ศาลปกครอง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Oct 2023 11:22:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “125 สาทร” ยันทำตามกฎหมาย-ใช้เอกสารทางการจาก กทม. ในการยื่นขอ EIA ยังมุ่งมั่นก่อสร้างต่อ https://positioningmag.com/1447743 Wed, 11 Oct 2023 08:57:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447743 PMTP เจ้าของโครงการ “125 สาทร” ยืนยันทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน ใช้เอกสารยืนยันพื้นที่อาคารของโครงการเดอะ เม็ท ที่ได้จากสำนักการโยธา กทม. โดยตรงในการยื่นขอ EIA ขอให้ผู้ซื้อมั่นใจ หลังจากนี้มีแผนที่จะก่อสร้างต่อจนสำเร็จ

บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (PMTP) ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ 125 สาทร มีหนังสือชี้แจงถึงสื่อมวลชน ต่อกรณีที่ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางมีคำตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และถอนใบอนุญาตก่อสร้าง พร้อมสั่งหยุดการก่อสร้าง

โดยคำชี้แจงจากบริษัท PMTP มีดังนี้

กรุงเทพมหานคร, 11 ตุลาคม 2566: จากกรณีคำพิพากษาในคดี เดอะเม็ท คัดค้านการให้ความเห็นชอบรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการ 125 สาทร นั้น บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (PMTP)  ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ 125 สาทร ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ มิใช่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง แต่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคดี เนื่องจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า เอกสารการคำนวณตัวเลข พื้นที่อาคารสำหรับคำนวณอัตราส่วนอาคารต่อพื้นที่ที่ดิน (FAR) ของโครงการเดอะ เม็ท ไม่ถูกต้อง

สืบเนื่องจาก PMTP ได้รับเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการจากสำนักการโยธา (สนย.) กรุงเทพมหานคร ซึ่งแสดงพื้นที่อาคารสำหรับคำนวณอัตราส่วนอาคารต่อพื้นที่ที่ดิน ของโครงการเดอะ เม็ท และเชื่อมั่นในความถูกต้องของรายการคำนวณนั้น จึงนำไปใช้ในการจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของโครงการ 125 สาทร ตามระเบียบขั้นตอนที่ถูกต้อง และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร  การจัดสรรที่ดิน และบริหารชุมชน กรุงเทพมหานคร (คชก.) ได้มีมติอนุมัติ EIA ให้กับโครงการ 125 สาทร 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า พื้นที่อาคารสำหรับคำนวณอัตราส่วนอาคารต่อพื้นที่ที่ดินของโครงการ เดอะเม็ท ไม่ใช่พื้นที่อาคารเดอะ เม็ท ที่ถูกต้อง จึงเป็นเหตุให้ การอนุมัติ EIA โครงการ 125 สาทร รวมถึงใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร ได้รับผลกระทบจากคดีนี้

วอนทุกฝ่ายเห็นใจ ยืนยันดำเนินการถูกกฎหมาย

PMTP ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างโครงการ 125 สาทร และขออนุมัติ EIA ทุกขั้นตอนตามกฎหมายอย่างถูกต้องทุกประการ รวมทั้งบริษัทฯ ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมายและได้รับหนังสือราชการยืนยันข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานราชการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เป็นผลให้การขออนุญาตต่างๆ ผ่านการพิจารณาและอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย

PMTP ยืนยันฐานะการเงินยังปึ๊ก ลูกค้ามั่นใจได้

PMTP ได้อธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับลูกค้าและยินดีรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ รู้สึกขอบคุณลูกค้าที่เข้าใจและสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้บริษัทฯ จะอยู่ในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะทำโครงการให้สำเร็จตามกรอบของกฎหมาย และพยายามหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด

PMTP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) และ พาร์ทเนอร์ จากญี่ปุ่น คือบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (KRD) และ บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด (TCC) ในการพัฒนาโครงการ 125 สาทร ให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่ายังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และได้มีการเตรียมแผนสำรองในการดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้เกิดผลกระทบกับลูกค้าให้น้อยที่สุด มั่นใจโครงการจะยังคงดำเนินการก่อสร้างจนสำเร็จตามความคาดหมายของผู้พัฒนาโครงการ

]]>
1447743
โดนอีกหนึ่ง! ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอน EIA คอนโดฯ “125 สาทร” หลังพิพาทคอนโดฯ THE MET https://positioningmag.com/1447380 Mon, 09 Oct 2023 11:16:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447380 “THE MET” แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ศาลปกครองกลางมีคำตัดสินสั่งให้หยุดการก่อสร้างคอนโดฯ “125 สาทร” และเพิกถอนรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ (EIA) และใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว ประเด็นสำคัญที่ถูกสั่งเพิกถอนคือ มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

นิติบุคคลอาคารชุด เดอะ เม็ท (THE MET) คอนโดมิเนียมหรูบนถนนสาทร ส่งจดหมายแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์แก่สื่อมวลชนให้ทราบว่า ขณะนี้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอน EIA และการออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ 125 สาทรเรียบร้อยแล้ว โดยข้อมูลที่ส่งให้กับผู้สื่อข่าวมีดังนี้

“คดีดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีโดยเจ้าของร่วมอาคารชุดเดอะ เม็ท (ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินผืนเดียวกัน) โดยนางสาวชิดชนก เลิศอำพรไพศาล ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดเดอะ เม็ท กล่าวว่า “เดอะ เม็ท ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความเห็นชอบรายงาน EIA และการออกใบอนุญาตก่อสร้างสำหรับโครงการ 125 สาทร” โดยเดอะ เม็ท ได้กล่าวอ้างว่าเดิมนั้น เพบเบิล เบ ประเทศไทย ผู้พัฒนาโครงการเดอะ เม็ท เป็นเจ้าของที่ดินขนาด 10 ไร่ ซึ่งต่อมาเมื่อปี 2547 เพบเบิล เบ ประเทศไทย ได้แบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็นสองแปลง ได้แก่ ที่ดิน 7 ไร่ สำหรับการก่อสร้างโครงการเดอะ เม็ท และที่ดิน 3 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่จะมีการก่อสร้างโครงการ 125 สาทร ปัจจุบันที่ดินดังกล่าวเป็นของ บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) และหุ้นส่วนบริษัทญี่ปุ่นสองราย ได้แก่ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (Kanden Realty & Development Company Limited) และ บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด (Toray Construction Company Limited)

เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้ใช้ในการขออนุญาตก่อสร้างโครงการเดอะ เม็ท ไปแล้ว ที่ดินทั้ง 10 ไร่ จึงอยู่ภายใต้การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ในคดีนี้ เดอะ เม็ท ได้กล่าวอ้างว่าแบบอาคารของ 125 สาทร มีขนาดใหญ่เกินกว่าขนาดอาคารที่กฎหมายกำหนด หลังจากหักพื้นที่ดินของเดอะ เม็ท ออกจากพื้นที่ 10 ไร่

คำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีนี้ซึ่งมีขึ้นภายหลังคำพิพากษาคดีคอนโดหรูหลายแห่ง รวมถึงแอชตัน อโศก แสดงให้เห็นว่าศาลได้ให้น้ำหนักมากขึ้นกับข้อกังวลและการดำเนินคดีของชุมชนแวดล้อมที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่บดบังไปเสียหมด

ในคดีนี้ ศาลปกครองกลางได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายและมีคำสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบรายงาน EIA และใบอนุญาตก่อสร้างของโครงการ 125 สาทร โดยมีผลย้อนหลัง ซึ่งคำพิพากษานี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบได้พิจารณาและหากลไกทางกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของชุมชนที่อยู่มาก่อนได้ดีกว่านี้เพื่อที่การฟ้องคดีเพื่อขอพึ่งบารมีศาลจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีข้อยกเว้นมากกว่าที่จะเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันเป็นปกติ”

125 สาทร THE MET
คอนโดฯ 125 สาทร หากก่อสร้างได้จริงจะบดบังวิวของ THE MET ไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ลูกบ้านกังวลใจ

 

เปิดขายท่ามกลางความเสี่ยง

สำหรับโครงการ “125 สาทร” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรู มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ออกแบบเป็น 2 ทาวเวอร์ สูง 36 ชั้น รวมห้องชุด 755 ยูนิต เปิดขายราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาทต่อยูนิต ห้องชุดขนาดเริ่มต้น 28.5 ตารางเมตร

แผนงานของบริษัทร่วมทุนผู้พัฒนาโครงการนี้ เริ่มก่อสร้างโครงการตั้งแต่ปลายปี 2565 และคาดว่าจะเสร็จสิ้นปี 2569 ทำให้ขณะนี้ที่มีข้อพิพาทในศาลปกครอง บริษัทได้เริ่มงานก่อสร้างไปแล้ว

125 สาทร EIA
โครงการ 125 สาทรอยู่ระหว่างการก่อสร้าง (ภาพจาก: นิติบุคคลอาคารชุด THE MET)

อย่างไรก็ตาม ที่ดินแปลงนี้และคอนโดฯ แห่งนี้นับว่ามีความเสี่ยงมาตั้งแต่ต้น เพราะแต่เดิมที่ดินแปลงใหญ่ 10 ไร่นี้มีผู้พัฒนาโครงการรายเดิมคือ Hotel Properties Limited Group กลุ่มทุนสิงคโปร์ แบ่งแปลงที่ดิน 7 ไร่มาสร้างเป็นคอนโดฯ THE MET สูง 66 ชั้น และเก็บที่ดิน 3 ไร่ หน้ากว้าง 97 เมตร ที่อยู่ด้านหน้าตึก THE MET ไว้ เพื่อจะพัฒนาเป็นโรงแรมตึกเตี้ยที่ไม่บังวิว THE MET ในภายหลัง โดยมีการแจ้งให้ผู้ซื้อห้องชุดรับทราบ

