ศูนย์การค้า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 09 Jan 2024 04:25:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สยามพารากอน ไอคอนสยาม ยืนหนึ่งจุดหมายปลายทางระดับโลก คว้า 2 รางวัลสุดยอดด้านนวัตกรรมและภาพลักษณ์จาก 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company https://positioningmag.com/1457955 Tue, 09 Jan 2024 09:48:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457955

สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำผู้นำการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลกที่ครองความเป็นหนึ่งในใจผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติ คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมจากผลสำรวจ 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company ของ BrandAge สื่อการตลาดชั้นนำ โดยสยามพารากอนได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในปัจจัยด้านความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) และไอคอนสยาม ได้คะแนนโหวตสูงสุดในปัจจัยด้านภาพลักษณ์ (Corporate Image) อีกทั้งสยามพารากอนและไอคอนสยามยังติดอันดับ Top 3 บริษัทที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดจากผู้บริโภคในหมวดธุรกิจศูนย์การค้าอีกด้วย สะท้อนศักยภาพของความเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญระดับโลกที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนจากทุกมุมโลก    

นางธณพร ตันติยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า สยามพารากอนในฐานะศูนย์การค้าระดับเอลิสต์ ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ลูกค้าจึงนำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมมาใช้ในการ curate สินค้าและบริการเพื่อนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้สามารถเข้าใจลูกค้าที่มาจับจ่ายได้มากขึ้น  สยามพารากอนยังคงสร้างสรรค์พัฒนาและออกแบบพื้นที่ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในทุกเจนเนอเรชั่น และดึงดูดให้ในแต่ละวัน มีผู้คนมาเยือนจำนวน 120,000 – 150,000 คนหรือกว่า 50 ล้านคนต่อปี   ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นสถานที่รวบรวมความเพลิดเพลินของการใช้ชีวิตในแบบ Luxury lifestyle และความบันเทิงที่ครบครันที่สุด    

นางสุมา วงษ์พันธุ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า ความสำเร็จและภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของไอคอนสยาม ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของประเทศไทย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแม่เหล็กของการท่องเที่ยวที่ทรงพลัง และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ครองความเป็นหนึ่งในใจผู้คนทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่ง โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไอคอนสยามร่วมมือกับพันธมิตรและ Global Partners จัดงาน 3,500 อีเว้นท์ระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 35 ล้านคน และไอคอนสยามได้รับการแนะนำจาก CNN Website (2022) ให้เป็นหนึ่งใน 10 สถานที่เค้าท์ดาวน์ของโลก ตอกย้ำการเป็น Global Destination อันดับ 1 ในใจของนักท่องเที่ยวไทย และทั่วโลกโดยเฉพาะการจัดงาน Amazing Thailand Countdown ของทุกปี ซึ่งถูกถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลกผ่านโซเชียลมีเดีย และสำนักข่าวระดับโลก ทำให้กลายเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างเต็มภาคภูมินอกจากนี้ “ไอคอนสยาม” ยังคงมุ่งสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายภาครัฐในการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อต่อยอดความเป็น Global Destination ชู Soft Power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับสู่เวทีโลกไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่นๆ ในทุกมิติ

นิตยสาร BrandAge และ BrandAge Online สื่อธุรกิจการตลาดชั้นนำของประเทศไทย ได้จัดทำผลสำรวจ 2023-2024 Thailand’s Most Admired Company เพื่อเฟ้นหาบริษัทที่เป็นสุดยอดในปัจจัยแต่ละด้าน จากกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 24 กลุ่ม เช่น กลุ่มศูนย์การค้า กลุ่มธุรกิจอาหาร ร้านอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และธนาคาร

]]>
1457955
พรีวิวคอนเซ็ปต์ “Central Park” ส่วนรีเทลและออฟฟิศใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” แลนด์มาร์กใหม่กรุงเทพฯ https://positioningmag.com/1447278 Mon, 09 Oct 2023 10:05:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447278
  • “เซ็นทรัลพัฒนา” พาร์ทเนอร์ผู้พัฒนาในส่วนรีเทลและออฟฟิศของโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Central Park” สำหรับส่วนศูนย์การค้าและสำนักงาน
  • คอนเซ็ปต์สร้างศูนย์การค้าที่เป็น “Curated Experience” เน้นร้านค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบสนองไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง วางเป้าทราฟฟิก 25 ล้านคนต่อปี
  • “Central Park” ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งที่ 3 ของกลุ่มเซ็นทรัลในใจกลางกรุงเทพฯ ต่อจาก “เซ็นทรัลเวิลด์” แยกราชประสงค์ และ “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” บนแยกเพลินจิตวิทยุ
  • โครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของภาคเอกชนที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงแรมดุสิตธานี สถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มีประวัติยาวนาน 50 ปี ก่อนจะปิดทุบปรับปรุงใหม่เป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์มูลค่ารวม 46,000 ล้านบาท

    โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์คนี้ทางกลุ่มดุสิตธานีมีการร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัล โดยทางเซ็นทรัลเป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาในส่วนศูนย์การค้าและสำนักงาน ส่วนกลุ่มดุสิตธานีดูแลการพัฒนาโรงแรมและคอนโดมิเนียม

    ในที่สุด “วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้ฤกษ์เปิดพรีวิวคอนเซ็ปต์การพัฒนา “Central Park” แบรนด์ใหม่สำหรับส่วนรีเทลและออฟฟิศ เป็นแบรนด์เฉพาะเพื่อโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โดยต้องการให้เป็นแลนด์มาร์กศูนย์การค้าสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัล

    Central Park ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
    บรรยากาศจำลอง ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

    เฉพาะส่วน Central Park นี้บริษัทร่วมทุนมีการลงทุนไป 20,000 ล้านบาท ก่อสร้างเป็น

    1) อาคารศูนย์การค้า Central Park สูง 8 ชั้น (7 ชั้นบนดิน + 1 ชั้นใต้ดิน) พื้นที่อาคารรวม 130,000 ตร.ม.
    2) อาคารสำนักงาน Central Park Offices สูง 40 ชั้น พื้นที่อาคารรวม 130,000 ตร.ม.

     

    “Central Park” ทำเลริมสวนกลางกรุงเทียบชั้นนิวยอร์ก-ลอนดอน

    วัลยากล่าวถึงจุดเด่นที่สุดของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค คือ การมีทำเลอยู่ริมสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งถ้าหากมองในระดับโลก มหานครหลายแห่งจะมีสวนสาธารณะเป็นจุดใจกลางพื้นที่พัฒนาออฟฟิศและที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ เช่น Central Park ของนครนิวยอร์ก หรือ Hyde Park ของกรุงลอนดอน ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมองว่าทำเลสวนลุมพินีจะเป็น ‘ใจกลางของใจกลางเมือง’ เช่นกัน

    Central Park ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
    มุมมองจากชั้น 7 ของ Central Park มองเห็นเชื่อมต่อกับสวนลุมพินี

    “ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล” Chief Development and Commercial Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวเสริมว่า นอกจากจะอยู่ริมสวนลุมพินีแล้ว ดุสิต เซ็นทรัล พาร์คยังอยู่บริเวณจุดตัดรถไฟฟ้า 2 สาย คือ สถานีสีลมของ MRT สายสีน้ำเงิน และ สถานีศาลาแดงของ BTS สายสีเขียวเข้ม ถือเป็นจุดตัดที่มีทราฟฟิกสูงมากเพราะต่างก็เป็นรถไฟฟ้าสายดั้งเดิมที่ผ่านจุดสำคัญกลางเมือง

     

    รวมร้านที่ ‘ไม่เหมือนที่เคยมีมา’

    เมื่ออยู่ในทำเลทองและมีความพิเศษด้วยตำนานของพื้นที่แล้ว ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาจะสร้างความแตกต่าง “ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” Chief Marketing Officer และ “อิศเรศ จิราธิวัฒน์” Head of Fashion and Luxury Partner Management ร่วมกันอธิบายว่า ศูนย์การค้า Central Park จะเป็นศูนย์ฯ แห่ง “Curated Experience” ในระดับไฮเอนด์

    เนื่องจากลูกค้ายุคนี้มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่ ‘niche’ เป็นตัวเองมาก เฉพาะกลุ่มมากขึ้น Central Park จึงต้องการจะเลือกสรรประสบการณ์ที่แตกต่าง แยกย่อยลงไป มองหาแบรนด์ที่น่าสนใจเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ เป็นแบรนด์ที่เป็นที่สุดของโลก หรือที่สุดของคนไทย แบรนด์มีเอกลักษณ์หรือเรื่องราวชัดเจน

    Central Park ตั้งเป้าจะดึงดูดแบรนด์ใหม่ที่ไม่เคยมีในไทยหรือไม่เคยมีในเครือเซ็นทรัลพัฒนามาก่อนราว 10-20% ของศูนย์การค้า ส่วนที่เหลือแม้จะเป็นการเปิดสาขาของแบรนด์เดิม แต่จะทำงานร่วมกันเพื่อให้เปิดร้านแบบ ‘new concept’ แตกต่างจากสาขาอื่นที่เคยมี

    อีกมุมของสวน 7 ไร่บนชั้น 7

    เฉพาะร้านประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) คาดว่าจะมีราว 30-35% ของศูนย์การค้า โดยไฮไลต์ของส่วนร้านอาหารคือ พื้นที่บนชั้น 7 ซึ่งเป็นสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ 7 ไร่ จะมีการจัดสรรเป็นพื้นที่เช่าร้านอาหาร ผสมกลมกลืนไปกับสวน ซึ่งทำให้ได้บรรยากาศรูปแบบใหม่ในการรับประทานอาหาร

     

    ชูอีเวนต์สายอาร์ต-ดนตรี

    ด้านการจัดอีเวนต์ที่ Central Park เนื่องจากศูนย์ฯ​ นี้มีการจัดสวนลอยฟ้า 7 ไร่ไว้เป็นพื้นที่สาธารณะ จึงทำให้งานอีเวนต์ต่างๆ จะเน้นการจัดงานภายในสวนแห่งนี้ เชื่อมโยงกับฝั่งสวนลุมพินี

    โดยสายอีเวนต์หลักๆ ที่เซ็นทรัลพัฒนาจะเน้นการจัดงานที่นี่คือ “ศิลปะ” และ “ดนตรี” เพราะต้องการเน้นไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ดีทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถเข้ามาวิ่งออกกำลังในลู่วิ่ง Jogging Track ในสวน พร้อมชมงานศิลปะ ดนตรี โชว์การแสดงต่างๆ ที่จะจัดขึ้น

    รวมถึงที่นี่จะเป็นจุดจัดอีเวนต์ “Countdown Celebration” อีกแห่งหนึ่ง ตีคู่มากับเซ็นทรัลเวิลด์ แต่จะวางคอนเซ็ปต์งานให้ต่างกัน

     

    วางเป้าทราฟฟิก 25 ล้านคนต่อปี

    เป้าหมายของ Central Park นั้นส่วนหลักจะเน้นดึง “ผู้มีกำลังซื้อสูง” ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยว แต่ก็รวมไปถึงกลุ่มคนทั่วไปที่ต้องการมารับประสบการณ์ภายในศูนย์ฯ ด้วยเช่นกัน

