ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 13 Aug 2024 08:28:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยอดขาย ‘รถอีวี’ ทั่วโลกเดือนก.ค.โต 21% หลังได้แรงหนุนจากตลาด ‘จีน’ ที่ทำสถิติเติบโตสูงสุด https://positioningmag.com/1486005 Tue, 13 Aug 2024 08:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486005 ดูเหมือนยอดขายทั่วโลกของรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าและปลั๊กอินยังไปต่อได้ โดยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 21% โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายของ จีน ที่ถือว่าเติบโตสูงสุดในปี 2024 แม้ว่าการเติบโตจากฝั่งยุโรปจะลดลงก็ตาม  

ตามรายงานโดย Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม โดยรวมทั้ง รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) มียอดรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดขายที่ 8.8 แสนคัน เพิ่มขึ้น +31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาด ยุโรป มียอดขาย ลดลง -7.8% ในเดือนกรกฎาคม โดยตลาด เยอรมนี ที่ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของยุโรป ลดลง -12% ส่วนในตลาด สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขาย เพิ่มขึ้น +7.1% 

ที่น่าสนใจคือ รถปลั๊กอินไฮบริด กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดจีน ยอดขายของรถปลั๊กอินไฮบริดช่วง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง +70% จากปีที่แล้ว สอดคล้องกับยอดขายของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่สุดในจีนและใหญ่สุดในโลกอย่าง BYD ที่ยอดขายรถ PHEV เติบโตถึง +44% ขณะที่รถ BEV เติบโต +13%

ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หดตัว -5% แต่ภาค การส่งออกเพิ่มขึ้น +20% โดยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคัน โดยขายภายในประเทศประมาณ 1.6 ล้านคัน ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เป็น 399,000 คัน รถยนต์ที่ขายไป มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่

Source

]]>
1486005
รถสันดาปล้วนของ “Lamborghini” ขายเกลี้ยงจนถึงคันสุดท้าย เข้าสู่ยุคใหม่ “รถไฮบริด-อีวี” https://positioningmag.com/1437129 Sat, 08 Jul 2023 10:25:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437129 “Lamborghini” ขายรถสันดาปคันสุดท้ายในพอร์ตไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้แบรนด์ซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลียนรายนี้จะเข้าสู่ยุค “รถไฮบริด” และ “รถอีวี” โดยสมบูรณ์

“Stephan Winkelmann” ซีอีโอ Lamborghini ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เยอรมัน Welt ว่า โมเดลรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปของบริษัทถูกจองซื้อครบทุกคันในไลน์การผลิตเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ต่อจากนี้ รถยนต์ Lamborghini รุ่นใหม่ทั้งหมดจะเข้าสู่ยุครถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า

รุ่นแรกๆ ที่ออกมาจากนี้จะเป็นรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid ก่อน โดยจะเป็นการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่เพื่อทดแทนรุ่นเดิม คือ รุ่น Aventador และ Huracan รวมถึงมีปรับรุ่น Urus มาเป็นรุ่นไฮบริดด้วย

ก่อนที่ภายในทศวรรษนี้ บริษัทจะเริ่มเปิดตัวรถซูเปอร์คาร์ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ออกมาเป็นคันแรก

“Stephan Winkelmann” ซีอีโอ Lamborghini

Winkelmann เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Insider ไว้เมื่อต้นปีนี้ว่า เหตุที่บริษัทต้องเปลี่ยนมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหรือกึ่งไฟฟ้าให้มากขึ้น เป็นเพราะกฎระเบียบเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก ทำให้ไม่ใช่แค่ Lamborghini แต่ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ต่างก็ต้องเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทั้งแพงและยุ่งยากมาก

แต่การเปลี่ยนแหล่งเชื้อเพลิงในรถยนต์ จะไม่ทำให้ Lamborghini เสียรากเหง้าความเป็นตัวเองไป Winkelmann บอกว่า แบรนด์รถซูเปอร์คาร์ของเขาจะยังคงทำให้ผู้ซื้อได้สัมผัสกับ ‘ศักยภาพความเร็ว’ ที่ทำให้เลือดลมและอะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดเหมือนที่เคยเป็นมา ในขณะเดียวกัน บริษัทก็จะช่วยโลกด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนไปด้วย

สำหรับรถยนต์ Plug-in Hybrid คันแรกของ Lamborghini น่าจะได้ออกมาโลดแล่นบนถนนทั่วไปภายในสิ้นปี 2023 และรุ่นแรกที่จะออกสู่ตลาดไฮบริดก็คือรุ่น “Revuelto” ซูเปอร์คาร์ 1,000 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 2.5 วินาที และมีสปีดความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.

