำลังการซื้อที่มีอย่างต่อเนื่องของกลุ่มรายได้สูง เเละไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากนัก”
หากประเมินจากปัจจัยด้านอายุของคอนโดมิเนียม และความสะดวกในการเดินทาง พบว่า คอนโดมิเนียมที่อยู่ในรัศมีจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 1 กิโลเมตร และมีอายุไม่เกิน 5 ปี ราคามีการปรับลดลงในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยในพื้นที่วงแหวนรอบนอกปรับลงกว่า 13%
ขณะที่ย่านใจกลางธุรกิจ และในเมืองราคาปรับลดลงราว 6% ส่วนราคาคอนโดมิเนียมในพื้นที่ย่านใจกลางธุรกิจที่มีรัศมีจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 1 กิโลเมตร แต่อายุเกิน 5 ปี มีแนวโน้มราคาคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ต่างจากคอนโดมิเนียมในพื้นที่ในเมืองและวงแหวนรอบนอก ที่อายุเกิน 5 ปี ดัชนีราคาจะปรับตัวลดลงถึง 8% และ 12% ตามลำดับ
ขณะที่คอนโดมิเนียมที่อยู่นอกรัศมีรถไฟฟ้าเกิน 1 กิโลเมตร ในพื้นที่ย่านใจกลางเมืองธุรกิจ ดัชนีราคาคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเป็นทิศทางบวก
จากภาพรวมของดัชนีราคาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งระดับราคาต่อตารางเมตร อายุของคอนโดมิเนียม และความสะดวกในการเดินทาง สามารถสรุปได้ว่า ราคาคอนโดมิเนียมในพื้นที่ย่านใจกลางธุรกิจ จะค่อนข้างทรงตัว โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มากนัก และมีแนวโน้มของดัชนีราคาในภาพรวมที่เป็นบวก
อย่างไรก็ตาม เเม้ในเขตพื้นที่ในเมือง และวงแหวนรอบนอก ราคาของคอนโดมิเนียมมีการปรับลดลงเป็นอย่างมากในช่วง COVID-19 แต่ก็มีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
]]>