UAE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 08 Sep 2025 00:00:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ดูไบ’ มีอะไรดี ทำไมคน (รวย) ชอบไปอยู่? https://positioningmag.com/1537022 Sun, 07 Sep 2025 13:56:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537022 ดูไบ ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นหนึ่งในรัฐของ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และถือเป็นศูนย์ กลางทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ มีท่าเรือและสนามบินที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าและการขนส่งสินค้าที่สะดวก

ดูไบ ไม่ได้รวยจาก น้ำมัน อย่างที่หลายคนคิด แต่น้ำมันสร้างรายได้ให้กับดูไบเพียง 5% เท่านั้น จากรายได้ทั้งหมด รายได้หลักของดูไบมาจากธุรกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนอีก 20% เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ

ดูไบ ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้จากธุรกิจส่วนใหญ่ก็เก็บใน อัตราที่ต่ำ โดยถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้รวมผลกำไรไม่เกิน 3.3 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเกินก็เสียภาษีเพียง 9% เท่านั้น ส่วน VAT ที่ดูไบอยู่ที่ 5% 

นอกจากนี้ ดูไบยังมีการจัดตั้ง Free Zone หลายแห่งที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองธุรกิจได้ 100% โดยไม่มีข้อจำกัด และสามารถโอนเงินทุนและกำไรกลับประเทศได้โดยไม่มีการควบคุม และมีการออก Golden Visa เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพสูง ผู้ประกอบการ และผู้มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ดูไบจะดึงดูดทั้งแรงงาน และนักลงทุนและคนรวยที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน

ที่สำคัญคือ ดูไบแทบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใด รวมถึงอัตราการเก็บภาษีที่ต่ำ ทำให้ดูไบเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐีที่มั่งคั่งจากธุรกิจสีเทา รวมถึงเป็นปลายทางจากเหล่าผู้ต้องหาจากประเทศอื่น ๆ ทำให้ปัจจุบันดูไบเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับการฟอกเงินอย่างมหาศาล และทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็พยายามจะแก้ไขอยู่

นอกจากนี้ เป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก และมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังมีการลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อีกทั้งยังมีบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง

ในส่วนของการท่องเที่ยวก็น่าสนใจ เพราะมีตึกที่สูงที่สุดในโลก คือ เบิร์จคาลิฟา มีโรงแรมหรู และมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่น The Dubai Mall ที่มีร้านค้ากว่า 1,200 ร้าน ร้านอาหาร โรงแรม และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ Mall of the Emirates ที่เป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน มีร้านค้ามากมาย และยังเป็นที่ตั้งของลานสกีในร่ม

]]>
1537022
ไขรหัสความแกรม “เซ็นทรัลพัฒนา” กับการผนึกกำลังครั้งใหญ่กับ Fazaa Card เจาะกลุ่มเศรษฐี UAE เที่ยวไทย ขึ้นแท่นศูนย์การค้าแรกและหนึ่งเดียวในเอเชีย! https://positioningmag.com/1533211 Mon, 11 Aug 2025 09:48:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533211

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ถึงแม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ประเทศไทยอาจจะเจอหลายวิกฤตการณ์ อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปบ้างในบางช่วง แต่สุดท้ายแล้วประเทศไทยก็ยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่ดี

ในอดีตประเทศไทยให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวชาวจีนค่อนข้างมากเพราะเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้าไทยเป็นอันดับหนึ่งมีทั้งกลุ่มทัวร์และ FIT ที่เดินทางด้วยตัวเองจะมีกำลังซื้อมากกว่ากลุ่มทัวร์แต่ในช่วงหลายปีมานี้นักท่องเที่ยวศักยภาพกลุ่มอื่นๆทะยอยตบเท้าเข้าไทยเรื่อยๆทั้งรัสเซียอินเดียมาเลเซียยุโรปสหรัฐอเมริการวมไปถึงกลุ่มที่น่าสนใจที่สุดคือกลุ่มตะวันออกกลาง