ที่มา: Business Insider

]]>
1437129
“มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” ประกาศเป้าอีก 2 ปี รถยนต์นั่งผลิต-จำหน่ายในไทยจะเป็น “xEV” ทั้งหมด https://positioningmag.com/1378093 Fri, 18 Mar 2022 10:14:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1378093 ถึงมาช้ากว่าแต่มาแน่! ค่ายรถญี่ปุ่น “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” ประกาศเป้าหมายปี 2567 รถยนต์นั่งที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย จะเป็นรถ “xEV” ทั้งหมด โดยยังไม่เร่งก้าวกระโดดเข้ารถยนต์ประเภทใช้ไฟฟ้า 100% เชื่อว่าประเทศไทยต้องปรับฐานแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้านรถรุ่นเรือธงของปีนี้ส่ง “New Xpander” ลุยตลาด ปรับโฉมใหม่และพัฒนาประสิทธิภาพ พร้อมเปิดจอง 22 มีนาคมนี้

ปล่อยให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยก่อน แต่ค่ายรถญี่ปุ่นที่ตั้งฐานในเมืองไทยมามากกว่า 3 ทศวรรษอย่าง “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” กำลังขยับเข้าตลาดเช่นกัน โดย “เออิอิชิ โคอิโตะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแผนในงานแถลงข่าวประจำปี 2565 บริษัทเตรียมบุกตลาดรถอีวีอย่างเต็มที่

เป้าหมายในปี 2567 รถยนต์นั่งที่ผลิตและจำหน่ายในไทยของ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส” จะเป็นรถประเภท xEV ทั้งหมด โดยหมายรวมทั้งรถประเภท PHEV (Plug-in Hybrid EV รถยนต์ที่ใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและสันดาป) และรถประเภท BEV (Battery EV รถยนต์ไฟฟ้า 100%) ทั้งนี้ รถประเภทอื่น เช่น ปิกอัพ และรถยนต์นั่งที่ผลิตเพื่อส่งออก อาจจะยังมีรถประเภทสันดาปที่ผลิตอยู่

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
Mitsubishi Motors Outlander รุ่นนำร่องบุกตลาด PHEV ตั้งแต่ปี 2564

โดยมิตซูบิชิ มอเตอร์สชิมลางตลาดรถอีวีไทยไปแล้วด้วยรุ่น “Outlander” ซึ่งเป็นรถ PHEV ออกจำหน่ายเมื่อเดือนมกราคม 2564

ปัจจุบันสายการผลิตรถ xEV ในไทยของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เออิอิชิกล่าวว่ามีไลน์แพ็กเกจจิ้งแบตเตอรี่แล้วที่โรงงานในแหลมฉบัง ส่วนการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าส่วนอื่นๆ มีเป้าหมายจะผลิตและใช้ซัพพลายในไทยให้มากที่สุดที่ทำได้ หากมีดีมานด์สูง อาจจะพิจารณาก่อสร้างโรงงานใหม่สำหรับรถอีวีโดยเฉพาะได้ในอนาคต

 

ขอสร้างฐานด้วย PHEV ก่อน

เออิอิชิกล่าวว่า บริษัทไม่กังวลแบรนด์ที่เริ่มบุกตลาดด้วย BEV แล้ว เนื่องจากการศึกษาตลาดของบริษัทเองกับผู้ทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทย พบว่า แม้รถยนต์ BEV ที่วางคุณสมบัติให้สามารถขับขี่พิสัยไกลได้ถึง 400 กม. จะทำได้จริงตามที่โฆษณา แต่ไฟฟ้าเกือบจะหมดจนเหลือศูนย์ ท่ามกลางระบบนิเวศไทยที่ยังมีสถานีชาร์จไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้ยังไม่มั่นใจนักหากจะขับรถ BEV ทางไกล

เรามองว่าการสร้างฐานตลาดจากรถ PHEV ก่อน เป็นการทำให้ฐานตลาดเข้มแข็งกว่าการกระโดดเข้าสู่ BEV เลยทีเดียว

มิตซูบิชิ มอเตอร์สจึงเห็นว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน รถยนต์ประเภท PHEV ยังมีความสำคัญ เพราะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าเมื่อขับขี่ในเมือง และใช้เครื่องยนต์สันดาปสำหรับการขับขี่ระยะไกล คาดว่าในระยะแรก รถยนต์ BEV จะยังมีลักษณะเป็น “รถคันที่สอง” ของครอบครัว ไม่ใช่รถคันหลัก