คอนโดฯ THE MET สร้างเสร็จเมื่อปี 2552 แต่หลังจากนั้นเจ้าของเดิมพับแผนที่จะสร้างโรงแรมเพิ่ม และตัดสินใจขายที่ดิน 3 ไร่นั้นออกไป ที่ดินมีการซื้อขายเปลี่ยนมือจนมาถึงมือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA

125 สาทร EIA
หน้าไซต์งานโครงการ 125 สาทร (ภาพจาก: นิติบุคคลอาคารชุด THE MET)

หลังจาก TTA และพันธมิตรร่วมทุนมีแผนจะพัฒนาคอนโดฯ และดำเนินการยื่นขออนุมัติ EIA ลูกบ้าน THE MET เริ่มคัดค้านตั้งแต่ชั้นรับฟังความคิดเห็นในการทำรายงาน EIA ทันที โดยจากการสำรวจความเห็นชุมชน 400 คนโดยรอบ มี 60% ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการ 125 สาทร แต่รายงาน EIA ก็ยังได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนสิงหาคม 2564

ฝั่ง TTA มองว่าบริษัทได้ปรับแบบให้มีการบังแดด บังลม และวิวทิวทัศน์ให้น้อยที่สุดแล้ว ผ่านการแยกอาคารออกเป็น 2 ทาวเวอร์เพื่อให้มีช่องรับลมตรงกลาง รวมถึงยื่น EIA ผ่านเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มเปิดขายไปตามปกติ แม้ว่าขณะนั้นนิติบุคคลอาคารชุด THE MET จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางแล้วก็ตาม

ข่าวการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างหรือเพิกถอน EIA โดยศาลปกครองกลางเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ โดยคดีที่ดังที่สุดคือ คดีแอชตัน อโศก เนื่องจากคำตัดสินออกมาในช่วงที่คอนโดฯ ก่อสร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว ในขณะที่คดีส่วนใหญ่มักจะตัดสินตั้งแต่ที่โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง จึงไม่ส่งผลกระทบกับประชาชนหรือผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก

]]>
1447380
“อนันดาฯ” เปิด 5 แนวทางหาทางออก “แอชตัน อโศก” ยันแจ้งเรื่องคดีให้ลูกค้าทราบก่อนโอน https://positioningmag.com/1439651 Thu, 03 Aug 2023 03:42:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439651 “อนันดา” เปิด 5 แนวทางหาทางออกที่เป็นไปได้ให้กับโครงการ “แอชตัน อโศก” พร้อมชี้แจงได้ประสานสถาบันการเงินช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกบ้าน ยืนยันก่อนโอนกรรมสิทธิ์ ได้แจ้งลูกค้าทุกรายทราบแล้วว่ามีคดีฟ้องร้อง

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ส่งจดหมาย Company Statement เพื่อแจ้งความคืบหน้าในการหาทางออกให้กับโครงการแอชตัน อโศก และชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังข้อความด้านล่างนี้

สืบเนื่องจากเหตุการณ์เกี่ยวกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โครงการแอชตัน อโศก เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 นั้น บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด (“บริษัทฯ”) ขอเรียนแจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อแสวงหาทางออกสำหรับท่านเจ้าของร่วม และชี้แจงประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้ 

  1. แนวทางแก้ไขกรณีใบอนุญาตก่อสร้าง บริษัทฯ กำลังเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขซึ่งมีอยู่หลายแนวทางที่มีความเป็นไปได้ ดังต่อไปนี้

1.1 ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการซื้อ หรือหาที่ดินเพิ่มเติม

1.2 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน สำนักการโยธากรุงเทพมหานครไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ไปยังคณะรัฐมนตรี

1.3 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่าน รฟม. เสนอผ่านกระทรวงคมนาคม ไปยังคณะรัฐมนตรี

1.4 ประสานเจ้าของเดิม ให้ยื่นทบทวนสิทธิ์ที่ดินทางเข้า-ออกจาก รฟม. ให้ทบทวนสิทธิที่ดินเดิมก่อนเวนคืน ควรให้สิทธิ์ทางเข้า-ออกอย่างน้อย 12-13 เมตร เพื่อให้สามารถขึ้นอาคารสูงและขนาดใหญ่พิเศษได้ 

1.5 ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป 

2.แนวทางช่วยเหลือ เรื่องการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่มีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งประสานงานกับสถาบันการเงินหลายแห่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่ยังมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ ได้เชิญสถาบันการเงินต่างๆ เข้าร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนในการผ่อนชำระของท่านเจ้าของร่วม ดังนี้

2.1 บริษัทฯ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาแนวทางด้านการผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

2.2 บริษัทฯ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาแนวทางสำหรับมาตรการลดภาระในการผ่อนชำระอื่นๆ 

ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาจากสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อได้รับความคืบหน้าประการใด บริษัทฯ จะแจ้งให้ท่านเจ้าของร่วมทราบโดยเร็ว 

3. ประเด็นชี้แจงอื่นๆ เพิ่มเติม 

3.1 การออกใบอนุญาตเปิดใช้อาคารแบบมีเงื่อนไข 

ประเด็นเรื่องข้อสงวนที่ กทม. กำหนดว่าบริษัทฯ จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง หากผลการพิจารณาของศาลปกครองเป็นที่สุดว่าโครงการดำเนินการขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฎอยู่เพียงในใบรับรองการก่อสร้าง (อ.6) ซึ่งเอกสารดังกล่าว กทม.ออกให้บริษัทฯ หลังจากที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและได้มีการขายให้กับลูกค้าแล้ว นอกจากนี้ ในใบอนุญาตอื่น ที่กทม. ออกให้แก่บริษัทฯ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีข้อความทำนองนี้ปรากฎอยู่ในใบอนุญาตแต่อย่างใด และบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมกับ กทม. ต่อไป

3.2 เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ และรับทราบสถานะคดี

บริษัทฯ ได้แจ้งเรื่องของคดีที่อยู่ในศาลปกครอง นับแต่ที่ลูกค้าได้ทำการซื้อขายห้องชุด กับบริษัทฯ ตามลำดับดังนี้

– ในช่วงแรก ที่บริษัทฯ ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขาย บริษัทฯ ได้ขอขยายระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ โดยแจ้งเรื่องคดีของโครงการให้ลูกค้าทราบ พร้อมทั้งเสนอแนวทาง 3 ข้อให้ลูกค้าพิจารณา คือ (1) การยกเลิกสัญญา และคืนเงิน (2) การย้ายโครงการตามที่บริษัทฯ กำหนดไว้ (3) หากถือสัญญาไว้ต่อจนถึงครบกำหนดการขยายระยะเวลา (26 มีนาคม 2562) จะได้รับส่วนลด ณ วันโอน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่ชำระมาแล้วทั้งหมด โดยสำหรับลูกค้าที่เลือกรับโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือขอบคุณ พร้อมทั้งแจ้งสถานะเกี่ยวกับคดีของโครงการให้รับทราบด้วย

(จากลูกค้าจองทั้งหมด 766 ราย มีลูกค้ายกเลิกสัญญาทั้งหมด 244 ราย, ย้ายโครงการ 4 ราย และ อยู่รอโอนกรรมสิทธิ์ 518 ราย  หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการแจ้งให้ลูกค้าทราบทั้ง 3 แนวทาง)

– ในเวลาต่อมา บริษัทฯ ได้จัดส่งเอกสารแจ้งสถานะคดีของโครงการ ในหนังสือนัดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ไปยังลูกค้าทุกราย ซึ่งได้รับการลงนามการตอบรับมาเป็นส่วนใหญ่

– สำหรับลูกค้าที่ซื้อและทำสัญญาจะซื้อจะขาย ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ได้รับทราบสถานะคดี ตามที่บริษัทฯ ได้แจ้งไว้ในบันทึกแนบท้ายสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด

ดังนั้น ลูกค้าของโครงการจึงรับทราบสถานะของคดีมาโดยตลอด

ทั้งนี้ บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า บริษัทฯ จะร่วมเคียงข้างเจ้าของร่วมทุกท่าน และกำลังเร่งดำเนินการแสวงหาทางออกอย่างสุดความสามารถ โดยจะแจ้งความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ให้ท่านเจ้าของร่วมทราบโดยเร็ว 

จึงเรียนมาเพื่อทราบ 

ขอแสดงความนับถือ 

บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด 

วันที่ 3 สิงหาคม 2566

]]>
1439651
คดี “แอชตัน อโศก” ศาลปกครองสูงสุดตัดสิน ก่อสร้าง “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” สั่งเพิกถอนใบอนุญาต https://positioningmag.com/1439287 Thu, 27 Jul 2023 11:47:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439287
  • เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินในคดี “แอชตัน อโศก” ให้ยืนตามศาลปกครองกลาง ตึกแอชตัน อโศกทำการก่อสร้างโดย “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และ “สั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง”
  • ทางอนันดาฯ ออกแถลงการณ์บริษัท ร้องหน่วยงานรัฐต้องเยียวยาความเดือดร้อน เพราะเป็นผู้อนุมัติทำให้เกิดการก่อสร้างโครงการได้ และจะร่วมกับลูกบ้านขอเข้าพบผู้ว่าฯ กทม. และผู้ว่าฯ รฟม. เพื่อทวงถามความรับผิดชอบ
  • ข้อมูลจาก บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด เปิดเผยผลคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด จากคดีฟ้องร้องประเด็นการให้ใบอนุญาตคอนโดมิเนียม “แอชตัน อโศก” ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากแอชตัน อโศก มีการใช้ที่ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นทางเข้าออกโครงการ (อ่านที่มาที่ไปโดยละเอียดได้ที่นี่)

    เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ศาลปกครองกลางมีคำตัดสินออกมาว่า คดีนี้ รฟม. มีการอนุญาตให้แอชตัน อโศกใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกโดย “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งมีผลต่อเนื่องทำให้อนันดาฯ ไม่สามารถใช้ที่ดินของรฟม.ไปใช้ประกอบการขออนุญาตก่อสร้างตึกได้ และพิพากษาให้ “เพิกถอน” ใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์ก่อสร้างทั้งหมด 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับอาคารนี้ โดยมีผลย้อนหลัง

    หลังจากนั้นคดีนี้มีการอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุด และล่าสุดในวันนี้ (27 กรกฎาคม 2566) อนันดาฯ แจ้งว่า ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่ง “ยืนตาม” คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยมีรายละเอียดที่ส่งแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน ดังนี้

    “เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคําพิพากษาในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี) ได้ยื่นฟ้องผู้อํานวยการเขตวัฒนา ที่1 , ผู้อํานวยการสํานักการโยธา ที่ 2 , ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่ 3 , ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่ 4 , คณะกรรมการผู้ชํานาญการ พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ที่ 5 (ผู้ถูก ฟ้องคดี) และบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จํากัด “บริษัทฯ” ซึ่งไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง แต่ถูกเรียกเข้ามา ในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคดี ในฐานะผู้ร้องสอด ในคดีหมายเลขดําที่ อส 67/2564 หมายเลข แดงที่ อส.188/2566

    โดยศาลปกครองสูงสุด ได้มีคําพิพากษา ยืนตามคําพิพากษาศาลปกครองกลาง บริษัทฯขอน้อมรับและ เคารพในคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามที่ได้วินิจฉัยไว้”

     

    เรียกร้อง “หน่วยงานรัฐ” รับผิดชอบ ในฐานะผู้ให้อนุญาต

    ในแถลงการณ์ดังกล่าวจากอนันดาฯ ยังมีข้อความต่อเนื่อง ทวงถามถึงความรับผิดชอบ เนื่องจากอนันดาฯ มองว่า การก่อสร้างอาคารแอชตัน อโศกเกิดขึ้นได้ มาจากการให้อนุญาตของหน่วยงานรัฐเอง เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงมองว่าหน่วยงานรัฐควรจะเป็นผู้เยียวยาความเดือดร้อนของลูกบ้าน

    รวมถึงอนันดาฯ ยังแจ้งว่ากำลังประสานกับเจ้าของร่วมคอนโดฯ แอชตัน อโศกเพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อทวงถามความรับผิดชอบภายใน 14 วัน

    โดยข้อความฉบับเต็มจากอนันดาฯ มีดังนี้

    “กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยไว้ในประเด็นสําคัญที่ว่า ที่ดินของ รฟม.ไม่อาจนํามาให้บริษัท ฯ หรือ เอกชนใช้ในการทําโครงการได้ จึงทําให้หน่วยงานของรัฐไม่อาจออกใบอนุญาตในการก่อสร้าง จึงมีผลให้ใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น บริษัท ฯ เห็นว่า ศาลปกครองซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ และหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ กับ เอกชน เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งเพื่อวางแนวหรือสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการให้ถูกต้องชอบธรรม อีกทั้ง ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ รวมถึงฉบับปัจจุบันพุทธศักราช 2560 ในส่วนบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของรัฐ ในกรณีที่รัฐจะอนุมัติหรืออนุญาตให้ผู้ใดทําการได้ก็จะต้องดําเนินการไปตามกฎหมายโดยรัฐมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องใช้อํานาจและทําหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ประมาทเลินเล่อ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับประชาชนหรือผู้ประกอบการ ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังเกิดขึ้นเป็นคดีนี้แล้ว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและทําการเยียวยาในความเดือดร้อน เสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า

    ดังนั้น ผลแห่งคําพิพากษาที่เกิดขึ้นดังกล่าว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ต่อเจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัทฯ เพราะ หากหน่วยงานราชการผู้มีอํานาจหน้าที่ไม่เห็นชอบและอนุมัติแล้วโครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่

    ทั้งนี้ บริษัทฯจะเร่งรีบดําเนินการในการเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัท ฯ โดยเร็ว รวมทั้งบริษัทฯ จะดําเนินการประสานงานคณะกรรมการนิติบุคคลแอชตัน อโศก และท่านเจ้าของร่วม เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อทวงถามความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ภายใน 14 วัน (สิบสี่) นับแต่วันนี้

    บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า การทําโครงการแอชตัน อโศก นั้น ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมาย รวมทั้งข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่างๆ รวมทั้งสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม อีกทั้ง การพิจารณาอนุมัติในการทําโครงการต่าง ๆ ยังได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติ และภายใต้การกํากับ ควบคุม จากหน่วยงานของรัฐไม่ตํ่ากว่า 8 หน่วยงาน จึงเป็นที่เห็นประจักษ์และยืนยันได้ว่า บริษัทฯ ได้ดําเนินการไปด้วย ความสุจริต และชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งแล้วทุกประการเท่าที่บริษัทฯจะทําได้ด้วยความเชื่อถือโดยสุจริตว่าการอนุมัติของหน่วยงานราชการทุกฝ่ายนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว บริษัท ฯ จึงใคร่ขอความเป็นธรรมจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขป้องกันมิให้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังเช่นคดีนี้ได้เกิดขึ้นอีก และเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐได้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย”

    ข้อความจากโพสต์บน Facebook ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี)

    คดีนี้ถือเป็นคดีที่ร้ายแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย เนื่องจากโครงการนี้ก่อสร้างเสร็จ โอนกรรมสิทธิ์ และเจ้าของร่วมได้ย้ายเข้าอยู่จริงมาแล้วกว่า 4 ปีก่อนที่จะมีคำตัดสินอันเป็นที่สุดของศาลดังกล่าวนี้ ต่างจากคดีอื่นๆ ที่มักจะมีการเพิกถอนใบอนุญาตหรือ EIA ในช่วงที่โครงการยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อย จึงกระทบเฉพาะบริษัทเจ้าของโครงการ

    ขณะที่คดีนี้คำตัดสินจะกระทบกับลูกบ้านกว่า 600 ครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ในคอนโดฯ และหลายรายผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคาร ซึ่งลูกบ้านเคยถามคำถามล่วงหน้ามาแล้วตั้งแต่ปี 2564 ว่า “หากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามเดิม และอาจมีคำสั่งให้ทุบอาคารตามมา ผู้ซื้อจะยังต้องผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารต่อไปจนครบหรือไม่ ทั้งที่ห้องชุดกลายเป็นอากาศไปแล้ว”

     

    อ่านข้อมูลย้อนหลังคดีแอชตัน อโศก

    • ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้
    • ผู้ซื้อ “แอชตัน อโศก” เรียกร้องอย่าทิ้งกันไว้กลางทาง “ศรีสุวรรณ” มีคดีฟ้องคอนโดฯ อีกเพียบ
    ]]>
    1439287
    ผู้ซื้อ “แอชตัน อโศก” เรียกร้องอย่าทิ้งกันไว้กลางทาง “ศรีสุวรรณ” มีคดีฟ้องคอนโดฯ อีกเพียบ https://positioningmag.com/1350155 Fri, 03 Sep 2021 08:56:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350155 ลูกบ้านกว่า 600 ครอบครัวใน “แอชตัน อโศก” ยังคงยืนอยู่ปากเหวโดยไม่มีเบาะรองรับ ล่าสุดกลุ่มลูกบ้านทำหนังสือขอให้ “อนันดาฯ” จัดประชุมรับฟังความเห็นภายใน 14 วัน เตรียมยกระดับข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานราชการและอนันดาฯ หากไม่ได้รับการตอบกลับ ด้าน “ศรีสุวรรณ จรรยา” โจทก์ฟ้องคดี ยื่นอุทธรณ์ ยืนยันโครงการมีการรุกล้ำทางสาธารณะ แย้มสมาคมฯ มีกรณีพิพาทกับคอนโดฯ อื่นอีกหลายแห่ง

    ติดตามความคืบหน้าโครงการ “แอชตัน อโศก” ที่พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และถูกศาลตัดสินเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 ล่าสุด ตัวแทนลูกบ้านโครงการออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 และจัดแถลงข่าวสาธารณะอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ประเด็นจากหนังสือแถลงการณ์ลูกบ้านแอชตัน อโศก ระบุความคืบหน้าของคดีว่า “พวกเราชาวลูกบ้านแอชตัน อโศกเข้าใจว่า บัดนี้หน่วยงานของรัฐและบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

    “แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีหน่วยงานราชการใดหรือผู้พัฒนาโครงการได้จัดให้มีมาตรการเยียวยา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางให้มีผลเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด” เป็นข้อความส่วนหนึ่งในแถลงการณ์

    ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก กว้าง 13 เมตร โดยขอใช้ทางผ่านที่ดินของรฟม. (ภาพจาก : Google Maps Streetview)

    แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า ลูกบ้านได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 ส.ค. 2564 ไปยังบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด และบมจ.อนันดาฯ เพื่อขอให้มีการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกับการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

    โดยลูกบ้านกำหนดกรอบเวลาตอบกลับภายใน 14 วัน หากยังไม่มีการตอบสนอง “พวกเราชาวลูกบ้านแอชตัน อโศกกว่า 1,000 ชีวิตจากกว่า 600 ครอบครัวก็มีความจำเป็นต้องยกระดับข้อเรียกร้องของพวกเราต่อหน่วยงานราชการและ/หรือ ผู้พัฒนาโครงการในโอกาสต่อไป” (อ่านเอกสารแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ด้านท้ายบทความ)

    Positioning ได้ติดต่อสอบถามความคืบหน้าคดีและแนวทางเยียวยาลูกบ้านไปยัง บมจ.อนันดาฯ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 64 โดยยังรอการตอบกลับอยู่ในขณะนี้

     

    ต้องเป็นหนี้ผ่อน ‘อากาศ’ ต่อไปหรือไม่?

