ดุสิตธานี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 27 Aug 2025 13:42:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปแถลงการณ์ “ชนินทธ์ โทณวณิก” ปมพ้นอำนาจดุสิตธานี แจงยิบโยงปมเทกโอเวอร์ DUSIT https://positioningmag.com/1535473 Wed, 27 Aug 2025 08:13:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1535473 สรุปแถลงการณ์ ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ปมบอร์ดฯ ดุสิตธานี เตรียมหารือเรื่องขับออกจากตำแหน่ง ดังนี้

*เนื้อหาฉบับเต็มแนบรูปไว้ด้านล่างสุด*

[จุดเริ่มต้นปัญหา]

  • หลัง ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (ผู้ก่อตั้งดุสิตธานี และแม่ของทายาททั้ง 3 คือ ชนินทธ์ สินี และสุนงค์) เสียชีวิต เกิดความขัดแย้งในครอบครัว
  • เดิมคุณชนินทธ์เป็นผู้มีอำนาจลงนามหลักใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี)
  • แต่เขากล่าวว่า น้องสองคนร่วมกันโหวตแก้กฎ ลดอำนาจของคุณชนินทธ์ และปลดเขาออกจากกรรมการบริษัทในเครือ แม้เขาเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก คุณชนินทธ์มองว่าไม่ยุติธรรม

[การเจรจาแบ่งมรดก]

เคยตกลงกันว่าจะแบ่งกิจการครอบครัวออก 3 ส่วน

โดยคุณชนินทธ์ จะได้ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นในดุสิตธานี) ไป

ส่วนน้องสาวอีก 2 คน จะได้ บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใน รพ.สุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)

ภายหลัง คุณชนินทธ์ อ้างว่า น้องทั้งสองเปลี่ยนใจเพราะโครงการ Dusit Residences ขายดีหลังโควิด

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)

[ผลกระทบมาถึง “ดุสิตธานี”]

  • บริษัท ชนัตถ์และลูก ใช้อำนาจ “ไม่อนุมัติงบการเงิน” และเสนอถอดถอนคุณชนินทธ์ออกจากบอร์ด
  • พยายามดันกรรมการใหม่ที่ เชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล เข้ามาแทน คุณชนินทธ์ มองว่า เสี่ยงทำให้คนนอกครอบครัวเข้าคุมกิจการ

[ประเด็น Take Over]

  • คุณชนินทธ์ พาดพิงถึง กลุ่มเซ็นทรัล ว่าครั้งหนึ่งเคยถือหุ้น ดุสิตธานีสูงสุดถึง 22.5% และมีดีลเจรจากับน้อง ๆ ของคุณชนินทธ์หลายครั้ง
  • คุณชนินทธ์มองว่าเป็นการ “เปิดประตูให้คนนอกเข้ามายึดธุรกิจครอบครัว” และกังวลเรื่อง conflict of interest (ธุรกิจโรงแรม, อสังหา, อาหาร ซ้ำกัน)
  • ประเด็นเรื่องเทกโอเวอร์ ห่วงกระทบความเชื่อมั่นของลูกค้าและผู้ซื้อโครงการ Dusit Residences ที่ขายไปแล้วกว่า 92%
โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

[ย้ำเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง]

  • ท่านผู้หญิงชนัตถ์วางรากฐาน “Business with Honor” ซื่อสัตย์, ไม่เอาเปรียบ, เชิดชูความเป็นไทย
  • ตั้งใจให้ครอบครัวดูแลกิจการต่อ ไม่ใช่เปิดทางให้คนนอก

[ตอบข้อกล่าวหาการขาดทุน]

  • ขาดทุนหลัก ๆ มาจาก ภาระดอกเบี้ยโครงการ Dusit Central Park มูลค่า 46,000 ล้านบาท และวิกฤตโควิด แต่ไม่เคยเรียกเพิ่มทุนสักครั้ง ไม่อยากรบกวนผู้ถือหุ้น
  • ยืนยันว่าไม่ใช่การบริหารล้มเหลว แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่กำลังจะเริ่มสร้างรายได้
  • ปัจจุบันโครงการใกล้เสร็จ โรงแรมใหม่เปิดแล้วได้ผลตอบรับดี, Dusit Residences ขาย 92%, ปีหน้าจะเริ่มโอนห้องชุดและรับรู้รายได้จำนวนมาก

[สิ่งที่คุณชนินทธ์ยืนยัน]

  • นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเก้าอี้ แต่เป็นการ ปกป้องดุสิตธานีไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม
  • ห่วงผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย, พนักงาน, ลูกค้า และพันธมิตรธุรกิจ
  • ยืนยันจะไม่ทิ้งดุสิตธานี ไม่ว่าถูกปลดออกหรือไม่ และพร้อมใช้สิทธิกฎหมายเต็มที่

[สรุปสั้น ๆ]

คุณชนินทธ์ ออกมาโต้ว่า การถอดถอนเขาจากบอร์ดดุสิตธานีไม่ใช่เรื่องการบริหาร แต่เป็นความขัดแย้งในครอบครัวที่เปิดทางให้คนนอก (โดยเฉพาะกลุ่มเซ็นทรัล) เข้ามายึดกิจการ

เขายืนยันว่าโครงการใหญ่กำลังจะประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ทำคือเพื่อปกป้อง “ดุสิตธานี” ในฐานะแบรนด์ไทย ไม่ใช่รักษาอำนาจตัวเอง

ส่วนที่ 1
แถลงการณ์ชนินทธ์ ปมถูกปลดออกจากดุสิตธานี
ส่วนที่ 2
ส่วนที่ 3
ส่วนที่ 4
ส่วนที่ 5
ส่วนที่ 6
ส่วนที่ 7
ส่วนที่ 8
]]>
1535473
เปิดไทม์ไลน์ ศึกสายเลือด “ดุสิตธานี” ขับ “ชนินทธ์ โทณวณิก” พ้นอำนาจ DUSIT https://positioningmag.com/1535397 Wed, 27 Aug 2025 04:11:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1535397 วิกฤตผู้ถือหุ้นของ ดุสิตธานี (DUSIT) กำลังกลายเป็นหนึ่งใน กรณีศึกษา ด้าน Corporate Governance ที่น่าจับตาที่สุดของปี 2568

เพราะไม่ใช่แค่ความขัดแย้งเรื่องการเงิน แต่คือการแย่งชิง “อำนาจการควบคุม” ของธุรกิจโรงแรมระดับตำนานของไทย ที่สะท้อนทั้งปัญหาครอบครัว ธรรมาภิบาล และความเชื่อมั่นของตลาดทุน

จุดเริ่มต้น มหากาพย์ความบานปลาย : งบการเงินไม่ผ่าน

เมื่อ 25 เมษายน 2568 ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นเกือบ 50%) ปฏิเสธไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 ทั้งที่งบฯ ผ่านผู้สอบบัญชีแล้ว

  • ผลคือ DUSIT ไม่สามารถส่งงบได้ตามกำหนด
  • หุ้น “เกือบ” ถูกแขวนด้วยเครื่องหมาย SP
  • ตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุนจับตาอย่างหนัก เพราะสะท้อนความขัดแย้งเชิงลึก

การ “ไม่ผ่านงบ” ถือว่าเป็นสัญญาณรุนแรงในตลาดทุน เพราะเป็นการส่งสารกลาย ๆ ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่ยอมรับการบริหารงานของบอร์ดชุดปัจจุบัน ที่มี ชนินทธ์ โทณวณิก เป็นแกนหลัก

เบื้องหลัง การลดบทบาทชนินทธ์

ก่อนการประชุมไม่กี่เดือน คือ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ชนินทธ์ ถูกถอดจากกรรมการของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” บริษัทโฮลดิ้งที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และคณะกรรมการใหม่ก็เป็นฝั่งของ “น้องสาว” (สินี เธียรประสิทธิ์ และ    สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค) ทั้งหมด

นี่คือจุดเปลี่ยน เพราะหมายถึง อำนาจการโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ได้อยู่ในมือชนินทธ์อีกต่อไป

และปูทางไปสู่ “แผนปลด” ชนินทธ์จากบทบาทใน DUSIT

3 พี่น้องทายาทดุสิตธานี ประกอบด้วย ชนินทธ์ โทณวณิก, สุนี เธียรประสิทธิ์ และ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค

ชนินทธ์ คัมแบ็ก

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 แม้ ชนินทธ์ ถูกลดอำนาจในฝั่งโฮลดิ้ง แต่บอร์ด DUSIT กลับแต่งตั้งชนินทธ์ ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ (ประธานบอร์ดฯ) หลังอาสา สารสิน หมดวาระ

ทำให้ชนินทธ์ยังมี “ที่มั่น” ในระดับบอร์ด DUSIT และเป็นสัญญาณว่า ชนินทธ์ยังมีแรงสนับสนุนจากกรรมการบางส่วน และไม่ได้หลุดวงจรอำนาจไปทั้งหมด

ทว่า ชนินทธ์ แม้ยังมีตำแหน่ง แต่ถูกลดบทบาทเชิงโครงสร้างลง ทำให้เราเห็นภาพการ Re-structure อำนาจครั้งใหญ่ของดุสิตธานี

เตรียมขับชนินทธ์ พ้นอำนาจ DUSIT

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) ดุสิตธานี ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงวาระประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ตามที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขอมา ซึ่งหนึ่งในวาระการประชุม มีเรื่องการขอถอดถอน ชนินทธ์ ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทด้วย

ขณะเดียวกัน ยังมีวาระถอด ชนินทธ์ และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ซีอีโอ DUSIT) ออกจากอำนาจบอร์ดเซ็นชื่ออีกด้วย

แรงกระเพื่อมในครั้งนี้ คาดสร้างผลกระทบให้กับ DUSIT

ประเด็นแรก คือ ความเชื่อมั่นจากตลาดและนักลงทุน วิกฤตนี้ต่อเนื่องจากการไม่อนุมัติงบการเงิน โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้หุ้นเกือบถูกแขวน SP และสร้างความไม่มั่นใจในความโปร่งใสของการบริหาร

การเปลี่ยนแปลงบอร์ดอาจยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอน การกู้คืนความเชื่อมั่นจำเป็นต้องใช้เวลา

ส่วนความเสี่ยงเชิงธุรกิจ คือ ด้านภาพลักษณ์แบรนด์เป็นหลัก กล่าวคือ โรงแรมคือธุรกิจที่ขายความเชื่อมั่นและความหรูหรา ซึ่งดุสิตธานีระยะหลังเน้นการรับบริหารโรงแรม มากกว่าการลงทุนเอง

สิ่งสำคัญคือ ความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อแบรนด์และนโยบายการขับเคลื่อนองค์กรของดุสิตธานีฯ ความขัดแย้งในครอบครัวกลายเป็นข่าวต่อเนื่อง แบรนด์ก็ ‘อาจจะ’ สั่นคลอนได้ แม้ธุรกิจจริงจะยังเดินอยู่

อาจกล่าวได้ว่ากรณีนี้เป็น “บทพิสูจน์” ของ Corporate Governance ไทย ว่าจะจัดการปัญหาครอบครัวในบริษัทมหาชนได้อย่างไร ขณะที่นักลงทุนสถาบันและตลาดหลักทรัพย์จะจับตา “การเปิดเผยข้อมูล/ความโปร่งใส” ของ DUSIT อย่างเข้มข้นต่อไป

]]>
1535397
DUSIT คืนพื้นที่สีเขียวให้ กทม. ชวนคนไทย “ตั้งชื่อสวน” ชิงตั๋วบิน+โรงแรมในญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1528024 Fri, 27 Jun 2025 10:05:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528024 เดือนสิงหาคม 2568 ชาวกรุงเตรียมมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มให้สดชื่นเต็มปอด เพราะ “ดุสิตธานี” หรือ DUSIT เตรียมเปิด สวนลอยฟ้า (Roof Park) ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ขนาด 7 ไร่ พื้นที่รวม 11,200 ตร.ม. จำนวน 4 ชั้น (ชั้น 4-7)

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Dusit Central Park เชื่อมกับ 3 ตึกมิกซ์ยูสข้างในทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า และตึกสำนักงาน แต่ได้ให้พื้นที่สวนดังกล่าว เป็นสาธารณประโยชน์ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้ได้นั่นเอง

“เราตั้งเป้าให้สวนลอยฟ้านี้ เทียบเคียงสวนสาธารณะระดับโลกอย่าง Central Park ในมหานครนิวยอร์ก และ Hyde Park ในมหานครลอนดอน ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานของทุกคนที่ตั้งอยู่บน Prime Location ใจกลางเมือง“ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าว

สวนลอยฟ้า ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

ทั้งนี้ ไฮไลต์ของสวนลอยฟ้าแห่งนี้ มีการออกแบบรองรับการไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ ทั้งออกกำลังกาย พักผ่อน หรือการทำกิจกรรมในครอบครัวและสัตว์เลี้ยง เช่น

  • พื้นที่วิ่งเทรล (Natural Trail)
  • โซนสำหรับเด็ก (Kids Zone)
  • พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง (Pets Area)
  • พื้นที่สำหรับนั่งรับประทานอาหารได้ (Food Passage)
  • พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ อาทิ สวนรวบรวมพันธุ์ไม้ ส่วนหนึ่งนำมาจากวรรณคดีไทยทั้งนิราศสุพรรณ นิราศภูเขาทอง ผนวกกับพันธุ์ไม้ไทยดั้งเดิม ต้นไม้ประจำถิ่นกรุงเทพฯ อย่างมะกอกน้ำ

“ด้านระบบนิเวศได้วางคอนเซ็ปต์ธรรมชาติบำบัด ที่ปราศจากสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง หรือ คลอรีน ทำให้พื้นที่สีเขียวแห่งนี้เป็นบ้านที่เหมาะสมสำหรับทั้งแมลงปอ แมลงทับ ผีเสื้อ และกระรอก เป็นต้น รวมทั้งในอนาคตสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่”

พื้นที่สวน roof park ดุสิต
โซนพื้นที่ Roof Park ของ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค

อย่างไรก็ดี DUSIT ได้จัดทำแคมเปญ ชวนคนไทยร่วมตั้งชื่อสวนลอยฟ้า “Roof Park at Dusit Central Park: The Landmark of Thai Pride” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568

โดยมีเงื่อนไขในการตั้งชื่อที่สะท้อนเนื้อหาและเรื่องราวเกี่ยวกับ

1. การเป็นพื้นที่สีเขียวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Accessibility)

2. ความเป็นจุดหมายสำคัญของเมือง (Landmark)

3. ผสานความเป็นธรรมชาติกับความเป็นเมือง (Nature meets urban)

4.ความเป็นไทยร่วมสมัย (Contemporary Thai)

5.การเชื่อมต่อกับผู้คนและชุมชน (Community Connection)

สวนลอยฟ้า ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค

ส่วนเกณฑ์การตัดสินประกอบด้วย 5 เกณฑ์ ดังนี้

  • การใช้แบรนด์ในชื่อ : สะท้อนอัตลักษณ์แบรนด์
  • ความคิดสร้างสรรค์ : ให้ความสำคัญกับตัวเลือดที่สร้างสรรค์ โดดเด่น
  • ความเกี่ยวข้องกับแนวคิดสวนลอยฟ้า : ชื่อต้องสะท้อนแก่นแท้ของสวนลอยฟ้า
  • แรงบันดาลใจและแหล่งที่มาของชื่อ : ชื่อต้องอธิบายได้ถึงแรงบันดาลใจ หรือแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน
  • ความน่าจดจำ : ชื่อต้องจำง่าย และออกเสียงง่าย

โดยผู้ชนะเลิศการประกวดจะได้รับรางวัลแพ็กเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น 3 วัน 2 คืน

ส่วนรางวัลชมเชย บัตรรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร Pavilion โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ มูลค่า 3,000 บาท จำนวน 5 รางวัล

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียด กฎ และกติกาของแคมเปญประกวดตั้งชื่อ และประกาศผลผ่านช่องทางของดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค https://dusitcentralpark.com/

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
]]>
1528024
ดุสิตธานี ปี 68 ช่วงทะยานการเติบโต ตั้งเป้าเทิร์นอะราวกำไรสุทธิในรอบ 5 ปี https://positioningmag.com/1526051 Sat, 14 Jun 2025 01:58:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1526051 ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า จากตอนแรกที่เริ่มเข้าทำงานในดุสิตธานี พบว่า รายได้ 90% ของบริษัทฯ ยึดโยงกับธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว ขณะที่อีก 10% มาจากภาคการศึกษา ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก จึงวางกลยุทธ์ 9 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561)