“เรามองว่าการสร้างฐานตลาดจากรถ PHEV ก่อน เป็นการทำให้ฐานตลาดเข้มแข็งกว่าการกระโดดเข้าสู่ BEV เลยทีเดียว และขณะนี้รัฐบาลไทยก็เริ่มส่งเสริมตลาดแล้ว” เออิอิชิกล่าว

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
ศึกษาการใช้งานรถ BEV ในไทย ผ่านการจับมือพันธมิตร ไปรษณีย์ไทย และ OR

ด้านการพัฒนารถ BEV ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งเซ็น MOU กับ “ไปรษณีย์ไทย” และ บมจ. ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก หรือ “OR” นำเข้ารถ “มินิแวน” รุ่น “มินิแค็บ มีฟ” ที่ใช้ไฟฟ้า 100% มาใช้ในการขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทยจำนวน 2 คัน เพื่อทดลองการใช้งานในเส้นทางประจำระหว่างกรุงเทพฯ-ปทุมธานีเป็นเวลา 1 ปี ส่วน OR จะติดตั้งสถานีชาร์จ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย 2 แห่ง

โดยบริษัทเริ่มทดลองกับการใช้รถเชิงพาณิชย์ก่อนเพราะเห็นว่าจะเป็นตลาดที่สำคัญ และบริษัทจะมีโอกาสเก็บข้อมูลไปพัฒนารถให้เหมาะกับเมืองไทยซึ่งมีความต่างจากญี่ปุ่นหลายด้าน เช่น สภาพอากาศ

 

เรือธงปีนี้ส่ง “New Xpander” ลงตลาด

เออิอิชิกล่าวต่อถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของปีนี้ โดยต่อยอดจากความสำเร็จของรถรุ่น Xpander ที่สามารถครองตลาดรถประเภท MPV ได้ 60-70%

“เออิอิชิ โคอิโตะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉมใหม่ “New Xpander” เปิดขายจริงกลางเดือนเมษายน 2565

ปีนี้จะมีการออกรุ่น New Xpander ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากอินโดนีเซียที่มีการเปิดขาย รุ่นนี้จะมีการปรับปรุงใหม่หลายๆ ด้าน ดังนี้

  • มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกและภายในให้มีความสปอร์ตสูงขึ้นในสไตล์รถ SUV เพิ่มอุปกรณ์ใหม่ทันสมัยกว่าเดิม
  • ปรับช่วงล่างให้ศักยภาพดีขึ้น โช้กอัพปรับให้เท่ากับรุ่น Pajero Sport ใช้ล้อแมกซ์ 17 นิ้ว รับน้ำหนักได้ดีขึ้น
  • ปรับ Ground Clearance (ความสูงจากพื้นถนน) สูงขึ้นเป็น 220 มม. แต่จะไม่โคลงเคลงในการขับขี่ โดยรวมแล้วทำให้การขับขี่แบบ off-road ทำได้ดี ตาม DNA ของมิตซูบิชิ มอเตอร์สที่เป็นรถสำหรับแข่งแรลลี่ ลุยได้แม้เป็นทางขรุขระ
  • เปลี่ยนจากเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นเกียร์ Eco Dynamic CVT รอบเครื่องหมุนน้อยลงเพื่อทำความเร็วเท่าเดิม ซึ่งทำให้ประหยัดพลังงานได้ 13% และยังทำให้การเร่งเครื่องจาก 0-100 กม./ชม. ลดเวลาลง 2 วินาที

ขณะนี้มิตซูบิชิ มอเตอร์สยังไม่ประกาศราคา New Xpander แต่จะเปิดให้สัมผัสและทดลองขับคันจริงที่งานมอเตอร์โชว์ประจำปี 2565 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2565 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี อย่างไรก็ตาม จะเปิดจองผ่านดีลเลอร์ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมนี้ และเริ่มจำหน่ายจริงช่วงกลางเดือนเมษายน 2565 บริษัทยังแย้มด้วยว่า ผู้ที่สนใจและต้องการรถด่วนควรรีบจองก่อน เนื่องจากปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ยังส่งผลต่อการผลิตอยู่ในขณะนี้

จำนวนการผลิตและการส่งออกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ปี 2564

