บิ๊กมูฟครั้งใหญ่ของโรงแรมนารายณ์ในรอบ 54 ปี เป็นโรงแรมเก่าแก่ย่านสีลม ถึงเวลาปรับโฉม รีโนเวตครั้งใหญ่ เพื่อสู้ศึกกับเชนโรงแรมอินเตอร์ ปั้นควบ 2 โรงแรมบุกตลาดลักชัวรี่ คงชื่อโรงแรมนารายณ์ไว้อยู่ อัปเกรดราคาห้องขึ้นเท่าตัว หวังเทียบชั้นแมนดาริน โอเรียนเต็ล หรือโฟร์ซีซั่น
บิ๊กโปรเจกต์หมื่นล้าน
เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงการสร้างกระแสอยู่พักใหญ่ สำหรับการทุบ “โรงแรมนารายณ์” โรงแรมเก่าแก่ที่อยู่คู่ย่านสีลมมาหลายทศวรรษ แต่การทุบครั้งนี้ไม่ได้เป็นการทุบเพื่อปิดตำนานแต่อย่างใด แต่ทุบเพื่อรีโนเวตครั้งใหญ่
โรงแรมนารายณ์ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2511 หรือมีอายุได้ 54 ปีแล้ว เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “นิธิวาสิน” บริหารโดย บริษัท นารายณ์ โฮเต็ล จำกัด ในเครือนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป
โรงแรมนารายณ์ วางจุดยืนเป็นโรงแรม 4 ดาวบนถนนสีลม อยู่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรีประมาณ 5 นาที อยู่ไม่ไกลจากวัดแขก ลักษณะเป็นอาคาร 12 ชั้น มีจำนวนห้องพัก 475 ห้อง ห้องพักบริการลูกค้ามีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ ห้องสแตนดาร์ด, ห้องสุพีเรียร์, ห้องเดอลักซ์, ห้องเดอลักซ์สวีต, ห้องแฟมิลีสวีต, ห้องเอ็กเซกคิวทีฟสวีต และห้องนารายณ์สวีต
หลายคนมองว่าที่โรงแรมประกาศทุบในปีนี้ เป็นเพราะผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 หรือเปล่า ที่สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมไปถึงการสร้างบิ๊กโปรเจกต์ “เซ็นทรัลดุสิตพาร์ค” แต่ “นที นิธิวาสิน” ทายาทรุ่น 3 ของโรงแรมนารายณ์ได้บอกว่า จริงๆ มีแผนรีโนเวตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 แล้ว
นที นิธิวาสิน กรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์ โฮเต็ล จำกัด เล่าว่า
“โรงแรมนารายณ์ไม่ใช่ทุบเพราะ COVID-19 แต่เริ่มคิดตั้งแต่ปี 2560 แล้ว มีความคิดก่อนที่ดุสิตธานีจะทุบเสียอีกด้วย แต่ COVID-19 ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น เหมือนไฟลนก้นมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เรามองธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ไปได้เรื่อยๆ เลยยังไม่คิดทำอะไรมากเท่าไหร่ เมื่อมีวิกฤตนี้เข้ามาจึงได้โอกาสได้การรีโนเวต”
โครงการใหม่นี้เป็นบิ๊กโปรเจกต์ ใช้งบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท พื้นที่รวม 6 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 70,000 ตารางเมตร โดยจะทำการทุบทิ้งให้หมด มีเก็บโครงสร้างไว้บางส่วน รวมถึงจะอัญเชิญพระนารายณ์ประดิษฐานหน้าโรงแรม เพื่อให้ทุกคนมากราบไหว้ได้สะดวก เนื่องจากก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีงานพระแม่ที่วัดแขก จะมีคนขึ้นมากราบพระนารายณ์ที่โรงแรมด้วย
จะเริ่มทุบโรงแรมในช่วงกลางปีนี้ แล้วปิดก่อสร้าง พร้อมจะกลับมาเปิดใหม่แบบเต็มรูปแบบในปี 2569 ในช่วงที่ปิด และทำการก่อสร้าง ได้มีโยกพนักงานบางส่วนไปช่วยงานโรงแรมในเครือก่อน
ให้คนทุกเจนใช้บริการได้
“อยากทำพื้นที่ให้คนหลายเจนมาอยู่รวมกัน มีห้องพักระดับเป็นหมื่น”
สำหรับโครงการใหม่นี้ นทีวางแผนว่า อยากให้เป็นพื้นที่ที่ให้ชาวสีลม หรือคนทั่วไปสามารถใช้บริการได้ทุกระดับ ทุกเจนเนอเรชัน ไม่จำเป็นจะต้องมาเข้าพักโรงแรม แต่สามารถใช้บริการส่วนอื่นๆ ได้
แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนแรก เปิดพื้นที่สำหรับกลุ่มคนทั่วไป ให้เข้ามาพักผ่อน ใช้เวลา หรือทำกิจกรรมต่างๆ มีบริการทั้งร้านค้า ร้านอาหาร พื้นที่กิจกรรมสำหรับทุกวัย โดยการตกแต่งพื้นที่โซนนี้ จะยังคงเอกลักษณ์ กลิ่นอายความเป็นนารายณ์เอาไว้ ให้ได้เข้ามาเสพบรรยากาศเก่าๆ
ทำสวนสาธารณะพื้นที่ 7,000 ตารางเมตร พร้อมกับขุดเป็นคลองคั่นระหว่าง 2 ตึกโรงแรมสำหรับกักเก็บน้ำ เพื่อลดโอกาสน้ำท่วมในถนนสีลม ให้ร้านค้าเช่าพื้นที่ในราคาย่อมเยา เพื่อให้คนในแถบนี้ยังมีที่กิน และเป็นจุดท่องเที่ยวได้ โปรโมตสตรีทฟู้ด คาดว่าจะให้ร้านค้าเช่าจำนวน 10 ร้าน