    ลูกบ้านแอชตัน อโศกยังย้ำอีกครั้งถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือธนาคารต่างๆ ไม่รับรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของผู้ซื้อห้องชุดโครงการนี้ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อเสียโอกาสลดภาระดอกเบี้ยลง 2-3% คิดเป็นค่าเสียหาย 60-90 ล้านบาทต่อปี หากยังต้องรอการพิจารณาคดีอีก 5 ปี ค่าเสียหายส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 300-450 ล้านบาท

    • ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้

    และไม่เพียงแต่ความเสียหาย ณ วันนี้ ลูกบ้านยังมีความกังวลใจถึงอนาคต หากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามเดิม และอาจมีคำสั่งให้ทุบอาคารตามมา คำถามของลูกบ้านคือ “ผู้ซื้อยังต้องผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารต่อไปจนครบหรือไม่ ทั้งที่ห้องชุดกลายเป็นอากาศไปแล้ว”

    (Photo : Shutterstock)

    กลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เนื่องจากเหตุการณ์ลักษณะนี้น่าจะยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผ่านมาการระงับการก่อสร้างมักจะเกิดขึ้นก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้ผู้รับผิดชอบคือบริษัทผู้พัฒนาโครงการโดยตรง แนวทางการเยียวยามักจะเป็นการคืนเงินดาวน์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย แต่กรณีนี้ลูกบ้านได้โอนกรรมสิทธิ์แล้ว และมีภาระหนี้สินเชื่อบ้านกับธนาคารแตกต่างกันไปคนละสัญญา

    • ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง

     

    บริษัทไม่เคยแจ้งลูกค้าใหม่ว่ามีคดีพิพาท

    ย้อนกลับไปก่อนเกิดคำตัดสินของศาลปกครองกลาง หนึ่งในตัวแทนลูกบ้านซึ่งตัดสินใจซื้อผ่อนดาวน์ตั้งแต่ก่อนโครงการสร้างเสร็จ เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงก่อนโอนกรรมสิทธิ์ว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่กำลังจะถึงเดดไลน์ส่งมอบห้องตามสัญญา แต่บริษัทยังติดปัญหายังไม่ได้รับเอกสารใบรับรองการก่อสร้างอาคาร (แบบ อ.6) ทำให้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้

    ในช่วงปี 2561 นั้น บริษัทได้ให้ข้อเสนอ 3 ทางแก่ผู้ซื้อคือ ขอขยายเวลาส่งมอบตามสัญญาออกไปก่อน หรือ รับคืนเงินดาวน์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย หรือ แลกห้องชุดกับโครงการอื่นในเครืออนันดาฯ ซึ่งตัวแทนลูกบ้านรายนี้ได้เลือกทางเลือกแรก คือยอมที่จะรอต่อไป จนในที่สุดหลังขยายสัญญา 3 เดือนก็ได้โอนกรรมสิทธิ์ จากนั้นก็เข้าอยู่เป็นปกติตลอดมาจนมารับทราบพร้อมลูกบ้านทุกคนเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ว่าโครงการถูกเพิกถอนใบอนุญาต

    ขณะที่ตัวแทนลูกบ้านอีกรายหนึ่ง เป็นลูกค้าใหม่ที่เข้าชมและตัดสินใจซื้อโครงการหลังก่อสร้างเสร็จ ลูกค้ารายนี้เพิ่งโอนและย้ายเข้าอยู่เมื่อเดือนเมษายน 2564 เพียง 3 เดือนหลังจากนั้นก็เกิดเหตุคำตัดสินของศาล โดยเขายืนยันว่าทุกขั้นตอนการขายและทำสัญญาไม่มีการแจ้งให้ทราบว่าโครงการมีคดีพิพาทในชั้นศาลอยู่

     

    “ศรีสุวรรณ” ยื่นอุทธรณ์ – มีอีกหลายคดีกับคอนโดฯ อื่นๆ

    ฝั่งโจทก์ของคดีนี้คือ “สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน” และผู้ฟ้องร่วม 16 คน ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลปกครองกลางเช่นกัน

    “ศรีสุวรรณ จรรยา” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน

    ตามข้อมูลจากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ “ศรีสุวรรณ จรรยา” นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า แม้จะเป็นผู้ชนะคดี แต่มีบางข้อตัดสินของศาลที่ต้องการอุทธรณ์กลับ เช่น ข้อฟ้องร้องว่าโครงการแอชตัน อโศกรุกล้ำถนนสาธารณะ ซึ่งศาลตัดสินว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีทางสาธารณะ จึงให้ข้อฟ้องร้องนี้ตกไป ฝั่งโจทก์ยังยืนยันว่าเจ้าของที่ดินเดิมเคยตัดที่ดินบางส่วนเป็นทางสาธารณะและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานแล้ว รวมถึงข้อฟ้องร้องอื่นๆ ที่ศาลไม่วินิจฉัย

    ศรีสุวรรณยังเปิดเผยด้วยว่า ต้องการจะให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐาน เพราะสมาคมฯ มีกรณีพิพาทกับคอนโดมิเนียมอีกหลายแห่ง ทั้งที่อยู่ระหว่างฟ้องร้องในศาลปกครองกลาง และที่กำลังจะนำเรื่องขึ้นฟ้อง

    ที่ผ่านมาสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่โครงการต่างๆ เคยฟ้องร้องคดีในลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยชนะคดีโครงการ “มหาดเล็กหลวง 2 เรสซิเดนเซส” ของ บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFD) (ชื่อบริษัทขณะนั้น) ของตระกูลเตชะอุบล โดยโครงการคอนโดฯ ลีสโฮลด์แห่งนี้ถูกเพิกถอนทั้ง EIA และใบอนุญาตก่อสร้าง เมื่อปี 2560 และ 2562 ตามลำดับ

    โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ อีกหนึ่งคอนโดฯ ที่เกี่ยวพันกับคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนฟ้องร้องผู้บริหาร กทม.

    ต่อจากนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2562 สมาคมฯ พร้อมกับชาวบ้านใน ซ.สุขุมวิท 101 และ ซ.สุขุมวิท 103 ยื่นฟ้องผู้บริหาร กทม. หลายหน่วยงานต่อศาลปกครองกลาง กรณีปล่อยปละให้โครงการ “เอลลิโอ เดล เนสท์” ซอยอุดมสุข ที่พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ก่อสร้างโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชน โดยร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนรายงาน EIA ทั้งนี้ โครงการนี้ก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วเมื่อปี 2563

    ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 สมาคมฯ ร่วมกับชาวบ้านซ.สุขุมวิท 61 และเอกมัยซอย 1 เดินทางไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กรณีอนุมัติรายงาน EIA ให้กับโครงการคอนโดฯ IMPRESSION EKKAMAI พัฒนาโดย บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด ทั้งที่ยังไม่มีการปรับแก้แบบโครงการตามข้อกังวลของชาวบ้าน เช่น โครงการเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษแต่ตั้งอยู่บนถนนเอกมัยที่มีความกว้างไม่ถึง 18 เมตร

    บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กับทุนญี่ปุ่น เจอาร์ คิวชู และ ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ โครงการนี้เริ่มเปิดขายตั้งแต่ปี 2562

    มหากาพย์แอชตัน อโศกจึงอาจจะไม่ใช่โครงการสุดท้ายที่เกิดปัญหาต่อลูกบ้านติดตามมา ดังที่เห็นว่าเฉพาะสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนก็มีคดีหรือข้อร้องเรียนค้างอยู่อีกหลายโครงการ

    (เอกสารแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ของลูกบ้านแอชตัน อโศกฉบับเต็ม)

    ]]>
    1350155
    ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก” ขอรับการเยียวยา ผลกระทบเกิดทันที รีไฟแนนซ์-ขายต่อไม่ได้ https://positioningmag.com/1346124 Tue, 10 Aug 2021 10:41:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1346124 จากกรณี “แอชตัน อโศก” ถูกศาลปกครองกลางเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเรื่องนี้หนีไม่พ้น “ลูกบ้าน” ที่ซื้อห้องชุดในโครงการไปแล้ว ล่าสุดตัวแทนลูกบ้านเปิดใจต่อสาธารณะ ขอความเห็นใจและเยียวยาเพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีแม้คดียังไม่สิ้นสุด พร้อมแจ้งตั้งที่ปรึกษาทางกฎหมายร่วมติดตามคดีความ

    เปรียบเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจผู้ซื้อห้องชุดในโครงการ “แอชตัน อโศก” เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการนี้ย้อนหลัง เนื่องจากการอนุญาตของสำนักการโยธาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้ผู้อยู่อาศัยหวั่นใจว่าอาจมีคำสั่งให้ทุบทำลายอาคารได้ในอนาคต (อ่านเพิ่มเติม :  ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง)