โฟกัสสร้างคน กระบวนการทำงาน และเทคโนโลยี รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว

สินทรัพย์ของดุสิตธานีช่วงนี้ ประกอบด้วย โรงแรมรวม 27 แห่ง เป็นเจ้าของเอง 10 แห่ง และรับบริหารงานอีก 17 แห่ง ซึ่งหลายโรงแรมในพอร์ตฯ เริ่มมีอายุ และไม่ตอบโจทย์เซกเมนต์คนรุ่นใหม่ จึงวางแผนเตรียมรีโนเวต

ขณะเดียวกัน ยังได้ขยายการรับบริหารโรงแรมมากขึ้น เนื่องจาก ช่วงนั้นพอร์ตฯ รายได้ 90% ของดุสิตธานี มาจากการเป็นเจ้าของโรงแรมเอง ส่วนโรงแรมที่รับบริหารมีสัดส่วนรายได้เพียง 5-7% หากต้องการรายได้ส่วนรับบริหารให้เท่ากับรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงแรม ต้องหาโรงแรมมาบริหารเพิ่มอีก 20 โรงแรม

โรงแรม ดุสิตธานี กรุงเทพ ก่อนรีโนเวต
โรงแรม ดุสิตธานี กรุงเทพ ก่อนรีโนเวต

ช่วงที่ 2 ช่วงขยายการเติบโต Take Off (2562-2565)

เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้ง การขยายธุรกิจโรงแรม ผ่านการรับบริหาร เน้นใช้โมเดล Asset-Light (ไม่ลงทุนเอง เพราะใช้งบลงทุนสูง) ตลอดจน การขยายธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจอาหาร จัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตลอดจนทำเมกะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท

“ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่”

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูส 46,000 ล้านบาท ร่วมทุนระหว่าง DUSIT และ CPN

ช่วงที่ 3 ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต Unlock Value (2566-2568)

เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ

ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง (โรงแรม 55 แห่ง, วิลล่าหรู 239 แห่ง) จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ โดยในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ (หลังรีโนเวต)

รวมถึงการเตรียมนำธุรกิจฟู้ด ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาดุสิตฟู้ดส์ ได้ขยายการลงทุนต่อเนื่อง อาทิ

  • บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย
  • บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม
  • บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง
ผลประกอบการดุสิตธานี ระยะ 9 ปี
ผลประกอบการดุสิตธานี ระยะ 9 ปี (พ.ศ. 2559 – 2567)

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาด้านผลประกอบการของดุสิตธานี พบว่า ในปี 2567 ได้ทุบสถิติผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา โดยมีรายได้รวม 11,345 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท

แต่ด้วยมีภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ 578 ล้านบาท (บริษัทไม่เคยเพิ่มทุนแม้ช่วงโควิดที่แทบไม่มีรายได้ 3 ปี จึงใช้วิธีกู้แทน) ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 237 ล้านบาท

“ปี 2568 ประเมินว่า จะเทิร์นอะราวด์กลับมามีกำไรสุทธิในรอบ 5 ปี จากอัตราการเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจหลักจะเติบโตประมาณ 20-25% แบ่งเป็น การเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20-25% ธุรกิจอาหาร 10-15% ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100%“

ทั้งนี้ ดุสิตธานี จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบา โดยเริ่มรับรู้รายได้ภายในปลายปี 2568 และรับรู้รายได้อย่างมีนัยยะสำคัญปี 2569

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีภาระหนี้จากเงินกู้ยืมและหุ้นกู้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นภาระดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี (เป็นดอกเบี้ยปีละ 200 กว่าล้านบาท) คาดว่าจะดีขึ้นจากรายได้ส่วนที่อยู่อาศัยที่เข้ามา และผลประกอบการที่ดีขึ้น

]]>
1526051
ดุสิตธานี ขอลุยธุรกิจอสังหา ปั้น Branded Residences หรู “ดุสิต อจารา หัวหิน” มูลค่า 2 พันล้าน https://positioningmag.com/1515334 Wed, 19 Mar 2025 09:26:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515334 “ดุสิตธานี” สร้างชื่อจากธุรกิจโรงแรมมากกว่า 70 ปี โดยแต่เดิมมี 2 ธุรกิจหลัก คือ โรงแรม และการศึกษา โดยนับตั้งแต่ปี 2559 ได้เริ่มไดเวอร์ซิฟายธุรกิจสู่กลุ่มอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

โดยเป้าหมายหลัก คือ สร้างสมดุล สร้างการเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจของดุสิตธานี ไม่ให้พึ่งพิงน่านน้ำรายได้จากสายใดสายหนึ่งมากจนเกินไป

ซึ่งปี 2567 ดุสิตธานี เริ่มชิมลางเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ปั้นโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค” ประกอบด้วยโรงแรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ของดุสิตเอง และถือเป็น Branded Residences สัญชาติไทยครั้งแรก

“เราไม่ได้มาจากสายอสังหา แต่เติบโตมาจากธุรกิจบริการ จึงอยากนำความเชี่ยวชาญเรื่อง Hospitality มาใช้กับธุรกิจที่อยู่อาศัย ให้รับเซอร์วิสไม่ต่างจากโรงแรม” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าว

ดุสิต อจารา หัวหิน

สำหรับปี 2568 ดุสิตธานี เตรียมขยายโครงการที่อยู่อาศัย รูปแบบ Branded Residences ในต่างจังหวัดครั้งแรก ประเดิมพื้นที่หัวหิน โดยใช้ชื่อ “ดุสิต อจารา หัวหิน” มูลค่า 2,000 ล้านบาท

“หัวหิน เป็น Top 4 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย เป็นรองแค่ กทม. ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้ผลักดันหัวหินสู่ Smart City ปัจจัยนี้ผลักดันให้ตลาดอสังหากลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางไปจนถึงอัลตราลักซูรีได้รับความสนใจจากผู้ซื้อชาวไทย และชาวต่างชาติ อาทิ โซนสแกนดิเนเวีย“

บริเวณที่ดินที่ตั้งโครงการ ดุสิต อจารา หัวหิน

สำหรับ ”ดุสิต อจารา หัวหิน“ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ บริเวณใกล้กับโรงแรมดุสิตธานีหัวหิน วางแผนการขายในรูปแบบสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ประมาณ 30 ปี และต่อสัญญาได้อีก 30 ปี คาดเริ่มก่อสร้างปี 2569 ก่อนแล้วเสร็จในปี 2571 เบื้องต้น จะเริ่มเปิดขายแบบพรีเซลในเดือนเมษายนนี้

โดยราคาขายเฉลี่ยจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มที่อยู่อาศัย Branded Residences อยู่ที่ประมาณ 200,000-250,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งสูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไป (Non-Branded Residences) ที่มีราคา 100,000-150,000 บาท/ตร.ม.

ทั้งนี้ ดุสิต อจารา หัวหิน มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท พัฒนาในรูปแบบอาคาร Low Rise จำนวน 7 อาคาร มีจำนวนทั้งหมด 96 ยูนิต โดยห้องจะมี 4 รูปแบบ ได้แก่

  • 1 ห้องนอน ขนาด 70-90 ตร.ม.
  • 2 ห้องนอน ขนาด 120-180 ตร.ม.
  • 3 ห้องนอน ขนาด 250 ตร.ม.
  • ห้องเพนต์เฮ้าส์ 3 ยูนิต ขนาด 300 ตร.ม.