กลุ่มตะวันออกกลางเป็นที่คุ้ยเคยกันดีกับฉายา“เศรษฐีบ่อน้ำมัน” เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีอัตราการอยู่ยาวกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งแต่เดิมกลุ่มตะวันออกกลางมีการเดินทางเข้ามาใช้บริการสถานบริบาล หรือโรงพยาบาลในไทยอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ “เซ็นทรัลพัฒนา” เล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางล่าสุดได้ประกาศประกาศความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่กับ Fazaa Card โครงการ CRM ระดับชาติที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกระดับพรีเมียมที่ก่อตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย UAE โดยสมาชิกของบัตรนี้จะเป็นบุคลากรและข้าราชการระดับสูงของ UAE รวมถึงนักลงทุนนักธุรกิจชั้นนำการจะเป็นสมาชิกบัตรนี้ได้จะต้องได้รับคำเชิญเท่านั้นบุคคลทั่วไปไม่สามารถเป็นได้ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.5 ล้านราย

ก่อนหน้านี้เซ็นทรัลพัฒนาเคยจับมือกับ ESAAD มาแล้วแต่เป็นกลุ่มตำรวจของ UAE มีความเฉพาะกลุ่มกว่าโดยความแข็งแกร่งของ Fazaa Card คือกลุ่มสมาชิกมีฐานกำลังซื้อสูงมีความเป็นไลฟ์สไตล์และมีแอปพลิเคชั่นในการ Offer สิทธิพิเศษมากมาย

เรียกได้ว่าการร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังของยักษ์ใหญ่ 2 เจ้ามาจับมือกันโดยนับเป็น“ศูนย์การค้าแรกและหนึ่งเดียวในเอเชีย” ที่สามารถร่วมมือในระดับ Ecosystem กับพันธมิตรระดับชาติของ UAE เป็นการ“เจาะไข่แดงคนรวย” ของ UAE ในการดึงมาเที่ยวไทยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ

ความร่วมมือนี้ได้ดีไซน์สิทธิพิเศษที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลวิลเลจ และเซ็นทรัลภูเก็ตซึ่งเป็น Top Tourist Destination ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวและพร้อมขยายความร่วมมือไปทั่วประเทศในอนาคตสะท้อนกลยุทธ์ความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนาในการเป็น Global Elite Destination

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

“กลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีศักยภาพสำหรับการท่องเที่ยวไทย โดยในปี 2568 พบนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สามารถสร้างเงินสะพัดจากการใช้จ่ายโดยค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงถึง 90,000 – 100,000 บาท ซึ่งความร่วมมือกับFazaa Card นี้เป็นก้าวสำคัญที่น่าจับตามองของวงการค้าปลีกไทยเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศและสะท้อนความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนาในการเข้าถึง Ecosystem กลุ่มลูกค้าต่างชาติระดับไฮเอนด์ทั่วโลกสอดคล้องกับนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เน้นกลุ่ม Quality Shopper โดยกลุ่มสมาชิกหลักของบัตรนี้ครอบคลุมบุคลากรและข้าราชการระดับสูงของภาครัฐ, นักลงทุน, ผู้ได้รับสิทธิพิเศษจากบัตร Golden Visa และกลุ่มกำลังซื้อสูงโดยมี 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนความร่วมมือได้แก่ 


1.Strategic Alliance with a National-Level CRM

สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับFazaa Card บัตรสมาชิกระดับพรีเมียมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ทรงพลังด้วยสิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 7,200 แบรนด์ครอบคลุม 92 ประเทศทั่วโลกนับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เจาะตรงถึงกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงจากตะวันออกกลางโดยตรงที่มีไลฟ์สไตล์พรีเมียมและนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ การเป็นพันธมิตรครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายระดับบนได้อย่างแม่นยำ แต่ยังตอกย้ำ Positioning ของเซ็นทรัลพัฒนา ในการเป็น Global Elite Destination’ และยังสามารถใช้ประโยชน์จากระบบฐานข้อมูลและแพลตฟอร์ม CRM ที่ทรงพลังของ Fazaa ในการออกแบบแคมเปญร่วมกันเพื่อผลักดันการใช้จ่ายจริงและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยในระดับสากลได้อย่างตรงจุด