    วันนี้ (10 ส.ค. 64) หลังกลุ่มลูกบ้านแอชตัน อโศกรวบรวมข้อมูลและปรึกษากันภายใน จึงมีการส่งตัวแทนลูกบ้าน 2-3 รายโดยขอไม่เปิดเผยชื่อ-สกุลออกชี้แจงต่อสื่อและสาธารณะถึงสถานการณ์และความเดือดร้อนที่ได้รับ พร้อมแจ้งความคืบหน้าว่า ขณะนี้กลุ่มลูกบ้านได้ใช้ค่าส่วนกลางว่าจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมายเพื่อเป็นตัวแทนลูกบ้านในการติดตามคดีความแล้ว

     

    เพิ่งทราบเรื่องหลังอยู่มา 2 ปี

    ตัวแทนลูกบ้านชี้แจงก่อนว่า ขณะนี้แอชตัน อโศกมีผู้อยู่อาศัยกว่า 600 ครอบครัว รวมกว่า 1,000 คนในโครงการ และเพิ่งทราบเรื่องข้อพิพาทพร้อมๆ กับสาธารณะ เมื่อสื่อมวลชนรายงานข่าวคำตัดสินของศาลปกครองกลางดังกล่าว ซึ่งทำให้ลูกบ้านงุนงง สับสน เนื่องจากโอนกรรมสิทธิ์และย้ายเข้าอยู่มากว่า 2 ปีแล้ว

    ในฐานะผู้ซื้อ มองว่าก่อนซื้อโครงการมีการตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่าโครงการไม่มีปัญหา เนื่องจากโครงการผ่านการรับรอง EIA เรียบร้อย อีกทั้งกว่า 50% ของลูกบ้านซื้อด้วยการกู้สินเชื่อธนาคารซึ่งไม่มีปัญหาเช่นกัน และทั้งหมดสามารถโอนกรรมสิทธิ์ กรมที่ดินออกโฉนดให้ตามปกติ จึงสับสนว่าสถานการณ์ ‘มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’

    โครงการแอชตัน อโศก

    ลูกบ้านได้รวบรวมข้อมูลจากสื่อต่างๆ พบว่า บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้แจงว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตและมีการหารือหน่วยงานราชการก่อนก่อสร้างหลายหน่วยงาน รวมถึงมีโครงการอีก 13 แห่งที่ก่อสร้างในลักษณะเดียวกัน

    ลูกบ้านมีความเคารพต่อศาลและกฎหมายบ้านเมือง แต่เห็นว่าข้อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตนี้อาจเกิดจากการตีความทางกฎหมายหรือไม่

    “ต่อจากนี้อาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อถือใบอนุญาตทางราชการได้อย่างไร” ตัวแทนลูกบ้านกล่าว

     

    รีไฟแนนซ์ไม่ได้-ขายต่อชะงัก

    ตัวแทนลูกบ้านยังร้องเรียนด้วยว่า แม้คดีความจะยังไม่สิ้นสุด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกบ้านนั้นเกิดขึ้นแล้วทันที ดังนี้

    1.การรีไฟแนนซ์ ลูกบ้านบางรายเริ่มใกล้ถึงรอบรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน หลังยื่นเอกสารแล้วถูกธนาคารปฏิเสธการรีไฟแนนซ์ เพราะสถาบันการเงินมองว่าหลักประกันไม่มีความน่าเชื่อถือจากคำสั่งของศาลปกครองกลาง

    2.โครงการเสมือนถูกแช่แข็งในการทำนิติกรรม ผู้จะซื้อต่อห้องชุดมือสองหลายรายยกเลิกการซื้อขายทันที เพราะข่าวที่ออกมาทำให้เกิดความกังวลใจ

    ประเด็นเหล่านี้ทำให้ลูกบ้านเกิดความเดือดร้อนเพราะไม่ทราบว่าการลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยหรือผ่อนสินเชื่อบ้านกับธนาคารจะสูญเปล่าหรือไม่ในอนาคต หลายรายประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤตเศรษฐกิจและต้องการขายห้องชุดเพื่อหมุนกระแสเงินสด แต่ไม่สามารถทำได้ กลายเป็นภาระที่ซ้ำเติมลูกบ้านมากยิ่งขึ้น

    “เราเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางกฎหมายเลย” ตัวแทนลูกบ้านระบุ

     

    ใครจะเยียวยาลูกบ้าน?

    จากความเดือดร้อนที่ได้รับ ลูกบ้านแอชตัน อโศกวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ดังนี้

    1.ในระยะสั้น ลูกบ้านต้องการความช่วยเหลือด้านการรีไฟแนนซ์ ขอให้ทางสถาบันการเงินและผู้พัฒนาโครงการให้ความช่วยเหลือในประเด็นนี้โดยเร่งด่วน

    2.หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง และอาจจะทำให้มีคำสั่งทุบอาคาร ลูกบ้านต้องการให้มีผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ซื้อว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐหรือเอกชนผู้พัฒนาโครงการ โดยลูกบ้านมีข้อกังวลว่า หากให้บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัดเป็นผู้รับผิดชอบ ณ เวลานั้นบริษัทนี้ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอาจจ่ายปันผลเข้าบริษัทแม่และปิดบริษัทไปแล้วได้

    ทั้งนี้ ลูกบ้านร้องขอให้ “คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค” และ “คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน” ในสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และเสนอแนวทางเยียวยาให้กับลูกบ้านแอชตัน อโศกด้วย

    ]]>
    1346124
    ทำความเข้าใจคดี “แอชตัน อโศก” หลังอนันดาฯ เตรียม “อุทธรณ์” กู้ชื่อเสียง-มั่นใจทำถูกต้อง https://positioningmag.com/1344950 Mon, 02 Aug 2021 16:58:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344950 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาฟ้าผ่าให้การอนุญาตก่อสร้าง “แอชตัน อโศก” ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ทั้งที่โครงการเสร็จสิ้นและมีการโอนกรรมสิทธิ์ มีลูกบ้านเข้าอยู่แล้วถึง 578 ครอบครัว จำนวน 666 ยูนิต (87% ของโครงการ) เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ข้อพิพาทเกิดขึ้นตรงไหน และ “อนันดาฯ” เจ้าของโครงการมีแผนอย่างไรต่อ ติดตามได้ที่นี่

    โครงการ “แอชตัน อโศก” เป็นโครงการ คอนโดมิเนียมสูง 50 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น มีห้องชุด 783 ห้อง ตั้งอยู่บนที่ดิน 2 ไร่ 3 งาน พื้นที่อาคารกว่า 46,700 ตร.ม. พัฒนาโดย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมทุนกับ มิตซุย ฟูโดซัง จากญี่ปุ่น

    โครงการขนาดใหญ่นี้ตั้งตระหง่านบริเวณหลังศูนย์การค้า Terminal 21 อโศก ติดกับทางเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า MRT สุขุมวิท และมีทางถนนเข้า-ออกโครงการสู่ถนนอโศกมนตรี

    บริเวณที่ดินโดยคร่าวของโครงการแอชตัน อโศก พื้นที่สีแดงคือที่ดินโครงการ พื้นที่สีเหลืองคือถนนทางเข้า-ออกซึ่งผ่านพื้นที่ของรฟม.

    ถนนเข้า-ออกโครงการที่เชื่อมกับถนนอโศกมนตรีนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง เนื่องจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 ระบุว่า การที่ผู้อำนวยการสำนักการโยธาอนุญาตให้อนันดาฯ ก่อสร้างโครงการแอชตัน อโศกถือว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และพิพากษาให้ “เพิกถอน” ใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์ก่อสร้างทั้งหมด 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับอาคารนี้ โดยให้มีผลย้อนหลัง

    นั่นหมายความว่า แอชตัน อโศก มีความเสี่ยงที่จะถูกสั่งทุบอาคาร กลายเป็นความหวั่นวิตกต่ออนันดาฯ ลูกบ้าน 578 ครอบครัวในอาคาร จนถึงคนวงการอสังหาริมทรัพย์ และประชาชนทั่วไปที่ลงทุนซื้อหรือจะซื้อที่อยู่อาศัย

     

    ชนวนเหตุ “ทางเข้า-ออกโครงการ”

    โครงการแอชตัน อโศกนั้นเริ่มเปิดตัวตั้งแต่ปี 2557 ก่อนที่คดีความเหล่านี้จะเริ่มขึ้นในปี 2559 เมื่อสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวบ้านที่อยู่อาศัยในละแวกโครงการรวม 16 ราย เป็นผู้ฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครอง มีผู้ถูกฟ้อง 5 ราย คือ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการ EIA ส่วน บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด อยู่ในฐานะผู้ร้องสอด

    การฟ้องร้องว่าด้วยการที่หน่วยงานปกครองเหล่านี้กระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการอนุญาตให้โครงการแอชตัน อโศกก่อสร้างได้

    ประเด็นการฟ้องร้องมีทั้งหมด 5 ข้อ และศาลมีข้อพิจารณาออกมาเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 แล้วทั้งหมด คือ