    โดยเซ็นทรัลพัฒนาตั้งเป้าว่าจะมีทราฟฟิกเข้าศูนย์ฯ ได้ 25 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้คาดว่าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 10 ล้านคนต่อปี ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ ‘ต้องมา’ ของกรุงเทพฯ

    ในแง่การดึงดูดกลุ่มกำลังซื้อสูง นอกจากภายในโครงการมิกซ์ยูสจะมีทั้งโรงแรมดุสิตธานีที่เป็นระดับ 5 ดาว, กลุ่มผู้พักอาศัยในเรสซิเดนซ์ และกลุ่มพนักงานในออฟฟิศเกรดเอแล้ว ในรัศมี 3 กิโลเมตรรอบโครงการยังมีคอนโดฯ ระดับลักชัวรีอีก 17,000 ยูนิต, โรงแรมระดับลักชัวรี 6,500 ห้อง, ออฟฟิศเกรดเอ 1.5 ล้านตารางเมตร, สถานทูตและสถานกงสุล 47 แห่ง รวมถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลชั้นนำอีกมากมาย ซึ่งเหล่านี้คือแหล่งรวมลูกค้าระดับบนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของ Central Park

     

    แลนด์มาร์กที่ 3 ของ “เซ็นทรัล” กลางกรุงเทพฯ

    Central Park นี้ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ตั้งอยู่บน ‘จุดตัด’ สำคัญในเมือง ถัดจาก “เซ็นทรัลเวิลด์” แยกราชประสงค์ และ “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” บนแยกเพลินจิต-วิทยุ

    ทั้ง 3 แลนด์มาร์กมีจุดขายที่ต่างกัน “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” จะยังคงเป็นแหล่งรวมแบรนด์ระดับซูเปอร์ลักชัวรีของไทย “เซ็นทรัลเวิลด์” เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดที่รวมแบรนด์ไว้จำนวนมาก และ “Central Park” คือการสร้างประสบการณ์ลักชัวรีที่แตกต่าง

    Central Park ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
    ทีมงาน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา: (จากซ้าย) “อิศเรศ จิราธิวัฒน์” Head of Fashion and Luxury Partner Management, “ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล” Chief Development and Commercial Officer, “วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” Chief Marketing Officer

    หลังจากนี้ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” จะทยอยสร้างเสร็จทีละส่วน ได้แก่

    • โรงแรมดุสิตธานี แบงค็อก เปิดกลางปี 2567
    • อาคารสำนักงาน Central Park Offices เปิด Q2/2568
    • ศูนย์การค้า Central Park เปิด Q3/2568
    • คอนโดฯ Dusit Residences และ Dusit Parkside เปิดปลายปี 2568

    ต้องรอชมว่าหลังก่อสร้างเสร็จ “Central Park” จะเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาศูนย์การค้าไปอย่างไร!

    ]]>
    1447278
    “ดิ โอลด์ สยาม” รีโนเวตใหญ่ในรอบ 30 ปี เก็บเอกลักษณ์ตึกยุค ร.5 – ยกระดับ “ฟู้ดคอร์ท” ชั้น 3 https://positioningmag.com/1427702 Tue, 18 Apr 2023 11:27:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427702 ศูนย์การค้าที่ยืนหนึ่งบนเกาะรัตนโกสินทร์ “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ประกาศแผนรีโนเวตครั้งใหญ่นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2536 โดยใช้งบลงทุน 400 ล้านบาท เก็บเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมตึกเก่ายุค ร.5 ไว้ทั้งหมด และจะยังเป็นศูนย์รวมผ้าไหม เพชร ทอง ขนมไทย ฯลฯ เช่นเดิม ส่วนที่จะยกระดับคือ “ฟู้ดคอร์ท” บนชั้น 3 ที่จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของนักกิน

    ครบรอบ 30 ปี “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ศูนย์การค้าที่ยังคงยืนหนึ่งบนเกาะรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงกลางระหว่างถนน 4 สายคือ ถนนพาหุรัด ถนนตรีเพชร ถนนเจริญกรุง และถนนบูรพา และปัจจุบันยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT สามยอด ดิ โอลด์ สยามจึงนับเป็นทำเลทองกลางพื้นที่อนุรักษ์และแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่เข้ามามากขึ้นทุกที ทำให้ทีมงานผู้บริหารเห็นโอกาสที่จะปรับโฉมครั้งใหญ่

    “อภิชัย สิริดำรงพันธุ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาคารพาณิชย์ บริษัท สยามสินธร จำกัด เจ้าของโครงการ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนถึง 400 ล้านบาทเพื่อรีโนเวตปรับ ดิ​ โอลด์ สยาม พลาซ่า ให้ร่วมสมัยมากขึ้น และบางส่วนก็จะเติมประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคปัจจุบัน

    ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า นั้นมีจุดแข็งของตนเองเป็นทุนเดิม โดยโครงการตั้งอยู่บนที่ดินขนาดเกือบ 14 ไร่ แบ่งออกเป็น 2 อาคาร มีพื้นที่ให้บริการรวม 98,500 ตารางเมตร (เฉพาะพลาซ่าที่เป็นศูนย์การค้ามีพื้นที่ 17,945 ตารางเมตร) และมีที่จอดรถ 1,100 คัน

    ดิ โอลด์ สยาม
    บรรยากาศ ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า ในปัจจุบัน (Photo: Facebook@Theoldsiamshoppingplaza)

    สถาปัตยกรรมของ ดิ โอลด์ สยาม มีเอกลักษณ์เด่นชัดเพราะเป็นอาคารสไตล์โคโลเนียลยุค ร.5 และที่จริงแล้วที่นี่ถือเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกๆ ของไทย เพราะชั้น 1-3 ของอาคารนั้นเป็นศูนย์การค้าที่เรารู้จักกันดี แต่ชั้น 4 เป็นที่อยู่อาศัยให้เช่าระยะยาว

    ปัจจุบันสินค้าหลักในศูนย์การค้าประกอบด้วย ปืน ผ้าไหม ผ้าไทย เพชร ทอง เครื่องประดับ อาหารไทย ขนมไทย ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่กว่า 50% จะเป็นร้านค้าเก่าแก่อยู่มานาน และค้าขายแบบ B2B หรือค้าส่ง

    ดิ โอลด์ สยาม
    ภาพตัวอย่างการปรับโฉมใหม่

    แผนการรีโนเวตดิ โอลด์ สยามจึงต้องการจะเก็บเอกลักษณ์เดิมไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล และกิจการการค้าที่แข็งแรง แต่จะเติมร้านที่เหมาะกับลูกค้ากลุ่ม B2C ให้มากขึ้น โดยมีรายละเอียดการแบ่งผังร้านค้าหลังรีโนเวต ดังนี้

    ชั้น 1 แหล่งรวมร้านเพชร ร้านทอง เครื่องประดับ ผ้าลูกไม้นำเข้า ขนมไทยโบราณ

    ชั้น 2 แหล่งรวมผ้าไหม เครื่องประดับ ห้องเสื้อ ชุดราตรี ชุดแต่งงาน

    ชั้น 3 ศูนย์รวมร้านอาหารและตลาดโฉมใหม่ที่ยกระดับเป็น Food Experience

    บรรยากาศบนชั้น 2 ยังเป็นแหล่งรวมผ้าไหม
    ดิ โอลด์ สยาม
    ชั้น 4 จะรีโนเวตใหญ่ กลายเป็นศูนย์รวมร้านอาหาร

    ปรับส่วนที่อยู่อาศัยให้ทันสมัย เช่าเริ่ม 28,000 บาท/เดือน

    ขณะที่บน “ชั้น 4” ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่อาศัยก็จะปรับปรุงเช่นกัน โดยจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะกับคนวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ล็อบบี้ ห้องประชุม ฟิตเนส พาวิลเลียนที่นั่งพักผ่อนลอยฟ้า พื้นที่กลางแจ้ง เป็นต้น

    ยูนิตพักอาศัยจะแบ่งเป็น 128 ยูนิต เป็นห้องแบบดูเพล็กซ์ 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยต่อยูนิตเริ่มต้น 95 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว และ 1 ห้องรับแขก พร้อมที่จอดรถยูนิตละ 1 คัน เปิดสัญญาแบบให้เช่าระยะยาว 12+1 ปี ราคาเริ่ม 3.2 ล้านบาท หรือเช่าระยะสั้น 3 ปี เริ่มเดือนละ 28,000 บาท

    ส่วนที่อยู่อาศัยให้เช่าบนชั้น 4

    ถือเป็นราคาที่น่าสนใจด้วยทำเลห่างจาก MRT สามยอดเพียง 300 เมตร และบริเวณใกล้เคียงมีโรงเรียนชื่อดังหลายแห่ง เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสายปัญญา โรงเรียนสตรีวิทยา เป็นต้น

    สำหรับทีมงานที่จะดูแลการรีโนเวตและบริหารคือทีมผู้บริหาร “เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน” ไลฟ์สไตล์มอลล์ย่านหลังสวนที่ประสบความสำเร็จ จึงน่าสนใจว่าทีมนี้จะสามารถผสมผสานร้านค้าเก่า ร้านค้าใหม่ รวมถึงยังเก็บลูกค้าดั้งเดิมไว้ และชักชวนลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาได้หรือไม่

    ทั้งนี้ ระหว่างการปรับโฉม ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า จะไม่มีการปิดศูนย์การค้า ยังเปิดบริการตามปกติทุกวัน เวลา 09:00-20:00

    ]]>
    1427702
    ถึงคิว “พาราไดซ์ พาร์ค” รีโนเวตใหญ่ ธุรกิจการเงินจะเป็น “หัวจักร” ทำกำไรให้ MBK https://positioningmag.com/1416497 Tue, 24 Jan 2023 12:46:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416497
  • แผนปี 2566 ของกลุ่ม MBK กับ 8 กลุ่มธุรกิจในมือ ไฮไลต์ปีนี้จะมีการรีโนเวตใหญ่ “พาราไดซ์ พาร์ค” ให้เป็นฮับด้านเวลเนส-สุขภาพ เจาะกำลังซื้อผู้สูงวัย
  • จับตากลุ่มธุรกิจการเงิน “ลีสซิ่ง” เป็นหัวจักรใหม่ในการทำกำไรหลังโควิด-19 แม้มีปัจจัยประกาศ สคบ. เป็นปัจจัยลบ
  • มองรายได้รวมปีนี้มีโอกาสกลับไปใกล้เคียงกับปี 2562 (ก่อนเกิดโรคระบาด)
  • ภาพจำของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK คือธุรกิจศูนย์การค้า แต่ที่จริงบริษัทนี้ทำธุรกิจหลากหลายถึง 8 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์การค้า, โรงแรม, สนามกอล์ฟ, ที่อยู่อาศัย, อาหาร (ข้าวมาบุญครองและฟู้ดคอร์ท), การเงิน (สินเชื่อ), ลานประมูลรถยนต์และจักรยานยนต์ และศูนย์สนับสนุนองค์กร

    ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจของ MBK ที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว คือ ศูนย์การค้า โรงแรม และสนามกอล์ฟบางแห่ง ได้รับผลกระทบหนักและต้องปรับตัวสูง เช่น ศูนย์การค้า MBK Center ที่ต้องเร่งรีโนเวตและปรับสัดส่วนร้านค้าให้ดึงคนไทยเข้ามาแทนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป หรือโรงแรมบางแห่งต้องปรับมาเป็นฮอสพิเทล ปรับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าเป็นชาวไทย

