Hyundai Motor Group หรือ “ฮุนได” ลงทุนไซต์โรงงานผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า” และแบตเตอรี ในสหรัฐฯ ด้วยเม็ดเงินลงทุน 5,540 ล้านเหรียญสหรัฐ หวังบุกตลาดสหรัฐฯ เต็มตัว ขอขึ้นเป็น Top 3 รถอีวีที่ขายดีที่สุดภายในปี 2026 เบียดตลาดแย่งกับ Tesla ที่เมื่อปี 2021 ครองตลาดถึง 75%
“ฮุนได” เตรียมลงทุนโรงงานบนที่ดินขนาดเกือบ 7,400 ไร่ ในรัฐจอร์เจีย ใกล้กับเมืองท่าซาวานนาห์ เพื่อผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า” กำลังผลิตสูงสุด 300,000 คันต่อปี คาดว่าโรงงานจะมีการจ้างงานในพื้นที่กว่า 8,000 คน และน่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 2025
“สหรัฐฯ มีความสำคัญเสมอมาต่อแผนการตลาดระดับโลกของเครือเรา เรามีความยินดียิ่งที่จะได้เป็นพันธมิตรกับรัฐจอร์เจียเพื่อไปสู่เป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและสร้างความยั่งยืนในสหรัฐฯ” ชุงอึยซุน ประธานบริษัท Hyundai Motor Group กล่าวในงานแถลงข่าว โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานสำหรับผลิตอีวีแห่งแรกของฮุนไดในทวีปอเมริกาเหนือ
ก่อนหน้านี้ฮุนไดมีการตั้งฐานผลิตโรงงานรถยนต์สันดาปอยู่แล้วในรัฐอะลาบามา ส่วนโรงงานแห่งนี้ที่จะผลิตรถอีวี จะมีการตั้งสายผลิตแบตเตอรีรถร่วมด้วย แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเป็นการผลิตเพื่อซัพพลายแบตเตอรีรถให้กับ Kia แบรนด์ในเครือที่ตั้งฐานผลิตรถอีวีอยู่ในรัฐจอร์เจียด้วยเหมือนกัน
กระแสการลงทุนโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ของบริษัทต่างๆ มีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น General Motors หรือ Ford ต่างก็ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างใหม่หรือขยายโรงงานเดิมตอบรับรถอีวี ท่ามกลางเทรนด์โลกที่ต้องการจะลดผลจากภาวะโลกร้อนน
สำหรับฮุนไดนั้นวางเป้าหมายว่าบริษัทต้องการจะเป็น Top 3 กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ ภายในปี 2026 ซึ่งจะทำให้บริษัทมียอดขายรถอีวีแตะ 3.2 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 คู่แข่งของฮุนไดไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น Tesla ที่เหมาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯ ไปกว่า 75% เมื่อปี 2021
- ขอท้าชิง! “Rivian” วางเป้าดึงมาร์เก็ตแชร์ 10% ในตลาด “รถยนต์ไฟฟ้า” ภายในปี 2030
- โตโยต้า ทุ่ม 3.4 พันล้านดอลลาร์ เตรียมสร้างโรงงานผลิตแบตฯ รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ
การเลือกตั้งโรงงานในจอร์เจียครั้งนี้ ทำให้ฮุนไดเป็นบริษัทรถอีวีแห่งที่สองที่เลือกรัฐจอร์เจีย หลังจาก Rivian สตาร์ทอัพรถอีวีที่เน้นด้านรถกระบะ ประกาศไปเมื่อปลายปีก่อนว่าจะมีการตั้งโรงงานมูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางตะวันออกของเมืองแอตแลนตา
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมองสหรัฐฯ เป็นเป้าหมาย เป็นเพราะนโยบายแข็งขันของ “โจ ไบเดน” ที่ต้องการให้สหรัฐฯ เปลี่ยนมาใช้รถอีวีโดยด่วน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และทำให้การผลิตภายในประเทศสูงขึ้นด้วย