    1. การอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
      1.1 โครงการแอชตัน อโศกรุกล้ำทางสาธารณะ : ศาลพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีทางสาธารณะ ข้อฟ้องร้องนี้จึงตกไป
      1.2 โครงการต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร และเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร จึงจะสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้ (อาคารขนาดใหญ่พิเศษคือมีขนาดอาคารมากกว่า 30,000 ตร.ม. และแอชตัน อโศกถือเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ) : ศาลพิจารณาว่าทางเข้า-ออกของแอชตัน อโศกที่มีความกว้างรวม 13 เมตรไม่ใช่ “ถนนสาธารณะ” เพราะยังเป็นที่ดินของ รฟม. ไม่ได้เปิดให้ประชาชนสัญจรทั่วไป และการที่ รฟม. ให้อนันดาฯ ใช้ประโยชน์ไม่ถือเป็นการใช้ที่ดินเพื่อ “กิจการรถไฟฟ้า” การกระทำของ รฟม. จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีผลต่อเนื่องให้อนันดาฯ นำที่ดินนี้ไปประกอบการขออนุญาตก่อสร้างไม่ได้
    2. คณะกรรมการ EIA อนุญาตให้ก่อสร้าง ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากพิจารณาให้การอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
    3. ผู้ถูกฟ้องละเลยการปฏิบัติหน้าที่รักษาทางสาธารณะหรือไม่ : ศาลวินิจฉัย ไม่มีการละเลยปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่มีการรุกล้ำทางสาธารณะ (ตามข้อ 1)
    4. รฟม. อนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นทางผ่าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากผู้ฟ้องทั้ง 16 คนไม่ได้รับความเดือดร้อนจากการนี้ จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
    5. รฟม. อนุญาตให้แอชตัน อโศกมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นทางผ่าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ : ศาลไม่วินิจฉัย เนื่องจากผู้ฟ้องทั้ง 16 คนไม่มีนิติสัมพันธ์กับรฟม.หรือแอชตัน อโศก จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
    ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ ส.53/2559 คดีหมายเลขแดงที่ ส.19/2564

     

    เอื้อประโยชน์รายเดียวไม่เกี่ยวกับ “กิจการรถไฟฟ้า” ?

    สรุปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อพิพาททั้งหมดเป็นประเด็นที่ข้อ 1.2 นั่นคือเรื่องของ ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก และสาเหตุที่ไปเกี่ยวข้องกับ รฟม. ต้องย้อนไปก่อนการพัฒนาโครงการ

    ที่ดินของแอชตัน อโศกนั้นเกิดจากการรวมแปลงที่ดิน 3 แปลง แปลงหนึ่งในนั้นเดิมเคยมีหน้าที่ดินติดกับถนนอโศกมนตรี แต่ถูก รฟม. เวนคืนที่ดินเพื่อสร้างรถไฟฟ้า จึงทำให้ที่ดินมีลักษณะเป็นที่ดินตาบอด เจ้าของที่ดินเดิมคือ บริษัท จตุรัก จำกัด จึงฟ้องร้องเพื่อให้ รฟม. เปิดทางจำเป็นเข้า-ออกให้โดยกว้าง 6.4 เมตร ผ่านที่ดินเวนคืนของ รฟม.

    ต่อมาเมื่ออนันดาฯ ทำการรวมแปลงที่ดินแล้ว ได้ร้องขอให้ย้ายทางเข้า-ออก 6.4 เมตรนี้ไปอยู่ฝั่งที่ติดกับสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องจากเดิมทางเข้า-ออกอยู่ติดกับปล่องระบายอากาศของสถานีรถไฟฟ้า

    ทางเข้า-ออกโครงการแอชตัน อโศก กว้าง 13 เมตร โดยขอใช้ทางผ่านที่ดินของรฟม. (ภาพจาก : Google Maps Streetview)

    อนันดาฯ ยังมีคำขอเพิ่มเติมโดยขอให้ รฟม. ขยายทางเข้า-ออกนี้เพิ่มอีก 6.6 เมตร รวมเป็น 13 เมตร ซึ่งจะเป็นทางถาวร โดยกรรมสิทธิ์ยังคงเป็นที่ดินของ รฟม. บวกกับขอใช้พื้นที่ลานจอดรถ รฟม. เป็นเวลา 30 เดือนเพื่อใช้ตั้งสำนักงานขาย ทั้งหมดนี้แลกกับการที่ อนันดาฯ จะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 98 ล้านบาท หรือก่อสร้างอาคารจอดรถให้กับ รฟม. โดยให้สิทธิ รฟม. เป็นผู้เลือกผลตอบแทนที่ต้องการ

    จะเห็นได้ว่าผลพิพากษาของศาลปกครองกลางมองว่า การเวนคืนที่ดินประชาชนแต่แรกนั้นต้องการให้นำมาใช้เพื่อ “กิจการรถไฟฟ้า” แต่การเปิดให้เอกชนรายเดียวใช้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโครงการแอชตัน อโศก ไม่ใช่กิจการรถไฟฟ้า แม้ว่าอนันดาฯ จะให้ผลตอบแทนแล้วก็ตาม

     

    รฟม.ยังได้ใช้งาน-ไม่ใช่โครงการแรกที่ทำ

    เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 64 “ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดาฯ และทีมงาน มีการแถลงชี้แจงต่อสื่อ โดยยืนยันว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน โดยมีกำหนดเวลา 30 วัน

    เหตุผลโต้กลับของอนันดาฯ คือ รฟม. มีคำยืนยันมาโดยตลอดว่า รฟม. มีสิทธิอนุญาตให้บริษัทใช้ที่ดิน และทางเข้า-ออก 13 เมตรดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้โดยแอชตัน อโศกโครงการเดียว เพราะเป็นทางร่วมที่ รฟม. ใช้เข้า-ออกที่จอดรถของ รฟม. เอง ดังนั้น มองว่ายังถือเป็นทางที่ใช้ในกิจการรถไฟฟ้าอยู่ รฟม. ไม่ได้เสียสิทธิในการใช้งาน

    นอกจากนี้ อนันดาฯ ยังให้ข้อมูลด้วยว่าก่อนหน้าโครงการแอชตัน อโศก ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ขอใช้ที่ดินของรัฐเป็นทางผ่านและนำไปขออนุญาตก่อสร้างในลักษณะเดียวกันไม่ต่ำกว่า 13 โครงการ รวมถึงแอชตัน อโศกไม่ใช่รายแรกที่ขอใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. ดังนั้น หากศาลพิพากษาให้การก่อสร้างโครงการนี้ไม่ถูกต้อง จะมีผลกระทบต่อโครงการอื่นๆ อีกจำนวนมาก

    ข้อชี้แจงจากอนันดาฯ กรณีแอชตัน อโศก ข้อมูลวันที่ 2 ส.ค. 64

     

    สู้สุดความสามารถ-ทำโดยสุจริตใจ

    ชานนท์ ซีอีโอของอนันดาฯ กล่าวว่า ในระยะสั้น บริษัทได้จัดประชุมผ่าน Zoom กับลูกบ้านแอชตัน อโศกแล้วเพื่อทำความเข้าใจ โดยยอมรับว่าลูกบ้านจำนวนหนึ่งมองบริษัทเป็นจำเลย แต่อีกจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจ และต้องการจะร่วมเป็นผู้ร้องสอด ซึ่งต้องไปศึกษาข้อกฎหมายอีกครั้งว่าทำได้หรือไม่

    ในระยะยาวบริษัทจะสู้สุดความสามารถเพื่อดูแลลูกค้าและเพื่อชื่อเสียงองค์กร ส่วนถ้าหากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือศาลปกครองสูงสุดยืนคำพิพากษาตามศาลปกครองกลาง ชานนท์ตอบกว้างๆ ว่าในฐานะซีอีโอจะดูแลลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบ แต่ขอบเขตการดูแลจะต้องศึกษาข้อบังคับในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง

    “ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

    “ย้อนไปตอนนั้นเรามั่นใจว่าเราทำถูกต้องทุกอย่าง ถ้ามีคนไปร้องแล้วเราต้องหยุดทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องยึดมั่นว่าเรามาอย่างถูกต้องโดยสุจริตใจ เมื่อคิดว่าเราสุจริตเราก็ต้องสู้” ชานนท์กล่าวถึงการตัดสินใจเดินหน้าก่อสร้างต่อแม้ว่าจะมีการฟ้องร้องเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งนี้ ในช่วงที่เริ่มมีการฟ้องร้อง คอนโดฯ แอชตัน อโศกมีการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 70-80%

    มหากาพย์การฟ้องร้องแอชตัน อโศกถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างมาก เพราะดังที่อนันดาฯ ยกตัวอย่างว่า มีโครงการอีกมากที่ใช้วิธีลักษณะเดียวกันเพื่อเปิดหน้าที่ดิน หากโครงการแอชตัน อโศกไม่ได้ไปต่อ อีกหลายโครงการก็อาจจะถูกฟ้องร้องเป็นโดมิโนไปด้วยก็ได้

    ]]>
    1344950
    มีแผนสำรอง! “เซ็นทรัล วิลเลจ” ดิ้นทุกทางเปิด “ลักชัวรี่ เอาท์เล็ต” 31 ส.ค. นี้ แน่นอน https://positioningmag.com/1244282 Wed, 28 Aug 2019 07:57:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244282 เป็นประเด็นที่ต้องรอลุ้นว่าจะจบอย่างไร กับศึก “ช้างชนช้าง” ระหว่าง ทอท. และ เซ็นทรัล วิลเลจ หลังเกิดข้อพิพาท เมื่อ ทอท. ขนอุปกรณ์ปิดทางเข้าออกด้านหน้าโครงการ ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่โครงการกำลังเร่งตกแต่งร้านค้าเพื่อให้ทันเปิดตามกำหนดวันที่ 31 ส.ค. นี้

    สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้นจากฝั่ง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ส่งหนังสือไปยังสำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) เพื่อสอบถามความเหมาะสมของการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของเซ็นทรัล วิลเลจ ที่เห็นว่าอาจจะขัดกับเงื่อนไขกฎเกณฑ์การบินขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตามเงื่อนไขพัฒนาพื้นที่รอบสนามบิน รวมทั้งกรณีการใช้พื้นที่โดยพลการในการก่อสร้างแนววางท่อประปาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    โดย ทอท. ได้นำรถ อุปกรณ์ และตั้งเต็นท์ ปิดทางเข้าออกโครงการ ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ร้านค้าและผู้รับเหมาต้องเดินเท้าขนอุปกรณ์เข้าไปในโครงการเพื่อตกแต่งร้านค้า

    สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ เซ็นทรัลพัฒนา เจ้าของโครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” ได้ร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว ให้ ทอท. เปิดทางเข้าออกโครงการ โดยศาลปกครองนัดไต่สวนฉุกเฉินวันนี้ (28 ส.ค.)