    8 กลุ่มธุรกิจในเครือ MBK

    อย่างไรก็ตาม ปี 2566 นี้ถือเป็นปีที่ MBK จะกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากการเปิดประเทศ มีความหวังว่าจะกลับไปทำรายได้ได้เท่ากับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

    พร้อมกับการเดินหน้าสู่ยุคหลังโรคระบาด MBK ยังมีการแต่งตั้งซีอีโอใหม่ “วิจักษณ์ ประดิษฐวณิช” ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 รับตำแหน่งต่อจาก “สุเวทย์ ธีรวชิรกุล” ซึ่งปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่งฐานะกรรมการและรองประธานกรรมการบริหาร ช่วยดูแลนโยบายในภาพใหญ่ให้กับบริษัท

    (ซ้าย) “สุเวทย์ ธีรวชิรกุล” กรรมการและรองประธานกรรมการบริหาร และ (ขวา) “วิจักษณ์ ประดิษฐวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)

    สำหรับวิจักษณ์นั้นถือเป็นลูกหม้อที่ทำงานใกล้ชิดในเครือมาหลายทศวรรษ ตำแหน่งภายใน บมจ.เอ็ม บี เค อาจจะมีชื่อมาเพียงปีเศษ แต่วิจักษณ์เริ่มงานกับเครือนี้มาตั้งแต่ยุคหลังต้มยำกุ้งกับบทบาทกรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด เมื่อปี 2543 และต่อมาทำงานเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด ในปี 2553 เห็นได้ว่าเติบโตในสายธุรกิจการเงินมาตลอด

     

    ปีนี้ถึงคิว “พาราไดซ์ พาร์ค” รีโนเวตใหญ่รับผู้สูงวัย

    ไฮไลต์การลงทุนปี 2566 ของกลุ่ม MBK คือแผนการรีโนเวตศูนย์การค้า “พาราไดซ์ พาร์ค” หลังจากได้ต่อสัญญาเช่าที่ดินอีก 20 ปีกับ บริษัท เอส.เอส.เรียล (สวนหลวง) จำกัด ไปเรียบร้อย โดยจะใช้งบลงทุน 1,000 ล้านบาท ขณะนี้เริ่มลงมือแล้ว

    พาราไดซ์ พาร์ค รีโนเวต
    ภาพเพอร์สเพคทีฟการรีโนเวต พาราไดซ์ พาร์ค

    พาราไดซ์ พาร์ค ยุคใหม่วางธีมการรีโนเวตให้เป็นฮับด้านเวลเนสและสุขภาพ เน้นภายในศูนย์ฯ จะปรับสัดส่วนร้านค้าใหม่ให้เป็นแหล่งสุขภาพ เช่น ร้านอาหารวีแกน, ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกส์, ศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์, คลินิกเฉพาะทาง เป็นต้น ส่วนเสรีมาร์เก็ตที่เป็นแม่เหล็กหลักก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม

    “คนเดินศูนย์ฯ นี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยอยู่แล้ว ซึ่งวัยนี้เขาต้องการอะไรที่ไม่เหมือนวัยอื่น” สุเวทย์กล่าว “ไตรมาส 3 จะได้เห็นโฉมใหม่ ถือเป็นการปรับครั้งใหญ่ของพาราไดซ์ พาร์ค”

    พาราไดซ์ พาร์ค รีโนเวต

    ส่วนการลงทุนอื่นๆ ที่น่าสนใจของ MBK เช่น

    • เดินหน้าลงทุนเฟสต่อเนื่องในโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เช่น Riverdale District อาณาจักรสนามกอล์ฟและมารีน่าท่าจอดเรือใน จ.ปทุมธานี โดยมีที่ดินรวม 1,500 ไร่ รวมถึงจะมีการซื้อแลนด์แบงก์เพิ่มเติม ทั้งหมดตั้งงบลงทุนประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท
    • รีโนเวตศูนย์การค้า 2 แห่ง คือ เดอะ ไนน์ พระราม 9 ซึ่งเป็นการปรับปรุงตามรอบ และ MBK Center ที่เป็นการรีโนเวตต่อเนื่องใกล้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งหมดใช้งบลงทุนราว 100-200 ล้านบาท
    • รีโนเวตเฟส 3 ของโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ส่วนห้องพักขนาดใหญ่ระดับ Executive ซึ่งจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท

     

    MBK Center เกือบเสร็จสมบูรณ์ ดึงคนไทยได้ตามเป้า

    สำหรับโปรเจ็กต์ใหญ่ MBK Center ที่เริ่มรีโนเวตมาตั้งแต่ต้นปี 2564 เป้าหมายเพื่อปรับโฉมและเปลี่ยนสัดส่วนร้านค้าให้ดึง “คนไทย” มากขึ้น วิจักษณ์ระบุว่า ขณะนี้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีผู้เช่าพื้นที่เกิน 90%

    โดยปีนี้จะยังมีพันธมิตรรายใหญ่รายใหม่เข้ามาคือ ARTPIA จากเกาหลีใต้ เป็น Entertainment Show ที่ใช้เทคโนโลยีรังสรรค์ภาพ แสง สี เสียง กลิ่น สร้างความสนุกสนานประสบการณ์แบบใหม่ให้ผู้ชม ซึ่งจะเข้ามาเปิดที่ชั้น 6 ของศูนย์ฯ

    ส่วนพื้นที่ที่ยังอยู่ระหว่างเจรจาผู้เช่าคือพื้นที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นไอที มือถือ กล้อง ยังมีบางส่วนที่กำลังออกแบบหาผู้เช่าที่เหมาะสมกับตลาดไอทียุคนี้

    MBK Center โฉมใหม่

    วิจักษณ์กล่าวด้วยว่า หลังรีโนเวตแล้วศูนย์ฯ สามารถดึงคนไทยมาได้ตามเป้าหมาย ปัจจุบันมีทราฟฟิกกลับไปแตะ 80,000 คนต่อวันเท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดแล้ว และเป็นคนไทยเกิน 50% จากเดิมจะมีต่างชาติเดินมากกว่า

    แม่เหล็กสำคัญที่ดึงคนไทยมาได้คือโซนร้านอาหารชั้น 2 ซึ่งมีหลายร้านเปิด 24 ชั่วโมง และอีกหลายร้านที่เปิดจนถึงดึกหรือรุ่งเช้า เช่น สุกี้ตี๋น้อย รวมถึง “ดองกิ” ก็เป็นจุดดึงดูดสำคัญเช่นกัน ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาในยุคนี้คือคนทำงานที่ต้องการมาแฮงก์เอาต์กันหลังเลิกงาน

     

    “การเงิน” ธุรกิจหัวจักรใหม่ในการทำกำไร

    หากเปิดงบการเงิน 9 เดือนแรกปี 2565 ในหมวดกำไรจากการดำเนินงาน จะเห็นว่าธุรกิจ “การเงิน” กลายเป็นกลุ่มที่ทำกำไรสูงสุด โดยทำกำไรไป 498 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่ม “อสังหาริมทรัพย์” มีกำไร 141 ล้านบาท ตามด้วย “ประมูลรถ” ที่มีกำไร 137 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอย่างศูนย์การค้าและโรงแรมนั้นยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ขาดทุน

    ปี 2566 นี้ศูนย์การค้าและโรงแรมน่าจะได้ฟื้นตัวกลับมา แต่วิจักษณ์มองว่า ยุคหลังโรคระบาดของ MBK น่าจะสลับหัวจักรมาที่กลุ่ม “การเงิน” เพราะถึงแม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่จะมาจากศูนย์การค้า แต่ถ้าวัดกันที่กำไร ธุรกิจการเงินมีอัตราทำกำไรสูงกว่า

    ธุรกิจการเงินหลักในกลุ่มนี้คือสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ “ที ลีสซิ่ง” ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทรุกเข้าตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น และกำลังวางแผนเพิ่มโปรดักส์ “สินเชื่อส่วนบุคคล” พ่วงเข้าไป เนื่องจากดาต้าเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าที่บริษัทมีจะทำให้บริษัทเสนอสินเชื่อส่วนบุคคลได้แม่นยำขึ้น

    ธุรกิจนี้เจอจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อปีก่อน จากประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่กำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยกรณีของรถจักรยานยนต์กำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 23% ต่อปี วิจักษณ์กล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้บริษัทจะต้องเข้มงวดในการคัดเลือกลูกค้ามากขึ้น เพราะปกติอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่านี้ทำให้ลีสซิ่งสามารถยอมให้เกิดหนี้เสียได้มาก แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลงก็จะต้องควบคุมปริมาณหนี้เสีย

    อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนดังกล่าวก็ไม่ทำให้โอกาสในตลาดสินเชื่อน่าสนใจน้อยลง ในระยะยาวน่าจะได้เห็น MBK มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ออกมาอีก และเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นในเครือด้วย เช่น ลานประมูลรถยนต์ แอพเพิล ออคชั่น

    สุเวทย์กล่าวสรุปถึงความคาดหวังรายได้ของบริษัทในปี 2566 เชื่อว่าอาจจะทำได้ใกล้เคียงปี 2562 ซึ่งปีนั้นบริษัทมีรายได้ถึง 11,431 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 2,799 ล้านบาท

    ]]>
    1416497
    รวม 5 โครงการพาณิชย์ ห้าง-โรงแรม-ออฟฟิศ สร้างเสร็จปี 2566 ว่าที่ “แลนด์มาร์ก” ใหม่ https://positioningmag.com/1414204 Wed, 28 Dec 2022 11:56:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414204 ปี 2566 มีหลายโครงการพาณิชย์ของเอกชนที่กำลังจะสร้างเสร็จ และมีศักยภาพที่จะเป็น “แลนด์มาร์ก” ใหม่ของเมือง ทั้งโครงการศูนย์การค้า โรงแรม ออฟฟิศ บางส่วนเป็นเฟสแรกหรือเฟสต่อเนื่องของโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์เมืองไทย มีโครงการไหนบ้างไปดูกัน

    (*เรียงตามลำดับเวลาที่คาดว่าจะเปิดบริการ)

    1.โครงการ ICS – ไอคอนสยาม เฟส 2

    โครงการ ICS เป็นเฟส 2 ของเมกะโปรเจ็กต์ “ไอคอนสยาม” ยังคงลงทุนโดยกลุ่มทุนเดิมคือ “สยามพิวรรธน์-แมกโนเลียฯ-ซีพี” ใช้งบลงทุน 4,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 5 ไร่ พื้นที่โครงการรวม 70,000 ตร.ม. (พื้นที่ประมาณ 1 ใน 4 ของเฟสแรก) ทำเลที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเฟสแรกบนฝั่งถนนเจริญนคร เป็นฝั่งที่ไม่ติดริมแม่น้ำ

    ฝั่ง ICS เองก็เป็นโครงการมิกซ์ยูสเช่นกัน ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

    • อาคารรีเทล 8 ชั้น
    • อาคารสำนักงาน ไอซีเอสออฟฟิศทาวน์ ตั้งอยู่บนชั้น 6-8
    • โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร โรงแรม 3 ดาว สูง 19 ชั้น จำนวนห้องพัก 241 ห้อง