“บริษัทฯ วางทาร์เก็ตเป็นคนไทย 60% และต่างชาติอีก 40%”

ที่ตั้งอาคารทั้ง 7 หลังของโครงการดุสิต อจารา หัวหิน

ความพิเศษของโครงการนี้ คือ ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้บริการระดับโรงแรม 5 ดาว ได้จาก Dusit Hospitality Services อาทิ

  • บริการ Concierge 24 ชม.
  • บริการแม่บ้านทำความสะอาด 2 ครั้ง/สัปดาห์
  • สิทธิประโยชน์ Dusit Gold Platinum สามารถใช้บริการโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีที่ร่วมสิทธิ์ทั่วโลก

“ดุสิตธานีเชื่อมั่นว่า โครงการ ดุสิต อจารา หัวหิน จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเพิ่มโอกาสการเข้าพักระยะยาวของชาวต่างชาติ และยังกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยบนหัวหินให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลกในการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ระดับอัลตราลักซูรี”

]]>
1515334
เช็กชื่อผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด “โรงแรม 3 ดาว” เมืองไทย https://positioningmag.com/1388761 Tue, 14 Jun 2022 14:12:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388761 หลังจาก “เซ็นทรัลพัฒนา” ประกาศแผนลงมาจับตลาด “โรงแรม 3 ดาว” กลายเป็นอีกหนึ่งรายใหญ่ที่เข้าสู่ตลาด โดยแต่ละรายมีทิศทางการทำธุรกิจที่ทั้งเหมือนและแตกต่าง เราไปเช็กชื่อกันว่าโรงแรม 3 ดาวในไทยมีเชนใดบ้างในขณะนี้ และมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มไหนเป็นหลัก

เครือ Accor – Ibis, Ibis Style

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,700 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 21 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 2 แห่ง (ไอบิส สไตล์ ทวินทาวเวอร์ส และ ไอบิส เชียงใหม่ นิมมาน)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมในสไตล์เรียบง่าย ทันสมัย สนุกสนาน พนักงานเป็นมิตร ในราคาประหยัด เจาะกลุ่มทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มเดินทางเพื่อธุรกิจ

โรงแรม 3 ดาว
ไอบิส สไตล์ กรุงเทพฯ-รัชดา

เครือ IHG – Holiday Inn Express

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,300-2,000 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 6 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: อย่างน้อย 7 แห่ง
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมเรียบง่ายและดูดี ตอบสนองลูกค้าที่ต้องการที่พักเพื่อการพักผ่อน เติมพลัง และทำงานเล็กๆ น้อยๆ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบที่ลูกค้าต้องการ

Holiday Inn Express สุขุมวิท 11

เครือ BWH Hotel Group – Best Western

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,500 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 5 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมออกแบบทันสมัย ต้อนรับอย่างอบอุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช่น Free Wi-Fi, เครื่องชงชากาแฟในห้อง, บริการเครื่องปรินท์ เน้นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ (ทั้งนี้แบรนด์จะมีระดับ Plus และ Premier ที่ยกระดับขึ้นมาเป็น 4 ดาวด้วย)

Best Western Royal บุรีรัมย์

เครือดุสิตธานี – ASAI (อาศัย)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,000-1,500 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 1 แห่ง (อาศัย เยาวราช)
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 1 แห่ง (อาศัย สาทร)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: Eat, Work, Play กินดื่ม ทำงาน พักผ่อน ประสบการณ์แบบลักชัวรีในราคาจับต้องได้ เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นในทำเล

อาศัย เยาวราช

เครือเซ็นทารา – COSI (โคซี่)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 500-1,000 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 3 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมสุดชิคที่มีหลายฟังก์ชันเปิด 24 ชั่วโมง เช่น คาเฟ่, โซเชียลฮับ, ห้องซักผ้าหยอดเหรียญ พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เหมาะกับวัยรุ่น

โรงแรม 3 ดาว
COSI พัทยา วงศ์อมาตย์ บีช

เครือ CPN x เซ็นทารา – Go! Hotel

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,100 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: (อยู่ระหว่างก่อสร้าง)
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 25 แห่ง (ภายใน 5 ปี)
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมระดับพรีเมียมแมสขนาด 79 ห้อง ทำเลติดศูนย์การค้า ทั้งในหัวเมืองหลักและเมืองรอง เหมาะกับทั้งนักท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ สามารถพักผ่อนค้างคืนได้ในโรงแรมที่มีมาตรฐาน

โรงแรม 3 ดาว
ภาพจำลอง Go! Hotel

บีทู โฮเทล – B2 (บีทู)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 400-900 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 55 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 100 สาขา (ภายใน 5 ปี) โดยมี 20 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะเปิดภายในปีหน้า
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมบูทีคในราคาจับต้องได้ การออกแบบและตกแต่งมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเอกลักษณ์พื้นที่ โดยมีแผนผนึกกับร้านกาแฟ Wake Up Coffee 24 ชั่วโมงเข้าไปในบางสาขา หลังจากที่เครือเพิ่งเทกโอเวอร์ร้านกาแฟเข้ามาเมื่อปี 2563

ดิ เอราวัณ กรุ๊ป – Hop Inn (ฮ็อป อินน์)

ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 600-900 บาท
จำนวนโรงแรมในไทย: 47 แห่ง
แผนการเปิดตัวในอนาคต: 53 แห่ง (ภายใน 5 ปี) โดยมี 7 แห่งที่อยู่ระหว่างก่อสร้างแล้ว
คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: ที่พักที่ให้ประสบการณ์คุณภาพสำหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจและท่องเที่ยว มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา

โรงแรม 3 ดาว
ฮ็อป อินน์ ชัยภูมิ

จะเห็นว่าแบรนด์โรงแรม 3 ดาวส่วนใหญ่จะมองทั้งกลุ่มผู้เข้าพักเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ แต่จะเน้นหนักไปทางใดขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง และทุกแบรนด์จะเสนอมาตรฐานโรงแรมที่เพียงพอให้ลูกค้ารู้สึกได้รับประสบการณ์ที่ดี ในราคาที่จับต้องได้ง่าย

ส่วนแบรนด์ใหม่ๆ ของเชนโรงแรมไทยอย่าง COSI, Go! Hotel หรือ ASAI จะเห็นชัดมากขึ้นว่ามีการนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับนักเดินทางแบบ Workation วิถีการทำงานแบบใหม่ของคนยุคนี้ที่มักจะนำงานไปทำด้วยระหว่างท่องเที่ยว หรือตั้งใจเปลี่ยนไปทำงานแบบ Work from Anywhere ระยะหนึ่งในสถานที่ที่ผ่อนคลายได้มากกว่า

 

โรงแรม 3 ดาว หอมหวานเพราะกระแสไทยเที่ยวไทย

กระแสการลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาวของผู้เล่นรายใหญ่เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ยกตัวอย่าง เครือดุสิตธานี ที่เคยมีแผนจะเปิดโรงแรม ASAI ถึง 10 แห่งในช่วงเปิดตัวแบรนด์เมื่อ 4 ปีก่อน

แม้ว่า COVID-19 อาจจะทำให้แผนลงทุนของบริษัทต่างๆ ชะลอลงไปบ้าง แต่โรงแรม 3 ดาวก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจของรายใหญ่ ตัวอย่างเช่น ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่เลื่อนแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ออกไปหลายแห่ง และมีการขายโรงแรมไอบิส สมุย บ่อผุด กับเรเนซองส์ เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา ออกจากพอร์ต ในทางกลับกัน บริษัทจะลงทุนกับโรงแรม Hop Inn อย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นเทรนด์แล้วว่าตลาดไทยเที่ยวไทยฟื้นได้เร็วกว่า โรงแรมบัดเจ็ทแบบนี้สามารถทำอัตราเข้าพักได้เฉลี่ยถึง 60% และบางสาขาขึ้นไปถึง 80-90%

ฝั่งหน้าใหม่แต่อยู่ในเครือใหญ่อย่าง บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) ในเครือออริจิ้น แย้มแผนแล้วว่าบริษัทกำลังพัฒนาเชนของตนในชื่อ “แฮมป์ตัน” ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรม 3 ดาว วางราคาที่ประมาณ 1,200 บาทต่อคืน เหตุที่สนใจตลาดระดับนี้เพราะเป็นระดับเจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยที่ยั่งยืนกว่า และในหน้าเทศกาลยังมีโอกาสปั้นราคาขึ้นไปสูงได้ใกล้เคียงกับโรงแรม 4 ดาว ทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น

เซ็นทรัลพัฒนาก็เช่นกัน การลงทุนกับโรงแรม Go! Hotel เพราะเล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ การฟื้นตัวของการเดินทางทั้งเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ รวมถึง Workation ด้วย