และโซนที่สอง เป็นโซนลักชัวรี ที่เป็นห้องพักระดับไฮเอนด์ เบื้องต้นจะมี 2 โรงแรม พร้อมกับมีห้องสัมมนา จุคนได้ 2,000-3,000 คน
คงชื่อ “นารายณ์” อัปเกรดเทียบเท่ารร.ริมน้ำ
ตามแผนของนที โครงการนี้จะมีโรงแรม 2 แบรนด์ด้วยกัน แบรนด์แรกจะเป็นระดับลักชัวรี่ 6 ดาว จำนวน 100-150 ห้อง ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อแบรนด์ได้ ตอนนี้กำลังพูดคุยกับเชนโรงแรมที่เป็นแบรนด์ ลักชัวรี่รายใหญ่อยู่เจ้าหนึ่ง และจะเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะสามารถนำแบรนด์นี้เข้ามาได้ คาดว่าจะมีราคาห้องพักในระดับหลักหมื่นขึ้นไป
ส่วนอีกโรงแรมจะเป็นชื่ออะไรไปไม่ได้นอกจาก “โรงแรมนารายณ์” แต่มีการวางจุดยืนใหม่เป็น Entry Level Luxury Selected ดีไซน์ใหม่ให้ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการห้องพักที่มีพื้นที่ ตกแต่งสวยงาม แต่ไม่ค่อยได้ใช้บริการภายในโรงแรมเท่าไหร่นัก เนื่องจากส่วนใหญ่ออกไปเที่ยวข้างนอกมากกว่า โดยจะจับมือกับร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเพื่อทำอาหารเช้าแบบพิเศษให้โรงแรมโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องออกไปต่อคิวเพื่อเข้าร้าน
โรงแรมนารายณ์โฉมใหม่จะมีทั้งหมด 200 ห้อง ระดับ 4-5 ดาว ลดจำนวนห้องลงจากแต่เดิมมีทั้งหมด 400-500 ห้อง โดยจะทำตึกให้เตี้ยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากได้ไม่เกิน 20 ชั้น พร้อมกับอัพราคาใหม่ให้ไม่ต่ำกว่าห้องละ 5,000 บาท จะเทียบเท่ากับแมนดาริน โอเรียนเต็ล หรือโฟร์ซีซั่น จากแต่เดิมมีราคาห้องเฉลี่ยที่ 1,000-2,000 บาท
นทียังบอกอีกว่า ตอนนี้กำลังในช่วงพูดคุย และตัดสินใจในเรื่องของการบริหาร 1 ใน 2 ของโรงแรมนี้จะทำการบริหารเอง ส่วนอีกแห่งกำลังดูเรื่องการต่อรองว่าจะใช้เชนโรงแรมระดับอินเตอร์เข้ามาบริหารหรือไม่
ทำพอร์ตให้ครบทุกเซ็กเมนต์
ปัจจุบันนารายณ์ ฮอสพิทอลิตี้ กรุ๊ป ได้เร่งเครื่องบุกตลาดลักชัวรี่อย่างเต็มตัว นอกจากการทุบโรงแรมนารายณ์ เพื่อสร้างโครงการใหม่ในระดับลักชัวรี่หมื่นล้านแล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้เปิดโรงแรมใหม่ “มาราสก้า โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต” เป็นโรงแรมระดับลักชัวรี่ ประเดิมที่เขาใหญ่ และสมุย
มาราสก้า โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต วางจุดยืนเป็นโรงแรมแนวแคชชวลลักชัวรี่ โดยมาราสก้าแห่งแรกของประเทศไทย จะเปิดตัวด้วยมาราสก้า เขาใหญ่ (Marasca Khao Yai) ในปี 2565 ตามมาด้วย มาราสก้า เกาะสมุย (Marasca Koh Samui) ในปี 2566
มาราสก้า เขาใหญ่ ได้รับการออกแบบในสไตล์ Luxury countryside retreat destination มีจำนวนห้องพักสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 18 ห้องเท่านั้น รูปแบบของห้องพัก มีความหลากหลาย ตั้งแต่ห้องแบบวิลล่า แคมปิ้งเต็นท์ ไปจนถึงรถบ้านแกลมเปอร์แวน โดยทุกห้องพัก จะมาพร้อมกับวิวของทิวเขา อ่างอาบน้ำกลางแจ้ง และเตาผิงไฟส่วนตัว
นอกจากนี้ยังได้ประกาศรีแบรนด์โรงแรมเครือ “หลับดี” ครั้งใหญ่ในรอบ 8 ปี เป็นโรงแรมในกลุ่มไลฟ์สไตล์ หรือแนวๆ โฮสเทล เพิ่มพื้นที่ Co-working Space รวมถึงคาเฟ่ร้านกาแฟ รับเทรนด์ Workation ในภาวะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น
นารายณ์ ฮอสพิทอลิตี้ กรุ๊ป พยายามเติมพอร์ตโฟลิโอให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่โฮสเทล ไปจนถึงระดับลักชัวรี่ เพราะการทำธุรกิจยุคนี้ ไม่สามารถฝากความหวังไว้แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างเดียว แต่ต้องกระจายความเสี่ยง และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้หลากหลาย
การรีโนเวตโรงแรมนารายณ์ครั้งใหญ่ในครั้งนี้ เป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในวงการโรงแรมไม่น้อย เชื่อว่าหลังจากปิดปรับปรุง แล้วกลับมาเปิดให้บริการใหม่ ในวันที่สถานการณ์การท่องเที่ยวดีขึ้น จะช่วยทำให้ย่านสีลมคึกคักอีกแน่นอน