    ในส่วนรีเทลที่ประกาศแบรนด์ผู้เช่าออกมาแล้ว เช่น

    • ซูเปอร์มาร์เก็ต – โลตัส (คอนเซ็ปต์ใหม่แบบพรีเมียม)
    • ร้านอาหาร – ซานตาเฟ่, เอี่ยวไถ่ สุกี้โบราณ, Omu, Getfresh, Mos Burger, คริสปี้ ครีม, White Story, ปังสยาม, Fuku Matcha, O-li-no, Bake a Wish, ชาตรามือ
    • Gadget – Garmin, Jaymart
    • เสื้อผ้า เครื่องประดับ – Skechers, U.S.Polo, แว่นท็อปเจริญ, Seven Days Optic
    • Health & Wellness – Siriraj H Solutions, Boots
    • Beauty – Beautrium, Cute Press
    • Home & Living – MR.DIY

    ICS ประกาศฤกษ์เปิดบริการ “11 ม.ค. 2566” อย่างที่เห็นว่าตำแหน่งทางการตลาดและแบรนด์ที่มาลงพื้นที่เช่าจะมีความ “แมส” มากกว่า “จับต้องได้” กว่าเฟสแรกชัดเจน ก็จะทำให้พื้นที่ไอคอนสยามยิ่งดึงดูดทราฟฟิกได้หลากหลาย ยิ่งตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์กของฝั่งธนบุรี

     

    2.One City Centre เพลินจิต

    อาคารสำนักงาน One City Centre

    อาคารสำนักงาน One City Centre เพลินจิต เป็นโครงการจากการร่วมทุนของ บมจ.ไรมอนแลนด์ กับ Mitsubishi Estate จากญี่ปุ่น ใช้งบลงทุน 8,800 ล้านบาท สร้างอาคารที่จะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของย่านเพลินจิต ณ แปลงที่ดินขนาด 6 ไร่ ติดกับอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

    เหตุที่บอกว่าจะเป็นแลนด์มาร์ก เพราะขณะนี้ตึกสร้างเสร็จแล้ว มีความสูง 61 ชั้น สูง 275 เมตร ซึ่งถือเป็นตึกอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทย (หากรวมอาคารทุกประเภท จะสูงเป็นอันดับ 5 ของไทย) และด้านบนรูฟท็อปของอาคารจะเป็นร้านอาหาร-บาร์ ทำให้เป็นตึกใหม่ในการขึ้นไปชมวิวเมืองในอนาคต

    อีกส่วนที่สำคัญคือ One City Centre เว้นพื้นที่หน้าตึกสร้างเป็นสวนสีเขียว 3 ไร่ กลายเป็นปอดแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่สำคัญคือเป็นปอดที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้งานได้แบบสาธารณะ ท่ามกลางตึกสูงมากมายในย่าน จุดนี้น่าจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของคนทำงานได้เลย

    One City Centre จะเริ่มเปิดให้ผู้เช่าเข้าตกแต่งได้ในต้นปี 2566 และไม่นานหลังจากนั้นเราน่าจะได้เห็นพิธีเปิดตึกอย่างเป็นทางการ

     

    3.วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    โปรเจ็กต์พิเศษของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ศูนย์การค้านี้ดีไซน์ไม่เหมือนศูนย์การค้าทั่วไป เพราะจะเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แนวราบที่มีการถมทรายเข้ามาในบริเวณโครงการ ทำให้เหมือนได้เดินอยู่บนชายหาดตลอดเวลา

    เซ็นทรัลใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท เนรมิตที่ดิน 13 ไร่บริเวณริมชายหาดวงศ์อมาตย์ เมืองพัทยา ให้เป็นมอลล์ชายหาดระดับลักชัวรี เน้นบรรยากาศธรรมชาติ แบ่งสัดส่วน 70% เป็นกลุ่มร้านอาหาร คาเฟ่ และอีก 30% เป็นร้านค้าปลีก พร้อมรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทานบรันช์ยามสายจนถึงปาร์ตี้แสงสียามค่ำ

    ขณะนี้แบรนด์ที่มีการประกาศว่าจะมีในโครงการ ได้แก่ Siwilai City Club และ %Arabica และแบรนด์อื่นๆ ที่จะเข้ามาก็จะเน้นระดับไฮเอนด์เช่นกัน ซึ่งเซ็นทรัลเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยยกระดับพัทยาให้มีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับบนได้มากขึ้น

    เดิมเซ็นทรัลประกาศว่า วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ จะเปิดตัวปลายปี 2565 แต่เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโครงการยังคงมองหาผู้เช่า ก็เป็นไปได้ว่าไทม์ไลน์การเปิดน่าจะขยับไปเป็นปี 2566 แทน

     

    4.One Bangkok เฟสแรก

    โครงการ One Bangkok

    อภิมหาเมกะโปรเจ็กต์ One Bangkok ลงทุนโดยสองบริษัทของตระกูลสิริวัฒนภักดี ได้แก่ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบสำหรับทั้งโครงการไป 1.2 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ 104 ไร่

    ที่ตั้งของโครงการอยู่หัวมุมแยกถนนพระราม 4 ตัดถนนวิทยุ ตรงข้ามสวนลุมพินี ภายในจะเป็นเมืองในตัวเองก็ว่าได้ เพราะมีอาคารสำนักงานถึง 5 อาคาร พื้นที่รีเทล 4 โซน โรงแรมอีก 5 แห่ง และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี 3 อาคาร

    ไทม์ไลน์การก่อสร้างนั้นวางแผนจะเปิดเฟสแรก ปี 2566 และเสร็จสิ้นทั้งโครงการปี 2569

    เฟสแรกที่จะเปิดก่อนตามแผนคือ โรงแรม The Ritz-Carlton Bangkok และ โรงแรม Andaz One Bangkok เป็นสองตึกแรกที่จะเสร็จสิ้นก่อน

    ส่วนไฮไลต์ของโครงการคือ “Signature Tower” ว่าที่อาคารที่สูงที่สุดในไทยแห่งใหม่ ด้วยความสูง 437 เมตร 92 ชั้น คาดว่าน่าจะสมบูรณ์ในปี 2569

     

    5.The Emsphere

    จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของ The EM DISTRICT ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป คือศูนย์การค้า The Emsphere (ดิ เอ็มสเฟียร์) ที่กำลังเร่งการก่อสร้างอยู่ขณะนี้ ด้วยงบประมาณลงทุนที่อาจแตะถึง 16,000 ล้านบาท ปั้นพื้นที่บริเวณพร้อมพงษ์ให้เป็นย่านช้อปปิ้งระดับโลก

    จากการแถลงข่าวล่าสุดเดือนตุลาคม 2565 เดอะมอลล์ระบุว่า The Emsphere ทำการก่อสร้างไปแล้ว 90% มั่นใจว่าจะเสร็จทันกำหนด เดือนธันวาคม 2566

    The Emsphere นี้ทำเลจะอยู่ถัดจากสวนเบญจสิริ เนื้อที่ถึง 20 ไร่ มีพื้นที่อาคาร 200,000 ตร.ม. ใช้คอนเซ็ปต์ Hybrid New Entertain & Hang Out มีร้านอาหารที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เป็นศูนย์การค้าแรกในไทยที่มี Beach Club มาตั้งอยู่ภายในห้างฯ เน้นความบันเทิงและนวัตกรรม

    ไฮไลต์ผู้เช่าที่น่าสนใจที่เปิดเผยแล้ว เช่น IKEA City Store แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, EMLIVE ซึ่งเป็น World Class Arena 6,000 ที่นั่ง บริหารงานโดย AEG

    ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังก่อสร้างและจะทยอยพลิกโฉมเมืองในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่จะเปิดเฟสแรกต้นปี 2567, แบงค็อก มอลล์ ที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการบางส่วนได้ในปี 2567, อควอทิค พัทยา ที่จะเริ่มเปิดปี 2567, One Bangkok ที่ยังเหลืออีกหลายเฟสจนถึงปี 2569 หรือโครงการเวิ้งนครเขษม ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ปี 2569 เช่นกัน

    ]]>
    1414204
    ‘เดอะมอลล์ กรุ๊ป’ เดินหน้าผนึก 2 เจ้าสัว ‘เจริญ-ซีพี’ หวังพลิกโฉมบางกะปิ เทียบชั้น ‘The EM District’ https://positioningmag.com/1409677 Wed, 23 Nov 2022 11:36:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409677 ย้อนไปปี 2020 ที่ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ Rebranding เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และ ท่าพระ โดยใช้งบไปสาขาละกว่า 5,000 ล้านบาท ล่าสุด ก็ถึงคิวของเดอะมอลล์ บางกะปิ และ บางแค สองสาขาที่เปิดตัวพร้อมกันตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งทั้งสองสาขานี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถือเป็น แฟลกชิป ของเดอะมอลล์ ทั้งในแง่ของเรเวอร์นิวและทราฟฟิก

    ทุ่ม 20,000 ล้านแปลงโฉมใหม่หมด

    ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้เล่าว่า เมื่อเกือบ 30 ปีก่อนที่เปิดตัว เดอะมอลล์ บางกะปิ โดยใช้สโลแกน อาณาจักรแห่งความสุขทุกครอบครัว แต่ปัจจุบันมันเชยแล้ว ต้องเป็น ไลฟ์สโตร์ ซึ่งทันสมัยและเหมาะกับคนรุ่นใหม่ ดังนั้น เดอะมอลล์ต้องต้องรีเฟรชตัวเองให้ทันสมัย ทำให้ต้อง Rebranding เป็น M Lifestore โดยเปลี่ยนโลโก้ให้ทันสมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ A Happy Place to live life

    โดยทั้ง 2 ศูนย์จะเริ่มทยอยรีโนเวตตั้งแต่ปลายปีนี้ ภายใต้งบ 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2023 ซึ่งการรีโนเวตจะเน้น 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

    • URBAN ได้ยกระดับความครบครันทันสมัยเสมือนยกห้างพารากอนมาไว้ และจะมีการเชื่อมพื้นที่จากสถานีรถไฟฟ้า MRT เข้าสู่ตัวตึกทั้ง 2 สาขา
    • LIFE ได้รวบรวมรูปแบบของความสุขในการใช้ชีวิตที่หลากหลาย และจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ รวมกว่า 1,000 แบรนด์ ใน 8 กลุ่ม รวมถึงจะมีคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ ของแต่ละแบรนด์ด้วย
    • NATURE มีการออกแบบศูนย์ให้ผสมผสานธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพักผ่อนและสันทนาการ

    นอกจากนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังได้ใช้งบลงทุนอีก 4,000-5,000 ล้านบาท ในการรีโนเวต พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2024

    ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด

    สำหรับเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ มีพื้นที่ 350,000 ตารางเมตร พื้นที่รอบ 10 กิโลเมตร มีประชากรกว่า 2 ล้านคน และมีประชากรดิจิตอลสูงถึง 5 ล้านคน มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่พัก คอนโดมิเนียมมากกว่า 1.2 ล้านยูนิต นอกจากนี้ ยังตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว – บางกะปิ แยกบางกะปิ และลำสาลี ซึ่งกำลังจะมี สถานีลำสาลี ที่เป็นศูนย์รวมการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าหลัก 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง, โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม และรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (แคราย – ลำสาลี)

    ส่วนศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแคมีพื้นที่ 350,000 ตารางเมตรเช่นกัน ตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม – กาญจนาภิเษก มีประชากรกว่า 1.5 ล้านคน และมีประชากรดิจิตอล 3.5 ล้านคน มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัก คอนโดมิเนียม มากกว่า 700,000 ยูนิต และอนาคตจะมี รถไฟฟ้าสถานีหลักสอง และ สายเฉลิมรัชมงคล เป็นเครือข่ายคมนาคมที่สำคัญของกรุงเทพฝั่งตะวันตก