]]>
1388761
อนันดาฯ จับตลาด “ต่างชาติ” ซื้อ “พูลวิลล่า” ด้านตลาด “คอนโดฯ” เริ่มฟื้นกลับมาหลังเปิดเมือง https://positioningmag.com/1385753 Wed, 18 May 2022 11:23:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385753 อนันดาฯ คอนเฟิร์มแผนปี 2565 เปิดตัวใหม่ 7 โครงการ หนึ่งในนั้นเป็นโครงการใหญ่ “อาร์เทล อโศก-พระราม 9” ลักชัวรีพูลวิลล่าที่ส่งไปเจาะตลาด “ต่างชาติ” ได้ยอดขายแล้ว 20% ด้านตลาด “คอนโดฯ” เห็นเทรนด์การฟื้นตัวหลังเปิดเมือง จราจรติดขัด ไลฟ์สไตล์คนเมืองกลับมา ไฮไลต์คอนโดฯ ปีนี้คือ “COCO Parc” ใกล้สวนเบญจกิตติ ที่จะเสริมบริการจากพันธมิตร “ดุสิตธานี”

“ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดแผนและความคืบหน้าของอนันดาฯ ปี 2565 โดยยังคงย้ำแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 29,098 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่

  • COCO Parc (โคโค่ พาร์ค)
  • คัลเจอร์ จุฬา
  • คัลเจอร์ ทองหล่อ
  • ไอดีโอ สะพานควาย
  • ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี
  • อาร์เทล อโศก-พระราม 9
  • ทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่ ย่านติวานนท์-แจ้งวัฒนะ

ทั้งหมดจะเปิดตัวในไตรมาส 4/65 ยกเว้นโครงการ COCO Parc ที่จะเปิดพรีเซลในไตรมาส 3/65 และโครงการอาร์เทล อโศก-พระราม 9 ที่เริ่มซอฟต์ลอนช์ในตลาดต่างประเทศแล้ว (อ่านรายละเอียดโครงการทั้งหมดที่นี่)

 

ดึง “ต่างชาติ” ซื้อ “พูลวิลล่า” หรูย่านพระราม 9

ประเสริฐกล่าวถึงโครงการแนวราบที่เป็นไฮไลต์ของปีนี้คือ อาร์เทล อโศก-พระราม 9 มูลค่าโครงการ 4,050 ล้านบาท ออกแบบเป็นพูลวิลล่าหรู ราคาขาย 35 ล้านบาทขึ้นไปต่อหลัง

โครงการนี้มีการเปิดขายผ่านเครือข่ายเอเยนซี่ 107 แห่งในต่างประเทศ และได้รับยอดขายกลับมาถึง 20% ของโครงการ มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท โดยผู้ซื้อต่างชาติเหล่านี้จะซื้อผ่าน ‘นิติบุคคล’ จดทะเบียนในประเทศไทย ทำให้สามารถขายสิทธิ์ขาดในที่ดินได้

“ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

อนันดาฯ มองยอดซื้อจากต่างชาติเป็นบวกกับบริษัทมาก เพราะนอกจากได้กำลังซื้อเพิ่มเติมจากชาวไทยแล้ว กรณีสัญญาต่างชาติจะเรียกวางเงินดาวน์ 40% ทำให้บริษัทได้เงินหมุนเวียนเข้าบริษัทมากขึ้นระหว่างรอก่อสร้างเพื่อส่งมอบ

แม้ว่าตลาดใหญ่อย่าง “จีน” จะยังไม่กลับมาเต็มที่เพราะจีนยังไม่เปิดประเทศ แต่ประเสริฐระบุว่าตลาดอื่นๆ ในแถบอินโดจีนเข้ามาทดแทนได้มาก และเชื่อว่าดีมานด์ของชาวจีนและฮ่องกงต่ออสังหาฯ ไทยยังคงมีอยู่ เพียงแต่รอมาตรการคลี่คลายการเดินทางเท่านั้น

 

COCO Parc คอนโดฯ พ่วงบริการ

ด้านตลาดคอนโดฯ ปีนี้มีไฮไลต์ที่โครงการ “COCO Parc” คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับ “ดุสิตธานี” มูลค่าโครงการ 4,622 ล้านบาท จำนวน 486 ยูนิต ทำเลติดกับ MRT คลองเตย ตรงข้ามสวนเบญจกิตติ เป็นโครงการนำร่องของอนันดาฯ ที่จะผนวกกับบริการจากดุสิตธานีภายในคอนโดฯ

COCO Parc คอนโด อนันดา
คอนโดฯ COCO Parc อยู่ระหว่างก่อสร้าง ส่งมอบได้ช่วงไตรมาส 4/65

ทำให้โครงการจะใช้กลยุทธ์ “สร้างเสร็จก่อนขาย” โดยเริ่มพรีเซลภายในไตรมาส 3/65 และโครงการจะเสร็จพร้อมโอนทันทีช่วงไตรมาส 4/65 โดยชานนท์มองว่าต้องใช้กลยุทธ์นี้เพราะเป็นคอนโดฯ ที่มีบริการ เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่เชื่อว่าลูกค้าจะต้องการเห็นของจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

นอกจาก COCO Parc แล้ว คอนโดฯ เปิดใหม่ของอนันดาฯ ภายใต้แบรนด์ “คัลเจอร์” ทั้ง 2 โครงการ จะบริหารด้วยเชนเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ‘Ascott’ ด้วย เพราะมองว่าทำเลน่าจะมีนักลงทุนปล่อยเช่าจำนวนมาก การมีเชน Ascott มาบริการจะช่วยได้

“ต่อไปทุกคอนโดฯ ของเราต้องมีบริการมาเป็นซอฟต์แวร์ร่วมด้วย จะมาเป็นตึกเปล่าๆ ไม่ได้อีกแล้ว” ชานนท์กล่าว

ชานนท์มองว่าตลาดคอนโดฯ กำลังฟื้นตัวกลับมาหลังจากประเทศไทยเริ่มเปิดเมือง ชีวิตเริ่มกลับมาเป็นปกติ ทำให้การจราจรติดขัด การมีที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้ากลับมามีความสำคัญสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z (อายุ 20-26 ปี) และ Gen Y (27-40 ปี)

 

ตุนสต็อกสะสม 58,725 ล้านบาท จนถึงปี 2567

ด้านโครงการที่จะสร้างเสร็จใหม่ในปีนี้ (ไม่นับ COCO Parc) มี 2 โครงการ ได้แก่ ไอดีโอ จรัญ 70 – ริเวอร์วิว มูลค่าโครงการ 3,664 ล้านบาท (เริ่มโอนมิถุนายนนนี้) และ ไอดีโอ พระราม 9 – อโศก มูลค่าโครงการ 6,844 ล้านบาท (เริ่มโอนกันยายนนี้) ประเสริฐระบุว่าทั้ง 2 โครงการมียอดขายแล้วกว่า 80%

อนันดา
ไอดีโอ จรัญ 70 – ริเวอร์วิว

ทั้ง 2 โครงการจะมาเติมพอร์ตสต็อกพร้อมอยู่ของอนันดาฯ โดยรวมทั้งหมดอนันดาฯ จะมีสต็อกมูลค่ารวม 58,725 ล้านบาท รับรู้รายได้ได้ถึงปี 2567 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ

  • สต็อกพร้อมอยู่ที่สะสมมาก่อนปี 2565 มูลค่ารวม 29,324 ล้านบาท จากคอนโดฯ 18 โครงการ และแนวราบ 13 โครงการ
  • สต็อกโครงการเปิดใหม่ มูลค่ารวม 10,004 ล้านบาท จากคอนโดฯ 1 โครงการ และแนวราบ 2 โครงการ
  • สต็อกโครงการสร้างเสร็จใหม่ปี 2565-67 มูลค่ารวม 19,397 ล้านบาท จากคอนโดฯ 4 โครงการ
สัดส่วนสต็อกของอนันดาฯ ที่สามารถรับรู้รายได้ได้ถึงปี 2567
]]>
1385753
“ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ดึงเศรษฐีไทยซื้อห้องชุดเพิ่ม หลังแผนโรดโชว์ลูกค้าต่างชาติสะดุด https://positioningmag.com/1376718 Tue, 08 Mar 2022 08:36:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1376718 ความคืบหน้ามิกซ์ยูสทำเลทอง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ส่วนคอนโดมิเนียมปรับแผนเพิ่มสัดส่วนดึงเศรษฐีไทยซื้อเพิ่ม หลังการระบาดของ COVID-19 กระทบแผนโรดโชว์เสนอลูกค้าต่างชาติ เปิดเซลส์แกลลอรีกว่าครึ่งปี ทำยอดขายแล้ว 40% คนไทยยอมรับการซื้อห้องชุดลีสโฮลด์มากขึ้น ด้านการก่อสร้างขยับไทม์ไลน์เปิดส่วนโรงแรมช่วงต้นปี 2567