2.Curated Experience for High-Spending Tourists

รุกตลาดนักท่องเที่ยวพรีเมียมจากตะวันออกกลางอย่างเต็มรูปแบบด้วยการออกแบบสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับสมาชิก Fazaa Card เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าครอบคลุมทุกมิติโดยได้ปักหมุดนำร่องใน 3 ศูนย์การค้าเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ครองใจนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้แก่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลวิลเลจ และเซ็นทรัลภูเก็ตจากข้อมูลพบกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ย 104,138 บาท/ทริปและนิยมพักผ่อนระยะยาว 10-12 วันโดยมุ่งตอบโจทย์กิจกรรมยอดนิยมของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบซึ่งได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปโดยกิจกรรมยอดนิยม 3 อันดับแรกคือช้อปปิ้ง, ท่องเที่ยวชายทะเลและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ-การแพทย์โดยจังหวัดที่เป็น Top destination ของกลุ่มนี้คือกรุงเทพฯภูเก็ตชลบุรี (พัทยา)

โดยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Fazaaได้แก่ Welcome Package รวมส่วนลดสูงสุดถึง 40% จากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์ฯ, Exclusive Lounge Access ที่เซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัลวิลเลจ, บัตรเข้าชม Aquaria Phuket ที่เซ็นทรัลภูเก็ต, Shuttle Bus Pass จากเซ็นทรัลเวิลด์สู่เซ็นทรัลวิลเลจและจากเซ็นทรัลวิลเลจไปสนามบินสุวรรณภูมิ, รับฟรี Gift และส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากแบรนด์ Erb, Divana Signature Café, และKarmakamet


3.Expanding Global Partnerships for Thailand’s Tourism Economy

สร้าง ‘Ecosystem การท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ’ โดยเชื่อมโยงพันธมิตรชั้นนำของโลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อไม่ว่าจะเป็น WeChat Pay, Alipay, MasterCard, Trip.com, Klook, The Shilla, Lotte Duty Free และ Daimaru สะท้อนความสำเร็จด้าน      กลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายคือการขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าไทยและยกระดับบทบาทของศูนย์การค้าไทยเป็น‘จุดหมายแรกและจุดหมายเดียว’ ที่ต้องมาเยือน

นอกจากนี้ในปี 2024 ที่ผ่านมาเซ็นทรัลเวิลด์ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ 2 รางวัลจากเวที International Business Magazine Awards ณ เมืองดูไบได้แก่รางวัล‘Mall of The Year APAC 2024’ และรางวัล‘Most Family Friendly Store APAC 2024’  สะท้อนศักยภาพของเซ็นทรัลเวิลด์ ในฐานะศูนย์การค้าระดับโลกที่ตอบโจทย์ทั้งประสบการณ์ช้อปปิ้งและการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างแท้จริง

ติดตามความเคลื่อนไหวของเซ็นทรัลพัฒนาคลิก https://www.centralpattana.co.th

]]>
1533211
สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
Etihad ปูทาง IPO ภายในปี 2024 นี้ และเป็นสายการบินรายใหญ่รายแรกของ UAE ที่เตรียมเข้าตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1472830 Thu, 09 May 2024 11:58:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472830 สายการบินเอทิฮัด (Etihad) เตรียมตัวที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว โดยสายการบินได้สถาบันการเงินหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศเพื่อที่จะช่วยในการเป็นผู้จำหน่ายหลักทรัพย์ และถ้าหากเข้า IPO แล้วก็จะกลายเป็นสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รายแรกที่จะเข้าตลาดหุ้นด้วย

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า สายการบิน Etihad เตรียมเข้า IPO ในตลาดหุ้นภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะระดมทุนมากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 37,000 ล้านบาท

สถาบันการเงินที่สายการบินรายดังกล่าวเลือกมีทั้ง Abu Dhabi Commercial Bank และ First Abu Dhabi Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่สถาบันการเงินต่างชาติ ได้แก่ Citi และ Bank Of America รวมถึง Morgan Stanley จากสหรัฐอเมริกา รวมถึง BNP Paribas และ HSBC จากทวีปยุโรป

เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Antonoaldo Neves ซึ่งเป็น CEO ของกลุ่มสายการบิน Etihad ให้สัมภาษณ์กับ CNBC โดยเขาได้ส่งสัญญาณว่าการเข้า IPO นั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ถือหุ้น นั่นก็คือ ADQ กองทุนความมั่งคั่งของอาบูดาบีซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

ถ้าหากสายการบิน Etihad รายดังกล่าวเข้า IPO ภายในปีนี้จริงๆ ก็จะเป็นสายการบินรายใหญ่แห่งแรกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น และยังเป็นสายการบินรายใหญ่กลุ่มประเทศในละแวกอ่าว (GCC) ที่เข้าระดมทุนรายแรกด้วย