    ต้องการปั้นบางกะปิเทียบชั้น The EM District

    ศุภลักษณ์ เล่าต่อว่า ย่านบางกะปิถือเป็นย่านที่สำคัญมาก เพราะเป็นทำเลที่เชื่อมทั้งเส้นลาดพร้าว, รามคำแหง, บางกะปิ, นวมินทร์, มีนบุรี และศรีนครินทร์ โดยเฉพาะเมื่อมี รถไฟฟ้า 3 สาย ตัดผ่าน นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางทาง เรือ ผ่านคลองแสนแสบ ซึ่งปัจจุบัน คิดเป็นทราฟฟิกประมาณ 10% ของเดอะมอลล์ บางกะปิ

    ดังนั้น เดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงหวังที่จะพัฒนาย่านดังกล่าวให้เป็น All in One ที่สมบูรณ์แบบ แบบเดียวกับย่านการค้าดัง ๆ ในต่างประเทศ เหมือนกับการพัฒนา The EM District โดยดึง กลุ่ม AWC ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มีพื้นที่โครงการตะวันนารวมแล้วประมาณ 27 ไร่ และมีพื้นที่ ห้างแม็คโครของเครือซีพีอีก 30 ไร่ เพื่อสร้างย่านการค้า

    “นี่เป็นโปรเจกต์ร่วมกันกับคุณเอ๋ วัลลภา ไตรโสรัส ซึ่งเราร่วมมือกันตั้งแต่โปรเจกต์ The EM District แล้ว แต่พอรถไฟฟ้าเสร็จเราเลยมีแผนที่จะพัฒนาชุมชนแถวนั้น โดยจะยกความเป็นเออร์เบิร์น ยกความเจริญเข้ามา ให้คนไม่ต้องเข้าเมือง ครอบคลุมกลุ่มคนทุกระดับ ซึ่งเรายังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่คุยกันแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนกับทางซีพีก็เริ่มมีการคุยกันแล้ว”

    วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ทายาทเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี

    เชื่อมั่น 2023 ปีทองเดอะมอลล์ กรุ๊ป

    สำหรับปี 2023 ศุภลักษณ์ เชื่อมั่นว่าจะเป็น ปีทอง ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เพราะโปรเจกต์ The EM District ซึ่งเป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และล่าสุดกับโครงการดิ เอ็มสเฟียร์ ที่ลงทุนกว่า 60,000 ล้านบาท บนเนื้อที่รวม 50 ไร่ มีพื้นที่ในศูนย์รวมกันกว่า 650,000 ตารางเมตร จะเปิดให้บริการภายใน สิ้นปี 2023 เช่นเดียวกับการรีโนเวตเดอะมอลล์ บางกะปิและบางแค ที่จะแล้วเสร็จในช่วงเดียวกัน

    สูตรสำเร็จเดอะมอลล์ คือ โลเคชั่น โลเคชั่น โลเคชั่น ดังนั้น ทุกโปรเจกต์ของเราต้องเป็นทำเลหรือจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เราขยายไม่เยอะเพราะถ้าทำเลไม่ดีเราไม่ทำ เล็ก ๆ เราก็ไม่ทำ เพราะเราไม่แข่งในสนามเล็ก เราจะลงเฉพาะสนามใหญ่ ๆ เท่านั้น เพราะเราต้องการสร้างย่านที่สมบูรณ์”

    นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าในปีหน้านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมา ซึ่งจะคิดเป็นสัดส่วน 20% ของ GDP เติบโตจากปี 2022 ที่คิดเป็น 10% ของ GDP ซึ่งยังไม่มี นักท่องเที่ยวจีน และหลังจากที่เดอะมอลล์บางกะปิ และบางแครีโนเวตเสร็จ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มทราฟฟิกอีก 30%

    นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ทราฟฟิกของเดอะมอลล์กลับมาเท่ากับปี 2019 และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมียอดขายรวม 5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ช่วงไตรมาสแรกยังได้ผลกระทบจากโควิด ดังนั้นปีหน้า เราเชื่อว่าจะเป็นปีทองของเดอะมอลล์ กรุ๊ป”

    รีเทลยุคนี้ยาก ต้องครบสมบูรณ์แบบ

    ศุภลักษณ์ ย้ำว่า ศูนย์การค้ายุคนี้ต้อง ยิ่งใหญ่ เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ เพราะต้องเอาใจคนให้ได้ทุกเซ็กเมนต์ เพื่อจะเก็บลูกค้าให้ได้ทุกกลุ่ม เนื่องจากลูกค้าคิดแล้วว่าถ้าจะเสียเวลามามันต้องคุ้ม ดังนั้น เดอะมอลล์ต้องตามลูกค้าให้ทัน หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้นำเทรนด์ให้ลูกค้า เพราะรอให้ลูกค้ามาบอกว่าต้องการอะไรมันไม่ทัน

    “วิชั่นเราต้องก้าวไปก่อนคนอื่น ถ้าเราจะเป็นผู้นำเราต้องไม่เป็นผู้ตาม ดังนั้น เราต้องมีความกล้า ต้องก้าวออกจากกรอบ แน่นอนทุกอย่างมีความเสี่ยง แต่เราเชื่อว่าเรามีประสบการณ์ 40 ปี ที่ผ่านมาทุกวิกฤต และเรามีพันธมิตรที่พร้อมจะไปกับเราจริง ๆ ในทุกสถานการณ์”

    ]]>
    1409677
    CRC รีแบรนด์ “โรบินสันไลฟ์สไตล์” สู่ศูนย์การค้าครบวงจร เปิด “ราชพฤกษ์” สาขาใหญ่สุดในไทย https://positioningmag.com/1387371 Wed, 01 Jun 2022 08:08:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387371
  • “โรบินสันไลฟ์สไตล์” กับเส้นทางธุรกิจ “ศูนย์การค้า” จากปัจจุบันมีสาขาใน 24 จังหวัด ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 49 จังหวัด ภายใน 5 ปี ตอบโจทย์การมาพักผ่อน ใช้ชีวิต
  • ยกระดับการเป็นศูนย์การค้าของชุมชน ปรับการออกแบบให้สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น “โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง” ที่รีโนเวตเรียบร้อยแล้ว
  • แผนปี 2565 จะมีการเปิดโรบินสันแบบมิกซ์ยูส ผนึกพันธมิตรธุรกิจโรงแรมและคอนโดฯ เพื่อช่วยดึงทราฟฟิก
  • ปีนี้โรบินสันไลฟ์สไตล์จะเปิดตัวใหม่ 2 แห่งที่ “ถลาง จ.ภูเก็ต” และ “ราชพฤกษ์” โรบินสันที่ใหญ่ที่สุดในไทย รวมถึงมีการรีโนเวต 3 สาขา คือ “จ.ฉะเชิงเทรา” “ศรีสมาน จ.นนทบุรี” และ “จ.จันทบุรี”
  • ในอดีต “โรบินสัน” เป็นห้างสรรพสินค้า หรือ ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ เน้นร้านค้า shop in shop สำหรับการช้อปปิ้ง มากกว่าร้านค้าเช่าที่มีกิจกรรมหลากหลาย จนกระทั่งบริษัทมีการปรับเพิ่มรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ “ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์” เพื่อให้ครอบคลุมกิจกรรมการใช้ชีวิตของลูกค้ามากขึ้น เริ่มครั้งแรกที่ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ตรัง เมื่อปี 2553

    ยิ่งเวลาผ่านไป เครือเซ็นทรัล รีเทลยิ่งเห็นเทรนด์พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยน ลูกค้ามีการซื้อสินค้าซื้อผ่านอีคอมเมิร์ซมากขึ้น ทำให้ “โรบินสันไลฟ์สไตล์” ที่เป็น “ศูนย์การค้า” ยิ่งทวีความสำคัญในการเจาะกำลังซื้อลูกค้าตามหัวเมืองและชุมชนขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ มีจุดยืนเป็นศูนย์การค้าของชุมชน ทั้งในระดับจังหวัดและบางสาขาเจาะลงไปในระดับอำเภอ เป็นแหล่งช้อป กิน เที่ยว พักผ่อน ของคนในชุมชนนั้นๆ โรบินสันไลฟ์สไตล์จะมีโซนร้านอาหารและร้านสเปเชียลตี้สโตร์ เช่น ท็อปส์ มาร์เก็ต, ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท ฯลฯ รวมถึงโรงภาพยนตร์อีกด้วย ทำให้กลายเป็นศูนย์การค้าครบครันใกล้บ้าน

    หลังจากการเปิดคอนเซปต์ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันขยายไปแล้วกว่า 25 สาขา ใน 24 จังหวัด และยังมีแผนอีก 5 ปีข้างหน้าจะขยายให้ครบ 49 จังหวัดทั่วไทยอีกด้วย

    ขณะที่ปีนี้ กลยุทธ์หลักของโรบินสันไลฟ์สไตล์จะมีการปรับให้ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น “ฟิลิปป์ โบรยานิโก้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ เครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยถึง 4 กลยุทธ์ที่จะได้เห็นในโรบินสันไลฟ์สไตล์ปีนี้ ได้แก่

    1.การออกแบบที่กลมกลืนกับอัตลักษณ์ชุมชน

    ศูนย์ฯ จะเริ่มออกแบบแบบใหม่ ให้สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนที่ตั้งอยู่ โดยใช้แลนด์มาร์กของแต่ละท้องถิ่นมาประยุกต์เป็นแรงบันดาลใจ

    รวมถึงภายในศูนย์ฯ จะคำนึงถึงการเพิ่มพื้นที่ Rest Area & Co-Working  Space ให้มากขึ้น ปรับผังโซนให้เดินช้อปปิ้งได้สะดวก

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง หลังปรับปรุงใหม่

    ตัวอย่างศูนย์ฯ ที่มีการออกแบบในสไตล์นี้แล้ว คือ โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง จ.ระยอง ใช้คอนเซปต์ “Sense of Island” ใช้สีฟ้าน้ำทะเลในการออกแบบ และมีการเพิ่มโซนฟู้ดกว่า 40% และเพิ่มกลุ่มนอนฟู้ด เช่น ไอที แฟชั่น บันเทิง ให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออก

    2.สร้างการเติบโตด้วยมิกซ์ยูส และธุรกิจแบบใหม่

    โรบินสันไลฟ์สไตล์จะสร้างการเติบโตด้วยการผนึกพันธมิตร “โรงแรม” และ “คอนโดมิเนียม” เพื่อมาสร้างเป็นมิกซ์ยูสในพื้นที่เดียวกัน สร้างความสะดวกให้ลูกค้าซึ่งกันและกัน

    จากการสืบค้นข้อมูลขณะนี้ มีโรบินสันไลฟ์สไตล์อย่างน้อย 2 แห่ง ที่จะมีคอนโดฯ แบรนด์ “เอสเซ็นท์” ในเครือ CPN มาเปิดในบริเวณเดียวกัน ได้แก่ สาขาตรังและฉะเชิงเทรา