ถือเป็นหนึ่งในเมกะโปรเจกต์ที่น่าจับตามอง สำหรับโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โครงการมิกซ์ยูสร่วมทุนระหว่าง บมจ.ดุสิตธานี (60%) กับ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (40%) ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของโรงแรมดุสิตธานีหัวมุมถนนสีลมตัดถนนพระราม 4 แต่มีการขยายการเช่าที่ดินเพิ่มจนมีเนื้อที่รวม 23 ไร่

ภายในโครงการใหม่จะประกอบด้วย โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ, อาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค และส่วนที่พักอาศัย คอนโดมิเนียมดุสิต เรสซิเดนเซส กับ ดุสิต พาร์คไซด์ รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง “รูฟพาร์ค” ขนาด 7 ไร่ มูลค่าลงทุนรวมทั้งโครงการ 46,000 ล้านบาท

“ละเอียด โควาวิสารัช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้บริหารโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

ล่าสุด “ละเอียด โควาวิสารัช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้บริหารโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการ โดยเฉพาะส่วนที่พักอาศัยซึ่งเริ่มเปิดการขายอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 40% ตั้งราคาขายเฉลี่ย 349,000 บาทต่อตร.ม.

รายละเอียดของโครงการคอนโดฯ ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ตั้งอยู่บนอาคารเดียวกันสูง 69 ชั้น หรือ 299 เมตร เป็นตึกที่สูงที่สุดในมิกซ์ยูสแห่งนี้ และความสูงเมื่อสร้างเสร็จจะเป็นหนึ่ง 1 ใน 5 อาคารที่สูงที่สุดของไทย ทั้งอาคารจะเป็นคอนโดฯ ระดับ ‘ซูเปอร์ลักชัวรี’ แต่มีการแยกชื่อและบริเวณโครงการเป็น 2 ส่วนเนื่องจากคอนเซ็ปต์และกลุ่มเป้าหมายจะแตกต่างกัน ดังนี้

  • ดุสิต เรสซิเดนเซส – ตั้งอยู่บนชั้น 30-69 ของอาคาร จำนวนห้องชุด 160 ยูนิต ตกแต่งแบบคลาสสิก ลักชัวรี เน้นห้องชุดขนาดใหญ่สำหรับครอบครัวขยายอยู่ร่วมกันได้หลายเจนเนอเรชัน โดยมีแบบ 2-4 ห้องนอนและเพนท์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 120-750 ตร.ม.
ห้องตัวอย่างดุสิต เรสซิเดนเซส แบบห้องดูเพล็กซ์ เพดานสูง 6.6 เมตร
  • ดุสิต พาร์คไซด์ – ตั้งอยู่บนชั้น 9-29 ของอาคาร จำนวนห้องชุด 246 ยูนิต ตกแต่งแบบไลฟ์สไตล์ ลักชัวรี ห้องชุดขนาดย่อมลงมา เหมาะกับนักธุรกิจ/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการแยกครอบครัว โดยมีแบบ 1-2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 55-115 ตร.ม.
ห้องตัวอย่างดุสิต พาร์คไซด์ แบบ 1 ห้องนอน

 

เพิ่มสัดส่วนคนไทย ต่างชาติมุ่งเจาะ “ตะวันออกกลาง”

ละเอียดกล่าวต่อว่า สำหรับยอดขาย 40% ที่ทำได้ เกือบทั้งหมดขณะนี้เป็นลูกค้าคนไทย และจากการประเมินสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทปรับเป้าหมายสัดส่วนการขาย จากเดิมคนไทย 60% ต่างชาติ 40% เป็น คนไทย 65% และต่างชาติ 35%

เนื่องจากการเปิดประเทศเดินทางระหว่างกันยังทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้แผนโรดโชว์ต่างประเทศอาจไม่เป็นไปตามคาด โดยกลุ่มลูกค้าหลักที่คาดหวังเดิมจะเป็น กลุ่มชาวจีนและฮ่องกง ซึ่งขณะนี้ยังมีนโยบายกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศถึง 21 วันทำให้ไม่สะดวกในการจัดงาน

โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

ส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติอื่นที่เป็นเป้าหมายจะเน้นฝั่งเอเชียซึ่งรู้จักแบรนด์ “ดุสิตธานี” มากกว่าฝั่งตะวันตก เช่น สิงคโปร์ ตะวันออกกลางอย่าง UAE หรือ ซาอุดีอาระเบีย ที่ไทยเพิ่งจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน

“แต่กลุ่มตะวันออกกลางจะต้องใช้การจูงใจมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้วนักลงทุนตะวันออกกลางจะนิยมลงทุนในฝั่งตะวันตก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป มากกว่าเอเชีย เราจะต้องนำเสนอให้เห็นว่าการลงทุนในเอเชียมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน” ละเอียดกล่าว

 

พลิกจุดด้อยเป็นจุดเด่น “ลีสโฮลด์” ราคาตั้งต้นถูกกว่า

โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค นี้ตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ระยะ 30+30 ปี ทำให้ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต ปาร์คไซด์ จะเป็นสัญญาลีสโฮลด์เช่าระยะยาว โดยทำสัญญาเช่า 58 ปี (แบ่งเป็น 2 สัญญา 29+29 ปี) ไม่ใช่โครงการฟรีโฮลด์ที่โอนกรรมสิทธิ์ขาด

ที่ผ่านมาการขายโครงการลีสโฮลด์ในไทยนั้นจะมีโจทย์ยากคือคนไทยไม่คุ้นชินกับการเช่าลีสโฮลด์มากนัก แต่ละเอียดกล่าวว่า กลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (High-Net-Worth Individual: HNWI) ในไทยเริ่มเข้าใจและยอมรับลีสโฮลด์มากขึ้น มองเห็นข้อเด่นและโอกาสจากมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้น

“รูฟพาร์ค” ขนาด 7 ไร่ ที่มีลักษณะเป็น Infinity Garden มองเห็นเชื่อมต่อกับสวนลุมพินีเป็นเนื้อเดียวกัน อีกหนึ่งหมัดเด็ดในการจูงใจลูกค้าเลือกโครงการลีสโฮลด์ที่ออกแบบพิเศษมากกว่า

ละเอียดอธิบายว่า โครงการลีสโฮลด์จะมีราคาตั้งต้นถูกกว่าฟรีโฮลด์ 20-30% ขณะที่โครงการในทำเลทองแบบดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะทำให้ราคายังปรับขึ้นได้เมื่อมีการขายต่อ ไม่ได้ตกลงตามกาลเวลาอย่างที่เข้าใจกัน ประกอบกับแบรนด์ “ดุสิตธานี” ซึ่งจะเข้ามาให้บริการในส่วนที่พักอาศัยด้วย เป็นแบรนด์ที่คนไทยรักและไว้วางใจ จึงทำให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ สัญญาของดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต ปาร์คไซด์ ให้เช่าระยะยาวถึง 58 ปี เปรียบได้กับการอยู่อาศัยได้สองเจนเนอเรชันต่อเนื่อง ทำให้ได้เปรียบกว่าโครงการลีสโฮลด์อื่นๆ ที่อาจจะยาวเพียง 30 ปี หรือต่ออายุครั้งละ 10 ปี

 

ขยับไทม์ไลน์เพิ่ม จากการปิดแคมป์คนงาน

ด้านการก่อสร้างปัจจุบันเริ่มเจาะใต้ดินและทำฐานรากแล้ว แต่เนื่องจากปี 2564 มีช่วงปิดแคมป์คนงานเพื่อยับยั้งการระบาดของ COVID-19 ทำให้ไทม์ไลน์การก่อสร้างล่าช้า ละเอียดกล่าวว่า บริษัทต้องปรับตารางการเปิดตัวส่วนต่างๆ ของโครงการ ดังนี้

  • โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ – ไตรมาส 1 ปี 2567
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค และอาคารสำนักงาน – ปลายปี 2567
  • ที่พักอาศัย ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต ปาร์คไซด์ – กลางปี 2568