ปิดท้ายที่ผลการดำเนินงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เมื่อปี 2564 เออิอิชิรายงานว่า ปีก่อนสถานการณ์ตลาดเริ่มดีขึ้นจากดีมานด์ต่างประเทศ ทำให้การผลิตและการส่งออกดีขึ้น โดยการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น 41.3% เป็น 318,000 คัน และการส่งออกเพิ่ม 54% เป็น 285,000 คัน

ฐานผลิตมิตซูบิชิ มอเตอร์สในไทยถือเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกของแบรนด์ มีกำลังผลิต 400,000 คันต่อปี และมีการส่งออกสะสมแล้ว 4 ล้านคัน เป้าหมายต่อไป บริษัทต้องการจะส่งออกสะสมให้ได้ 5 ล้านคันเร็วๆ นี้

]]>
1378093
จับตา ‘BYD’ ยอดขายพุ่ง ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า-ไฮบริดในจีน แซง ‘Tesla’ https://positioningmag.com/1375120 Wed, 23 Feb 2022 13:38:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375120 ‘BYD’ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน ขึ้นเเซงเเบรนด์ดังอย่าง ’Tesla’ ทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเเละรถยนต์ไฮบริดใน ‘ตลาดจีน’ ได้มากกว่าในปีที่ผ่านมา ด้วยการเติบโตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น ‘2 เท่า’

Nikkei Asia รายงานว่า โมเดลรถยนต์ของ BYD ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด คือรุ่น ปลั๊กอินไฮบริด Song Plus DM-i ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา ด้วยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 150,000 หยวน (ราว 7.6 เเสนบาท)

ตัวแทนจำหน่ายในฮุ่ยโจว เมืองทางตอนใต้ของจีน บอกว่า “Song Plus DM-i เป็นที่นิยมอย่างมาก จนผู้ซื้อต้องรอนาน 3-6 เดือนถึงจะได้รับรถ”

นักวิเคราะห์จาก Zheshang Securities มองว่าการที่รถโมเดลรุ่นนี้ขายดีเพราะว่า “ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินของเเบรนด์คู่แข่งที่อยู่ในช่วงเรตราคาเดียวกัน”

‘BYD’ ก่อตั้งในปี 1995 ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้และเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2003 พร้อมผลิตสมาร์ทโฟนด้วย

โดยเป็นเเบรนด์ที่สร้างชื่อเสียงมาจากรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ซึ่งในจีนนิยามว่าเป็นหนึ่งใน “รถยนต์พลังงานใหม่” เเต่กลุ่มรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ก็ยังครองสัดส่วนยอดขายส่วนใหญ่มาจนถึงปี 2020

ต่อมาบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เเละ ‘หันหลัง’ ให้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ตั้งเเต่ปีที่แล้ว โดยยอดขายในหมวดดังกล่าวลดลงกว่า 40% มาอยู่ที่ 130,000 คัน ขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดกลับเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า เป็น 270,000 คัน

ส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 320,000 คัน โดยยอดขายโดยรวมพุ่งขึ้น 70% ในปี 2021 และ BYD ตั้งเป้าว่าจะทำยอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 1.5 ล้านคันในปีนี้

ข้อมลจาก Marklines บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านการตลาด ระบุว่า ยอดขายของ Tesla ในจีนเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าเป็น 473,000 คัน ตามกระเเสความนิยม แต่ BYD ยังคงเป็นผู้นำในตลาด หากรวมยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเเละปลั๊กอินไฮบริดไว้ด้วยกัน

รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดของ BYD หลายรุ่นมีราคาอยู่ระหว่าง 100,000 หยวนถึง 200,000 หยวน ซึ่งต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla’ ที่เริ่มต้นที่ 300,000 หยวน พร้อมมุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัดในจีนเเละคนหนุ่มสา

นอกจากนี้ จะมีเเผนจะขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ โดย BYD เริ่มส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังยุโรป เเละเริ่มมีโมเดลวางจำหน่ายในออสเตรเลีย

ปัจจุบัน กำลังการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของ BYD อยู่ที่ 600,000 คัน ณ สิ้นปี 2020 คาดว่าปริมาณรถยนต์จะเกิน 3 ล้านคันได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่ใหญ่อย่างหนึ่งของ BYD คือ ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง แม้ว่ายอดขายรถยนต์จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิยังต่ำกว่าตัวเลขของปีก่อนในช่วงไตรมาสที่สองและสามของปีที่แล้ว หลักๆ มาจากต้นทุนการผลิตที่สูง ทั้งแบตเตอรี่ ชิป และส่วนประกอบอื่นๆ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายตลอดห่วงโซ่อุปทาน