    นอกจากนี้ มีแผนจะเปิดธุรกิจรูปแบบใหม่ รูปลักษณ์ใหม่ ที่จะเปิดตัวภายในปี 2565

    3.ส่งเสริมท้องถิ่น – เน้นผลักดันให้ SMEs และสตาร์ทอัพในชุมชนนำสินค้าท้องถิ่นเข้ามาจำหน่าย

    4.ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป – ศูนย์ฯ มีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อลดใช้พลังงานและเป็นการใช้พลังงานสะอาด ดีต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2565 จะขยายการติดตั้งให้ครบ 23 สาขาตามเป้า

    โรบินสันไลฟ์สไตล์

     

    2 สาขาใหม่ จับตา “ราชพฤกษ์” สาขาใหญ่ที่สุดในไทย

    ด้านแผนการลงทุนปี 2565 บริษัทจะใช้งบลงทุนรวม 2,300 ล้านบาท ในการเปิดตัวศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ถลาง จ.ภูเก็ต พื้นที่กว่า 44,000 ตร.ม. ออกแบบในสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่สะท้อนเอกลักษณ์พื้นถิ่น เตรียมเปิดบริการสิงหาคมนี้

    อีกแห่งหนึ่งคือ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ พื้นที่กว่า 48,000 ตร.ม. คอนเซปต์ออกแบบ “Enjoy Modern Lifestyle Beside You” มีแผนเปิดบริการเดือนตุลาคมนี้ โดยสาขานี้จะเป็นสาขาใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อสร้างเสร็จ ทำเลอยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ ตรงข้ามกับไทวัสดุ

     

    รีโนเวต 3 สาขาให้ทันสมัย

    ส่วนการรีโนเวตสาขาเดิมใช้งบ 580 ล้านบาท ลงทุน 3 สาขา ได้แก่ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน สะท้อนแนวคิด The River of Life ตามวิถีชีวิตชาวเมืองนนท์ที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มโซนฟู้ดและนอนฟู้ดมากขึ้น เตรียมเปิดมิถุนายนนี้

    โรบินสันไลฟ์สไตล์
    โซนฟู้ด ปาร์ค ในโรบินสันไลฟ์สไตล์ ฉะเชิงเทรา

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ ฉะเชิงเทรา ปรับปรุงออกแบบด้วยคอนเซปต์ Odyssey นำโครงสร้างเรือมาเป็นแรงบันดาลใจ มีการเพิ่มพื้นที่เช่าขึ้นอีก 30% เตรียมเปิดบริการเต็มรูปแบบ สิงหาคมนี้

    สุดท้ายคือ โรบินสันไลฟ์สไตล์ จันทบุรี จะมีการปรับโฉมให้ทันสมัย เพิ่มที่จอดรถ ปรับผังร้านค้า และเติมร้านค้าชั้นนำใหม่ๆ เข้ามา แผนการรีโนเวตอยู่ในช่วงปลายปีนี้

    ทั้งหมดนี้ฟิลิปป์คาดว่าจะทำให้โรบินสันไลฟ์สไตล์ปี 2565 มีรายได้เติบโต 30% จากปี 2564 พร้อมมุ่งสู่การเป็น “Lifestyle and Experiential Community” ครอบคลุมได้ถึง 49 จังหวัด ส่งให้โรบินสันไลฟ์สไตล์เป็นศูนย์การค้าที่ครอบคลุมจังหวัดมากที่สุดของไทยในอนาคต

    ]]>
    1387371
    “เมกาบางนา” ผู้บุกเบิกศูนย์การค้า Low Rise กับการสยายปีกสู่อาณาจักร “เมกาซิตี้” https://positioningmag.com/1384893 Wed, 11 May 2022 08:44:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384893 เมกาบางนากับการทำตลาดมาแล้ว 10 ปี ยึดครองหัวหาดศูนย์การค้าย่านบางนา-ตราด ผู้บุกเบิกศูนย์การค้าโมเดล Low Rise มีแค่ 2 ชั้น พร้อมอัปเดตแผนการพัฒนาสู่อาณาจักร “เมกาซิตี้” ภายใต้ผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ “เซ็นทรัลพัฒนา” ยืนยันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอะไร ปรับตามเทรนด์ของตลาด

    เปิดตำนาน 10 ปี เมกาบางนา

    ถ้าพูดถึงภาพจำของศูนย์การค้าในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นตึกใหญ่ มีจำนวนหลายชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพื่อเดินทางได้สะดวก มีร้านค้า และบริการที่ครบครัน จะเห็นว่าเจ้าของโครงการใหญ่ล้วนมีรูปแบบนี้ทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็เริ่มมีเทรนด์ของ “คอมมูนิตี้ มอลล์” เป็นเหมือนไลฟ์สไตล์มอลล์ มีร้านอาหาร และบริการ เน้นโลเคชั่นในชุมชน ส่วนใหญ่มีรูปแบบเอาต์ดอร์ มีจำนวนชั้นไม่เยอะ และมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก

    จนเมื่อโครงการ “เมกาบางนา” ได้เกิดขึ้นในปี 2555 ถือว่าเป็นศูนย์การค้าในโมเดล Low Rise แห่งแรกในไทย หรือเป็นศูนย์การค้าแนวราบ มีแค่ 2 ชั้น จากปกติศูนย์การค้าในไทยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ High Rise มีจำนวนชั้นเฉลี่ย 4-7 ชั้น เพื่อให้มีบริการ และร้านค้าครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังก่อสร้างให้คุ้มทุนกับค่าที่อีกด้วย

    megabangna

    เมกาบางนาบริหารงานโดย บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด มี 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คือ บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ในเครือ เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN, บริษัท อิคาโน่ รีเทล เอเชีย จำกัด ผู้ถือสิทธิ์ IKEA ประเทศไทย และบริษัท เอส.พี.เอส. โกลเบิลเทรด จำกัด

    โดยที่เมกาบางนามีพาร์ตเนอร์หลักที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ร่วมเปิดศูนย์ ได้แก่ อิเกีย, เซ็นทรัล, โฮมโปร, บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า และเมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ ล้วนเป็นผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่ในไทย

    ตอนแรก IKEA ได้เปิดให้บริการก่อนในเดือน พ.ย. 2554 และเมกาบางนาเปิดให้บริการในเดือน พ.ย. 2555 สร้างความฮือฮาด้วยความเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แต่เดิมมีพื้นที่รวม 400,000 ตารางเมตร ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 577,000 ตารางเมตร แต่ได้สร้างเป็นโมเดล Low Rise เพราะมีพื้นที่ใหญ่

    พลินี คงชาญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด

    พลินี คงชาญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เริ่มเล่าให้ฟังว่า

    “รูปแบบศูนย์การค้าแบบ Low Rise เริ่มมาจากทางยุโรป ส่วนใหญ่จะสร้างในโซนนอกเมือง ค่าที่ไม่แพงมาก เราก็เห็นว่าศูนย์การค้าในไทยมีแต่สูงๆ เดินขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ค่อยสนุก แรกๆ ที่เริ่มเปิดหลายคนก็เดินแบบ Low Rise ไม่เป็น เพราะต้องเดินรอบๆ แต่เทรนด์ก็เริ่มเปลี่ยน การเดินรอบสนุกกว่า ไม่มีหลง และไม่มี Dead End ศูนย์การค้าตึกสูงๆ จะมีจุดที่ชั้นบนๆ คนจะเดินขึ้นไม่ถึง แต่เมกาบางนาสามารถเดินถึงทุกมุม”

    ทิศทาง “เมกาซิตี้” หลัง CPN เข้าถือหุ้นใหญ่

    การเปิดของเมกาบางนาเรียกว่าสร้างแรงกระเพื่อมในวงการค้าปลีกไม่น้อย ว้าวแรกคือการได้พาร์ตเนอร์ใหม่อย่าง IKEA ที่เปิดสาขาแรกในไทย ว้าวที่สองคือ ศูนย์ฯ นี้ตั้งอยู่ในทำเลที่รายล้อมด้วยหมู่บ้านจัดสรรมากมาย จับกลุ่มเป้าหมายที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ได้อย่างดี เพราะในโซนนี้ยังไม่มีศูนย์การค้าใหญ่ขนาดนี้ มีเพียงแค่เซ็นทรัล บางนา ก็ต้องยอมรับว่ายังยิ่งใหญ่ไม่พอที่จะดึงดูดผู้บริโภคได้

    แต่แค่เมกาบางนายังไม่อลังการมากพอ อีกทั้งยังมีพื้นที่เหลืออยู่ถมเถ พร้อมกับแผนการลงทุนของแบงค็อก มอลล์ (Bangkok Mall) ของเดอะมอลล์กรุ๊ป ที่จะมาตอกเสาเข็มย่านบางนา-ตราดเช่นกัน เตรียมสร้างเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยพื้นที่ 100 ไร่ งบลงทุนระดับ 50,000 ล้านบาท เป็นการหายใจรดต้นคอไม่น้อย

    Megabangna foodwalk
    Photo : Shutterstock

    ทำให้เมกาบางนาอยู่นิ่งไม่ได้ จึงต้องขยายจากแค่ศูนย์การค้าอย่างเดียว เป็นบิ๊กโปรเจกต์ Mixed-use ด้วยชื่อ “เมกาซิตี้” ได้เริ่มเปิดตัวตั้งแต่ปี 2560 ด้วยงบลงทุน 67,000 ล้านบาท พร้อมกับลงทุนขยาย “เมกา ฟู้ดวอล์ค ศูนย์รวมร้านอาหารดัง มีพื้นที่รวม 10,000 ตารางเมตร ตึกสูง 4 ชั้น ใช้งบลงทุน 2,000 ล้านบาท

    เมกาซิตี้มีเนื้อที่รวม 400 ไร่ เป็นโครงการระยะยาวแบ่งการพัฒนาเป็นหลายเฟส ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 300 ไร่ เปิดให้บริการไปแล้วราว 40% เหลือพื้นที่อีก 100 ไร่ ตามแผนโครงการจะประกอบไปด้วย พื้นที่สำหรับอยู่อาศัย โรงแรม สำนักงาน แหล่งช้อปปิ้ง โรงเรียน และพื้นที่ไลฟ์สไตล์ โดยมีเมกาบางนาเป็นศูนย์กลาง

    คาดว่าหากโครงการเสร็จสมบูรณ์จะทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการในโครงการเมกาซิตี้ และเมกาบางนาถึงวันละ 250,000 คน จากปกติมีทราฟฟิกเฉลี่ยวันละ 150,000 คน

    ปัจจุบันเมกาซิตี้มีการพัฒนาไปแล้วกว่า 40% ได้แก่

    • ส่วนต่อขยายเมกา ฟู้ดวอล์ค มาพร้อมกับที่จอดรถ 1,200 คัน และร้านอาหารเพิ่มกว่า 30 ร้าน
    • อาคารจอดรถอิเกีย 8 ชั้น เชื่อมต่อกับตึกเดิมของอิเกียที่รองรับรถได้เพิ่มถึง 2,000 คัน ซึ่งทำให้ปัจจุบันเมกาบางนาสามารถรองรับรถได้ครั้งละถึง 12,000 คัน
    • ส่วนต่อขยายโซนเมกา สมาร์ท คิดส์ แหล่งรวมสถาบันสอนเสริมทักษะกว่า 20 แห่ง
    • Mega Harborland สนามเด็กเล่นในร่มขนาดใหญ่
    • สวนสาธารณะเมกาพาร์ค, โรงเรียนประถมศึกษานานาชาติ ดิษยะศริน กรุงเทพ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ
    • TOPGOLF (ท็อปกอล์ฟ) โครงการที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ปี 2565