ข้อมูลจาก Flightradar24 ปัจจุบันสายการบิน Etihad มีฝูงบินมากถึง 88 ลำ มีเส้นทางการบินทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาเหนือ

สายการบินรายใหญ่จากอาบูดาบีรายนี้รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ของปี 2024 อยู่ที่ 526 ล้านเดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 5,290 ล้านบาท หลังจากความต้องการในการเดินทางได้พุ่งสูงมากขึ้น

]]>
1472830
CEO ของ Telegram เผยยอดผู้ใช้งานต่อเดือนจะแตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ แย้มอาจเข้า IPO ในตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1470188 Wed, 17 Apr 2024 07:24:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470188 Pavel Durov ซึ่งเป็น CEO ของ Telegram ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Tucker Carlson โดยเผยยอดผู้ใช้งานต่อเดือนจะแตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ และเขาเองอาจเข้า IPO ในตลาดหุ้นถ้าหากแพลตฟอร์มมีกำไรแล้ว

Pavel Durov ซึ่งเป็น CEO ของ Telegram ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Tucker Carlson โดยเขากล่าวว่าแพลตฟอร์มส่งข้อความชื่อดังนั้นจะสามารถมียอดผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active User) แตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ ซึ่งสัมภาษณ์ดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่เขาออกหน้ากล้องในรอบหลายปี

CEO ของ Telegram กล่าวว่าปัจจุบันแพลต์ฟอร์มมี Monthly Active User มากกว่า 900 ล้านคนแล้ว และคาดว่าจะผ่านหลัก 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าเป้าหมายของแพลตฟอร์มคือ “ความเป็นกลาง” และไม่ใช่ศูนย์กลางของความขัดแย้งในการเมืองระหว่างประเทศ

นอกจากนี้เขายังได้เล่าถึงประวัตินับตั้งแต่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง VK ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคล้ายกับ Facebook ที่มีธุรกิจในรัสเซีย และเป็นแพลตฟอร์มที่โด่งดังจนทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องเข้าแทรกแซง และท้ายที่สุดบีบให้เขาต้องขายกิจการจนมาก่อตั้ง Telegram และเขาเองถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้

Telegram ถือเป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่งของโลก มีสำนักงานตั้งอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดย CEO ของ Telegram กล่าวว่าประเทศดังกล่าวถือเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ และต้องการที่จะเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่มหาอำนาจแต่เพียงอย่างเดียว

จุดเด่นของ Telegram นั้น Pavel Durov ได้กล่าวในสัมภาษณ์ของ Tucker Carlson คือเรื่องของการเข้ารหัสข้อความทำให้ยากแก่การถอดรหัส ซึ่งเป็นไอเดียที่เขาคิดตั้งแต่สมัยที่เขาอยู่ในรัสเซีย และเกิดแรงกดดันจากรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าว

Pavel Durov – ผู้ก่อตั้ง Telegram / ภาพจากรายการ Tucker Carlson Interview

แพลตฟอร์มส่งข้อความรายนี้มีชื่อเสียงในการใช้งานของผู้ประท้วงในหลายประเทศ หรือแม้แต่ในการบุกยูเครนโดยรัสเซีย ที่รัฐบาลแต่ละฝ่ายได้ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร หรือแม้แต่โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง

ปัจจุบัน Telegram มีคู่แข่งรายสำคัญคือ WhatsApp ของ Meta ที่มี Monthly Active User ราวๆ 2,000 ล้านคน นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าคู่แข่งสำคัญคือ Apple และ Google เนื่องจากถ้าหากไม่ทำตามข้อกำหนดแล้วแอปพลิเคชันก็อาจถูกถอดออกจาก App Store หรือ Google Play ทันที

นอกจากนี้เขาชี้ว่า Telegram ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัสเซีย โดยเขาชี้ว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นข่าวที่  ปล่อบมาจากคู่แข่งรายอื่นที่ต้องการดิสเครดิต เนื่องจากเห็นการเติบโตของแพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่เรื่องชีวิตส่วนตัว เขาชี้ว่านอกเหนือจากเงินหรือ Bitcoin แล้ว เขาไม่พยายามที่จะมีทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เรือยอร์ช หรือแม้แต่เครื่องบินส่วนตัวด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาต้องการที่จะเป็นอิสระ

เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Pavel Durov ได้ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times ว่าถ้าหาก Telegram มีกำไร เขาอาจนำธุรกิจเข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา แต่ก็มองตลาดหุ้นอื่นไว้เช่นกัน นอกจากนี้เขาก็ยังดูลู่ทางในการระดมทุนโดยขายหุ้นให้กับนักลงทุนบางส่วนด้วยเพื่อที่จะนำเงินมาลงทุนในด้านปัญญาประดิษฐ์

]]>
1470188
‘Binance’ ได้รับอนุมัติทำธุรกิจ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ในกรุงอาบูดาบี เร่งรุกตลาดตะวันออกกลาง https://positioningmag.com/1381329 Mon, 11 Apr 2022 12:12:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381329 ‘Binance’ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับอนุมัติตามหลักการให้ดำเนินธุรกิจในกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายตลาดเทรดคริปโตฯในตะวันออกกลาง

โดยก่อนหน้านี้ Binance ได้รับการอนุมัติด้านกฎระเบียบมาเเล้วจากบาห์เรนและดูไบมาเเล้ว

ซึ่งการอนุมัติตามหลักการจาก Abu Dhabi Global Market (ADGM) ครั้งนี้ จะทำให้ Binance สามารถดำเนินการเป็นนายหน้าตัวแทนจำหน่ายในสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ได้ เเละคาดว่าต่อไปจะสามารถดำเนินการในฐานะบริษัทที่ได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่

ADGM ยังแสดงเจตจำนงที่จะให้การอนุมัติด้านกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับบริษัทท้องถิ่นและบริษัทด้านคริปโตเคอร์เรนซี่ระดับโลกอื่นๆ เพื่อทำให้อาบูดาบีเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์เสมือนและเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

โดย Dhaher bin Dhaher ซีอีโอของ ADGM เเสดงความยินดีกับการออกใบอนุญาติดังกล่าว เเละสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือ Binance ในการที่จะพยายามจัดตั้งสาขาของบริษัทในกรุงอาบูดาบีด้วย

ที่ผ่านมา Binance มีการดำเนินงานโดยอิสระจากกฎระเบียบในท้องถิ่น เเต่อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก บริษัทจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางมาประนีประนอมมากขึ้น

นอกจาก Binance แล้ว แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดังอีกเจ้าอย่าง FTX ก็เพิ่งได้รับใบอนุญาตในการดำเนินงานในดูไบ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ กำลังสนใจที่จะเข้ามาทำธุรกิจในตะวันออกกลางมากขึ้น หลังภูมิภาคนี้เริ่มลดมาตรการควบคุมลงเเละเปิดประตูรับกระเเสคริปโตเคอร์เรนซี

 

ที่มา : CNBC , cointelegraph 

]]>
1381329
สัญญาณดี? ราคาน้ำมันโลกปรับลด 12% หลัง UAE ประกาศเพิ่มกำลังผลิต https://positioningmag.com/1377011 Thu, 10 Mar 2022 05:04:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377011 ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างกะทันหัน เนื่องจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศสนับสนุนการผลิตน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาวะน้ำมันแพงขึ้นทั่วโลก จากที่เดือนนี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น 15% เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงมากกว่า 12% หรือ 15 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากที่ราคาน้ำมัน WTI พุ่งแตะระดับ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนทวีความรุนแรงขึ้น

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสากลร่วงลง 13% หรือ 16.8 ดอลลาร์ อยู่ที่ 111.1 ดอลลาร์ ถือเป็นการปรับลดลงสูงสุดในหนึ่งวัน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 จากที่ราคาน้ำมันเบรนต์เพิ่งแตะระดับ 139 ดอลลาร์ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551

การปรับตัวลดลงมีสาเหตุมาจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประกาศสนับสนุนการผลิตน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานขาดแคลน หลังจากที่รัสเซียถูกนานาประเทศคว่ำบาตร เนื่องจากใช้กำลังทหารรุกรานประเทศยูเครน

“จุดที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับ 130 ดอลลาร์ นั้นเกิดจากปัจจัยในการปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ในตลาดน้ำมัน โดยมองจากการอาจสูญเสียผลผลิตของรัสเซียทั้งหมด ซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก, OPEC เลือกจะไม่ทำอะไร และสถานการณ์ในยูเครนยิ่งแย่ลง” จอห์น คิลดัฟฟ์ จาก Again Capital กล่าว

“โลกกำลังทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น” Ed Moya นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Oanda กล่าว

ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรได้ประกาศข้อจำกัดในการซื้อน้ำมันนำเข้าจากรัสเซีย โดยระบุว่าจะเลิกนำเข้าน้ำมันของประเทศภายในสิ้นปีนี้ ส่วน สหภาพยุโรป ยังได้เปิดเผยแผนการที่จะเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซีย อีกด้วย

Source

]]>
1377011
UAE จะเริ่มเก็บ ‘ภาษีนิติบุคคล’ ครั้งเเรก ในปี 2023 กระจายเเหล่งรายได้ออกจากน้ำมัน https://positioningmag.com/1372597 Tue, 01 Feb 2022 12:45:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372597 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เตรียมเก็บภาษีนิติบุคคลสำหรับผลกำไรทางธุรกิจเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งเเต่ 1 มิถุนายน 2023 เป็นต้นไป

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการดึงดูดธุรกิจจากทั่วโลกมายาวนาน ด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม ภาษีนิติบุคคลของ UAE จะยังอยู่ในระดับไม่สูงมาก เพื่อให้ยังคงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เช่นเดิม

กระทรวงการคลัง ระบุว่า ภาษีนิติบุคคลดังกล่าวจะครอบคลุมธุรกิจ องค์กรและกิจกรรมทางการค้าทั้งหมดในประเทศ ซึ่งจะเรียกเก็บในอัตรา 9% แต่จะคิดภาษีในอัตรา 0% หากมีกำไรทางภาษีไม่เกิน 375,000 ดีแรห์ม (102,107 ดอลลาร์ หรือราว 3.3 ล้านบาท ) เพื่อสนับสนุนธุรกิจรายย่อยและสตาร์ทอัพ

โดยถือว่าเป็นอัตราการเก็บภาษีนิติบุคคลที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนโลก

นอกจากนี้รายได้ส่วนบุคคลที่มาจากการจ้างงาน อสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในตราสารทุน หรือรายได้ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าหรือธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะยังคงไม่มีการจัดเก็บภาษีในส่วนดังกล่าว เเละระบบภาษีนี้จะไม่ถูกนำไปใช้กับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจในประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อปี 2018 UAE เริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในอัตรา 5% เเละล่าสุดกับการประกาศใช้แผนเก็บภาษีนิติบุคคลเป็นครั้งแรกนี้ สะท้อนให้เห็นความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการกระจายแหล่งรายได้’ จากเเต่เดิมที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจาก ‘น้ำมัน’ หันมามุ่งพัฒนาไปในด้านเทคโนโลยีเเละพลังงานสะอาดมากขึ้น

 

ที่มา : CNBC , Reuters 

]]>
1372597
รีบไปต่อ! UAE จัด ‘Booster Shot’ เตรียมฉีด ‘เข็มที่ 3’ ให้ผู้รับวัคซีนซิโนฟาร์ม ครบ 2 เข็มเเล้ว https://positioningmag.com/1333006 Wed, 19 May 2021 12:42:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333006 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE เริ่มเตรียมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ‘เข็มที่ 3’ ให้กับประชาชนผู้ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มครบ 2 เข็มเเรกเเล้ว ท่ามกลางข้อกังวลเรื่องประสิทธิภาพ

หน่วยงานด้านสาธารณสุขของ UAE ประกาศว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm) จากจีน ครบ 2 เข็มแล้วรออีก 6 เดือนหลังจากนั้นให้มาเข้ารีบวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้นเป็นBooster Shot’ หนึ่งในกลยุทธ์ ‘เชิงรุก’ ต่อสู้กับโรคระบาด

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ของซิโนฟาร์ม เป็นการฉุกเฉิน นับเป็นวัคซีนชนิดที่ 5 ของโลก เเละเป็นชนิดเเรกจากฝั่งเอเชีย ที่ได้รับไฟเขียวจาก WHO

ซิโนฟาร์มพัฒนาโดย China National Pharmaceutical Group ของรัฐบาลจีน ซึ่งใช้ฉีดเป็นตัวหลักของประเทศ เเละส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เผยผลการทดลองวัคซีนซิโนฟาร์ม ระยะที่ 3 พบว่ามีประสิทธิภาพ 86% แต่การประกาศดังกล่าวมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เปิดเผยว่าตัวเลข 86% นั้นมีการคำนวณอย่างไร