เเละยังประเด็นที่น่ากังวลอีกอย่างคือ การขาด ‘โมเดลพรีเมียม’ ที่สามารถทำกำไรสูงกว่า เนื่องจาก BYD มีรถเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่มีราคาสูงกว่า 200,000 หยวน และแทบไม่มีรถในช่วงราคา 300,000 หยวนเลย ซึ่ง Tesla ก็ครองตลาดนี้อยู่

นอกจากนี้ การแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติรายใหญ่อย่าง Volkswagen เเละ Honda Motor ก็รุนเเรงขึ้นเรื่อยๆ โดยกำลังจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ในช่วงราคา 200,000-300,000 หยวนในเร็วๆ นี้

 

ที่มา : Nikkei Asia

]]>
1375120
ขายมือถือไม่ได้ก็ขายรถแทน! ล่าสุด ‘Huawei’ เปิดตัวรถ PHEV ชี้สเปกพร้อมชน ‘Tesla’ https://positioningmag.com/1368749 Fri, 24 Dec 2021 15:33:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368749 เมื่อสัปดาห์ก่อน บริษัทสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง Nio ที่ประกาศว่าเป็นคู่แข่งรายกับ Tesla ล่าสุดดูเหมือนจะต้องเจอคู่แข่งเพิ่มอีกรายก็คือ Huawei (หัวเว่ย) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นที่รู้จักกันดีในด้านผลิตภัณฑ์โทรคมนาคมและสมาร์ทโฟน ก็เปิดเผยว่าจะเปิดตัวรถยนต์ที่พร้อมชน Model Y ได้

หัวเว่ย เปิดเผยว่า บริษัทกำลังจะคลอดรถยนต์ Aito M5 ที่ใช้ทั้งไฟฟ้าและเชื้อเพลิงคันแรก (Plug-in hybrid : PHEV) โดยมีระบบปฏิบัติการ HarmonyOS อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยไม่ได้เป็นผลิตรถยนต์ขึ้นมาเอง แต่ได้ร่วมงานกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถยนต์ เช่น ระบบการขับขี่อัตโนมัติ

Richard Yu กรรมการบริหารและ CEO ของกลุ่มธุรกิจผู้บริโภคของหัวเว่ย กล่าวว่า ราคาของ Aito M5 เริ่มต้นที่ 250,000 หยวน หรือราว 39,063 ดอลลาร์สหรัฐ (1.3 ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่ารุ่น Y ของ Tesla ที่เริ่มต้น 280,752 หยวน (ราว 1.4 ล้านบาท) ขณะที่ Nio บริษัทสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าของจีน เพิ่งได้ส่งมอบรถซีดานไฟฟ้า ET5 ในเดือนกันยายนด้วยราคาเริ่มต้นที่ 328,000 หยวน หรือราว 51,250 ดอลลาร์สหรัฐ และรถซีดาน ET7 ของ Nio ราคาเริ่มต้นที่ 448,000 หยวน

ทั้งนี้ Richard Yu อ้างว่า Aito M5 ให้กำลังสูงสุดและระยะการขับขี่ที่ดีกว่ารุ่น Y ของ Tesla อย่างไรก็ตาม Aito M5 ไม่ได้ใช้พลังงานจากไฟฟ้าล้วน ๆ เนื่องจากมีถังเชื้อเพลิงสำหรับเพิ่มระยะการขับขี่เมื่อแบตเตอรี่หมด นอกจากนี้ ด้วยระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2019 จะยิ่งเพิ่มความฉลาดให้กับรถ โดยสามารถใช้สมาร์ทวอทช์ของหัวเว่ยเป็นกุญแจรถได้เลย

โดยการผนวกรวม HarmonyOS กับรถยนต์ Seres ใหม่ในประเทศจีนมีความสำคัญ เนื่องจากสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากพยายามที่จะขายแนวคิดที่ว่ารถยนต์จะมีลักษณะคล้ายกับบทบาทของสมาร์ทโฟนในชีวิตของผู้บริโภค รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสสำหรับปรับการทำงานของรถและฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์

รถมีกำหนดวันส่งในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี 2022 ซึ่งนอกจากการเปิดตัวรถยนต์แล้ว หัวเว่ยยังได้เปิดตัวสินค้าใหม่อื่น ๆ ด้วย เช่น สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ และแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่

Source

]]>
1368749
รู้จักเทคโนโลยี PLUG-IN HYBRID และความพิเศษของ MG HS PHEV https://positioningmag.com/1354384 Sat, 20 Nov 2021 04:00:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1354384

จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) พบว่า ระหว่างปี 2011-2020 นับได้ว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด โดยเฉพาะช่วงปี 2016-2020 และมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตโลกยังคงจะร้อนขึ้นได้อีกอย่างน้อยปีละ 1 องศาเซลเซียส โดยทาง UN กำหนดเป้าหมายแรกในปี 2030 ตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนทั่วโลก 45% และตั้งเป้าปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050

แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้โลกร้อน แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ‘รถยนต์’ โดยรถยนต์แบบสันดาปเดิมนั้นปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 150-200 กรัมต่อกิโลเมตรที่รถวิ่ง แต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ไม่ปล่อยคาร์บอน ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าเพียงหนึ่งคันจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.6 เมตริกตันในแต่ละปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้เพิ่ม 209 ต้น

ด้วยเหตุนี้ นานาประเทศที่เห็นพ้องต้องกันว่าต้องมุ่งไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ด้วยการลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับไทยได้วางเป้าลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไว้ที่ 20% ภายในปี 2030 โดยได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ขึ้นมาโดยเฉพาะ

รู้จักรถยนต์พลังงานทางเลือก 4 ประเภท

มีการคาดการณ์ว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาทั่วโลกมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากว่า 10 ล้านคัน แต่ภายในปี 2030 จะมีเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 140 ล้านคัน โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่าทั้งค่ายรถยนต์ดั้งเดิม และค่ายสตาร์ทอัพ รวมไปถึงบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นไปทำความเข้าใจกันก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 4 ประเภทมีอะไรบ้าง

  • ไฮบริด หรือ (HEV, Hybrid electric vehicle) รถยนต์ไฮบริด เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ มีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
  • ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HEV ซึ่งมีการทำงานทั้ง 2 ระบบ (น้ำมันและไฟฟ้า) แต่เพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (plug-in) ทำให้สามารถอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ และด้วยขนาดของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่ารถยนต์ไฮบริด จึงทำให้ PHEV สามารถวิ่งแบบใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ได้ ซึ่งจะไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ไม่ทำงาน และไม่ปล่อยมลพิษ
  • ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง
  • เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle) ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิง เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Station) มีน้อยมาก

ทำไม MG HS PHEV ถึงเหมาะกับคนไทย

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดีในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่ารถยนต์สันดาป ความเงียบ อัตราเร่งที่ดีกว่าเพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ และที่สำคัญสุด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่คนไทยก็เริ่มให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ‘ระยะการขับ’ และ ‘สถานีชาร์จ’ ที่ยังเป็น 2 ความกังวลที่ทำให้ผู้บริโภคไทย ‘ไม่มีความมั่นใจ’ ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าแบบ ‘ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้าแต่ยังมีความกังวลเรื่องการชาร์จไฟฟ้า

ด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ใน MG HS PHEV ที่มีความสามารถเลือกขับขี่แบบใช้ไฟฟ้า 100% ได้ด้วย EV Mode ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 16.6 kWh. ในการขับเคลื่อน ให้พละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร

เมื่อชาร์จเต็มสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลสูงสุด 67 กม. ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ไม่ต้องใช้น้ำมัน ไม่สร้างมลพิษ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน หรือหากต้องวิ่งทางไกลก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จ เพราะเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ (Hybrid) เดินทางได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ MG HS PHEV สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ผ่าน MG Home Charger จาก 0%-100% ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. และปัจจุบันตู้ชาร์จสาธารณะแบบ AC ก็มีให้บริการในหลายๆ สถานที่ เช่น ห้าง คอนโด อาคารสำนักงาน

MG HS PHEV มีจำหน่ายแล้วกว่า 15 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ไอร์แลนด์ อิสราเอล อิตาลี นอร์เวย์ สเปน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศไทย

นอกจากนี้ MG HS PHEV ยังได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ Car of the Year 2021 ประเภท BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 c.c. ที่จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรางวัล สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี พ.ศ. 2564 (Product Innovation Awards 2021) ประเภท กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานทางเลือกอีกด้วย

สำหรับราคาของ MG HS PHEV อยู่ที่ 1,359,000 บาท โดยรับประกันแบตเตอรี่ในระบบ PHEV แบบไม่จำกัดระยะทาง ตลอดระยะเวลา 8 ปี และการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 4 ปี หรือ 120,000 กม. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์  MG CALL CENTRE โทร. 1267 หรือเว็บไซต์ www.mgcars.com

]]>
1354384