    ท็อปกอล์ฟ

    หลายคนก็สงสัยว่า หลังจากที่ทาง “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ หรือ SF ในสัดส่วนถึง 96.24% ซึ่งได้เพิ่งปิดดีลไปเมื่อเดือน ต.ค. 2564 จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับเมกาบางนา หรือเมกาซิตี้หรือไม่

    พลินี บอกว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้รู้สึกกังวล CPN เข้ามาซัพพอร์ตไอเดีย เพื่อทำให้สำเร็จเร็วขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงคงจะเป็นเรื่องของแผนการพัฒนาโครงการในเมกาซิตี้ จากเดิมจะมีสำนักงาน 2 ตึก แต่เทรนด์ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไป หลายที่ Work from Home ไม่มาเช่าออฟฟิศ อาจจะมีการเปลี่ยนแผน หรือเปลี่ยนเป็นโครงการอื่นๆ แทน

    Photo : Shutterstock

    พลินี เสริมอีกว่า เมกาซิตี้ยังเหลือพื้นที่อีก 100 ไร่ คาดว่าจะเพิ่มโรงแรมได้ 3 โรงแรม จะเป็นอินเตอร์เชนทั้งหมด เป็น 3 เทียร์ เพื่อจับลูกค้าหลายกลุ่ม อาจจะเพิ่มพื้นที่รีเทลได้อีก จากที่มีอยู่ 200,000 ตารางเมตร

    “สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เมกาซิตี้ชะงักไปบ้าง เพราะพาร์ตเนอร์ต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาดูโครงการได้ ตอนนี้คุยเรื่องโรงแรมเป็นหลัก คาดจะเพิ่มอีก 3 โรงแรม แตกต่างกันหลายกลุ่ม ตอนนี้ก็ศึกษากลุ่มลักชัวรี่เพิ่มเติม เพราะยังเป็นส่วนที่ขาดในโครงการ แต่ต้องดูว่ามีโอกาสอย่างไร พร้อมหรือไม่ด้วย”

    ขอเทียบเท่า “เซ็นทรัลเวิลด์” ดึงคนไม่ต้องเข้าเมือง

    แม้ว่าการเป็นศูนย์การค้านอกเมืองของเมกาบางนา จะไม่ได้กลุ่มลูกค้าที่อยู่ในเมืองมากนัก เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือชุมชนในละแวกบางนา-ตราด แต่ด้วยเทรนด์ของการขยายเมือง ทำให้ประชากรออกมาอยู่อาศัยนอกเมืองมากขึ้น ผู้คนในละแวกนี้จึงมีกำลังซื้อสูง

    และด้วยความที่มีพื้นที่ใหญ่ ทำให้เป็นตัวเลือกเบอร์ต้นๆ ของการขยายสาขาในโมเดล “แฟลกชิพสโตร์” จะสังเกตได้ว่า ร้านอาหาร หรือสินค้าแฟชั่น บริการต่างๆ จะเลือกเปิดสาขาแฟลกชิพสโตร์ที่มีพื้นที่ใหญ่ ไปกับศูนย์การค้าใหญ่ๆ นอกเมืองทั้งสิ้น นอกจากจะได้พื้นที่เยอะแล้ว ยังจับกลุ่มลูกค้าละแวกนั้นด้วย

    ikea megabangna
    Photo : Shutterstock

    “ย้อนไป 10 ปีก่อน เมกาบางนาคือศูนย์การค้าระดับแมส มีร้านอาหารแบบที่ทุกคนมี แต่ตอนนี้เป็นมอลล์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น มีร้านอาหารใหม่ๆ แฟชั่น ความงามใหม่ๆ เพื่อดึงคนไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว มีทุกอย่างให้ครบ เรามองโมเดลเทียบเท่าเซ็นทรัลเวิลด์ ลูกค้ามีกำลังซื้อ และอยากทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ต่างๆ เหมือนกับที่เซ็นทรัลเวิลด์มี”  

    ทางศูนย์ได้ทำผลสำรวจ พบว่าค่าเฉลี่ยรายได้ของคนละแวกนี้อยู่ที่ 150,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยในการมาศูนย์ฯ แต่ละครั้ง มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 3,500-4,000 บาท รวมทั้งร้านแฟชั่น และร้านอาหาร

    ส่วนในช่วง COVID-19 มีรายได้ลดลงไป 30% มีทราฟฟิกผู้ใช้บริการลดลงนิดหน่อย แต่ยังดีที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย 90% จึงไม่ได้กระทบมากนัก ปัจจุบันเมกาบางนามีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 150,000-160,000 คน มีทราฟฟิกรถยนต์วันละ 35,000 คัน

    ]]>
    1384893
    “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” มอลล์หรูติดหาด ยกระดับรีเทลรูปแบบพิเศษของ “เซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1384365 Mon, 09 May 2022 07:43:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384365 “แหงนหน้าเห็นท้องฟ้า ระดับสายตาเห็นต้นไม้ ก้าวเท้าเหยียบผืนทราย” คือแนวคิดการออกแบบโปรเจ็กต์รีเทลใหม่ของ “เซ็นทรัล” ที่ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” เห็นภาพการสร้างศูนย์การค้าที่แตกต่าง โดยจะเป็นมอลล์แห่งแรกในไทยที่มีพื้นที่ติดหน้าหาดแบบไม่มีถนนกั้น พร้อมถมทรายในโครงการ เป็น ‘บีช ปาร์ค’ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่

    โปรเจ็กต์พิเศษนี้อยู่ภายใต้การนำของ “พงศ์ ศกุนตนาค” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล หน่วยธุรกิจที่ดูแลโครงการรีเทลพิเศษของเซ็นทรัลซึ่งไม่อยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือเซ็นทรัลพัฒนา ปัจจุบันมีโครงการในมือ 10 แห่ง เช่น ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, ตลาดจริงใจ เชียงใหม่, ไชน่าเวิลด์ วังบูรพา, หัวหมาก ทาวน์เซ็นเตอร์, มาร์เก็ต เพลส วงศ์สว่าง รวมแล้วทำรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี

    ทำให้โครงการ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นโครงการที่ 11 และพลิกโฉมการพัฒนารีเทลแบบดั้งเดิม เพราะคอนเซ็ปต์โครงการออกแบบเป็น Unique Natural Beach Park and Lifestyle Mall แห่งแรกของประเทศไทย ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท

    ทำเลที่ตั้ง วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ ติดหน้าหาด (ภาพจาก: Google Maps)

    ทำเลของโครงการนี้เป็นที่ดินเก่าของ “เซ็นทรัล” ตั้งอยู่ติดหาดวงศ์อมาตย์ ห่างจากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช พัทยา 200 เมตร เดินทางเข้าได้ทั้งทางซอยนาเกลือ 16 และซอยนาเกลือ 18 พื้นที่โครงการแบ่งเป็น 3 เฟส บริเวณติดหาดเฟส 1-2 พื้นที่ 13 ไร่ และเฟส 3 มีพื้นที่ 55 ไร่

    ด้วยความที่ทำเลติดหน้าหาดกว้าง 90 เมตรโดยไม่มีถนนกั้น ทำให้เป็นมอลล์แห่งแรกที่สามารถออกแบบเป็น บีช ปาร์ค ได้ การออกแบบโครงการจะกลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด ร้านค้าทั้งหมดจะเป็นอาคารชั้นเดียว ถมทรายภายในโครงการให้เหมือนกับเดินบนชายหาด เก็บต้นไม้ใหญ่ไว้ และมีพื้นที่สีเขียวถึง 75% นักท่องเที่ยวจะได้บรรยากาศความสงบ ไม่แออัด

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    ด้านการวางคอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์ จะแบ่งพื้นที่ 70% ให้กับร้านอาหาร คาเฟ่ และ 30% เป็นร้านค้าปลีก เน้นการเป็น Central of Life คือสามารถเข้ามาใช้ชีวิตได้ทุกกลุ่ม ทุกวัย อยู่ได้ทั้งวัน ตั้งแต่มื้อเช้า จิบกาแฟ ทานอาหารกลางวัน ช้อปปิ้ง ชมพระอาทิตย์ตกดิน ทานอาหารเย็น และปาร์ตี้ยามค่ำคืน

    ไฮไลต์อีกส่วนคือ “กิจกรรม” ที่จะใช้ประโยชน์เต็มที่จากพื้นที่ติดหาดของศูนย์ฯ เช่น กิจกรรมโยคะ วาดภาพ วอลเลย์บอลชายหาด ชมภาพยนตร์ริมหาด จนถึงงานดนตรี

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

     

    เจาะกลุ่มเป้าหมาย “ตลาดบน”

    พงศ์กล่าวต่อว่า เซ็กเมนต์ที่มุ่งเป้าของ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นกลุ่มระดับบน ให้สอดคล้องกับพื้นที่รอบข้าง เพราะบริเวณหาดวงศ์อมาตย์เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ แวดล้อมด้วยโรงแรม 5 ดาว ทำให้ร้านค้า-ร้านอาหารจะเป็นระดับพรีเมียม ขณะนี้มีจองพื้นที่แล้ว 50% จากร้านค้า 29 ร้าน ค่าเช่าที่เฉลี่ย 5,000 บาทต่อตร.ม.

    แผนผังร้านค้าในโครงการ เฟส 1 และ 2 ส่วนเฟส 1 นั้นจะมีสนามเด็กเล่นไว้รองรับกลุ่มครอบครัว และเฟส 2 จะมีฟาร์มออร์แกนิกส์ด้วย

    ร้านที่เปิดเผยได้แล้วว่าจะมีการเปิดสาขาคือ Siwilai City Club ขยายออกจาก เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และจากภาพเพอร์สเปคทีฟ เราอาจจะได้เห็น % Arabica สาขาใหม่ที่นี่

    กลุ่มเป้าหมายของโครงการ พงศ์คาดว่าจะเป็นชาวไทย 60-70% และชาวต่างชาติ 30-40% และหากมองในระยะยาว เมื่อเฟส 3 สร้างเสร็จ คาดว่าจะมีทราฟฟิกเข้ามาถึงปีละ 1 ล้านคน เพราะอนาคตพัทยาจะมีรถไฟความเร็วสูงตัดผ่าน และจะทำให้การมาพัทยาสะดวกยิ่งขึ้น

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    เฟสแรกของโครงการคาดสร้างเสร็จธันวาคม 2565 และเฟส 2 จะสร้างต่อเนื่องในปี 2566 ส่วนเฟส 3 นั้นยังต้องรอรายละเอียดต่อไปว่า “เซ็นทรัล” จะออกแบบพัฒนาอย่างไร

    สำหรับโปรเจ็กต์พิเศษลักษณะนี้ที่อยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล พงศ์ระบุว่า ปกติจะใช้เวลา 2-3 ปีในการเปิดตัว 1 โครงการ โครงการก่อนหน้านี้ที่เปิดไปคือ ปอร์โต เดอ ภูเก็ต ศูนย์การค้าแบบ open air ย่านหาดบางเทา ซึ่งในช่วงเปิดตัวใหม่ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี แต่โชคร้ายที่หลังเปิดตัวเพียง 4 เดือนก็เผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 แต่เชื่อว่าหลังจากเปิดประเทศแล้วจะกลับมาคึกคัก ทำให้บริษัทเตรียมขยายเฟส 2 ต่อช่วงปี 2566