Photo : Shutterstock

ตอนนี้ ข้อกังวลถึงความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อประเทศ ‘เซเชลส์’ หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนมากที่สุดในโลก เเต่ต้องเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ครั้งใหม่ แม้แต่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนทั้ง 2 โดสก็ยังติดเชื้อ

ซึ่งผู้อยู่อาศัยในเซเชลส์ส่วนใหญ่กว่า 57% ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม ส่วนอีก 43% ฉีดแอสตราเซเนกา หรือ ‘Covishield’ ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ผลิตในอินเดีย

UAE อยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถกระจายวัคซีนได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับอัตราประชากร โดยเลือกใช้วัคซีนของซิโนฟาร์มเป็นหลัก เพราะเป็นวัคซีนที่ได้ร่วมทุนพัฒนากับจีน โดย UAE ยังเป็นฐานการผลิตที่อยู่นอกจีนแห่งแรกด้วย

ขณะเดียวกัน ก็มีการขยายวัคซีนทางเลือกให้ประชาชนทั้งจาก ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค แอสตราเซเนกา และสปุตนิกวี

โดยยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เคยพุ่งสูงสุด 4,000 ตัวต่อวันในช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ลดลงเหลือน้อยกว่า 1,500 รายต่อวัน หลังมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเเละเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ขณะนี้เมืองสำคัญอย่างดูไบกลายเป็นพื้นที่แรกๆ ในโลก ที่กลับมาดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวและจัดประชุมสัมมนาได้

ในช่วงปลายเดือนเมษายน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศว่าจะมีการพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนหันมาฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้มีการฉีดไปเเล้วเกือบ 11.5 ล้านโดส จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 10 ล้านคน

 

 

ที่มา : CNBC , Alarabiya , Reuters 

]]>
1333006
“ดูไบ” เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว 7 ก.ค.นี้ ต้องมีใบรับรองหรือพร้อมตรวจ COVID-19 ที่สนามบิน https://positioningmag.com/1284654 Mon, 22 Jun 2020 15:25:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284654  “ดูไบเตรียมจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 7 .. 2563 เป็นต้นไป โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจะต้องแสดงใบรับรองแพทย์ที่ระบุผลการตรวจ COVID-19 เป็นลบ หรือพร้อมเข้ารับการตรวจเชื้อที่สนามบินดูไบ

ดูไบ เป็นเมืองสำคัญของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีเศรษฐกิจหลักพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและค้าปลีก ในปีที่เเล้วท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ มีนักเดินทางมาใช้บริการสูงถึง 16.7 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ดูไบต้องปิดรับนักท่องเที่ยวมาตั้งเเต่เดือน มี..ที่ผ่านมา ตามมาตรการสกัดการเเพร่ระบาดของ COVID-19

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง ทำให้บรรดาธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้าและสถานบันเทิงในดูไบ เริ่มทยอยกลับมาเปิดทำให้บริการอีกครั้ง รวมไปถึงรัฐบาลได้อนุญาตให้ประชาชนเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการพิจารณา

โดยตั้งแต่วันที่ 7 .. 2563 เป็นต้นไป ดูไบจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่จำเป็นต้องมีใบรับรองผลการตรวจ COVID-19 ว่ามีผลเป็นลบ หรือไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยจะต้องทำการทดสอบเเบบ PCR ด้วยความเเม่นยำสูงสุดภายใน 4 วัน (96 ชั่วโมง) ก่อนวันเดินทาง

ส่วนบุคคลที่ไม่มีใบรับรองก็สามารถเข้ารับการตรวจเชื้อที่สนามบินได้ และหากมาถึงแล้วพบว่าติดเเชื้อไวรัสดังกล่าว ก็จะต้องเข้ารับการกักกันโรคตามทางการกำหนด เบื้องต้น 14 วันพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องดาวน์โหลดแอป DXV COVID-19 และลงทะเบียนรายละเอียด รวมถึงจะต้องมีประกันสุขภาพที่ถูกต้อง

สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจะเดินทางกลับเข้าประเทศ มีข้อกำหนดว่าทุกคนต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส ที่สนามบิน

 

ที่มา :  timeoutdubai , thenational

]]> 1284654