    ปิดป้ายแลกคนละหมัด

    ก่อนถึงกำหนดเปิดบริการเซ็นทรัล วิลเลจ วันนี้ (28 ส.ค.) “ซีพีเอ็น” ได้พาสื่อมวลชนสำรวจโครงการลักชัวรี่ เอาท์ เล็ต “เซ็นทรัล วิลเลจ” ที่กำลังอยู่ระหว่างการเร่งตกแต่ง 150 ร้านค้า เพื่อเปิดให้บริการในวันที่ 31 ส.ค. นี้

    เริ่มตั้งแต่ถนนทางเข้าโครงการที่ถูก ทอท. นำอุปกรณ์และตั้งเต้นท์ปิดทางเข้าออกตั้งแต่ วันที่ 22 ส.ค. 2562 และติดตั้งป้ายด้านหน้าทางเข้าโครงการว่าเป็น “พื้นที่ในความครอบครองของ ทอท. ห้ามผู้ใดบุกรุก มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด”

    ฝั่ง “เซ็นทรัล วิลเลจ” ได้นำป้ายมาติดตั้งหน้าโครงการเช่นกัน ข้อความย้ำว่า “โครงการนี้ตั้งอยู่ติดทางหลวงแผ่นดิน มิได้รุกล้ำพื้นที่ผู้ใด” เช่นกัน

    ยืนยันเปิดแน่นอน 31 ส.ค. นี้

    แม้ใกล้ถึงกำหนดเปิดบริการและ 150 ร้านค้า กำลังอยู่ระหว่างตกแต่งเพื่อให้ทันกำหนดเปิดตัว ขณะที่มีอุปสรรคในการขนอุปกรณ์ของร้านค้าต่างๆ เพื่อเข้ามาตกแต่ง จากการปิดทางเข้าออกของ ทอท.

    แต่วันนี้ (28 ส.ค.) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ผู้บริหารและพัฒนาโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ประกาศยืนยันว่าโครงการ ลักชัวรี่ เอาท์เล็ต แห่งแรกของประเทศไทย พร้อมเปิดตามกำหนดเดิมวันที่ 31 ส.ค. นี้

    โดย เซ็นทรัล วิลเลจ ได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง พร้อมให้ตรวจสอบ

    จี้รัฐเป็นธรรม-เร่งเคลียร์ปม ทอท.

    ปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ลักชัวรี่ เอาท์เล็ต “เซ็นทรัล วิลเลจ” สามารถดึงนักลงทุน Global Brands ใหญ่ๆ ระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โครงการใช้เวลาเตรียมการมากว่า 5 ปี และลักชัวรี่ เอาท์เล็ตแห่งนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว และดึงคนไทยมาช้อปในประเทศ ทำให้ภาษียังหมุนเวียนอยู่ในประเทศ และทุกกลุ่มเข้าถึงสินค้าแบรนด์เนมได้ง่ายขึ้น

    โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ขอให้ภาครัฐให้ความเป็นธรรมและช่วยคลี่คลายสถานการณ์ปัญหาต่างๆ โดยเร่งด่วน เนื่องจากผู้ประกอบการร้านค้าในโครงการได้รับผลกระทบไม่สามารถเข้ามาตกแต่งร้านค้าได้

    โดยโครงการมีมูลค่าร่วมลงทุนของซีพีเอ็น และร้านค้ากว่า 150 ร้านค้า รวมกว่า 5,000 ล้านบาท หลังเปิดให้บริการคาดว่าจะมีการจ้างงานพนักงานร้านค้าที่เช่าพื้นที่กว่า 1,000 คน และคาดสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในประเทศกว่า 30,000 ล้านบาท”

    รอลุ้นศาลคุ้มครองวันนี้ ย้ำมีแผนสำรอง

    อย่างไรก็ตาม วันนี้ (28 ส.ค.) ศาลปกครองได้นัดไต่สวน 2 ฝ่าย คือ ทอท. และ ซีพีเอ็น ซึ่งซีพีเอ็นขอให้ศาลพิจารณาออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ ทอท. เปิดทางเข้าออกโครงการ

    กรณีหากศาลปกครองพิจารณาออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังจากนั้น ซีพีเอ็น ก็มีสิทธิพิจารณาว่าจะฟ้องร้องคดีกับ ทอท. หากพบว่าการปิดทางเข้าออกโครงการตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้กับร้านค้า ผู้รับเหมา และโครงการ

    “แต่ถึงขณะนี้ก็พร้อมเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ต้องไม่ใช่การตีความเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”

    ทั้งนี้ ไม่ว่าศาลปกครองจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร ซีพีเอ็น ก็ยืนยันจะเปิดบริการ เซ็นทรัล วิลเลจ ในวันที่ 31 ส.ค. นี้แน่นอน โดยมีแผนสำรองแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นไว้แล้ว แต่ยอมรับว่าการเปิดโครงการในวันที่ 31 ส.ค. นี้ ยังไม่เต็ม 100% ความพร้อมอยู่ที่ 70% และจะใช้เวลาอีก 1 – 2 เดือนในการตกแต่งโครงการ

    แจง 3 ปมข้อกล่าวหา ยันทำถูก กม.

    สำหรับประเด็นที่มีข้อกล่าวอ้างการเปิดโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ ขอชี้แจง มี 3 ประเด็น

    1. พื้นที่โครงการมีการเชื่อมทางเข้าออกอย่างถูกต้อง ไม่มีการรุกล้ำที่ดินของภาครัฐ (ที่ราชพัสดุ ลำรางสาธารณะ) และไม่ได้เป็นที่ดินตาบอด

    ที่ดินโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท.

    ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 เดิมเป็นที่ราชพัสดุ ต่อมากรมทางหลวงได้พัฒนาเป็นทางหลวงแผ่นดิน โดยได้ขึ้นทะเบียนเป็นทางหลวงแผ่นดินแล้ว จึงมีสถานภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทำให้ไม่มีสถานะเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 7 (2) พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 และเป็นพื้นที่คนละบริเวณกันกับที่ภาครัฐเวนคืนมาเพื่อสร้างสนามบินที่ ทอท. ดูแล

    โครงการได้รับอนุญาตเชื่อมทางอย่างถูกต้องจากกรมทางหลวง ซึ่งเป็นผู้ซึ่งมีอำนาจเต็มในการอนุมัติการเชื่อมทางแต่เพียงผู้เดียว

    ทั้งนี้ พื้นที่ทางหลวงหมายเลข 370 หมายรวมถึง เขตทาง และไหล่ทาง ซึ่งติดกับที่ดินของเอกชน 2 ข้างถนน ซึ่งที่ดินของโครงการมีแนวเขตแนบสนิทต่อเนื่องกับเขตทางของ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ดังนั้น ที่ดินของโครงการจึงไม่ใช่ที่ดินตาบอด

    2. ปฏิบัติตามกฎหมายผังเมือง

    โครงการนี้ได้ปฏิบัติตามและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องในการก่อสร้างในพื้นที่สีเขียว บริเวณ ก1-10 ไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดินพื้นที่สีเขียวบริเวณดังกล่าว โดยโครงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายผังเมือง ไม่ได้มีการขอปรับผังเมืองแต่อย่างใด

    3. ขออนุญาตก่อสร้างในพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ จากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศ ไทยอย่างถูกต้อง

    ยืนยันว่าการก่อสร้างมีความปลอดภัยต่อการบิน ไม่ได้ละเมิดกฎใดๆ ทั้งความสูง ไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานสนามบิน หรือรบกวนการบินแต่อย่างใด โดยแบบมีความสูงที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการติดธงแดงตามที่มีการ กล่าวอ้าง ในต่างประเทศหลายประเทศมีการกสร้างเอาท์เล็ตใกล้กับสนามบิน ที่ไม่ส่งผลกระทบกับการบิน

    โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ประกาศติดป้ายลงทุนในพื้นที่มาแล้ว 5 ปี เริ่มก่อสร้าง 2 ปี ก่อนหน้านี้ไม่มีข้อร้องเรียนจากหน่วยงานใดๆ มาก่อน

    ]]>
    1244282
    ดีแทคยังไม่โล่ง! โจทย์ใหญ่รออยู่ กสทช. ชงเรื่องเข้าบอร์ดเตรียมยื่นอุทธรณ์ หลังศาลปกครองให้คุ้มครองดีแทค 3 เดือน https://positioningmag.com/1187812 Sat, 15 Sep 2018 02:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1187812 ยังไม่จบง่ายๆ แม้ว่าดีแทคจะได้ข่าวดี หลังจากศาลปกครองมีคำสั่งด่วนให้ดีแทคสามารถเข้าสู่มาตรการเยียวยาได้ 3 เดือนถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้ หลังจากสิ้นสุดสัมปทานในวันที่ 15 กันยายน