    พื้นที่พัทยานั้นกำลังเนื้อหอมรับการเปิดประเทศ นอกจากกลุ่มเซ็นทรัลแล้ว ก่อนหน้านี้ AWC ของตระกูลสิริวัฒนภักดีก็เพิ่งแย้มรายละเอียดโครงการ อควอทิค พัทยา บริเวณพัทยากลาง ติดตามอ่านได้ที่นี่

    ]]>
    1384365
    จับตา “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์” การพลิกโฉม “ราชพฤกษ์” สู่ CBDแห่งกรุงเทพฯ ตะวันตก ของเซ็นทรัลพัฒนา https://positioningmag.com/1380401 Tue, 05 Apr 2022 13:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380401

    เซ็นทรัลพัฒนาสร้างปรากฏการณ์ในวงการค้าปลีกอีกครั้ง เตรียมเปิดโปรเจ็คต์ใหญ่ “เซ็นทรัล เวสวิลล์” จับทำเลทองย่าน “ราชพฤกษ์” เป็นมากกว่าศูนย์การค้า แต่คือการ “Reinventing the neighborhood” สร้างพลิกโฉมให้กลายเป็น CBD แห่งกรุงเทพฯ ตะวันตก ยกระดับไลฟ์สไตล์ ตอบรับเทรนด์การขยายเมือง


    “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์”ผลผลิตความสำเร็จ

    มากกว่าการต่อยอด แต่เป็น The next round of innovation อีกขั้นของความสำเร็จจาก Semi-Outdoor Retail Model เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมสร้างปรากฏการณ์ด้วยโปรเจ็คใหญ่ที่ถนนราชพฤกษ์ ซึ่งหลายคนต่างตั้งตารอ เพราะต้องบอกว่าทำเลย่านราชพฤกษ์เป็นทำเลทองแห่งยุคจริงๆ ผู้พัฒนาหลายเจ้าต่างจับจองพื้นที่กันอย่างต่อเนื่อง

    แน่นอนว่าตอนนี้ได้สิ้นสุดการรอคอย เพราะทางเซ็นทรัลพัฒนาได้กางแผนการลงทุนในปี 2565 หนึ่งในบิ๊กโปรเจ็คต์ก็คือ “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ (Central Westville)” เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเซ็นทรัลย่านราชพฤกษ์นั่นเอง

    โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท บนที่ดิน 40 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 93,000 ตร.ม. มีทั้งหมด 4 ชั้น รวมร้านค้ากว่า 300 ร้านค้า มีที่จอดรถกว่า 2,200 คัน เตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566

    การเลือกทำเลที่ราชพฤกษ์นี้ เป็นการเดินเกมปักหมุดย่านใหม่ด้วยการ Reinventing the Neighborhood ซึ่งจะเป็นการยกระดับฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ให้เป็นย่าน Upper-Class Lifestyle เจาะทำเลราชพฤกษ์เชื่อมตรงสู่ CBD ตอบรับเทรนด์ขยายเมือง ใช้ชีวิตแบบ Urban & Outdoor ได้โดยไม่ต้องเข้าเมือง

    ไฮไลท์ที่สำคัญของเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ก็คือ Innovation ของคอนเซ็ปต์แบบ Semi-Outdoor Retail จาก “เซ็นทรัล อีสต์วิลล์” เป็นโมเดลต้นแบบที่ได้นำร่องไว้ได้ 6 ปีแล้ว ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์รีเทลกึ่งเอาท์ดอร์ ทางเซ็นทรัลพัฒนาจึงสานต่อความสำเร็จสู่โครงการนี้

    ภายในโครงการจะผสมผสานพื้นที่สีเขียวเป็น Green Park ของเมือง ด้วยแนวคิด Inside-Out ที่นำธรรมชาติจากด้านในสู่ด้านนอก ด้วยการออกแบบดีไซน์ Façade แนวใหม่ที่เปิดรับลมและแสงธรรมชาติ พักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศน้ำตก รวมถึงมีพื้นที่กิจกรรมเอาท์ดอร์สำหรับครอบครัวและ Pet Friendly Space เพิ่มขึ้น รวมถึงการเป็น Eco-Friendly Mall

    ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เริ่มเล่าว่า

    “โครงการนี้เป็นการต่อยอดคอนเซ็ปต์ของเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ที่เราได้เรียนรู้มา 6 ปี เป็นโมเดลกึ่งเอาท์ดอร์ ทำเลจับโซนตะวันตกของกทม. โซนราชพฤกษ์ มีหมู่บ้านไฮเอนด์เยอะ ประชากรมีกำลังซื้อ  จึงทำเป็นตระกูล “วิลล์ (Ville)” ด้วยกัน”

    เราตั้งใจสร้างให้ทุกองค์ประกอบของที่นี่ ตอบรับเทรนด์ต่างๆ ที่กล่าวมา ทั้งการทำโครงการที่ integrate ความเป็นธรรมชาติเข้ามาในรูปแบบ Semi-Outdoor Model ใส่ใจด้าน Health & Well-being

    โดยมีการผนึกกำลังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ Central Department Store คอนเซ็ปต์ใหม่, Central Foodhall และ B2S ThinkSpace ร่วมโครงการด้วย


    ราชพฤกษ์ ทำเลศักยภาพแห่งอนาคต

    ต้องบอกว่าทำเลย่าน “ราชพฤกษ์” เป็นเหมือนเพชรเม็ดงามเม็ดใหม่ ที่หลายคนต่างจับจ้อง จะเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีหลายโครงการต่างเลือกทำเลราชพฤกษ์เป็นหัวใจหลักในการขยายสาขา แต่ถ้าได้สำรวจตลาดจะพบว่าส่วนใหญ่มีศูนย์การค้ากลุ่มคอมมูนิตี้มอลล์เป็นหลัก

    จะสังเกตุได้ว่า ยังไม่มีโครงการจากผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่ที่เป็น “ศูนย์การค้า” ลงไปจับจองเท่าไหร่นัก จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาบุกทำเลทองแห่งนี้อย่างไม่รีรอ

    ทำเลที่ตั้งของย่านราชพฤกษ์ขึ้นแท่นเป็นทำเลทองเพราะถนนราชพฤกษ์เป็นถนนที่มีจุดเชื่อมหลายโซนสำคัญในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สาทร เพชรเกษม บรมราชชนนี ยาวไปจนถึงนนทบุรี และปทุมธานี ด้วยความที่ถนนมีความกว้าง ไม่มีสัญญาณไฟจราจร หลายคนเลือกที่จะสัญจรเส้นนี้เป็นทางเข้าเมือง และออกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย

    ที่สำคัญคือ กลุ่มที่อยู่อาศัยในย่านนี้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ มีโครงการที่อยู่อาศัยในโครงการระดับไฮเอนด์ และโครงการต่างๆ ในย่านกว่า 115,000 ยูนิตซึ่งมีหมู่บ้านระดับ 10-100 ล้านบาทจำนวนมาก มีจำนวนประชากรราว 415,000 คนที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงย่าน CBD ซึ่งทางเซ็นทรัลพัฒนาประเมินว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง


    มากกว่าศูนย์การค้า แต่คือการพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาย่านและเมืองต่างๆ

    หนึ่งในหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการของเซ็นทรัลพัฒนานั้น ไม่ใช่แค่พัฒนาโครงการศูนย์การค้า หรืออสังหาริมทรัพย์ของตนเองแค่อย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนาย่าน เมือง และชุมชนโดยรอบ เรียกว่าเป็น Place Maker ผู้พัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่ใส่ใจยกระดับคุณภาพชีวิต ไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

    หลายโครงการที่เซ็นทรัลพัฒนาไปบุกเบิก ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้นำพา “ความเจริญ” ไปสู่ท้องที่นั้นๆ ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ หลังจากที่เปิดโครงการนั้นๆ พื้นที่ในรัศมีโดยรอบเตรียมผุดโครงการอื่นๆ โดยเฉพาะ “คอนโด” ขึ้นหลายยูนิต เพราะเหมือนเป็นการการันตีถึงความสะดวกสบาย ไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน นอกจากนั้นยังช่วยยกระดับชุมชน สร้างงานให้คนในชุมชนให้มีรายได้อย่างเข้มแข็งอีกด้วย

    วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

    “เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับทุกคน ด้วยบทบาทการเป็น Place Maker ผู้พัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่ใส่ใจยกระดับคุณภาพชีวิต ไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้บุกเบิก Retail Landscape สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศและพัฒนาพื้นที่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ พร้อมประสบความสำเร็จในการเป็น Center of Life มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ต่อยอดสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า, โครงการที่อยู่อาศัย, โรงแรม และออฟฟิศ ให้เป็นพื้นที่และศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ผู้คนในแต่ละส่วนได้อย่างแท้จริง”

    โครงการเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ก็จะเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ในการเข้าไปพลิกโฉม Reinventing the neighborhood ในการทำให้ราชพฤกษ์เป็นย่าน Upper Lifestyle ใหม่ของกรุงเทพฯ ตะวันตก


    เดินหน้าลงทุนปีละ 20,000 ล้าน

    ก่อนหน้านี้เซ็นทรัลพัฒนาได้ประกาศแผนการลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า ใช้งบลงทุนรวม 100,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลงทุนปีละ 20,000 ล้านบาท เป็นการเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีศูนย์การค้ารวม 36 สาขา ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีครบ 50 สาขา

    นอกจากการเปิดโครงการใหม่อย่างเซ็นทรัล เวสต์วิลล์แล้ว ยังเตรียมเปิด “เซ็นทรัล จันทบุรี” มูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท เตรียมเปิด 26 พ.ค. 65 นี้ สำหรับแผนในอนาคตอันใกล้นี้ เตรียมพัฒนาโครงการระดับโลกและโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกปีละ 2-3 โครงการ พร้อมกับโครงการพลิกโฉม Major Renovation กว่า10 โครงการ พร้อมปรับโฉมโครงการในสาขาต่างๆ ทุกสาขาอย่างต่อเนื่อง

    ชนวัฒน์ กล่าวเสริมว่า “เราวางแผนเดินหน้าขยายโปรเจ็คใหม่และยกระดับโปรเจ็คที่มีอยู่แล้ว โดยภายใน 2 ปีนี้วางงบประมาณไว้มากกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี ชูกลยุทธ์ Imagining the future of retail ซึ่งผสานจุดแข็งของเราใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

    • Sustainable Ecosystem การขยายโครงการต่างๆ ในทุกย่าน ทุกเมือง ทุกโลเคชั่นที่เราเข้าไปร่วมกับคู่ค้า, ผู้ประกอบการท้องถิ่น และชุมชนให้ได้มาอยู่ใน Ecosystem ที่ยั่งยืนของเรา
    • เป็นผู้นำแนวคิด Customer-Centric พัฒนามิกซ์ยูสแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ                       ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
    • การเป็น Partner Champions ช่วยเหลือคู่ค้าแบบ End-to-End Solutions เติบโตเคียงข้างคู่ค้าอย่างยั่งยืน

    เชื่อว่าหลายคนตื่นเต้นกับการเปิดตัวเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ และตั้งตารอในวันที่เปิดทำการอย่างเต็มรูปแบบ เรียกได้ว่า เซ็นทรัลพัฒนา ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนา พร้อมขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย

    ]]>
    1380401