สำหรับส่วนอื่นๆ ของโครงการ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ จะออกแบบให้คงเอกลักษณ์โดดเด่นของอาคารเดิม และเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ห้องพักจำนวน 259 ห้อง ขณะที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค สูง 4 ชั้น จะมีพื้นที่กว่า 80,000 ตารางเมตร ถัดมาเป็นอาคารสำนักงานเกรด A เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส สูง 40 ชั้น พื้นที่รวม 90,000 ตารางเมตร อาคารทั้งหมดออกแบบให้ตั้งเหลื่อมกันเพื่อรับวิวสวนลุมพินีได้ทุกตึก

]]>
1376718
“อนันดาฯ” ขนแบรนด์ใหม่ลงตลาดปี’65 เกี่ยวก้อยพันธมิตร “ดุสิตธานี”– ผู้จัดงาน “วันเดอร์ฟรุ๊ต” https://positioningmag.com/1362188 Mon, 15 Nov 2021 13:22:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362188 “อนันดาฯ” ชิงเปิดแผนปี 2565 ก่อนใคร เตรียมแผนโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ากว่า 28,200 ล้านบาท ปั้นคอนโดฯ แบรนด์ใหม่ “COCO Parc” ร่วมกับดุสิตธานี และ “Culture” ร่วมกับ “สแครทช์ เฟิร์สท์” ผู้จัดงาน “วันเดอร์ฟรุ๊ต” นอกจากนี้ แย้มว่าอาจจะได้เห็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรี 2 แห่ง อาคารดีไซน์สุดล้ำวิวสวนลุม และคอนโดฯ แบบสกายพูลวิลล่า เหมือนยกบ้านมาไว้บนอาคาร

“ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2565 จะเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 28,200 ล้านบาท โดยมีหลายโครงการที่จะเป็นแบรนด์ใหม่ และร่วมกันพัฒนาคอนเซปต์กับพันธมิตร ดังนี้

1.อาร์เทล พระราม 9 – โครงการพูลวิลล่ากลางเมือง ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท จำนวน 99 ยูนิต เจาะตลาดบ้านระดับไฮเอนด์ซึ่งยังมีกำลังซื้อสม่ำเสมอแม้เผชิญวิกฤตโรคระบาด

2.COCO Parc (โคโค่ พาร์ค) – คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ทำเลติดสถานี MRT คลองเตย ตรงข้ามสวนเบญจกิตติ คอนโดฯ แบรนด์ใหม่นี้มีการพัฒนาร่วมกับพันธมิตรคือ “ดุสิตธานี” ซึ่งจะเข้ามาดูแลด้านการบริการหลังก่อสร้างเสร็จ โดยใช้การบริการแบบเดียวกับโรงแรม 5 ดาว นอกจากนี้ เป็นคอนโดฯ ที่ใช้วิธีสร้างก่อนเริ่มขาย โครงการจะเปิดขายปีหน้า และสร้างเสร็จภายในไตรมาส 4/65 ทำให้ลูกค้าซื้อแล้วไม่ต้องรอนานก่อนโอน

โคโค่ พาร์ค ร่วมพัฒนากับดุสิตธานี

3.Culture (คัลเจอร์) – คอนโดฯ คอนเซปต์ Eco-Living ซึ่งร่วมพัฒนากับ “สแครทช์ เฟิร์สท์” ผู้จัดงาน “วันเดอร์ฟรุ๊ต” เป้าหมายเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยโครงการจะเน้นการใช้วัสดุก่อสร้างที่คำนึงถึงความยั่งยืน ลดมลพิษและเพิ่มการรีไซเคิลระหว่างการก่อสร้าง แบ่งเป็น 2 ทำเล คือ
Culture ทองหล่อ ทำเล 250 เมตรจากสถานี BTS ทองหล่อ ราคาประมาณ 150,000 บาทต่อตร.ม.
Culture จุฬา ทำเล 350 เมตรจากสถานี MRT สามย่าน (ยังไม่เปิดเผยราคา)

4.Ideo (ไอดีโอ) 2 ทำเลใหม่ คือ
ไอดีโอ สะพานควาย ติดสถานี BTS สะพานควาย ราคา 130,000-150,000 บาทต่อตร.ม.
ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี ทำเล 50 เมตรจากสถานีลำสาลี ราคา 80,000-100,000 บาทต่อตร.ม.

5.ทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่ ทำเลติวานนท์-แจ้งวัฒนะ – โครงการนี้ยังไม่เปิดชื่อแบรนด์ แต่จะเป็นทาวน์เฮาส์ดีไซน์อิสระเหมาะกับโลกยุคใหม่ ราคาเริ่มต้นประมาณ 2.5 ล้านบาท

คอนโดฯ ซูเปอร์ลักชัวรีจากอนันดาฯ ใช้กระจกทรงกลมโค้งยื่นออกไปในอากาศ

ไม่เพียง 7 โครงการนี้ ชานนท์ยังกล่าวด้วยว่า บริษัทมี 2 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี ที่รอการออกแบบเสร็จและจังหวะการเปิดตัวอยู่ โดยโครงการแรกจะเป็น “คอนโดฯ วิวสวนลุมพินีที่มีเพียง 20 ยูนิต” ความน่าสนใจคือดีไซน์กระจกห้องชุดเป็นวงกลมทรงโค้งยื่นออกไปในอากาศ ดูแปลกตาอย่างมาก ส่วนอีกโครงการหนึ่งจะเป็น “คอนโดฯ สกายพูลวิลล่า” จำนวนเพียง 30-40 ยูนิต ตอบสนองลูกค้าไลฟ์สไตล์คนเมืองแต่ต้องการพื้นที่มากและสระว่ายน้ำส่วนตัว

ปี 2565 อนันดาฯ วางเป้าหมายรายได้ที่ 12,000 ล้านบาท เติบโตจากเป้ารายได้ปีนี้ 20% บริษัทมีแบ็กล็อกรอโอนปีหน้าแล้ว 6,220 ล้านบาท และยังมีโครงการพร้อมอยู่เป็นสต็อกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาทที่จะลุยขายต่อปีหน้าเพื่อดันรายได้ให้ได้ตามเป้า

 

ลุย “เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์” ธุรกิจเสถียรกว่าโรงแรม

นอกจากโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ปีหน้าอนันดาฯ จะมี “รายได้ประจำ” (Recurring Income) เข้ามาจาก “เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์” 5 แห่ง ซึ่งใช้แบรนด์ระดับโลกเข้ามาบริหาร และจะพร้อมเปิดดำเนินการทั้งหมดในปี 2565 ดังนี้

  • ซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9
  • แอสคอทท์ แอมบาสซี่ สาทร
  • แอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก
  • ไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก
  • ซัมเมอร์เซ็ต พัทยา
แผนที่เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ของอนันดาฯ ที่จะเปิดปี 2565

ชานนท์ระบุว่า บริษัทสนใจธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์เพราะพบว่าเสถียรกว่าโรงแรมในช่วงที่มีโรคระบาด ยังมีอัตราเข้าพักสูงถึง 55% เทียบกับโรงแรมมีเพียง 20% เนื่องจากธุรกิจนี้จับกลุ่ม expat ต่างชาติซึ่งยังต้องอาศัยอยู่ในประเทศต่อเพื่อทำงาน

 

ตลาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ต่างชาติกลับมาซื้อ

สำหรับสถานการณ์อสังหาฯ ปีนี้ “ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อนันดาฯ กล่าวว่า เป้ารายได้ 10,000 ล้านบาทของบริษัทในปีนี้ใกล้จะแตะเป้า โดยจะมีการโอนแบ็กล็อกเพิ่มอีก 1,400 ล้านบาท และมีเป้าขายโครงการพร้อมอยู่อีก 1,100 ล้านบาท

“ตลาดอสังหาฯ bottom out ไปแล้ว จากจุดต่ำสุดคือเมื่อเดือนกรกฎาคมซึ่งอสังหาฯ ถูกปิดไซต์ จนเมื่อเดือนตุลาคม ยอดขายของอนันดาฯ กลับมาโต 30% เทียบเดือนต่อเดือน สะท้อนตลาดที่ดีขึ้น” ประเสริฐกล่าว

นอกจากนี้ พบว่ากลุ่มผู้ซื้อต่างชาติก็กลับมาแล้วเช่นกัน โดยเมื่อเดือนก่อนปิดการขายลูกค้าต่างชาติได้ 280 ล้านบาท

