โควิด-ฟู้ดเดลิเวอรี่ ดัน “แพ็กเกจจิ้ง” บูม SCGP โกยรายได้ครึ่งปีแรก 4.6 หมื่นล้าน กำไรโต 40%

รับอานิสงส์เดลิเวอรี่บูมช่วง COVID-19 ไปเต็มๆ “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” โกยรายได้ครึ่งปีแรก 45,903 ล้านบาท โต 11% กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 3,636 ล้านบาท เติบโต 40% ดีมานด์บรรจุภัณฑ์กลุ่มอีคอมเมิร์ซ อาหาร สินค้าเพื่อสุขภาพพุ่ง เดินหน้าเเผนเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯ

เเรงหนุน COVID-19 ทำดีมานด์บรรจุภัณฑ์พุ่ง

จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้ประชาชนบางส่วนปรับเปลี่ยนการทำงานเป็นแบบ Work from Home และปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสู่ New Normal ผู้คนเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ใส่ใจในสุขภาพและใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย รวมถึงสั่งซื้ออาหารมารับประทานที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น ชดเชยกับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์บางกลุ่มสินค้าที่ชะลอตัวลง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของบริษัทฯ ว่ามีอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นแพ็กเกจจิ้งสำหรับ B2C และการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ

นอกจากนี้ มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของการผลิต การทำ Synergy ระหว่างโรงงานและการบริหารสัดส่วนการขายสินค้า จึงสามารถรักษาอัตรา EBITDA Margin (กำไรก่อนภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย) ไม่ให้ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ

โดยบริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยที่ SCGP เติบโตได้ดีในครึ่งปีแรก ส่วนใหญ่มาจากยอดขายบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ (Healthcare) ที่เติบโตอย่างมาก

ในช่วงที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัท ได้ผลดีจากการควบรวมกิจการ หรือ Merger and Partnership (M&P) กับ PT Fajar Surya Wisesa Tbk ผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย และบริษัทวีซี่ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562

มองธุรกิจ “แพ็กเกจจิ้ง” สดใสยาว ลุยต่ออาเซียน

ผู้บริหาร SCGP มองตลาดบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลังว่า จะยังคงมีการเติบโตท่ามกลางความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจ โดยภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มทยอยกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง

“คาดว่าจะส่งผลดีต่อการอุปโภคและบริโภค โดยเฉพาะสินค้าอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพ เเต่กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมยานยนต์ จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากเป็นสินค้าคงทนและมีมูลค่าสูง” 

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจบรรจุภัณฑ์ทุกประเภทในภูมิภาคอาเซียน มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่ารวมกว่า 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 ซึ่งคาดว่าในช่วง 6 ปี (ปี 2561-2567) จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 6.1% หรือมีมูลค่าตลาดบรรจุภัณฑ์รวมอยู่ที่ 72,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

ส่วนแนวโน้มความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ใน “ภูมิภาคอาเซียน” อย่าง เวียดนาม คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และรองเท้า จึงคาดว่าตลาดในประเทศเวียดนามจะยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี

สำหรับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ คาดว่า ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลังยังชะลอตัว เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และภาคอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นสู่ภาวะปกติ

โดย SCGP ยืนยันว่าจะเดินหน้าก่อสร้างเพื่อขยายกำลังการผลิต 4 โรงงานใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนประมาณ 8,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563-2564 และอยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการโรงผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกในประเทศเวียดนาม ซึ่งหวังว่าจะช่วยเสริมธุรกิจเติบโตให้ในภูมิภาคอาเซียน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้

สำหรับความคืบหน้าของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น บริษัทได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมและประเมินสถานการณ์ต่างๆ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจ ภาวะตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