    ดีแทคเอง ออกโฆษณาแจ้งข่าวดีถึงลูกค้าทุกคนว่า 15 กันยายนนี้ ซิมไม่ดับ 100%

    แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งนี้อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ต่ออายุให้กับบรรดาลูกค้าในโครงข่ายดีแทคที่ใช้งานบนคลื่น 850 MHz ให้รีบจัดการโอนย้ายค่ายออกไปภายในเวลาที่กำหนด

    คำสั่งของศาลปกครอง ระบุว่า มติของบอร์ด กสทช.น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย เพราะ

    1. ประกาศคุ้มครองผู้ใช้บริการชั่วคราว ต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการที่ยังไม่อาจโอนย้ายไปยังผู้ให้บริการรายอื่นสามารถใช้บริการได้ต่อเนื่องเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุด และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดประมูลคลื่นความถี่ใหม่ ผู้รับสัมปทานเดิมมีหน้าที่ให้บริการต่อไปเป็นการชั่วคราว กสทช.จึงไม่สามารถอ้างว่าเมื่อไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่มาใช้เป็นเหตุผลที่จะไม่ให้ดีแทคเข้าสู่มาตรการคุ้มครองตามประกาศดังกล่าว

    2. คลื่น 850 MHz เป็นคลื่นที่สามารถใช้ได้ในพื้นที่ชนบท ซึ่งดีแทครายงานว่ายังมีผู้ใช้บริการอยู่ประมาณ 90,000 ราย แม้ว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการไม่มากที่ยังไม่ได้โอนย้ายเลขหมาย หากไม่สามารถให้บริการได้ ย่อมเกิดความเสียหายกับผู้ใช้บริการ ที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลังที่อาจเป็นผู้เจ็บป่วย พิการ สูงอายุ ที่ต้องติดต่อสื่อสารกรณีเร่งด่วน หรืออยู่ในพื้นที่

    3. การที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของ กสทช. จะมีผลให้ดีแทคสามารถให้บริการในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านการสิ้นสุดสัมปทานเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ห้ามไม่ให้ กสทช.ประมูลคลื่นความถี่ใหม่

    ทั้งนี้มีรายงานเบื้องต้นว่า กสทช.กำลังพิจารณายื่นขออุทธรณ์ต่อศาลปกครองกลาง โดยจะมีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด กสทช.ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ เนื่องจาก กสทช.มีความเห็นว่า การประกาศเยียวยานั้น มีจุดประสงค์เพื่อรองรับกรณีสัมปทานหมด และยังไม่มีการประมูลคลื่นความถี่เท่านั้น และที่ผ่านมา กสทช.จัดประมูลไม่ทัน จึงทำให้ทั้งทรูและเอไอเอส สามารถเข้าสู่มาตรการเยียวยาได้ แต่กรณีดีแทค กสทช. ได้มีการระบุถึงการเปิดประมูลคลื่นความถี่แล้ว แต่ดีแทคไม่เข้าร่วมประมูล เพราะหวังจะใช้คลื่นฟรี โดยไม่ต้องประมูลมากกว่า

    ดีแทค ยังไม่โล่งหลังหมดช่วงเยียวยา 15 ธันวาคม

    เนื่องจากคำสั่งศาลระบุไว้ชัดเจนว่า มีจำนวนผู้ใช้บริการในระบบสัมปทานของดีแทค ที่ยังไม่สามารถโอนย้ายได้มีประมาณ 90,000 ราย จึงควรกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง ไว้จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2561 และในช่วงเวลาที่ยืดออกไป 3 เดือนนี้ ดีแทคจะต้องชำระค่าใช้คลื่นความถี่ด้วย อย่างไรก็ตาม ดีแทคได้ออกมาระบุว่า ในการใช้งานคลื่นความระหว่างเข้าสู่มาตรการเยียวยานั้น ดีแทคจะนำรายได้ให้รัฐตามประกาศเยียวยา

    นอกจากนี้ ตามคำสั่งศาลจึงสรุปได้ว่า การขยายเวลาซิมดับออกไปนี้ เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีเวลาในการย้ายออก แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลต่อไปคือ เนื่องจากคลื่น 850 MHz มีลูกค้าใช้งานเพียงแค่ 9 หมื่นรายเท่านั้น และเป็นคลื่นย่านต่ำย่านเดียวที่ดีแทคใช้งานอยู่

    โดยเฉพาะการใช้โรมมิ่งเพื่อให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกนั้นเป็นคลื่นย่านสูงทั้งหมด ตั้งแต่คลื่น 2100 และ 2300 MHz หากสิ้นสุดวันที่ 15 ธันวาคมแล้ว อาจจะมีปัญหาในการให้บริการลูกค้าตามต่างจังหวัด

    ในขณะเดียวกัน กสทช.ก็ประกาศแล้วว่าจะรีบจัดการประมูลคลื่น 900 MHz มาประมูลอีกครั้ง สิ่งที่ดีแทคต้องตัดสินใจต่อไป คือ

    1. ดีแทคจะเข้าร่วมประมูลคลื่น 900 MHz รอบใหม่นี้หรือไม่ เพื่อนำคลื่น 900 MHz มาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการให้บริการที่ครอบคลุมแทนที่คลื่น 850 MHz

    2. หากไม่เข้าประมูล ช่วงเวลา 3 เดือน จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีแทคต้องเร่งทำการ optimized เพื่อนำคลื่น 2100 หรือ 2300 MHz มาใช้งานแทนคลื่น 850 MHz ในพื้นที่ที่มี Cell Sites ไม่เพียงพอ ดูว่าพื้นที่ไหนสามารถเติม cell sites เพิ่มให้ coverage ให้ครบเหมือนที่เคยให้บริการอยู่ได้

    สำหรับคลื่นย่านต่ำ ที่นำมาใช้ในกิจการมือถือนี้ นอกจากย่าน 900 MHz นี้แล้ว กสทช.ยังมีแผนที่จะนำคลื่นย่าน 700 MHz ที่ปัจจุบันใช้งานในกิจการทีวีมาประมูล แต่ยังไม่ได้มีแผนการชัดเจน เนื่องจากยังมีคลื่นบางส่วนติดสัญญาสัมปทานอยู่ จากช่อง 3 ที่จะหมดสัญญาในปี 2563

    อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานนี้บอร์ด กสทช.เพิ่งมีการตั้งคณะทำงานให้มาศึกษาแนวทางการนำคลื่น 700 MHz มาประมูลในกิจการโทรคมนาคมแล้ว ทั้งนี้คลื่นย่าน 700 MHz เป็นย่านที่เหมาะสำหรับการให้บริการ 5G ในอนาคต แต่ท่ามกลางปัญหาที่รออยู่ ดีแทคได้ตกลงกับบริษัท แคทเทเลคอม จำกัด หน่วยงานรัฐผู้ให้สัมปทานเดิม

    เรื่องทรัพย์สินโดยเฉพาะเสาสัญญาณที่ต้องส่งมอบให้แคท ซึ่งดีแทคสามารถใช้งานได้ต่อ โดยจ่ายค่าเช่าให้แคท.


    อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง

    • ด่วน! ศาลปกครองให้คุ้มครองถึง 15 ธ.ค. 61 ดีแทคโล่ง รอดซิมดับ 3 เดือน
    • 15 ก.ย. ชี้ชะตา คลื่น 850 MHz เกมชักเย่อ ดีแทค VS กสทช.
    • ดีแทค เปิดแผนคุ้มครองลูกค้า 850 MHz ป้องกันซิมดับ
    • ดีแทคสุดผิดหวัง กสทช.ไม่เคาะคุ้มครองลูกค้ามือถือ

    ]]> 1187812 ด่วน! ศาลปกครองให้คุ้มครองถึง 15 ธ.ค. 61 ดีแทคโล่ง รอดซิมดับ 3 เดือน https://positioningmag.com/1187790 Fri, 14 Sep 2018 07:18:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1187790 จากกรณีที่ดีแทคได้ยื่นฟ้องร้อง กสทช. ต่อศาลปกครองกลางให้คุ้มครองชั่วคราว หลังดีแทคสิ้นสุดสัมปทานคลื่นความถี่ในวันที่ 15 กันยายน 2561

    ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่ง คดีดำหมายเลข 1802/2561 ให้ดีแทคได้รับสิทธิเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการตามประกาศของ กสทช.จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2561 หลังจากสัมปทานของดีแทคกับ กสท.โทรคมนาคมจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กันยายนนี้ หลังจากบอร์ด กสทช.เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมามีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ไม่อนุมัติให้ดีแทคได้เข้าสู่กระบวนการเยียวยา ด้วยเหตุผลว่าดีแทคไม่ได้เข้าร่วมประมูลคลื่น 900 MHz และมีจำนวนลูกค้าเหลือในระบบเพียง 9 หมื่นรายเท่านั้น

    โดยก่อนหน้านี้ดีแทคได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอรับการคุ้มครองบนคลื่น 850 MHz ที่ดีแทคใช้งานตามสัญญาสัมปทาน.


    อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง

    • 15 ก.ย. ชี้ชะตา คลื่น 850 MHz เกมชักเย่อ ดีแทค VS กสทช.
    • ดีแทค เปิดแผนคุ้มครองลูกค้า 850 MHz ป้องกันซิมดับ
    • ดีแทคสุดผิดหวัง กสทช.ไม่เคาะคุ้มครองลูกค้ามือถือ
    ]]>
    1187790