อนันดาฯ เป็นบริษัทที่ชูจุดขายพัฒนาโครงการ “คอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า” มาตลอด หลังจากเกิดโรคระบาดขึ้นและหลายบริษัทปรับไปทำงานแบบ hybrid work หรือ remote work ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า คอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก จะยังจำเป็นหรือไม่ ต่อประเด็นนี้ แม่ทัพอนันดาฯ ยังวางวิสัยทัศน์ว่าที่อยู่อาศัยที่เดินทางสะดวกจะยังจำเป็น

“เราทำงานแบบ hybrid model ทำงาน ประชุมผ่านจอกันได้ก็จริง แต่คนเราจะยังอยากเจอตัวกันบ้าง เรายังอยากนัดกันไป hang out ทองหล่อหลังเลิกงานเหมือนเดิม” ชานนท์กล่าว “ตอนนี้ กทม. เปิดเมืองแล้ว รถเริ่มกลับมาติด เพราะถนนใน กทม. ไม่เพียงพอ การเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้ายังตอบโจทย์เมืองนี้มากที่สุด เพียงแต่เราต้องปรับดีไซน์คอนโดฯ ใหม่ให้เหมาะกับโลกยุคใหม่”

สิ่งที่จะได้เห็นในคอนโดฯ อนันดาฯ โครงการใหม่ๆ จะเหมาะกับการเป็นโลกที่ทำงานจากบ้านได้ เช่น ห้องทำงานส่วนกลางที่เก็บเสียงได้เป็นส่วนตัวสำหรับประชุม ห้องสำหรับ ‘Live’ เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หรือยูทูปเบอร์จัดรายการ เป็นต้น

]]>
1362188
“ดุสิตธานี” กระจายความเสี่ยง! ลุยร้านอาหาร “คาวาอิ” ปั้นเป็น “เฮลตี้ ฟาสต์ฟู้ด” https://positioningmag.com/1336850 Mon, 14 Jun 2021 08:05:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336850 เมื่อวิกฤต COVID-19 ทำธุรกิจโรงแรมสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ดุสิตธานีหันมากระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจอื่น รุกธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น เปิดร้าน “คาวาอิ” ร้านอาหารเฮลตี้จากแอฟริกาใต้ วางจุดยืนเป็น “เฮลตี้ ฟาสต์ฟู้ด” เร่งขยายสาขารูปแบบสแตนด์อโลน

อิมพอร์ต “คาวาอิ” ร้านเฮลตี้จากแอฟริกาใต้

แม้ชื่อของดุสิตธานีจะโด่งดังในเรื่องของการโรงแรม แต่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบหนัก ที่ผ่านมาได้มีปรับกลยุทธ์กันอย่างหนัก ทั้งการขายอาหาร ลดราคาห้องพัก เพื่อให้อยู่รอด

ดุสิตธานีเองมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ จากโรงแรมดุสิตธานีที่สีลมให้กลายเป็นเมกะโปรเจกต์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางกรุง มูลค่าโครงการสูงถึง 46,000 ล้านบาท ในช่วงที่มีการปรับนี้เอง ได้เปิดร้านอาหาร “บ้านดุสิตธานี” ที่ซอยศาลาแดง เพื่อรองรับพนักงานเดิมให้มีงานทำ รวมถึงโยกย้ายไปยังธุรกิจอื่นๆ ในเครือเพิ่มเติม เพื่อที่ไม่ต้องปลดพนักงานออก

ธุรกิจโรงแรมจำเป็นต้องเอาตัวรอดอย่างหนัก ทำให้ดุสิตานีขยายไปยังธุรกิจร้านอาหารมากขึ้นจากบ้านดุสิตานี ก็เริ่มอิมพอร์ตแบรนด์ “KAUAI (คาวาอิ)” เป็นร้านอาหารแนวเฮลตี้จากแอฟริกาใต้เข้ามา เปิดสาขาเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ด้วยโมเดลความร่วมมือของดุสิตธานี และคาวาอิ แอฟริกาใต้

คาวาอิ ก่อตั้งขึ้นโดย ดีน โควัลสกี้ ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา โดยชื่อแบรนด์ตั้งขึ้นตามชื่อเกาะคาวาอิในหมู่เกาะฮาวายที่ดีนได้ไปพักผ่อน และประทับใจกับรสชาติของอาหารที่คงความเป็นธรรมชาติของที่นี่ และเป็นแรงบันดาลใจในการริเริ่มธุรกิจ

ปัจจุบันคาวาอิเปิดให้บริการกว่า 160 สาขาทั่วประเทศแอฟริกาใต้ ยุโรป และเอเชีย ส่วนในประเทศไทยในช่วงแรกคาวาอิ จับมือกับเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ฟิตเนสคลับ 101 เปิดร้านแรกที่เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ 101 ภายในโครงการทรู ดิจิทัล พาร์ค 101 และขยายไปอีก 3 สาขาในรูปแบบ Grab-and-Go ในคลับของเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ที่สยามดิสคัฟเวอรี่, เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ และเอ็มควอเทียร์

และล่าสุดได้ตัดสินใจเปิดโมเดลสแตนด์อโลนที่อาคารอโศก ทาวเวอร์ เพื่อให้พนักงานออฟฟิศรวมถึงนักเรียนนักศึกษาในย่านใจกลางกรุง

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“การผนึกความร่วมมือกับเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ในช่วงแรก ทำให้เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคนรักสุขภาพที่นิยมการออกกำลังกายในฟิตเนส เรามีความมุ่งมั่นจะส่งต่ออาหารเพื่อสุขภาพแบรนด์คาวาอิ ให้กับคนรักสุขภาพในวงกว้าง ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในสถานออกกำลังกายเท่านั้น เราจึงตัดสินใจเปิดร้านสแตนด์อโลนเป็นแห่งแรก เพื่อเติมเต็มช่องทางการเข้าถึงแบรนด์ และเป็นศูนย์กลางสำหรับการให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่ตอบโจทย์การสั่งอาหารของผู้บริโภคในพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ ชั้นในให้ครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น”

วางจุดยืนเป็น “เฮลตี้ ฟาสต์ฟู้ด”

นอกจากการเปิดหน้าร้านแล้ว คาวาอิยังมีบริการเสริมในรูปแบบของการให้บริการจัดเลี้ยงอาหารเพื่อสุขภาพแบบ on-site หรือ on-demand ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปแนะนำวิธีการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามความต้องการของลูกค้า

มีการวางจุดยืนให้คาวาอิเป็นเฮลตี้ ฟาสต์ฟู้ด ที่แตกต่างจากฟาสต์ฟู้ดทั่วไป มีรสชาติอร่อย และเลือกใช้วัตถุดิบที่ให้สารอาหารเป็นพลังงานดี

การเปิดร้านคาวาอิแบบสแตนด์อโลน ยังสะท้อนการปรับตัวของกลุ่มดุสิตธานี ภายใต้ความท้าทายใหม่ของธุรกิจอาหาร ที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งจะทำให้เทรนด์ของอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนรักสุขภาพเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต

เมนูอาหารของคาวาอิ ที่ได้รับความนิยม

  • ปริ้นเซสแร็ป เมนูซิกเนเจอร์ของคาวาอิ ที่มีส่วนผสมของเนื้อไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ อะโวคาโด เฟต้าชีส มะเขือเทศ แครอท ผักสลัด เสริมรสด้วยมายองเนสรสหัวหอม และขึ้นฉ่ายฝรั่ง
  • แร็ป (ไม่มันไก่) นำรสชาติข้าวมันไก่มาดัดแปลงเป็นเวอร์ชันสำหรับสายเฮลตี้ นำด้วยเนื้ออกไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ราดซอสน้ำจิ้มข้าวมันไก่รสชาติออริจินอล พร้อมสลัดผักสด

  • ทูน่าโปรตีนโบล์ว นำขบวนโดย ทูน่า รวมทั้งไข่จากไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ถั่วแขก แครอท มะเขือเทศ ผักชี ต้นหอม ผักสลัด เพิ่มรสชาติด้วยน้ำสลัดซีซาร์มะนาว
  • เบรคฟาสต์โบล์ว ประกอบด้วย โยเกิร์ตปราศจากกลูเตน สับปะรด สตรอว์เบอร์รี่ กล้วย อัลมอนด์ น้ำผึ้ง และเมล็ดเจีย รวมถึงสมูทตี้สูตรต่างๆ เป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ

]]>
1336850